You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
หน่วยงานนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง<br />
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ วันคล้ายวันพระราชสมภพ<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ<br />
๙ แผ่นดิน ของการปฏิรูประบบราชการ<br />
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๒๙๒ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘<br />
www.lakmuangonline.com
๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
ร่วมเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ ปั่นจักรยานเพื่อแม่<br />
เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แม่ของแผ่นดิน<br />
รวมพลังแห่งความรัก และสามัคคี<br />
ถวายเป็นพระราชสดุดี<br />
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศาลากลางจังหวัด<br />
โทร. ๑๑๒๒ / www.bikeformom2015.com
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ข อ ง ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์<br />
พล.อ.วันชัย เรืองตระกูล<br />
พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐ์<br />
พล.อ.ไพบูลย์ เอมพันธุ์<br />
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร<br />
พล.อ.ธวัช เกษร์อังกูร<br />
พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์<br />
พล.อ.อู้ด เบื้องบน<br />
พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ<br />
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล<br />
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ<br />
พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท<br />
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์<br />
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์<br />
พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก<br />
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์<br />
ที่ปรึกษา<br />
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล<br />
พล.อ.อ.ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์<br />
พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ<br />
พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ ร.น.<br />
พล.อ.วิชิต ศรีประเสริฐ<br />
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล<br />
พล.อ.นพดล ฟักอังกูร<br />
พล.อ.อดุลยเดช อินทะพงษ์<br />
พล.อ.ชัชวาลย์ ขำเกษม<br />
พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ<br />
พล.ท.สุวโรจน์ ทิพย์มงคล<br />
พล.ท.ศิริพงษ์ วงศ์ขันตี<br />
พล.ท.ดำรงศักดิ์ วรรณกลาง<br />
พล.ท.ชุติกรณ์ สีตบุตร<br />
พล.ท.นเรศรักษ์ ฐิตะฐาน<br />
พล.ท.ถเกิงกานต์ ศรีอำไพ<br />
พล.ท.เดชา บุญญปาล<br />
พล.ท.พรรณนพ ศักดิ์วงศ์<br />
พล.ท.ภาณุพล บรรณกิจโศภน<br />
พล.ท.นภนต์ สร้างสมวงษ์<br />
พล.ต.ภราดร จินดาลัทธ<br />
พล.ต.สราวุฒิ รัชตะนาวิน<br />
ผู้อำนวยการ<br />
พล.ต.ณภัทร สุขจิตต์<br />
รองผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ณัฐวุฒิ คล้ายโอภาส<br />
พ.อ.ยุทธนินทร์ บุนนาค<br />
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ดุจเพ็ชร์ สว่างวรรณ<br />
กองจัดการ<br />
ผู้จัดการ<br />
น.อ.ธวัชชัย รักประยูร<br />
ประจำกองจัดการ<br />
น.อ.กฤษณ์ ไชยสมบัติ<br />
พ.ท.ธนะศักดิ์ ประดิษฐ์ธรรม<br />
พ.ต.ไพบูลย์ รุ่งโรจน์<br />
เหรัญญิก<br />
พ.ท.พลพัฒน์ อาขวานนท์<br />
ผู้ช่วยเหรัญญิก<br />
ร.ท.เวช บุญหล้า<br />
ฝ่ายกฎหมาย<br />
น.ท.สุรชัย สลามเต๊ะ<br />
พิสูจน์อักษร<br />
พ.อ.หญิง วิวรรณ วรวิศิษฏ์ธำรง<br />
กองบรรณาธิการ<br />
บรรณาธิการ<br />
น.อ.พรหมเมธ อติแพทย์ ร.น.<br />
รองบรรณาธิการ<br />
พ.อ.ทวี สุดจิตร์<br />
พ.อ.สุวเทพ ศิริสรณ์<br />
ผู้ช่วยบรรณาธิการ<br />
พ.อ.หญิง ใจทิพย์ อุไพพานิช<br />
ประจำกองบรรณาธิการ<br />
น.ท.ณัทวรรษ พรเลิศ<br />
น.ท.วัฒนสิน ปัตพี ร.น.<br />
พ.ท.ชาตบุตร ศรธรรม<br />
พ.ต.หญิง สิริณี ศรประทุม<br />
พ.ต.จิโรตม์ ชินวัตร<br />
ร.อ.หญิง ลลิดา กล้าหาญ<br />
ร.ท.หญิง พัชรี ชาญชัยพิชิต<br />
ร.ต.จิรวัฒน์ ถนอมธรรม<br />
จ.ส.อ.หญิง ปาลดา สมพงษ์ผึ้ง<br />
จ.อ.หญิง สุพรรัตน์ โรจน์พรหมทอง<br />
น.ท.หญิง รสสุคนธ์ ทองใบ ร.น.<br />
พ.ท.ชุมศักดิ์ สมไร่ขิง<br />
น.ต.ฐิตพร น้อยรักษ์ ร.น.<br />
พ.ต.หญิง สมจิตร พวงโต<br />
ร.อ.หญิง กัญญารัตน์ ชูชาติ ร.น.<br />
ร.ต.ศุภกิจ ภาวิไล<br />
ร.ท.วัชรเทพย์ ปีตะนีละผลิน<br />
ร.ต.หญิง กันยารัตน์ พุกพัก<br />
จ.ส.อ.สมหมาย ภมรนาค<br />
ส.อ.ธีร์นริศวร์ ขอพึ่งธรรม
บทบรรณาธิการ<br />
วารสารหลักเมือง ฉบับประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ นี้ แตกต่างจากเดือนกรกฎาคมของ<br />
หลายปีที่ผ่านมา คือ ปัญหาภัยแล้ง ทั้งๆ ที่เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน แต่ฝนตกน้อยและมาล่า<br />
กว่าปกติ ในเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการปรับแผนในการเพาะปลูกทำเกษตรกรรม<br />
กับพืชผลทุกชนิด โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นผลผลิตด้านการเกษตรที่สำคัญของประเทศ ปัญหาภัยแล้ง<br />
และการบริหารจัดการน้ำของประเทศจึงยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญ ทั้งในเรื่องฝนแล้ง น้ำท่วม<br />
โดยปัญหาน้ำท่วมเมื่อเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในกรุงเทพมหานคร<br />
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้ง UNESCO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในการแก้<br />
ปัญหา ในเรื่องความเท่าเทียมกันของการเข้าถึงทรัพยากรน้ำ และให้ประเทศไทยเป็นตัวอย่างให้กับ<br />
ประเทศในภูมิภาคแถบนี้<br />
ทั้งนี้ เรื่องที่ควรจะต้องสนใจติดตาม และเป็นกระแสสังคมอยู่ขณะนี้ ได้แก่ ความคืบหน้าของ<br />
ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ พูดได้ว่าเป็นอนาคตของประเทศ เรื่องระหว่างประเทศ หรือในระดับ<br />
สากล มีหลายเรื่องที่พุ่งเป้าถาโถมมาสู่ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ใบเหลืองการทำประมง<br />
การถูกปักธงแดงจาก ICAO หรือ องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ เรื่องการค้ามนุษย์ เป็นต้น<br />
นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย<br />
ในประเทศไทยเข้ามาอีก มีกระแสความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ<br />
๔๕ – ๕๕ ของกลุ่มตัวอย่างไม่เห็นด้วย สำหรับในส่วนที่เห็นด้วยให้ความเห็นว่า จะเป็นการสร้าง<br />
รายได้ สำหรับนำเงินไปพัฒนาประเทศได้ โดยความเห็นส่วนตัว กลัวจะเหมือนกับสลากกินแบ่ง<br />
รัฐบาลที่ยังไม่สามารถจะกำกับดูแล หรือควบคุมให้เกิดความเหมาะสมได้ โดยเฉพาะประเด็นของ<br />
“หวยใต้ดิน” หรือ จะให้เป็นไปตามสโลแกนที่ว่า “ช่วยราษฎร์ เสริมรัฐ ยืนหยัดยุติธรรม”<br />
สวัสดีครับ<br />
2
ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๒๙๒ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘<br />
๔<br />
วันเข้าพรรษา<br />
๖<br />
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
วันคล้ายวันพระราช<br />
สมภพสมเด็จพระบรม<br />
โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหา<br />
วชิราลงกรณ สยามมกุฎ<br />
ราชกุมาร<br />
๘<br />
องค์เจ้าฟ้าผู้อนุรักษ์<br />
และรักษาสิ่งแวดล้อม<br />
๑๐<br />
วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒<br />
๑๒<br />
๙ แผ่นดิน ของการ<br />
ปฏิรูประบบราชการ<br />
พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
(ตอนที่ ๑)<br />
๑๖<br />
๖ ปี วันคล้ายวัน<br />
สถาปนาสำนักงาน<br />
สนับสนุน สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
๑๘<br />
๒๕ ปี วันคล้ายวัน<br />
สถาปนา สำนักโยธาธิการ<br />
สำนักงานสนับสนุน<br />
สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
๒๐<br />
การเดินทางเข้าร่วมการ<br />
ประชุม IISS Shangri-<br />
La Dialogue ครั้งที่ ๑๔<br />
ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์<br />
๖<br />
๑๖<br />
๒๖<br />
๔๔<br />
๘<br />
๑๘<br />
๓๒<br />
๕๒<br />
๑๒<br />
๒๐<br />
๔๐<br />
๔<br />
๖๒<br />
๒๒<br />
เจาะลึกกลุ่มไอเอส<br />
๒๖<br />
ค่านิยมและความเชื่อ<br />
ที่ฝังแน่น (Enduring<br />
values and beliefs)<br />
กับการกำหนด<br />
ยุทธศาสตร์ความมั่นคง<br />
ของชาติ<br />
๓๒<br />
Watershed Air War<br />
๓๖<br />
ดุลยภาพทางการทหาร<br />
ของประเทศอาเซียน<br />
ฝูงรถรบทหารราบ<br />
บีเอ็มพี-๒<br />
๔๐<br />
เปิดตัว T-14 รถถังใหม่<br />
หรือ Minor Change<br />
๔๔<br />
วัฒนธรรมทางการเมือง<br />
ของสังคมไทยกับ<br />
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่<br />
๔๘<br />
การรบใหญ่ที่เมือง<br />
สิเรียม ๒๑๕๖<br />
๕๒<br />
2 days English Camp<br />
๕๔<br />
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
“โรคออฟฟิศ ซินโดรม”<br />
๖๒<br />
กิจกรรมสมาคมภริยา<br />
ข้าราชการสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
ข้อคิดเห็นและบทความที่นำลงในวารสารหลักเมืองเป็นของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานของรัฐ และมิได้ผูกพันต่อทางราชการแต่อย่างใด<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร./โทรสาร ๐-๒๒๒๕-๘๒๖๒ http://61.19.220.3/opsd/sopsdweb/index_1.htm<br />
พิมพ์ที่ : แผนกโรงพิมพ์ กองบริการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ออกแบบ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
3
วันเข้าพรรษา<br />
กองประชาสัมพันธ์<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ใ<br />
นเรื่องความเป็นมาของวันเข้าพรรษา<br />
ถ้าว่ากันตามประวัติย่อๆ คือ ใน<br />
ยุคต้นพุทธกาล ก็ยังไม่มีการเข้า<br />
พรรษา เพราะฉะนั้นตลอดทั้งปี เมื่อพระภิกษุ<br />
มีความเห็นว่าท่านควรจะไปเทศน์ ไปสอน<br />
ญาติโยมที่ไหนได้ ท่านพอมีเวลาท่านก็จะไป<br />
แต่เนื่องจากในฤดูฝนมีการทำไร่ทำนากันอยู่<br />
บางครั้งข้าวกล้าของเขาก็เพิ่งหว่านลง<br />
ไปในนา มันเพิ่งงอกออกมาใหม่ๆ บางทีก็ดู<br />
เหมือนหญ้า พระภิกษุก็เดินผ่านไป นึกว่าเป็น<br />
ดงหญ้า ก็เลยย่ำข้าวกล้า ซึ่งก็ทำให้ชาวบ้าน<br />
เดือดร้อน จึงทูลฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระไป<br />
ย่ำข้าวของเขาที่ปลูกเอาไว้ นกกาฤดูฝนมันยัง<br />
อยู่กับรังของมัน พระทำไมไม่รู้จักพักบ้าง เพื ่อ<br />
ตัดปัญหานี้ พระพุทธองค์จึงได้วางระเบียบให้<br />
พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่ง<br />
ไม่เที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ เว้นแต่มีกิจ<br />
จำเป็นจริงๆ เป็นเวลา ๓ เดือน ในฤดูฝน คือ<br />
เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ของทุกปี ถ้าปีใด<br />
มีเดือน ๘ สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม ๑<br />
ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น<br />
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เว้นแต่มีกิจธุระจำเป็นซึ่ง<br />
เมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ใน<br />
วันเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้<br />
คราวหนึ่งไม่เกิน ๗ คืนเรียกว่า สัตตาหะ<br />
หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการ<br />
จำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด<br />
แต่อีกมุมมองหนึ่ง พระองค์ทรงถือ<br />
โอกาสที่เกิดจากปัญหานี้ ได้ทรงเปลี่ยนคำ<br />
ครหาให้กลายเป็นโอกาสดีของพระภิกษุว่า<br />
ถ้าอย่างนั้นพระภิกษุอยู่เป็นที่ในวัดวาอาราม<br />
เพื่อที่จะให้พระใหม่ได้รับการอบรมจาก<br />
พระเก่าได้เต็มที่ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ในการอบรม<br />
ถ่ายทอดศีลธรรม ถ่ายทอดธรรมวินัยให้แก่<br />
กันและกันนั้น ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง ทำเป็น<br />
ที่เป็นทางต่อเนื่องกันทุกวันๆ อย่างนี้จะ<br />
เป็นการดี การศึกษาธรรมะอย่างต่อเนื่องมีผลดี<br />
เพราะฉะนั้น พระองค์ก็เลยทรงกำหนดขึ้น<br />
มาว่า ให้พระภิกษุอยู่กับที่ในช่วงเข้าพรรษา<br />
อยู่ในวัด แล้วพระใหม่ก็ศึกษาหรือรับการ<br />
ถ่ายทอดธรรมะจากพระเก่า ส่วนพระเก่าก็ทำ<br />
หน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ด้วย คือ สอนพระใหม่<br />
เท่านั้นยังไม่พอ พระเก่าก็วางแผน กำหนด<br />
แผนการเลยว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ควรจะ<br />
เดินทางไปโปรดที่ไหน นั่นก็อย่างหนึ ่ง อีกทั้ง<br />
ปรับปรุงหลักสูตรวิธีการเทศน์การสอน การ<br />
อบรมให้เหมาะกับท้องถิ่น ให้เหมาะกับสภาพ<br />
สังคมที่เปลี่ยนไป เป็นต้น และถ้าเราไปตาม<br />
วัดต่างๆ ในฤดูเข้าพรรษานี้เราก็นิยมบวชกัน<br />
แม้จะบวชชั่วคราวแค่พรรษาก็ตาม หรือจะ<br />
บวชระยะยาวก็ตาม ในเมื่อพอเข้าพรรษาแล้ว<br />
พระเก่าพระใหม่ต้องอยู่ที่เดียวกัน พระเก่า<br />
ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ ใครถนัดวิชาไหน<br />
ก็มาสอนวิชานั้นให้แก่พระภิกษุใหม่ ใครถนัด<br />
4<br />
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
้<br />
พระวินัยก็สอนพระวินัย ใครถนัดสอนนักธรรม<br />
หรือธรรมะก็สอนธรรมะ ใครถนัดสอนพุทธ<br />
ประวัติก็สอนพุทธประวัติ เป็นต้น<br />
ยิ่งกว่านั้น เมื ่อพระใหม่มาอยู่ในวัดกัน<br />
พร้อมหน้าพร้อมตา โยมพ่อโยมแม่ ญาติพี่น้อง<br />
พรรคพวกเพื่อนฝูงของพระใหม่ ได้มาร่วม<br />
ทำบุญที่วัด ได้มาพบพระเพื่อน พบพระลูก<br />
พบพระหลาน ถึงแม้พระลูกพระหลานเหล่านี<br />
ยังเทศน์ไม่เป็น เพราะบวชใหม่ แต่ว่าเมื่อมา<br />
แล้วก็จะได้พบพระครูบาอาจารย์ พระผู้ใหญ่<br />
ท่านที่มาร่วมทำบุญเหล่านี้จึงมีโอกาสฟังเทศน์<br />
จากพระผู้ใหญ่ จึงกลายเป็นฤดูแห่งการศึกษา<br />
ธรรมะไปด้วยในตัวเสร็จ ทั้งของพระ และทั้ง<br />
ของญาติโยม<br />
สำหรับวันเข้าพรรษานี้ ขอเชิญชวน<br />
ทุกท่านร่วมตั้งจิตอธิษฐานพรรษากัน อธิษฐาน<br />
อย่างไร อธิษฐานอย่างนี้ พรรษานี้ สามเดือนนี้<br />
ที่รู้ว่าอะไรเป็นนิสัยที่ไม่ดีในตัวเองที่มีอยู่<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
ก็อธิษฐานเลย พรรษานี้ (เลือกมาอย่างน้อย<br />
หนึ่งข้อ) เราจะแก้ไขตัวเองให้ได้ เช่น บางคนเคย<br />
กินเหล้า เข้าพรรษาแล้วก็อธิษฐานว่า พรรษานี้<br />
เลิกเหล้า เลิกเหล้าให้เด็ดขาด บางคนเคยสูบ<br />
บุหรี่ ก็อธิษฐานว่า อย่างน้อยพรรษานี้จะเลิก<br />
บุหรี่ให้เด็ดขาด เป็นต้น เขาก็มีการอธิษฐาน<br />
กันในวันเข้าพรรษา พรรษานี้จะละความไม่ดี<br />
อะไรบ้าง ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ให้พยายาม<br />
ละกัน คือ ทำตามพระให้เต็มที่นั่นเองในระดับ<br />
ของประชาชน สิ่งใดที่เป็นความดี ก็พยายามที่<br />
จะทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เช่น เมื่อก่อนนี้ ก่อนจะเข้า<br />
พรรษา ตักบาตรบ้าง ไม่ตักบาตรบ้าง วันไหน<br />
มีโอกาสก็ทำ วันไหนชักจะขี้เกียจก็ไม่ทำ เมื่อ<br />
พรรษานี้ พระอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาดีแล้ว<br />
ตั้งใจเลยที่จะตักบาตรให้ได้ทุกเช้า เมื่อก่อน<br />
ไม่ทุกเช้า แค่วันเสาร์ วันอาทิตย์หรือวันโกน<br />
วันพระ พรรษานี้พระอยู่พร้อมหน้า อธิษฐานเลย<br />
จะตักบาตรทุกเช้าตลอดสามเดือนนี้ที่เข้าพรรษา<br />
บางท่านยิ่งกว่านั้น ธรรมดาเคยถือศีลห้า<br />
เป็นปกติอยู่แล้ว พรรษานี้เลยถือศีลแปดทุก<br />
วันพระไปเลย แถมจากศีลห้ายกขึ ้นไปเป็นศีล<br />
แปด จากวันเข้าพรรษาบางท่านเคยถือศีลแปด<br />
ทุกวันพระ ถืออุโบสถศีลมาทุกวันพระแล้ว<br />
เมื่อพรรษาที่แล้ว พรรษานี้ถือศีลแปด ถือ<br />
อุโบสถศีล ทั้งวันโกนวันพระ เพิ่มเป็นสัปดาห์<br />
ละสองวัน บางท่านเก่งกว่านั้นขึ้นไปอีก พรรษา<br />
นี้จะรักษาศีลแปด รักษาอุโบสถศีล กันตลอด<br />
สามเดือนเลย หรือใครที่ไม่เคยทำสมาธิ<br />
ก็อธิษฐานจะทำสมาธิวันละหนึ่งชั่วโมง บางท่าน<br />
ที่ทำอยู่เป็นประจำก็ทำเพิ่มเป็นวันละสองชั่วโมง<br />
สามชั่วโมง ก็ว่ากันไปตามกุศลศรัทธาและท้ายนี้<br />
ขอให้ทุกท่านประสบผลสำเร็จในการทำบุญด้วย<br />
การตั้งจิตอธิษฐานในครั้งนี้ซึ่งอานิสงส์ของท่าน<br />
ที่ได้บำเพ็ญบุญในครั้งนี้จะส่งผลให้ท่านมีความสุข<br />
ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป<br />
5
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
วันคล้ายวันพระราชสมภพ<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ<br />
สยามมกุฎราชกุมาร<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
วันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๙๕<br />
นับเป็นวันมหาประชาปีติอีกครั้งหนึ่งของพสก<br />
นิกรชาวไทย ที่ได้รับทราบข่าวอันเป็นมิ่งมหา<br />
มงคลคือข่าวพระประสูติกาลของพระราชโอรส<br />
พระองค์แรกและทรงยังเป็นพระราชโอรส<br />
พระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้า<br />
สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งเสด็จพระ<br />
ราชสมภพ ในเวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที<br />
ณ พระที่นั ่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ใน<br />
กาลครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
พระราชทานพระนามเมื่อแรกประสูติว่า<br />
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ<br />
บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง<br />
สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพล<br />
นเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์<br />
บรมขัตติยราชกุมาร<br />
ในกาลต่อมา ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม<br />
๒๕๑๕ เมื่อทรงมีพระชนมายุ ๒๐ ชันษา<br />
บริบูรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระราช<br />
อิสริยยศขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช<br />
เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร<br />
มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหา<br />
วชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตย<br />
สมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์<br />
มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราช<br />
วิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร นับเป็นสยาม<br />
มกุฎราชกุมารพระองค์ที่ ๓ ของประวัติศาสตร์<br />
ไทย นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราช<br />
ศรัทธาบรรพชาในพระพุทธศาสนาโดย<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีทรงผนวช<br />
ณ พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่<br />
๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ โดยมีสมเด็จพระอริยวง<br />
ศาคตญาณ (วาสนมหาเถร) เป็นพระราช<br />
6 พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
อุปัธยาจารย์ ได้รับถวายพระสมณนามว่า<br />
วชิราลงฺกรโณ และได้ประทับจำพรรษา ณ วัด<br />
บวรนิเวศวิหาร<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม<br />
มกุฎราชกุมาร ทรงพระอักษรในประเทศใน<br />
ระดับอนุบาลที่พระที่นั่งอุดรภาค พระราชวัง<br />
ดุสิต และโรงเรียนจิตรลดา หลังจากนั้น เสด็จ<br />
พระราชดำเนินไปทรงพระอักษรระดับประถม<br />
ศึกษาที่โรงเรียนคิงส์มิด เมืองซีฟอร์ด แคว้น<br />
ซัสเซกส์ ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลล์ฟิลด์<br />
แคว้นซอมเมอร์เซท ประเทศอังกฤษ และ<br />
วิชาทหารที่โรงเรียนคิงส์ เขตพารามัตตา<br />
นครซิดนีย์ กับวิทยาลัยการทหารดันทรูน<br />
กรุงแคนแบร์รา ประเทศออสเตรเลีย ตลอดจน<br />
ทรงสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา และ<br />
ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การ<br />
ศึกษาด้านการทหาร) คณะการศึกษาด้านการ<br />
ทหาร มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ ประเทศ<br />
ออสเตรเลีย ภายหลังเสด็จนิวัติประเทศไทย<br />
แล้ว ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการ<br />
ทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที่ ๕๖<br />
นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัย<br />
ธรรมาธิราช นอกจากนี้ ยังทรงเข้ารับการศึกษา<br />
ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราช<br />
อาณาจักร และหลักสูตรทางทหาร อาทิ<br />
หลักสูตรการค้นหาชั้นสูง หลักสูตรการลาด<br />
ตระเวนและค้นหาชั้นสูง หลักสูตรวิชาการรบ<br />
พิเศษการทำลายและยุทธวิธีการรบนอกแบบ<br />
หลักสูตรส่งทางอากาศ หลักสูตรการฝึกบิน<br />
เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ UH-1 และ<br />
เฮลิคอปเตอร์โจมตี แบบ AH-1 คอบรา ของ<br />
บริษัทเบลล์ ตลอดจน ทรงเข้ารับการฝึกและ<br />
ทรงศึกษาหลักสูตรทหารตามโครงการช่วยเหลือ<br />
ทางทหารของกองทัพบกสหรัฐอเมริกาที่<br />
ฟอร์ดแบรกก์ รัฐนอร์ธแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา<br />
ประกอบด้วย หลักสูตรอาวุธประจำกายและ<br />
เครื่องบินยิงจรวด หลักสูตรการปฏิบัติการ<br />
พิเศษ หลักสูตรการต่อต้านการก่อการร้าย<br />
หลักสูตรการสงครามแบบกองโจร หลักสูตร<br />
การฝึกการดำรงชีพ และหลักสูตรทางอากาศ<br />
(ทางบกและทางทะเล)<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม<br />
มกุฎราชกุมาร ทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการ<br />
บินในกิจการทหารและพลเรือน จึงทรงเข้ารับ<br />
การศึกษาหลักสูตรเกี่ยวกับการบินในหลักสูตร<br />
ตามลำดับ กล่าวคือ หลักสูตรการฝึกบิน<br />
เครื่องบินปีกติดลำตัวแบบ Siai - Marchetti<br />
SF260 MT หลักสูตรการฝึกบินเครื่องบิน<br />
ปีกติดลำตัวแบบ Cessna T- 37 หลักสูตร<br />
การบินเปลี่ยนแบบเป็นเครื่องบินขับไล่แบบ<br />
เอฟ ๕ (พิเศษ) รุ่นที่ ๘๓ หลักสูตรเครื่องบิน<br />
ขับไล่ชั้นสูง รุ่นที่ ๘๓ เอ วี ดับบลิว ที่ฐานทัพ<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
อากาศวิลเลียมส์ รัฐอริโซนา<br />
สหรัฐอเมริกา<br />
ทั้งนี้ ในการทรงพระ<br />
อักษรและการศึกษาทุก<br />
ระดับชั้น สมเด็จพระบรม<br />
โอรสาธิราชฯ สยาม<br />
มกุฎราชกุมาร ได้ทรง<br />
ปฏิบัติตามระเบียบของ<br />
สถานศึกษาเหมือนอย่าง<br />
นักเรียนทั่วไปและเมื่อทรง<br />
เข้าศึกษาวิชาการทหารซึ่ง<br />
มีการฝึกอบรมอย่างเข้ม<br />
งวด ก็ได้ทรงปฏิบัติตามกฎ<br />
ระเบียบโดยสมบูรณ์ โดย<br />
เฉพาะ ในระหว่างเวลาที่<br />
ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียน<br />
คิงส์ สกูล ตำบลพารามัตตา<br />
นครซิดนีย์ ทรงได้รับเลือก<br />
ให้เป็นหัวหน้าบ้านแมค<br />
อาเทอร์เฮาส์ และได้ทรง<br />
ปฏิบัติพระองค์อย่างดีเด่น<br />
และเมื่อเสด็จกลับมา<br />
ประทับอยู่ในประเทศไทย<br />
ในพระสถานะองค์พระ<br />
รัชทายาท ได้ทรงประกอบ<br />
พระราชกรณียกิจสนอง<br />
พระมหากรุณาธิคุณ แทน<br />
พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ<br />
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วย<br />
ความมุ่งมั่นในพระราชหฤทัย ด้วยความสุขุม<br />
คัมภีรภาพ และเปี่ยมล้นไปด้วยความรับผิดชอบ<br />
จนสำเร็จผลเป็นอย่างดีเสมอมา<br />
สำหรับพระราชกรณียกิจสำคัญในกิจการ<br />
ทหาร ทรงมีพระราชจริยวัตรเพื่อราชการทหาร<br />
ด้วยความมั่นพระราชหฤทัยที่จะพัฒนากิจการ<br />
ทหารไทยให้เจริญรุ่งเรือง และยังทรงปฏิบัติ<br />
พระราชกรณียกิจตามแนวทางการรับราชการ<br />
อย่างเคร่งครัด โดยทรงเริ่มเข้าประจำการ ณ<br />
กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ เมืองเพิร์ท<br />
รัฐออสเตรเลียตะวันตก ประเทศออสเตรเลีย<br />
สำหรับราชการในประเทศไทย ทรงปฏิบัติ<br />
ราชการครั้งแรก ทรงเข้ารับราชการเป็น<br />
นายทหารประจำกรมข่าวทหารบก กระทรวง<br />
กลาโหม และทรงดำรงตำแหน่งทางทหารที่<br />
สำคัญตามลำดับ กล่าวคือ รองผู้บังคับกองพัน<br />
และผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษา<br />
พระองค์ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษา<br />
พระองค์ ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษา<br />
พระองค์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหาร<br />
มหาดเล็กรักษาพระองค์ และผู้บัญชาการ<br />
หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษา<br />
พระองค์ นอกจากนี้ ยังทรงร่วมปฏิบัติราชการ<br />
พิเศษ ประกอบด้วย การปฏิบัติการรบในการ<br />
ต่อต้านการก่อการร้าย บริเวณภาคเหนือ ภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือ การคุ้มกันพื้นที่บริเวณ<br />
รอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ณ เขาล้าน<br />
จังหวัดตราด การปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ ๑<br />
เครื่องบินโบอิ้ง ๗๓๗ - ๔๐๐ ในเที่ยวบินสายใยรัก<br />
แห่งครอบครัวช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย<br />
และจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์ สำหรับ<br />
โรงพยาบาลในจังหวัดชายแดนภาคใต้<br />
นอกจากนี้ ยังทรงปฏิบัติพระราช<br />
กรณียกิจแทนพระองค์พระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ<br />
พระบรมราชินีนาถ และพระราชกรณียกิจส่วน<br />
พระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาว<br />
ไทยมาโดยตลอด และในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม<br />
ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จ<br />
พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร<br />
ที่จะเวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่งนี้ ผู้เขียน<br />
ใคร่ขอเชิญชวนให้ทุกท่าน ตั้งใจที่จะปฏิบัติตน<br />
ให้เป็นข้าราชการที่ดีและเป็นประชาชนที่ดี<br />
น้อมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรม<br />
โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์<br />
ผู้ทรงเป็นที่รักศรัทธาของพสกนิกรชาวไทย<br />
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน<br />
7
องค์เจ้าฟ้าผู้อนุรักษ์<br />
และรักษาสิ่งแวดล้อม<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
ก<br />
ารอนุรักษ์และรักษาสิ่ง<br />
แวดล้อม มีหลักการสำคัญ<br />
คือการกำหนดมาตรการในการ<br />
ใช้ประโยชน์จากสิ ่งแวดล้อมอย่างมีคุณค่า<br />
มีเหตุผล เพื่อให้เกิดการสร้างและพัฒนาคุณภาพ<br />
ชีวิตที่ดีของมนุษย์ให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนี้<br />
มีแนวความคิดในการอนุรักษ์และรักษา<br />
สิ่งแวดล้อมให้บังเกิดผล กล่าวคือ<br />
• ต้องมีความรู้ในการที่จะรักษาทรัพยากร<br />
ธรรมชาติที่จะให้ผลแก่มนุษย์ทั้งประโยชน์<br />
และโทษ ด้วยการสร้างความตระหนักใน<br />
เรื่องความสูญเปล่าของการนำทรัพยากร<br />
ธรรมชาติไปใช้<br />
• รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นและ<br />
หายากด้วยความระมัดระวัง และรักษา<br />
ทรัพยากรที่ทดแทนได้ให้มีสภาพเพิ่มพูน<br />
เท่ากับอัตราที่ต้องการใช้<br />
• ปรับปรุงวิธีการผลิตและใช้ทรัพยากร<br />
อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพยายามค้นคว้า<br />
ศาสตร์ใหม่เพื่อทดแทนการใช้ทรัพยากร<br />
จากแหล่งธรรมชาติให้เพียงพอต่อความ<br />
ต้องการใช้ของประชากร<br />
• ให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อเข้าใจถึง<br />
ความสำคัญในการรักษาสมดุลธรรมชาติ<br />
ซึ่งมีผลต่อการทำให้สิ ่งแวดล้อมอยู่ใน<br />
สภาพที่ดี<br />
ในปัจจุบัน หากจะกล่าวถึงเรื่องของการ<br />
อนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อม จะต้องเรียนให้<br />
ทราบว่าเป็นยุคแห่งการตื่นตัวของประเทศ<br />
ทั่วโลก เพราะเป็นเรื่องที่หลายประเทศมี<br />
ความตระหนักในเรื่องการกำหนดมาตรการ<br />
ที่จะช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมมีสภาพที่ดีขึ้นและ<br />
คงทนต่อไปเพื่อส่งมอบให้แก่อนุชนรุ่นต่อไป<br />
จึงต่างกำหนดมาตรการและกรรมวิธีต่างๆ<br />
เพื่อดำเนินการ ซึ่งส่งผลเป็นรูปธรรมหลาย<br />
โครงการ อาทิ การพัฒนาพลังงานทดแทน<br />
การรักษาป่าและต้นน้ำ ซึ่งทุกแนวความคิด<br />
และทุกโครงการล้วนแล้วแต่เพื่ออำนวย<br />
ประโยชน์ของมนุษยชาติด้วยกันทั้งสิ้น<br />
ถือเป็นความโชคดีของประเทศไทย<br />
ที่ประเทศของเรามีองค์พระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว และองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์<br />
8<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงบำเพ็ญพระราช<br />
กรณียกิจเพื่ออนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมมา<br />
โดยตลอด ซึ่งหลากหลายโครงการอันเนื่อง<br />
มาจากพระราชดำริก็ทรงมุ่งพระราชหฤทัย<br />
เพื่อการพิทักษาสภาพแวดล้อมของประเทศ<br />
เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย และ<br />
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง องค์สมเด็จพระเจ้า<br />
ลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราช<br />
กุมารี ก็ได้สืบทอดพระราชปณิธานขององค์<br />
ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์มาบำเพ็ญเป็น<br />
พระกรณียกิจอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ<br />
พระองค์ทรงให้ความสำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อม<br />
ของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระ<br />
ดำริในการอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมใน<br />
หลายแนวทาง โดยทรงนำวิทยาศาสตร์และ<br />
เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่<br />
การพัฒนาประเทศได้อย่างสอดคล้องเหมาะสม<br />
กับการดำรงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติและ<br />
สภาพแวดล้อมของประเทศ ด้วยการพัฒนา<br />
องค์ความรู้ทางการศึกษาและวิจัย เพื่อการวาง<br />
แนวทางด้านการศึกษา ด้านสุขภาพอนามัย<br />
ด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร<br />
ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการป่าไม้<br />
และต้นน้ำ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทุก<br />
ภูมิภาค การส่งเสริมเพาะเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ<br />
บนพื้นฐานของการเอาใจใส่ต่อสภาพแวดล้อม<br />
และสังคม การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ฯลฯ<br />
ทั้งยังทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเป็นผู้นำที่เข้ม<br />
แข็งด้วยพระปณิธานแน่วแน่ในการพัฒนา<br />
และสร้างเสริมความรู้ทางวิทยาศาสตร์<br />
สิ่งแวดล้อม ให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกิจการ<br />
สิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและประชาชน<br />
ชาวไทย ควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือ<br />
และฝึกอบรมแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่กำลัง<br />
พัฒนาเพื่อร่วมพัฒนาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อม<br />
ร่วมกัน ตลอดจนพัฒนาเครือข่ายความ<br />
ร่วมมือจากองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ<br />
ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวัน<br />
คล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า<br />
จุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่จะเวียน<br />
มาบรรจบอีกวาระหนึ่งนี้ ผู้เขียนใคร่ขอเชิญ<br />
ชวนให้ทุกท่าน ตั้งใจที่จะปรับทัศนคติการ<br />
เพิกเฉยต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อมาช่วยกันอนุรักษ์<br />
และรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์ของ<br />
ส่วนรวม และน้อมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จ<br />
พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์<br />
อัครราชกุมารี องค์เจ้าฟ้าผู้อนุรักษ์และรักษา<br />
สิ่งแวดล้อม ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
9
วิกฤตการณ์<br />
ร.ศ. ๑๑๒<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
ใ<br />
นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอม<br />
เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่ง<br />
ราชวงศ์จักรี ถือได้ว่าเป็นยุคที่<br />
ราชอาณาจักรสยามต้องเผชิญวิกฤตการณ์<br />
หนักที่สุด เรียกได้ว่าจวนเจียนที่จะต้องตกเป็น<br />
อาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก<br />
ที่เข้าแสวงหาอาณานิคมในภูมิภาคอุษาคเนย์<br />
หรือดินแดนภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป<br />
เอเชีย จนสามารถครอบครองประเทศเพื่อนบ้าน<br />
ของสยามโดยรอบไว้จนหมดสิ้น กล่าวคือ<br />
อังกฤษครอบครองพม่ากับมาเลเซีย ส่วน<br />
ฝรั่งเศสครอบครองเวียดนาม ลาว เขมร ซึ่งที่<br />
สำคัญที่สุดคือทั้งสองประเทศนี้ล้วนมีเป้าหมาย<br />
ตรงกันที่จะเข้ายึดครองราชอาณาจักรสยาม<br />
โดยมีการกำหนดหลักการสำคัญของทั้งสอง<br />
ประเทศคือ ความประสงค์ที่จะใช้แม่น้ำ<br />
เจ้าพระยาแบ่งเขตอิทธิพลระหว่างกัน ทั้งนี้<br />
อังกฤษมีเป้าหมายที่จะยึดครองป่าไม้สัก<br />
ที่อุดมสมบูรณ์ในภาคเหนือของสยามที่ติดกับ<br />
พม่าและยังมีพื้นที่ช่องทางออกทะเลที่เหมาะสม<br />
แก่การตั้งสถานีการค้าทางทะเลในแหลม<br />
มลายู สำหรับฝรั่งเศสมีเป้าหมายที่จะยึดครอง<br />
ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรของลุ่ม<br />
แม่น้ำสายสำคัญ ๕ สาย ประกอบด้วย แม่น้ำ<br />
โขง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำ<br />
อิรวดี และแม่น้ำแดง (บริเวณอ่าวตังเกี๋ย)<br />
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการแสวงหา<br />
อาณานิคมทางด้านของอังกฤษก็นับว่า<br />
น่าหวาดกลัวไม่น้อย แต่เนื่องจากพระ<br />
ราชวิเทโศบายขององค์พระบาทสมเด็จ<br />
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงสาน<br />
พระราชไมตรีกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ<br />
วิคตอเรีย แห่งราชวงศ์วินเซอร์ของอังกฤษ จึง<br />
ทำให้ความรุนแรงจากอังกฤษมีเส้นแบ่งและ<br />
ขอบเขตที่ชัดเจน ในขณะที่ฝรั่งเศสกลับใช้เล่ห์<br />
เพทุบายทางการทูตและกำลังทหารเข้ามาบีบ<br />
บังคับพื้นที่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงอยู่ตลอด<br />
เวลา จนนำมาสู่เหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง<br />
ทหารของประเทศสยามกับทหารฝรั่งเศสที่<br />
เมืองไล (บริเวณแคว้นสิบสองจุไทในปัจจุบัน)<br />
จนเกิดเป็นกรณีพิพาทในเหตุพระยอด<br />
เมืองขวางที่ประวัติศาสตร์สยามได้จารึกไว้<br />
อย่างน่าขมขื่นอีกตอนหนึ ่ง เหตุการณ์ดังกล่าว<br />
จึงเป็นข้ออ้างที่ฝรั่งเศสนำเรือรบ ๑ ลำ ที่ชื่อว่า<br />
เรือลูแตง (Lutin) เข้าสู่ราชอาณาจักรสยาม<br />
ว่าเพื่อคุ้มครองคนฝรั ่งเศสในสยาม แต่ด้วย<br />
ความย่ามใจจึงคิดส่งเรือรบอีก ๒ ลำ คือ เรือ<br />
แองคองสตังค์ (Inconstant) และเรือโคแมต<br />
(Comete) เข้ามาในราชอาณาจักรสยาม<br />
ซึ่งในช่วงค่ำของวันที่ ๑๓ กรกฎาคม<br />
๒๔๓๖ เรือรบฝรั่งเศส ๒ ลำ ก็ทำอำนาจบาตรใหญ่<br />
แล่นผ่านสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาและ<br />
ฝ่าแนวป้องกันของป้อมพระจุลจอมเกล้า ที่<br />
จังหวัดสมุทรปราการ เข้ามาจอดที่หน้าสถานทูต<br />
ฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ สมทบกับเรือรบฝรั่งเศส<br />
จอดอยู่ ๑ ลำ รวมเป็น ๓ ลำ ในลักษณะ<br />
ข่มขู่ว่าจะจมเรือพระที่นั่งมหาจักรีที่จอดอยู่<br />
ในแม่น้ำเจ้าพระยา และจะระดมยิงพระบรม<br />
มหาราชวัง หากสยามไม่ยอมจ่ายค่าทำขวัญ<br />
บุตรภรรยาทหารเรือฝรั่งเศสที่บาดเจ็บล้มตาย<br />
จากการปะทะครั้งนั้น เป็นเงิน ๒ ล้านฟรังก์<br />
โดยบังคับให้สยามจ่ายมัดจำก่อน ๓ ล้านฟรังก์<br />
และไม่ขอรับเป็นธนบัตรด้วย ( หมายเหตุ :<br />
ตัวเลขทั้ง ๒ รายการนั้น พิมพ์ไม่ผิด คือหนี้ ๒<br />
ล้าน แต่มัดจำ ๓ ล้าน ซึ่งไม่ใช่ธรรมเนียมที่ชาติ<br />
ใดเขาทำกันในโลกนี้) หรือไม่สยามต้องยินยอม<br />
ให้ฝรั่งเศสเก็บภาษีเอาเองที่เมืองพระตะบอง<br />
และเสียมราฐ ที่สำคัญกว่านั้น ฝรั่งเศสยังระดม<br />
เรือรบที่จอดอยู่ที่ท่าเรือเมืองไซ่ง่อน จำนวน<br />
๑๒ ลำ มาปิดอ่าวไทย และส่งทหารขึ้นยึด<br />
เกาะสีชัง ยื่นเงื่อนไขให้สยามถอนทหารออก<br />
จากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงภายใน ๑ เดือน แม้ว่า<br />
สยามจะยอมรับตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส<br />
ทุกข้อ เพราะไม่มีทางปฏิเสธได้ ฝรั่งเศสก็ยัง<br />
ขอยึดจันทบุรีไว้เป็นประกัน จนกว่าการปักปัน<br />
ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่สยามจะต้องมอบให้<br />
ฝรั่งเศสนี้เสร็จสิ้น ! เป็นอย่างไรครับ แสบสันต์<br />
เพียงใด ? ท่านคงเข้าใจกันดีนะครับ<br />
10 พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
สรุปแล้ว สยามต้องยอมจ่ายเงิน จำนวน<br />
๓ ล้านฟรังก์ จากเงินถุงแดงที่ พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงสะสมไว้<br />
และในที่สุด สยามก็ต้องเสียดินแดนฝั่งซ้าย<br />
ของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสบนความชอกช้ำ<br />
ของประชาชนสยามทุกคนที่ไม่สามารถต่อกร<br />
กับประเทศนี้ได้<br />
สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอนี้ ไม่ได้ปรารถนาที่<br />
จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย<br />
และประเทศที่เคยสร้างความขมขื่นให้ไทย<br />
ในครั้งอดีต แต่ต้องการอธิบายให้ทราบถึง<br />
ความปวดร้าวพระราชหฤทัยของพระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และความ<br />
เสียใจของบรรพชนต่อกรณีเหตุการณ์ ร.ศ.<br />
๑๑๒ กับขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยและ<br />
อนุชนรุ่นต่อไปได้จดจำเรื่องราวในอดีต เพื่อ<br />
เป็นบทเรียนสำหรับก้าวเดินไปสู่อนาคตทั้งนี้<br />
หนังสือที่ผู้เขียนได้ประพันธ์และจัดทำไว้เกี่ยว<br />
กับเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ เงินถุงแดง และการ<br />
รักษาประเทศของบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าแห่ง<br />
ราชวงศ์จักรีนั้น ได้รับโอกาสจากกระทรวง<br />
ศึกษาธิการ จัดทำเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา<br />
ระดับมัธยมศึกษา ในวิชาประวัติศาสตร์ ในชื่อ<br />
หนังสือว่า กว่าไทยจะคงดินแดนรูปขวาน ภาค<br />
ดอกสร้อยรอยตำนาน เพื่อแจกจ่ายโรงเรียน<br />
ทั่วประเทศให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาได้<br />
รับทราบถึงประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของ<br />
ไทย จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม หากท่านใดสนใจ<br />
กรุณาสืบค้นได้จากโรงเรียนต่างๆ ได้ตาม<br />
อัธยาศัย และขอความกรุณาให้ช่วยกันบอกลูก<br />
บอกหลานว่า อย่าลืมประวัติศาสตร์หน้าที่สำคัญ<br />
เป็นอันขาดเพราะเป็นเหตุการณ์การรักษา<br />
เอกราชของไทยให้ยืนยงมาตราบจนปัจจุบัน<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
11
พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
(ตอนที่ ๑)<br />
สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม<br />
แผ่นดิน<br />
ของการปฏิรูประบบราชการ<br />
12 สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม
่<br />
พระผู้ทรงเป็น “หัวใจ” ของแผ่นดิน<br />
๑.พระราชประวัติที่ส่งผลต่อพระราชดำริ<br />
และพระราชกรณียกิจในการปกครอง<br />
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของ<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />
พระราชสมภพเมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๐ ขณะที<br />
พระราชบิดาดำรงพระอิสริยยศ เจ้าฟ้ากรม<br />
หลวงอิศรสุนทร พระบรมราชชนนี คือ สมเด็จ<br />
พระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม) พระนามเดิม<br />
พระองค์เจ้าทับ เมื่อพระราชบิดาเสด็จขึ้น<br />
ครองราชย์แล้วได้รับการสถาปนาเป็นกรม<br />
หมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงมีบทบาทดูแลราชการ<br />
สำคัญๆ ต่างพระเนตรพระกรรณถวายหลาย<br />
ประการ โดยเฉพาะการค้าขายกับต่างประเทศ<br />
ได้แต่งเรือสำเภาส่วนพระองค์ออกไปค้าขายยัง<br />
ประเทศจีน นำผลประโยชน์ที่ได้จากการค้า<br />
ส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯ ถวายพระราชบิดาเพื่อ<br />
ทรงใช้จ่ายในราชการ แก้ไขภาวะขาดแคลน<br />
ในแผ่นดินได้ราบรื่น พระบาทสมเด็จพระพุทธ<br />
เลิศหล้านภาลัย ทรงล้อและขานพระนาม<br />
พระราชโอรสพระองค์นี้ว่า “เจ้าสัว” หมายถึง<br />
เศรษฐีจากการค้า การที่ทรงได้รับมอบหมาย<br />
ให้ช่วยราชการในหน่วยงานที่สำคัญๆ<br />
เช่น การพิจารณาคดีในชั้นฎีกา การดูแลกำกับ<br />
กรมพระตำรวจ กรมพระคลังมหาสมบัติ และ<br />
ราชการอื่นๆ นั้น ทำให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์<br />
ทรงเป็นผู้กว้างขวางในหมู่เสนาบดีและขุนนาง<br />
ชั้นผู้ใหญ่<br />
พระปรีชาสามารถด้านบริหารประจักษ์<br />
ชัดจากบันทึกของ จอห์น ครอว์ฟอร์ด ซึ่งเดินทาง<br />
มาเมืองไทยในรัชกาลที่ ๒ ว่า<br />
“เรื่องราชการไม่ว่าในกรมกองใด อยู่<br />
ในพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์ทรง<br />
แสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ประจักษ์<br />
ในพระราชภารกิจที่พระองค์ทรงได้รับ<br />
มอบหมายเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสุขของ<br />
บ้านเมืองหรือการสงคราม การติดต่อกับต่าง<br />
ประเทศหรือกฎระเบียบของบ้านเมือง การกำหนด<br />
นโยบายหรือความยุติธรรม จะเป็นไปตาม<br />
พระประสงค์ของเจ้านายพระองค์<br />
ทั้งสิ้น...”<br />
ศาสตราจารย์วอลเตอร์เอฟเวลล่า<br />
นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่อง พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า<br />
“กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์นี้ ทรงมีอำนาจ<br />
เข้าควบคุมกิจการสำคัญๆ ของกรุงสยามไว้<br />
ทั้งสิ้น...กรณีต่างๆ ที ่เกี่ยวกับความสงบสุข<br />
ของประชาราษฎร์และบ้านเมืองก็ดี หรือที่<br />
เกี่ยวกับการศึกสงครามก็ตาม ตลอดจนกรณี<br />
ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับต่างประเทศ การตรา<br />
พระราชกำหนดกฎหมาย การพระศาสนา<br />
การวางนโยบาย การปกครองบ้านเมืองและ<br />
ประชาราษฎร์ การศาลสถิตยุติธรรม พระองค์<br />
เป็นผู้ควบคุมดำเนินการทั้งหมดโดยมิได้กราบ<br />
บังคมทูลขอคำปรึกษาและเห็นชอบจากองค์<br />
พระมหากษัตริย์...”<br />
เมื่อใกล้สิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๒ พระบาท<br />
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงประชวร<br />
หนักมิได้ทรงมอบราชสมบัติแก่ผู้ใด พระราชโอรส<br />
ที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเจ้าฟ้าโดยกำเนิด<br />
๒ พระองค์ คือ เจ้าฟ้ามหามงกุฎและเจ้าฟ้า<br />
จุฑามณียังทรงพระเยาว์ เฉพาะเจ้าฟ้ามหามงกุฎ<br />
ทรงผนวชอยู่ ด้วยภาวะเหตุการณ์บ้านเมืองขณะ<br />
นั้น ยังไม่เป็นที่วางใจภัยสงครามพม่า ที่ประชุม<br />
เสนาบดีจึงพร้อมใจกันอัญเชิญกรมหมื่นเจษฎา<br />
บดินทร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่และคุ้น<br />
เคยราชการแผ่นดินที่สำคัญๆ มาแล้วอย่างดี<br />
ขึ้นครองราชย์สมบัติ<br />
กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงมีความ<br />
เหมาะสมและเป็นผลดีต่อแผ่นดิน เนื่องจาก<br />
เวลานั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษา ๒๐ พรรษา<br />
ทรงผนวชมีโอกาสธุดงค์ตามที่ต่างๆ รับทราบ<br />
ทุกข์สุขราษฎรที่สำคัญทรงมีเวลาศึกษาสรรพ<br />
วิทยาการต่างๆ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ<br />
เป็นการสร้างความพร้อม รับการขยายอิทธิพล<br />
ของนักล่าอาณานิคมประเทศตะวันตกที่แผ่<br />
ขยายเข้ามาอย่างรวดเร็ว<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ พุทธศักราช ๒๓๖๗<br />
นั้น ต้องทรงรับพระราชภารกิจหนักหลาย<br />
ประการ ทั้งการปกครอง เศรษฐกิจและสังคม<br />
ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ รัฐนาวาลำนี้<br />
จึงสามารถฝ่าคลื่นลมมาได้อย่างมั่นคงและ<br />
งดงาม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
13
เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมพรรษา ๖๓ พรรษา<br />
พุทธศักราช ๒๓๙๔ ดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติ<br />
๒๗ ปี<br />
๒.พระราชดำริในการปกครองบ้านเมือง<br />
การบริหารราชการแผ่นดิน การเสด็จขึ้น<br />
สู่ราชบัลลังก์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ท่ามกลางประชุมเห็นชอบของ<br />
พระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ คณะเสนาบดี ประกอบด้วย<br />
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพ กำกับ<br />
ราชการกรมพระกลาโหม พระยาสุริยวงศ์<br />
มนตรี (ดิศ บุนนาค) กำกับราชการกรมพระคลัง<br />
เป็นต้น เลือกสรรผู้มีประสบการณ์ที่จัดเจน<br />
ในราชการ ทรงมีวัยวุฒิ มีบุคลิกลักษณะพิเศษ<br />
มีขุนนางสนับสนุนมาก เหมาะแก่การดำรงสิริ<br />
ราชสมบัตินั้น เรียกว่า “นิกรสโมสรสมมต”<br />
มีขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงรอบคอบในพระราชกิจทุกประการทรง<br />
ยึดถือหลักบริหารราชการแผ่นดินที่ปฏิบัติกัน<br />
มาช้านาน คือ เสนาบดีหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่<br />
ช่วยราชการในตำแหน่งสมุหนายก สมุหพระ<br />
กลาโหม และเสนาบดีจตุสดมภ์ ทั้ง ๔ ทรง<br />
มั่นคงในการวางหลักการและนโยบายการ<br />
บริหารประเทศ เสด็จออกว่าราชการ สดับตรับฟัง<br />
เหตุการณ์บ้านเมืองทุกวัน พระราชทานข้อ<br />
วินิจฉัยและติดตามความคืบหน้าภารกิจที่ทรง<br />
มอบหมายใกล้ชิด<br />
การปกครองส่วนภูมิภาคกล่าวได้ว่า มีการ<br />
ขยายอาณาเขตออกไปทางภาคตะวันออก<br />
เฉียงเหนือกว้างขวาง จัดตั้งเมืองใหม่หลาย<br />
แห่ง เมืองใหม่เหล่านี้ปัจจุบันกลายเป็นจังหวัด<br />
สำคัญของประเทศ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น<br />
สกลนคร นครพนม สุรินทร์ ยโสธร หนองคาย<br />
กาฬสินธุ์ และอุบลราชธานี นอกจากนี้มีเมือง<br />
ประเทศราชอีกหลายเมือง ได้แก่ กัมพูชา<br />
เวียดนาม หลวงพระบาง เวียงจันทร์ จำปาศักดิ์<br />
แคว้นล้านนา รวมทั้งเชียงแสน เชียงราย ซึ่งปลาย<br />
รัชกาลมีชาวเวียงรุ้งจากแคว้นสิบสองปันนา<br />
อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองเชียงของ<br />
อีกด้วย<br />
เมื่อมีการตั้งบ้านเมืองใหม่ ทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดระบบการปกครอง<br />
โดยแบ่งเมืองออกเป็นแขวง ตำบลและบ้าน<br />
แต่ละหน่วยมีผู้ปกครอง คือ เจ้าเมือง ทำหน้าที่<br />
ปกครองเมืองหมื่นแขวงดูแลแขวง กำนันดูแล<br />
ตำบล ผู้ใหญ่บ้านปกครองบ้าน ลดหลั่นไป<br />
ตามสายงานเป็นการจัดการบริหารราชการ<br />
ส่วนท้องที่<br />
ภาคใต้ พระราชอาณาเขตครอบคลุมไปถึง<br />
ไทรบุรี ปัตตานี กลันตัน และตรังกานู เดิม<br />
อยู่ในความดูแลของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช<br />
และเจ้าเมืองสงขลา ในรัชกาลที่ ๓ ประสบ<br />
ปัญหาการกระด้างกระเดื่องของบรรดาสุลต่าน<br />
รัฐเล็ก รัฐน้อยในแหลมมลายู ที่สำคัญอังกฤษ<br />
เริ่มมีบทบาทนักล่าอาณานิคม เริ่มคุกคาม<br />
ดินแดนแหลมแถบมลายู เมืองในพระราช<br />
อาณาเขต ทรงวางหลักการและนโยบายการ<br />
บริหารประเทศอย่างมั่นคงอันนำไปสู่การทำ<br />
สนธิสัญญาเบอร์นี่เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๙<br />
สาระของสนธิสัญญานอกจากจะมุ่งเน้นเรื่อง<br />
ข้อตกลงทางการค้าระหว่างกันแล้ว อังกฤษ<br />
ยินดีจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับดินแดนของไทย<br />
ในแหลมมลายูด้วย เมื่อรัฐไทรบุรีก่อการกบฏ<br />
เมื่อพุทธศักราช ๒๓๘๑ พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้ส่งกองทัพ<br />
ออกไปปราบปรามสำเร็จแล้วให้แก้ไขระเบียบ<br />
การบริหารเมืองไทรบุรีใหม่ โดยให้ชาวมลายูที่<br />
ไว้วางใจมาปกครองแทนข้าราชการไทย เพื่อ<br />
แก้ปัญหาความแปลกแยก เปิดโอกาสให้การ<br />
ปกครองดูแลเป็นไปได้สะดวกมากขึ้น กล่าว<br />
ได้ว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงดำเนินวิเทโศบายทางการปกครองด้วยวิธี<br />
อันชาญฉลาด คือการผูกมิตรกับอังกฤษ<br />
ให้ยอมรับสิทธิของไทยเหนือดินแดนใน<br />
หัวเมืองมลายู เป็นการสร้างความเข้มแข็ง<br />
14 สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม
ในการป้องกันประเทศ สามารถควบคุมหัวเมือง<br />
ประเทศราชอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง<br />
๓.พระราชดำริด้านการต่างประเทศ<br />
แนวพระราชดำริด้านการต่างประเทศกับชาติ<br />
ตะวันตก<br />
ช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อพุทธศักราช<br />
๒๓๖๗ นั้น ลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก<br />
เริ่มแผ่ขยายเข้ามาทางภูมิภาคเอเชียแล้ว<br />
ดินแดนพม่าเพื่อนบ้านของไทยตกเป็นของ<br />
อังกฤษ อังกฤษเริ่มคุกคามทางการค้าและ<br />
การเมืองในแหลมมลายูที่อยู่ในความดูแลของ<br />
ไทย เมื่อไทยและอังกฤษตกลงทำสนธิสัญญา<br />
ทางพระราชไมตรีและพาณิชย์เมื่อวันที่ ๒๐<br />
มิถุนายน พุทธศักราช ๒๓๖๙ รู้จักกันในนาม<br />
ว่า สนธิสัญญาเบอร์นี่ ผลของสนธิสัญญา<br />
ด้านการปกครอง อังกฤษต้องยอมรับสิทธิ<br />
และอธิปไตยของไทยเหนือไทรบุรี กลันตัน<br />
ตรังกานู อย่างสมบูรณ์ โดยมีเงื่อนไขทางการค้า<br />
เป็นข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งรัฐบาลไทยยินยอมได้<br />
เพียงบางส่วนเท่านั้น<br />
นโยบายประเทศตะวันตกโดยเฉพาะ<br />
อังกฤษเวลานั้น มีความรุนแรงมากไม่ว่า<br />
จะเป็นการคุกคามพม่าเป็นผลสำเร็จเมื ่อ<br />
พุทธศักราช ๒๓๖๙ การขยายอิทธิพลเข้าไป<br />
ในแหลมมลายูรวมทั้งมะละกาและสิงคโปร์<br />
โดยรัฐบาลฮอลันดามิได้ขัดขวางภายใต้การทำ<br />
สนธิสัญญากับฮอลันดาเมื่อพุทธศักราช<br />
๒๓๖๗ ว่าด้วยการแบ่งเขตอิทธิพลเหล่านี้<br />
ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงตระหนักถึงภยันตรายที่อยู่ไม่ไกลนัก การที่<br />
ทรงยอมทำสนธิสัญญาเบอร์นี่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่<br />
รักษาสถานะประเทศให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม<br />
นี้ได้ เป็นก้าวสำคัญในการดำเนินนโยบายกับ<br />
ชาติตะวันตกที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ทรง<br />
ตระหนักถึงอิทธิพลอังกฤษทั้งด้านการค้าและ<br />
การเมือง ที่มุ่งประโยชน์จากประเทศในภูมิภาค<br />
นี้เป็นอย่างดี<br />
การรู้เขารู้เรา เป็นพระราชวิจารณญาณ<br />
อันชาญฉลาดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงนำมาเป็นแนวพระราชดำริแก่<br />
ผู้ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการบริหารประเทศ<br />
ต่อไปคำนึงถึง ทั้งต้องรู้จักเลือกที่จะรับ ดังพระ<br />
ราชกระแสที่รับสั ่งว่า<br />
“...การศึกสงคราม ข้างญวน ข้างพม่าก็<br />
เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้<br />
ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้การงานสิ่งใด<br />
ของเขาที่คิด ควรจะเรียนเอาไว้ ก็ให้เอาอย่าง<br />
เขาแต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว...”<br />
พระราชดำรินี้ ทันสมัยอยู่เสมอ สามารถ<br />
นำมาใช้ปฏิบัติได้กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
นั่นคือ การที่ต้องพัฒนาตนเองตามกระแส<br />
โลกาภิวัตน์ แต่อย่างมงายหรือไม่ไตร่ตรองและ<br />
ที่สำคัญ คือ การดำเนินนโยบายกับประเทศ<br />
ตะวันตกของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวนี้ มุ่งเน้นที่การโอนอ่อนผ่อนตามเพื่อ<br />
ธำรงรักษาเอกสารของชาติและความสัมพันธ์<br />
ฉันมิตร ซึ่งเป็นหลักการที่พระมหากษัตริย์<br />
รัชกาลต่อๆ มา ทรงถือปฏิบัติเช่นกัน<br />
แนวพระราชดำริด้านการต่างประเทศกับชาติ<br />
ต่างๆ ในภูมิภาค<br />
แผ่นดินรัชกาลที่ ๓ การสร้างความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างไทยกับชาติต่างๆ ในภูมิภาค<br />
เดียวกัน ได้แก่ จีน พม่า ลาว เขมร และญวน<br />
มุ่งในเรื่องการค้าและการป้องกันประเทศไม่มี<br />
กรณีพยายามยอมโอนอ่อนผ่อนตามเพื่อรักษา<br />
สัมพันธ์ฉันมิตร และธำรงเอกราชของชาติ<br />
อย่างเช่นที่ทำกับชาติตะวันตกส่วนประเทศ<br />
จีน ความสัมพันธ์เน้นหนักด้านการค้าขาย<br />
หรือเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถดำรงความสัมพันธ์<br />
ได้อย่างมั่นคงยืนยาวครอบคลุมถึงด้านสังคม<br />
และศิลปวัฒนธรรมด้วย<br />
การสงครามระหว่างไทยกับพม่าที่<br />
ขับเคี่ยวกันมายาวนาน ได้สิ้นสุดลงในรัชกาล<br />
นี้ เพราะพม่าตกเป็นของอังกฤษหมดความ<br />
กังวลในการป้องกันประเทศด้านนี้ คงเหลือแต่<br />
ความสัมพันธ์กับลาว เขมร และญวน<br />
การปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งนคร<br />
เวียงจันทน์เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๙ เป็นศึกใหญ่<br />
และสำคัญครั้งหนึ่งในรัชสมัย แสดงให้<br />
เห็นพระบรมราโชบายในการปกครองเมือง<br />
ประเทศราชของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว เป็นการสร้างตัวอย่างแก่บรรดา<br />
ประเทศราชอื่นๆ ว่าการคิดกบฏนั้นมีผลตาม<br />
มาอย่างไรขุนพลแก้วในรัชสมัยที่เป็นแม่ทัพ<br />
สำคัญในการปราบกบฏครั้งนี้คือเจ้าพระยา<br />
บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ขณะดำรง<br />
ตำแหน่งพระยาราชสุภาวดี ทำให้เมืองที่ขึ้นกับ<br />
เวียงจันทร์มาก่อน เช่น จำปาศักดิ์ นครพนม<br />
ยโสธร ภูเวียง และหนองคาย เปลี่ยนมาขึ้นตรง<br />
ต่อกรุงเทพฯ กองทัพไทยกวาดต้อนครัวเชลย<br />
เข้ามาตั้งหลักแหล่งในกรุงและหัวเมืองใกล้<br />
เคียงจำนวนมาก ครัวเชลยเหล่านี้ คือ แรงงาน<br />
ทางเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งในรัชกาล<br />
ความสัมพันธ์กับเขมรและญวน เป็นเรื่อง<br />
การแสวงหาอาณาเขต ญวนถือสิทธิ์ว่ามีอำนาจ<br />
เหนือเขมร ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชไทยมา<br />
ช้านาน แสดงความก้าวร้าวให้ไทยยินยอม<br />
การกระทบกระทั่งเป็นมูลเหตุแห่งสงครามที่เรียก<br />
ว่า “อันนัมสยามยุทธ์” ใช้เวลากว่า ๑๓ ปี<br />
จึงยุติศึกสงครามนี้เจ้าพระยาบดินทรเดชา<br />
และเจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่ทัพเริ่มรบ<br />
เมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๗ เจรจาสงบศึกเมื่อ<br />
พุทธศักราช ๒๓๙๐ ผลการเจรจาคือ เขมรจะ<br />
จัดส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระมหา<br />
กษัตริย์ไทยทุกปี ส่งเครื่องบรรณาการให้ญวน<br />
ทุก ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
โปรดฯ ให้นำเครื่องประกอบพิธีราชาภิเษกนัก<br />
องค์ด้วงให้เป็นกษัตริย์เขมรเมื่อพุทธศักราช<br />
๒๓๙๑ จะเห็นได้ว่า สัมพันธ์ระหว่างไทย<br />
กับเขมรเป็นไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ตาม<br />
แบบอย่างประเทศราชกับประเทศที่ให้ความ<br />
คุ้มครอง เมืองเขมรเป็นเสมือนรัฐกั้นกลาง<br />
(Buffer state) ระหว่างไทยกับญวน การทำ<br />
สงครามกับญวนนั้นเป็นไปเพื่อรักษาสถานะ<br />
เดิมและรักษาความปลอดภัยของประเทศ<br />
ชาติเป็นหลัก<br />
15
๖ ปี วันคล้ายวันสถาปนา<br />
สำนักงานสนับสนุน<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ใ<br />
น ปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ พลเอก<br />
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม และ พลเอก<br />
อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(ในขณะนั้น) ได้กรุณาดำริให้รวบรวมงาน<br />
ด้านการส่งกำลังบำรุง และงานสนับสนุนของ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ให้รวมอยู่<br />
ด้วยกันเป็นหน่วยงานเดียว จึงได้มีการตรา<br />
พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนด<br />
หน้าที่ของส่วนราชการ สำนักงานรัฐมนตรี<br />
และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม<br />
พุทธศักราช ๒๕๕๒ จัดตั้ง สำนักงานสนับสนุน<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้น โดยให้<br />
รวบรวมภารกิจด้านการส่งกำลัง, การโยธาธิการ,<br />
การให้บริการทางการแพทย์ ไว้ในหน่วยงาน<br />
เดียวกัน และโอนการบังคับบัญชา สำนักโยธา<br />
ธิการกลาโหม และสำนักงานแพทย์ สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้เป็นหน่วยขึ้นตรง<br />
สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม มีภารกิจในการสนับสนุน<br />
การส่งกำลังและซ่อมบำรุง การขนส่ง การ<br />
บริการทางการแพทย์ การบริการ การโยธาธิการ<br />
การควบคุมดูแลอสังหาริมทรัพย์ กิจการ<br />
16<br />
ดุริยางค์ และกิจการโรงพิมพ์ของสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ตลอดจนดำเนินการ<br />
เกี่ยวกับการที ่ดินของกระทรวงกลาโหม และ<br />
ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ สำนักงานสนับสนุน<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วย<br />
ให้การสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง แก่<br />
หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษา<br />
พระองค์ ๒ กิจกรรม ได้แก่ การสนับสนุน<br />
รถยนต์โดยสาร การสนับสนุนเครื่องหมายยศ<br />
เครื่องประกอบการแต่งกาย รวมทั้งเครื่องแบบ<br />
ทหาร และการสนับสนุนอื่นตามที่ร้องขอ<br />
เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ พลเอก<br />
อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้<br />
กรุณามาเป็นประธานในพิธีเปิดป้ายนามหน่วย<br />
จึงได้กำหนดให้วันที่ ๑ กรกฎาคม ของทุกปี<br />
เป็นวันคล้ายวันสถาปนา สำนักงานสนับสนุน<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และในปี<br />
พุทธศักราช ๒๕๕๘ เป็นวันคล้ายวันสถาปนา<br />
หน่วย ครบ ๖ ปี โดยมี ผู้อำนวยการสำนักงาน<br />
สนับสนุนฯ เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ตั้งแต่<br />
จัดตั้งหน่วยถึงปัจจุบัน จำนวน ๕ ท่าน ดังนี้<br />
๑. พลโท หม่อมหลวง ประสบชัย เกษมสันต์<br />
๒. พลโท สิรวุฒิ สุคันธนาค<br />
๓. พลโท กฤษพงศ์ แก้วจินดา<br />
๔. พลโท กิติกร ธรรมนิยาย<br />
๕. พลโท พรรณนพ ศักดิ์วงศ์ (ท่านปัจจุบัน)<br />
ผลงานสำคัญที่ผ่านมา<br />
สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ได้ดำเนินงานที่สำคัญตาม<br />
ภารกิจของหน่วย ได้แก่ การสนับสนุนหน่วย<br />
บัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์<br />
ด้วยการสนับสนุนเครื่องแบบทหาร, เครื่อง<br />
ประกอบการแต่งกาย, เครื่องหมายยศ รวมถึง<br />
การสนับสนุนอื่นๆ ตามที่ได้รับการร้องขอ<br />
หน่วยได้ดำเนินการอำนวยการก่อสร้าง<br />
โครงการที่สำคัญ เช่น โครงการก่อสร้างอาคาร<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและโครงการ<br />
ก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยนายทหารประทวน<br />
พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก สำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม พื้นที่ศรีสมาน ซึ่งการดำเนิน<br />
การดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน<br />
ในเรื่องการแออัดของพื้นที่สำนักงาน และ<br />
การขาดแคลนที่พักอาศัยของกำลังพลนาย<br />
ทหารประทวน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
กลาโหมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ หน่วยยังได้<br />
ดำเนินงานตามภารกิจของหน่วย เช่น กิจการ<br />
ดุริยางค์ กิจการโรงพิมพ์ และกิจการขนส่งเป็น<br />
ส่วนรวม โดยการรับ – ส่งข้าราชการจากที่พัก<br />
อาศัยในพื้นที่ต่างๆ ไปยังสถานที่ปฏิบัติงาน<br />
เป็นประจำทุกวัน<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
ตามที่รัฐบาลได้จัดโครงการ “เมือง<br />
สะอาด คนในชาติมีสุข” ในทุกจังหวัดนั้น<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม จึงสั่งการให้หน่วยขึ้นตรง<br />
ดำเนินการพัฒนาหน่วยงานและชุมชนโดยรอบ<br />
ตามโครงการ “เติมความสุข ให้คนไทย จากใจ<br />
ทหาร” เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม และหน่วยขึ้นตรง ร่วมกับสำนักงาน<br />
เขตบางซื่อ ทำการพัฒนาชุมชนชวนชื่น ซึ่งเป็น<br />
ชุมชนใกล้เคียงที่ตั้งของหน่วย ได้รับความ<br />
ร่วมมือจากสำนักงานเขตบางซื่อ และ ประชาชน<br />
ที่พักอาศัยในชุมชนดังกล่าวเป็นอย่างดี<br />
และตามสั่งการให้มีการประชาสัมพันธ์แก่<br />
ประชาชนในบริเวณใกล้เคียงที่ตั้งของหน่วย<br />
ให้เข้าใจและทราบข้อเท็จจริงถึงความจำเป็น<br />
ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เข้า<br />
มาแก้ไขปัญหาของประเทศ และขอความ<br />
ร่วมมือจากประชาชนได้ช่วยเหลือและให้การ<br />
สนับสนุนกิจกรรมของรัฐบาล หน่วยจึงได้จัด<br />
ชุดประชาสัมพันธ์ เข้าชี้แจงประชาชนในชุมชน<br />
ที่มีที่ตั้งใกล้เคียงหน่วย คือ ชุมชนชวนชื่น และ<br />
ชุมชนหมอนทองโดยต่อเนื่อง และจัดกิจกรรม<br />
ประชาสนเทศอีกครั้งเมื่อ ๑๐ มิถุนายน<br />
๒๕๕๘ โดยดำเนินกิจกรรมด้วยการพบปะ เพื่อ<br />
ประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลและทหารใน<br />
ห้วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งการให้บริการต่างๆ<br />
เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ การ<br />
บริการในการซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า<br />
และการให้บริการทางการแพทย์ พร้อมทั้ง<br />
แจกจ่ายยาสามัญประจำบ้าน มีประชาชนเข้า<br />
ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ผลการดำเนิน<br />
การบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้เป็น<br />
อย่างดี<br />
17
๒๕ ปี วันคล้ายวันสถาปนา สานักโยธาธิการ<br />
สานักงานสนับสนุน สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
สำนักโยธาธิการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ประวัติความเป็นมา<br />
สำนักโยธาธิการ สำนักงานสนับสนุน<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (สยธ.สสน.สป.)<br />
แปรสภาพมาจาก สำนักโยธาธิการกลาโหม<br />
(สยธ.กห.) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม<br />
๒๕๓๓ ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่<br />
๑๒๒/๓๓ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๓ โดย<br />
พลเอก วันชัย เรืองตระกูล ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ในขณะนั้น เนื่องจากได้เล็งเห็นถึง<br />
ความจำเป็น ในการรวบรวมหน่วยงานด้าน<br />
โยธาธิการเข้าด้วยกัน เพื่อความเป็นเอกภาพ<br />
ในการบังคับบัญชาตามหลักนิยมของหน่วย<br />
และต่อมาได้แปรสภาพให้เป็นหน่วยขึ้นตรง<br />
ของสำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ในนามของสำนักโยธาธิการ<br />
สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๒ เป็นต้นมา<br />
ตามอนุมัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ เรื่อง ขออนุมัติ<br />
ปรับปรุงแก้ไขอัตราเฉพาะกิจ สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อจัดตั้งสำนักงาน<br />
สนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ปัจจุบันมี พลตรี ร่มเกล้า ปั้นดี ผู้อำนวยการ<br />
สำนักโยธาธิการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้บังคับบัญชา<br />
การจัดหน่วย ประกอบด้วย สำนักงานผู้<br />
บังคับบัญชา กองแบบแผนและสำรวจ กองก่อ<br />
สร้างและสาธารณูปโภค และกองอสังหา<br />
ริมทรัพย์<br />
ผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา<br />
๑. การดำเนินงานตามพันธกิจ ๔ ประการ<br />
ของหน่วย<br />
๑.๑ ดำเนินการวางแผน จัดทำโครงการ<br />
สำรวจ ออกแบบ ประมาณการ งานก่อสร้าง<br />
ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตาม<br />
แผนงานประจำปี ตามนโยบายสั่งการของ<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม และตามที่หน่วยขึ้น<br />
ตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร้องขอ<br />
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการปรับปรุง รายการ<br />
มาตรฐานประกอบแบบก่อสร้าง ของสำนัก<br />
โยธาธิการ สำนักงานสนับสนับสนุน สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๔ (ม.สยธ.<br />
๒๕๕๔) เพื่อยกระดับมาตรฐานงานก่อสร้าง<br />
และให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยี<br />
ใหม่ๆ<br />
๑.๒ ดำเนินการควบคุม และกำกับดูแล<br />
งานก่อสร้างของ สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ตามแผนงานและได้จัดทำโครงการ<br />
ฝึกอบรมผู้ควบคุมงานก่อสร้างประจำปี ๒๕๕๘<br />
เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับผู้ควบคุมงาน<br />
ทหารและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน<br />
ด้วยการจัดตั้งหน่วยขึ้นตามลักษณะการจัด<br />
ตามแบบพันธกิจ โดยสนธิกำลังจากกำลังพล<br />
สำนักนโยบายและแผนกลาโหม และกรม<br />
เสมียนตรา ที่ปฏิบัติงานด้านโยธาธิการ<br />
อยู่เดิมมารวมอยู่ในสังกัดหน่วยใหม่ ซึ่งมี<br />
สถานที่ตั้งสำนักงานอยู่ที่ถนนประชาชื่น<br />
แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร<br />
18<br />
สำนักโยธาธิการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ตลอดจนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์<br />
ในการทำงาน<br />
๑.๓ ดำเนินการให้บริการด้านระบบ<br />
สาธารณูปโภคให้กับสำนักงาน และบ้านพัก<br />
อาศัยของกำลังพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจัดให้<br />
มีหน่วยซ่อมเคลื ่อนที่ เพื่อให้บริการในเรื่อง<br />
ดังกล่าว<br />
๑.๔ ดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินของ<br />
กระทรวงกลาโหม และอสังหาริมทรัพย์ของ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยได้มุ่ง<br />
เน้นให้ความสำคัญกับ การป้องกัน และแก้ไข<br />
ปัญหาการบุกรุกที่ดินในครอบครองดูแล<br />
และใช้ประโยชน์ของหน่วยงานทหารโดยนำ<br />
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงและคณะทำงานตรวจ<br />
เยี่ยมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
๒. การดำเนินงานอื่นๆ นอกเหนือจากพันธกิจ<br />
ของหน่วย<br />
๒.๑ ดำเนินการสนับสนุน การจัดกิจกรรม<br />
ต่างๆ ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
และหน่วยขึ้นตรงตามที่ได้รับการร้องขอ<br />
๒.๒ ดำเนินการจัดทำโครงการจำหน่าย<br />
สินค้าราคาประหยัดบริการกำลังพลและ<br />
ครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไป ณ<br />
บริเวณพื้นที่ตั้งหน่วย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย<br />
ในครอบครัว<br />
๒.๓ ดำเนินการจัดสวัสดิการกำลังพล<br />
โดยการแจกจ่ายเครื่องอุปโภค บริโภค และ<br />
จัดเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย<br />
ในครอบครัว<br />
๒.๔ จัดอบรมการจัดทำบัญชีครัวเรือน<br />
ให้กับกำลังพลเพื่อให้กำลังพลเรียนรู้วิธีการ<br />
บริหารค่าใช้จ่ายในครัวเรือน<br />
๒.๕ กวดขันวินัยกำลังพลโดยเฉพาะ<br />
อย่างยิ่งการแต่งกายและการแสดงความ<br />
เคารพ<br />
ในโอกาสครบรอบปีที่ ๒๕ ของการก่อ<br />
ตั้งหน่วย สำนักโยธาธิการ สำนักงานสนับสนุน<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จะยังคง<br />
มุ่งมั่นดำเนินงานให้อาคารและสิ่งปลูกสร้าง<br />
ในความรับผิดชอบ ได้รับการสำรวจและ<br />
ออกแบบให้เป็นไปตามมาตรฐาน ตามหลัก<br />
วิศวกรรมและมีความทันสมัย การก่อสร้าง<br />
ได้รับการควบคุมและกำกับดูแล ให้เป็นไปตาม<br />
แบบรูปรายการ อาคารและสิ่งปลูกสร้าง ได้<br />
รับการขึ้นทะเบียนประวัติอาคารอย่างถูกต้อง<br />
ที่ดินได้รับการดูแลและใช้ประโยชน์สูงสุด<br />
ปราศจากการบุกรุกตลอดจน นโยบายสั่งการ<br />
ของผู้บังคับบัญชาและกิจกรรมต่างๆ ของ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับการ<br />
ตอบสนองอย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์<br />
กำลังพลและครอบครัวของหน่วยมีความสุข<br />
พร้อมที่จะปฏิบัติงาน<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
19
การประชุม IISS Shangri-La Dialogue ครั้งที่ ๑๔<br />
ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ของรองนายกรัฐมนตรี<br />
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
สำนักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก<br />
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
พร้อมคณะ เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม<br />
IISS Shangri - La Dialogue ครั้งที่ ๑๔<br />
ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ ๒๙<br />
- ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เพื่อกระชับ<br />
ความสัมพันธ์ และเสริมสร้างความร่วมมือ<br />
ระหว่างไทยกับมิตรประเทศในภูมิภาคเอเชีย<br />
- แปซิฟิก ซึ่งผลการเดินทางเป็นไปด้วยความ<br />
เรียบร้อย เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความ<br />
ร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ<br />
ต่อไปในอนาคต<br />
การประชุม IISS Shangri - La Dialogue<br />
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือระดับสูง<br />
เกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคง และเพื่อ<br />
เปิดโอกาสให้ผู้แทนระดับรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม ของประเทศในภูมิภาค<br />
เอเชีย - แปซิฟิก ได้แถลงนโยบายและวิสัยทัศน์<br />
เกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคงต่างๆ โดยมี<br />
ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ประกอบด้วย บุคคล<br />
สำคัญระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหาร<br />
สูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ของประเทศ<br />
ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมประมาณ ๓๐<br />
ประเทศ รวมทั้งผู้แทนจากองค์กรระหว่าง<br />
ประเทศ สถาบันทางวิชาการ และสื่อมวลชน<br />
ต่างประเทศ<br />
การเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมฯ<br />
ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ณ สาธารณรัฐ<br />
สิงคโปร์ในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี<br />
โดยได้รับทราบแนวความคิดด้านความมั่นคง<br />
ของโลกและภูมิภาค ของบุคคลสำคัญจาก<br />
หลายประเทศ รวมทั้งได้มีการหารือเพื่อ<br />
กระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศ ตลอดจน<br />
ได้ใช้โอกาสชี้แจงทำความเข้าใจการดำเนิน<br />
งานของรัฐบาลให้ต่างประเทศทราบในโอกาส<br />
เดียวกัน<br />
รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุม IISS Shangri-La Dialogue ครั้งที่ ๑๔<br />
นาย Ashton Carter รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา กล่าว<br />
ปาฐกถาในหัวข้อ “บทบาทของสหรัฐฯ<br />
และความท้าทายต่อความมั่นคงใน<br />
ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก”<br />
20<br />
สำนักนโยบายและแผนกลาโหม
การหารือทวิภาคีระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม กับนาย Teo Chee Hean รองนายกรัฐมนตรี<br />
สาธารณรัฐสิงคโปร์<br />
การหารือทวิภาคีระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม กับนาย Ng Eng Hen รองนายกรัฐมนตรี<br />
สาธารณรัฐสิงคโปร์<br />
การหารือทวิภาคีระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมกับพลเอก Han Minkoo รัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี<br />
การหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมกับนาย Ruwan Wijewardene รัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย<br />
ศรีลังกา<br />
การหารือทวิภาคีระหว่างปลัดกระทรวงกลาโหมกับ นาย David Shear<br />
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
การหารือทวิภาคีระหว่างปลัดกระทรวงกลาโหมกับ นาย Chan<br />
Yeng Kit ปลัดกระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐสิงคโปร์<br />
21
เจาะลึกกลุ่มไอเอส<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ<br />
อาบู ไซยาฟ (Abu<br />
Sayyaf) เสนาธิการฝ่ายยุทธการ<br />
ข่าวการสังหาร<br />
และรัฐมนตรีฝ่ายพลังงาน ผู้ซึ่ง<br />
รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับกิจการน้ำมันตลอดจน<br />
ธุรกรรมการเงินข้ามโลกของกองกำลังกลุ่ม<br />
ไอเอส เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ค.ศ.๒๐๑๕<br />
โดยหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯ ในดินแดน<br />
ของซีเรีย ตลอดจนข่าวการที ่กลุ่มดังกล่าว<br />
สามารถยึดเมือง "รามาดี" เมืองหลวงของ<br />
จังหวัด "อันบาร์" ซึ่งอยู่ห่างจากนครแบกแดด<br />
ของอิรักเพียง ๑๑๐ กิโลเมตรในห้วงเวลา<br />
เดียวกัน นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ<br />
อีกครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มไอเอส และส่งผล<br />
ให้โลกต้องหันกลับมามองกลุ่มดังกล่าวด้วย<br />
ความสนใจอีกครั ้งหนึ่ง แต่คราวนี้ประเด็นที่มี<br />
การพูดถึงกลุ่มไอเอส กลับมิใช่การก่อกำเนิด<br />
หรือความสลับซับซ้อนขององค์กร หากแต่เป็น<br />
ปัจจัยความสำเร็จของกลุ่มไอเอสที่มีขึ้นอย่าง<br />
ต่อเนื่อง รวมไปถึงยุทธวิธีที่ใช้ในการสู้รบอย่าง<br />
มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จเป็น<br />
อย่างมากในห้วงเวลาที่ผ่านมา<br />
ปัจจุบัน "กลุ่มไอเอส" (IS : Islamic<br />
State) ได้รับการยอมรับว่ามิได้เป็นเพียงกลุ่ม<br />
ก่อการร้ายเท่านั้น หากแต่ยังเป็นกองกำลัง<br />
ทางทหารที่มีความแข็งแกร่ง มีระเบียบวินัย<br />
มีระบบการบังคับบัญชาแบบรวมศูนย์ แม้ดู<br />
เหมือนว่าแต่ละหน่วยย่อยของกลุ่มไอเอสจะ<br />
ปฏิบัติการเป็นเอกเทศต่อกัน แต่ที่จริงแล้ว<br />
ทุกหน่วยล้วนขึ้นตรงและรับคำสั่งจากกอง<br />
บัญชาการและผู้นำของตน สำหรับจำนวน<br />
สมาชิกของกลุ่มนั้น มีตัวเลขประมาณการ<br />
ที่หลากหลาย เช่น องค์กรข่าวกรองกลาง<br />
ของสหรัฐฯ หรือ "ซีไอเอ" ประเมินว่ามีนักรบ<br />
ไอเอสประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน ในขณะที่พวก<br />
เคิร์ดประมาณว่ามีจำนวนถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน<br />
นักรบเหล่านี้ประกอบด้วยชาวอิรัก ซีเรีย<br />
ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน และนักรบต่าง<br />
ชาติอื่นๆ ปัจจุบันคาดว่ามีนักรบต่างชาติกว่า<br />
๒๐,๐๐๐ คนสังกัดอยู่กับกลุ่มไอเอส ในจำนวน<br />
นี้ประมาณ ๓,๔๐๐ คนเป็นชาวตะวันตก<br />
และอีกอย่างน้อย ๑๕๐ คนเดินทางมาจาก<br />
สหรัฐฯ<br />
นักรบต่างชาติที่เข้าร่วมกับกลุ่มไอ<br />
เอสนั้น ที่น่าจับตามองคือนักรบเชชเนีย<br />
(Chechnya) จากสาธารณรัฐเชเชน คนเหล่านี้<br />
ล้วนมีประสบการณ์ในการสู้รบกับกองทัพ<br />
รัสเซียมาอย่างโชกโชน ปัจจุบันคาดว่ามีนักรบ<br />
มุสลิมจากเชชเนียจำนวน ๘๐๐ ถึง ๑,๕๐๐ คน<br />
เข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส นอกจากนี้ยังมีนักรบ<br />
ไอเอสจากเยอรมันที่เป็นกำลังหลักสำคัญของ<br />
กลุ่ม รายงานข่าวบางกระแสข่าวพบว่า นักรบไอ<br />
เอสจากเยอรมันนั้นส่วนใหญ่เป็นนักรบในระดับ<br />
หัวกะทิ และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น<br />
ผู้บังคับหน่วยในระดับต่างๆ ของกลุ่มไอเอส<br />
ส่วนฝรั่งเศสก็เช่นกันมีประชาชนเข้า<br />
ร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์กับกลุ่มไอเอสเป็น<br />
จำนวนมาก แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ มีอดีต<br />
ทหารผ่านศึกของฝรั่งเศสจำนวนอย่างน้อย<br />
๑๐ นาย ได้เดินทางเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส<br />
และทหารเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนักรบที่มีฝีมือ<br />
ชั้นยอด ผ่านการฝึกฝนทางด้านยุทธวิธีการ<br />
รบมาเป็นอย่างดี จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่<br />
ทหารผ่านศึกฝรั่งเศสเหล่านี้ จะเป็นผู้ถ่ายทอด<br />
22 พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
ยุทธวิธีการรบของโลกตะวันตกให้กับกลุ่ม<br />
ไอเอส เช่นเดียวกับนักรบไอเอสจากเยอรมัน<br />
ในขณะเดียวกันรัฐบาลอังกฤษก็ยืนยันว่ามี<br />
ประชากรอังกฤษไม่น้อยกว่า ๖๐๐ คน<br />
เดินทางเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส ในขณะที่ข้อมูล<br />
บางแหล่งพบว่ามีประชากรอังกฤษเข้าร่วมกับ<br />
กลุ่มดังกล่าวไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ คน ที่สำคัญใน<br />
จำนวนนี้มีทหารผ่านศึกของอังกฤษเข้าร่วม<br />
ปฏิบัติการด้วย การที่มีทหารผ่านศึกจากยุโรป<br />
เข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส ทำให้ยุทธวิธีการรบ<br />
ในพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง (Urban Warfare) โดย<br />
เฉพาะการเข้าตรวจค้นอาคาร มีลักษณะการ<br />
ปฏิบัติการคล้ายคลึงกับยุทธวิธีที่ทหารสหรัฐฯ<br />
และโลกตะวันตกใช้ในอิรักและอัฟกานิสถาน<br />
เลยทีเดียว<br />
ทางด้านสายการบังคับบัญชาของกลุ่ม<br />
ไอเอสนั้น มีการยึดมั่นในระบบการบังคับบัญชา<br />
อย่างเคร่งครัด โดยมีผู้นำสูงสุดคือ อิบบราฮิม<br />
อาว์วาด อิบบราฮิม อาลี อัล-บาดรี อัล-ซามา<br />
ราย (Ibrahim Awwad Ibrahim Ali al-Badri<br />
al-Samarai) หรือที่มีนามเรียกขานอันลือชื ่อ<br />
ว่า อาบู บัคคาร์ อัล-แบกฮ์ดาดี (Abu Bakr<br />
al-Baghdadi) ผู้ตั้งตนเป็น "กาหลิบ" (caliph)<br />
ของกลุ่มไอเอสนั่นเอง แบกฮ์ดาดีได้แต่งตั้ง<br />
รองหัวหน้ากลุ่มของเขาขึ้นมาอีก ๑ คนคือ อาบู<br />
อัลลา อัล-อาฟรี (Abu Alaa al-Afri) เพื่อช่วย<br />
การบริหารงานในอิรัก ก่อนที่ทางการอิรักจะ<br />
อ้างว่า อัล-อาฟรี ได้เสียชีวิตจากการโจมตีทาง<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
อากาศของกองทัพอิรัก บริเวณตะวันตกของ<br />
เมืองโมซุลเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.๒๐๑๕<br />
ที่ผ่านมา<br />
นอกจากนี้แบกฮ์ดาดียังมีรองหัวหน้าอีก<br />
๒ คนคือ ฟาเดล อาหะหมัด อับดุลลาฮ์ อัล-ฮี<br />
ยาลี (Fadel Ahmad Abdullah al-Hiyali)<br />
ใช้นามเรียกขานว่า อาบู มุสลิม อัล-เติร์คมานี<br />
(Abu Muslim al-Turkmani) เป็นรองหัวหน้า<br />
กลุ่มที่รับผิดชอบพื้นที่การรบในอิรักทั้งหมด<br />
โดยแบ่งพื้นที่การบังคับบัญชาออกเป็น ๑๒<br />
เขต สำหรับรองหัวหน้ากลุ่มอีกคนคือ อาบู<br />
อาลี อัล-อันบารี (Abu Ali al-Anbari) เป็นรอง<br />
หัวหน้ากลุ่มไอเอส ผู้รับผิดชอบพื้นที่ในดินแดน<br />
ประเทศซีเรียทั้งหมด โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบ<br />
ของตนออกเป็น ๑๒ เขตเท่ากับประเทศอิรัก<br />
สายการบังคับบัญชารองลงมาคือ กลุ่ม<br />
รัฐมนตรีจำนวน ๗ คนที่ขึ้นตรงต่อแบกฮ์ดาดี<br />
เช่น อาคา อาบู โมฮัมเหม็ด (Aka abu<br />
mohamed) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบใน<br />
ส่วนควบคุมนักโทษ ส่วนด้านการรบนั้นมี<br />
บุคคลสำคัญ เช่น ด้านปฏิบัติการโจมตีด้วย<br />
ระเบิดแสวงเครื่องและระเบิดพลีชีพนั้นมี<br />
ไครี อาเบด มาหะหมูด อัล-ทาเอ (Khairy<br />
abed mahmoud al-taey) หรือที ่นามเรียก<br />
ขานว่า อาบู ซูจา (Abu Suja) เป็นผู้รับผิดชอบ<br />
และมีอัดนัน อิสมาลี นาเจม บีลาวี (Adnan<br />
Ismali Najem Bilawi) ซึ่งมีนามเรียกขาน<br />
ว่า อาบู อับดุล ราฮ์มาน อัล-อาบีลาวี (Abu<br />
Abdul Rahman al-abilawi) เป็นผู้บัญชาการ<br />
ทหารสูงสุดของกลุ่มไอเอสในอิรัก บุคคลนี้เดิม<br />
เป็นนายทหารยศร้อยเอก สังกัดกองทัพอิรักใน<br />
สมัยอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน แต่เขา<br />
ต้องเสียชีวิตจากการรบที่เมืองโมซุล (Mosul)<br />
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ค.ศ.๒๐๑๔ ทำให้กลุ่ม<br />
ไอเอสได้ประกาศการโจมตีเมืองโมซุลอีกครั้ง<br />
ภายใต้ชื่อรหัส "การแก้แค้นให้บีลาวี" (Bilawi<br />
Vengeance) อีก ๕ วันต่อมาคือในวันที่ ๑๐<br />
มิถุนายน เป็นการสู้รบระหว่างกลุ่มไอเอส<br />
จำนวน ๓,๐๐๐ คนกับกองทัพอิรักจำนวนกว่า<br />
๓๐,๐๐๐ คน แต่กองทัพอิรักก็ต้องประสบกับ<br />
ความพ่ายแพ้ เนื่องจากมีขวัญและกำลังใจที่<br />
ตกต่ำ อีกทั้งยังด้อยประสบการณ์อย่างมาก<br />
ถึงแม้ผู้นำกลุ่มไอเอสจะมีรองและ<br />
คณะรัฐมนตรีจำนวน ๗ คน แต่เขายังคง<br />
สั่งการและบังคับบัญชาแบบรวมศูนย์ ด้วยการ<br />
สั่งการตรงไปยังผู้ว่าการเขตทั้ง ๑๒ เขตในอิรัก<br />
และ ๑๒ เขตในซีเรีย เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า<br />
คำสั่งของเขาจะได้รับการปฏิบัติตามอย่าง<br />
เคร่งครัด บรรดาผู้ว่าการเขตทั้ง ๒๔ เขตนี้<br />
แบกฮ์ดาดีจะมอบอำนาจในด้านการเงิน<br />
การบริหารจัดการและการปฏิบัติการรบด้วย<br />
ตนเอง แต่ต้องรายงานการปฏิบัติทุกอย่างให้<br />
กับตน ภายใต้ผู้ว่าการเขตเหล่านี้ยังมีคณะ<br />
กรรมการอีก ๘ คนขึ้นการบังคับบัญชาอยู่กับ<br />
ผู้ว่าการ โดยคณะกรรมการแต่ละคนประกอบ<br />
ด้วย คณะกรรมการด้านการเงิน ด้านผู้นำ ด้าน<br />
การทหาร ด้านกฎหมาย ด้านการสนับสนุน<br />
ด้านการรักษาความปลอดภัย ด้านการข่าวและ<br />
ประชาสัมพันธ์<br />
ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ของกลุ่มไอเอสนั้น<br />
ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาวุธที่มีศักยภาพสูง<br />
มาก ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งยึดมาได้จาก<br />
คลังอาวุธของกองทัพอิรักและซีเรีย อีกส่วน<br />
หนึ่งมาจากตลาดค้าอาวุธผิดกฎหมายที่กลุ่ม<br />
ไอเอสสามารถหาซื้อได้โดยง่าย อันเนื่องมา<br />
จากอำนาจเงินจำนวนมหาศาล ปัจจุบันโลก<br />
ตะวันตกคาดว่ากลุ่มไอเอสมีรถถังราว ๓๐๐<br />
คันในจำนวนนี้ประมาณ ๑๕๐ คันเป็นรถถัง<br />
แบบ เอ็ม-๑ อับบรามส์อันทรงประสิทธิภาพ<br />
ที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมอบให้กับอิรัก และมีรถ<br />
23
ฮัมวี่ (HMMWV : Humvee) และรถยนต์<br />
บรรทุกทหารจำนวน ๓,๐๐๐ ถึง ๔,๐๐๐ คัน<br />
มีปืนใหญ่ประมาณ ๑,๐๐๐ ถึง ๑,๕๐๐ กระบอก<br />
ในจำนวนนี้มีปืนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาขนาด<br />
๑๕๕ มิลลิเมตร ซึ่งมีระยะยิงไกลถึง ๒๒<br />
กิโลเมตรรวมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้<br />
กลุ่มไอเอสยังมีระบบจรวดนำวิถีต่อสู้รถถัง<br />
และระบบการสื่อสารที่ดีเยี่ยม ล่าสุดพบว่ากลุ่ม<br />
ไอเอสมีจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า<br />
ชนิด "สเตรล่า-๓” (Strela-3) ซึ่งมีระยะยิงไกล<br />
๔ กิโลเมตร, จรวด "อิกล่า" (Igla) , “สติงเกอร์”<br />
(Stinger) และ "คอบร้า" (Cobra)<br />
อีกจำนวนหนึ่ง ด้วยจรวดต่อสู้อากาศยาน<br />
อันทรงอานุภาพเหล่านี้เอง ทำให้กลุ่มไอเอส<br />
สามารถเด็ดปีกอากาศยานของกองทัพอิรัก<br />
ซีเรียและชาติพันธมิตรได้สำเร็จเป็นจำนวน<br />
หลายครั้ง<br />
กลุ่มไอเอสยังมีอาวุธเคมีในความครอบ<br />
ครอง โดยยึดมาจากคลังอาวุธของกองทัพอิรัก<br />
ในเมือง "มูธานนา” (muthanna) เมื่อเดือน<br />
มิถุนายน ค.ศ.๒๐๑๔ รวมทั้งยึดบางส่วนมา<br />
จากคลังอาวุธของซีเรีย และมีการใช้อาวุธ<br />
เคมีดังกล่าวอย่างน้อย ๒ ครั้ง ครั้งแรกใช้ใน<br />
การต่อสู้กับกลุ่มเคิร์ดในประเทศซีเรีย ที่เมือง<br />
“อาฟดิโก” (avdiko) ซึ่งอยู่ทางตะวันออก<br />
ของเมือง “โคบานี” (kobane) เมื่อวันที่ ๑๒<br />
กรกฎาคม ค.ศ.๒๐๑๔ ส่วนการโจมตีด้วยอาวุธ<br />
เคมีอีกครั้งหนึ่งเป็นการต่อสู้กับทหารอิรักที่<br />
เมือง “ซัคลาวิยา” (Saqlawiya) ในจังหวัด<br />
“อันบาร์” (Anbar) เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.<br />
๒๐๑๔ การโจมตีทั้งสองครั้งดังกล่าว กลุ่มไอเอส<br />
ใช้แก๊สมัสตาร์ดและคลอรีนในการโจมตี<br />
ปัจจุบันเชื่อว่าคลังเก็บอาวุธเคมีของกลุ่มไอเอส<br />
24<br />
ตั้งอยู่ที ่เมือง “รัคคา” (raqqa) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น<br />
เมืองหลวงของกลุ่มไอเอสในประเทศซีเรีย<br />
นอกจากนี้กลุ่มไอเอสยังสามารถยึด<br />
เครื่องบินขับไล่แบบ “มิค-๒๑” (MIG-21)<br />
จำนวน ๓ ลำจากกองทัพซีเรีย แม้ว่าจะยัง<br />
ไม่เคยใช้เครื่องบินเหล่านี้เข้าการรบ เพราะ<br />
กลุ่มไอเอสตระหนักดีว่ามันอาจจะตกเป็นเป้า<br />
หมายของเครื่องบินสหรัฐฯ ได้อย่างง่ายดาย<br />
แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นสิ่งบอกเหตุว่ากลุ่มไอเอส<br />
มีเครื่องบินรบประจำการอยู่และใช้ในการฝึก<br />
นักบินของตน โดยมีครูฝึกจากกองทัพอิรัก<br />
สมัยอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนเป็น<br />
ผู้ฝึกสอน<br />
เป้าหมายหลักในการโจมตีของกลุ่ม<br />
ไอเอสส่วนใหญ่จะเป็น ถนนสายหลัก เช่น ไฮเวย์<br />
เชื่อมต่อระหว่างเมือง บ่อน้ำมัน เขื่อนและ<br />
โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้งนี้เพราะกลุ่มไอเอส<br />
ตระหนักดีว่า ตนเองไม่มีกำลังเพียงพอที่จะยึด<br />
ครองพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ พวกเขาจึงทำการยึด<br />
สิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐานหรือจุดยุทธศาสตร์<br />
ที่สำคัญ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและสร้างพลัง<br />
อำนาจด้านการเงินให้กับเขาได้<br />
สำหรับยุทธวิธีการรบของกลุ่มไอเอสนั้น<br />
จะเป็นการประสานกันของ "การรบตามแบบ"<br />
(Conventional Warfare) กับ "การก่อการร้าย"<br />
และ "การรบนอกแบบ" ด้วยการใช้ระเบิดแสวง<br />
เครื่องและระเบิดพลีชีพ ซึ่งกลุ่มไอเอสมักจะ<br />
โจมตีแนวหน้า จุดตรวจและกองบัญชาการ<br />
ของข้าศึกด้วยระเบิดพลีชีพ โดยการเข้าโจมตี<br />
พื้นที่แต่ละแห่ง กลุ่มไอเอสจะมอบอำนาจ<br />
เต็มให้กับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่เป็นผู้ตัดสิน<br />
ใจว่า จะใช้ยุทธวิธีใดในการเข้าโจมตี พวกเขา<br />
จะแบ่งกำลังออกเป็นกลุ่มย่อย แม้จะมีการ<br />
จัดกำลังในระดับกองพันหรือกองร้อยตาม<br />
แบบตะวันตกก็ตาม การโจมตีจะเต็มไปด้วย<br />
ความรุนแรง รวดเร็วและคาดไม่ถึง (surprise<br />
attack) นักรบกลุ่มไอเอสจะมีความเชี่ยวชาญ<br />
ในการรบในเมืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการ<br />
เข้า "เคลียร์" หรือกวาดล้างข้าศึกในพื้นที่สิ่ง<br />
ปลูกสร้าง หรือในอาคาร และจากถนนหนึ่ง<br />
สู่อีกถนนหนึ่ง พวกเขาส่วนใหญ่จะแต่งกาย<br />
ด้วยชุดสีดำหรือสีเทาแบบอาหรับที่รัดกุม<br />
น่าเกรงขาม ใช้อาวุธประจำกายที่หลากหลาย<br />
ทั้งปืนเล็กยาวอัตโนมัติแบบ เอ็ม-๑๖ และ<br />
เอ็ม-๔ ที่ยึดได้จากคลังอาวุธของกองทัพอิรัก<br />
ทางตอนเหนือ ตลอดจนปืนเล็กยาวอัตโนมัติ<br />
ยอดนิยมในตะวันออกกลางคือ เอเค-๔๗ และ<br />
"ดรากูนอฟ เอสวีดี" (Dragunov SVD) ทั้ง<br />
ที่ผลิตในจีนและอดีตสหภาพโซเวียต นักรบ<br />
ไอเอสยังมีอุปกรณ์ทางทหารรอบกายครบครัน<br />
ไม่ต่างจากทหารโลกตะวันตก และส่วนมากไม่<br />
สวมหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ แต่จะโพกศีรษะ<br />
หรือสวมผ้าคลุมสีดำแทน<br />
ก่อนการเปิดฉากโจมตี นักรบไอเอสจะ<br />
แทรกซึมเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย โดยเข้าไปปะปน<br />
อยู่กับฝูงชน ในระหว่างนี ้พวกเขาจะหลีกเลี่ยง<br />
การใช้โทรศัพท์มือถือหรือวิทยุสื่อสาร เพื่อ<br />
ป้องกันการสังเกตเห็นจากบุคคลทั่วไปและ<br />
เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้าศึก จนเมื่อการโจมตีจากภายนอก<br />
เปิดฉากขึ้น กลุ่มไอเอสภายในเมืองจะทำการ<br />
จู่โจมจุดตรวจต่างๆ พร้อมกับชักธงสีดำ ซึ่งเป็น<br />
สัญลักษณ์ของกลุ่มไปทั่วพื้นที่ เพื่อสร้างความ<br />
สับสนให้กับข้าศึกว่ากลุ่มไอเอสอยู่ที่ไหนบ้าง<br />
การเคลื่อนที่ของกลุ่มไอเอสดังกล่าวจะเต็มไป<br />
ด้วยความรวดเร็ว เพราะเป็นการผสมผสานทั้ง<br />
การใช้รถยนต์บรรทุกขนาดเล็กติดปืนกลหนัก<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
และรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งมีความคล่องตัวสูงใน<br />
การเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง อีกทั้ง<br />
ในระหว่างการโจมตี พวกเขาจะเผายางรถยนต์<br />
หรือน้ำมันเพื่อก่อให้เกิดควันดำ จนเครื่องบิน<br />
ของฝ่ายพันธมิตรหรือฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถ<br />
เข้าโจมตีสนับสนุนฝ่ายตนเองได้<br />
การโจมตีทั้งจากภายนอกและภายใน<br />
พร้อมๆ กัน จะมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดจำนวน<br />
ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะ<br />
การโจมตีจากภายใน ทั้งการลอบวางระเบิด<br />
แสวงเครื่องตามเส้นทางและจุดตรวจ การใช้<br />
มือระเบิดพลีชีพเข้าโจมตีที่ตั้งหน่วยของข้าศึก<br />
หากยังไม่สามารถยึดที่หมายได้ กลุ่มไอเอสจะ<br />
รีบถอนกำลังอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาชีวิตกำลังพล<br />
ที่มีอย่างจำกัดของฝ่ายตน จากนั้นก็จะสร้าง<br />
อาณาจักรแห่งความหวาดกลัวขึ้นด้วยการ<br />
สังหารเชลยศึกด้วยวิธีการต่างๆ ที่โหดร้าย<br />
ทารุณ และทำการเผยแพร่ภาพความโหดร้าย<br />
เหล่านั้นผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อทำลายขวัญของ<br />
ข้าศึกและประชาชนที่ยังคงอยู่ในที่มั่น<br />
เมื่อข้าศึกและประชาชนที่อยู่ในพื้นที่<br />
เป้าหมาย รับทราบข่าวสารความเหี้ยมโหด<br />
ของกลุ่มไอเอสผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ต่างก็พา<br />
กันละทิ้งบ้านเรือนและที่มั่น ส่วนทหารและ<br />
ตำรวจฝ่ายตรงข้ามก็ขาดขวัญกำลังใจในการ<br />
สู้รบ ส่งผลให้แนวตั้งรับของข้าศึกเกิดความ<br />
อ่อนแอ ในที่สุดกลุ่มไอเอสก็จะเข้าตีอย่าง<br />
รุนแรงอีกครั้งด้วยกำลังในระดับกองพันหรือ<br />
มากกว่านั้น จนสามารถยึดที่หมายได้<br />
เมื่อเข้ายึดที่หมายได้ กลุ่มไอเอสก็<br />
จะทำการตรวจสอบประชาชนในดินแดน<br />
ยึดครอง เพื่อให้ที่มั่นของตนมีลักษณะ<br />
"ปลอดเชื้อ" (sterile) และเป็นสังคมในอุดมคติ<br />
ตามหลักศาสนาบริสุทธิ์ บุคคลที่มีแนวคิดไม่<br />
ตรงกับแนวคิดของกลุ่มจะถูกทำลายลงทันที<br />
เช่น ข้าราชการและกลุ่มที่สนับสนุนฝ่ายรัฐบาล<br />
พวกรักร่วมเพศ พวกต่างศาสนา พวกโจรขโมย<br />
จะถูกสังหารด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การยิงเป้า<br />
การประชาทัณฑ์ด้วยการรุมขว้างก้อนหินใส่<br />
ส่วนพวกรักร่วมเพศจะถูกสังหารด้วยการโยน<br />
ลงมาจากตึกสูง เป็นต้น<br />
ตัวอย่างความสำเร็จในการโจมตีเป้า<br />
หมายครั้งล่าสุดของกลุ่มไอเอสคือ การโจมตี<br />
ศาลาว่าการของเมือง "รามาดี" (Ramadi)<br />
เมืองหลวงของจังหวัด "อันบาร์" (Anbar) ของ<br />
อิรัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานผู้ว่าราชการ<br />
จังหวัดอันบาร์ กองบัญชาการตำรวจ และ<br />
สำนักงานข่าวกรองของรัฐบาลอิรักเมื่อวันที่<br />
๑๕ พฤษภาคม ค.ศ.๒๐๑๕ ที่ผ่านมา โดยใช้<br />
รถยนต์บรรทุกระเบิดพร้อมมือระเบิดพลีชีพ<br />
จำนวน ๖ คัน นำโดยนักรบไอเอสจากอังกฤษ<br />
ที่ใช้นามเรียกขานว่า อาบู มูซา บริตานี (Abu<br />
Muza Britani) เข้าโจมตีพร้อมกัน จนศาลา<br />
ว่าการดังกล่าวแทบจะแหลกเป็นจุลในพริบตา<br />
ก่อนที่นักรบไอเอสจะหลั่งไหลพรั่งพรูจาก<br />
ภายนอกเข้าสู่ตัวเมืองรามาดี โดยการใช้รถ<br />
แทรกเตอร์หุ้มเกราะแล่นนำหน้า เข้ารื้อถอน<br />
แนวรั้วคอนกรีตขนาดใหญ่ที่ฝ่ายรัฐบาลตั้ง<br />
ขวางเส้นทางเข้าสู่เมือง และเข้ายึดพื้นที่ต่างๆ<br />
ได้พร้อมกับชักธงสีดำของกลุ่มเพื่อประกาศ<br />
ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่เหนือกองทัพอิรักในปีนี้ การ<br />
สูญเสียเมืองรามาดี ทำให้พื้นที่จังหวัดอันบาร์<br />
ซึ่งเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและอยู่<br />
ห่างจากกรุงแบกแดดเพียง ๑๑๐ กิโลเมตร<br />
ตกอยู่ในความครอบครองกลุ่มไอเอสอย่าง<br />
สิ้นเชิง จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่าสหรัฐฯ ตลอดจน<br />
ชาติพันธมิตรจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ในการ<br />
สนับสนุนกองทัพอิรักให้ยืดเมืองดังกล่าวกลับ<br />
คืนมาให้ได้<br />
ปัจจุบันดินแดนที่กลุ่มไอเอสสามารถ<br />
ครอบครองได้ในซีเรียและอิรัก มีขนาดใหญ่<br />
เทียบเท่ากับพื้นที่ของสหราชอาณาจักร หรือ<br />
มีขนาดใหญ่กว่าประเทศเลบานอนทั้งประเทศ<br />
เลยทีเดียว สิ่งที่ยืนยันถึงความแข็งแกร่ง<br />
ของกองทัพกลุ่มไอเอส คือการสู้รบต่อกร<br />
กับกองทัพซีเรีย ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็น<br />
กองทัพที่มีความแข็งแกร่งกว่ากองทัพอิรักมาก<br />
เพราะมีประสบการณ์ในการรบมายาวนาน<br />
อีกทั้งมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีเยี่ยม แต่ในที่สุด<br />
กองทัพซีเรียก็ต้องประสบกับความสูญเสีย<br />
อย่างหนักเมื่อต้องเผชิญกับนักรบกลุ่มไอเอส<br />
สำหรับความกังวลในเวลานี้คือกลุ่มไอเอสกำลัง<br />
อาศัยความเพลี่ยงพล ้ำของกองทัพซีเรีย<br />
ให้เป็นประโยชน์ เพื่อใช้ดินแดนซีเรียเป็น<br />
สรวงสวรรค์ของกลุ่มตน เนื ่องจากในขณะนี้<br />
กองทัพพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ และอังกฤษ<br />
กำลังทุ่มเทความช่วยเหลือสนับสนุนกองทัพ<br />
อิรัก ทำให้กลุ่มไอเอสที่ล่าถอยออกจากอิรัก<br />
จะเข้าไปหลบซ่อนและซ่องสุมกำลังในดินแดน<br />
ซีเรีย จนเมื่อฟื้นตัวได้สมบูรณ์แล้ว ก็จะหวน<br />
กลับเข้ามาโจมตีอิรักอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด<br />
เป้าหมายสำคัญของกลุ่มไอเอสในเวลานี้<br />
คือการโจมตีนครแบกแดดเพื่อมุ่งหวังจะจัดตั้ง<br />
เมืองหลวงแห่งรัฐที่ปกครองด้วยหลักศาสนา<br />
บริสุทธิ์ เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มไอเอสสามารถยึด<br />
แบกแดดและจัดตั้งรัฐของตนเองได้ เมื ่อนั้น<br />
กลุ่มไอเอสจะกลายเป็นต้นแบบของการจัดตั้ง<br />
รัฐที่ปกครองด้วยศาสนาบริสุทธิ์ให้กับสมาชิก<br />
กลุ่มไอเอสที่เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาของตน<br />
เพื่อสถาปนารัฐตามอุดมคติของตนขึ้นเช่น<br />
เดียวกัน กลุ่มไอเอสจึงนับเป็นภัยคุกคามความ<br />
มั่นคงของรัฐต่างๆ ที่น่ากลัวที่สุดภัยหนึ่งในยุค<br />
ปัจจุบัน<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
25
ค่านิยมและความเชื่อที่ฝังแน่น<br />
(Enduring values and beliefs)<br />
กับการกำหนดยุทธศาสตร์<br />
ความมั่นคงของชาติ<br />
พันเอก ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์<br />
กองทัพที่กำชัยชนะ จึงรบในเมื่อเห็นชัยแล้ว<br />
แต่กองทัพที่พ่ายแพ้จะรบเพื่อหาทางชนะ<br />
ซุนวู ๑<br />
หากกล่าวถึงยุทธศาสตร์ความมั่นคง<br />
ของชาติ (National Security Strategy : NSS)<br />
หรือยุทธศาสตร์ชาติ (National Strategy : NS)<br />
ถือว่าเป็นเอกสารนำในการพัฒนาประเทศที่<br />
สำคัญยิ่ง สำหรับในต่างประเทศ โดยเฉพาะ<br />
26<br />
อย่างยิ่งสหรัฐฯ จะถือเอกสารยุทธศาสตร์<br />
นี้เป็นเอกสารปกขาว (White paper) ที่<br />
ประธานาธิบดีทุกคนที่เข้ามารับตำแหน่ง<br />
บริหารประเทศ ต้องจัดทำด้วย และระบุไว้<br />
ในกฎหมาย เอกสารนี้เสมือนร่มใหญ่ที่หน่วย<br />
งานต่างๆ จะนำไปเป็นแนวทางในการกำหนด<br />
ยุทธศาสตร์รองของตนเอง อย่างไรก็ตามใน<br />
การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติจุดเริ่มต้นของ<br />
กระบวนการจะเริ่มที่ค่านิยมและความเชื่อที่<br />
ฝั่งแน่น (Enduring values and beliefs) ที่<br />
เป็นตัวก่อรูปจุดมุ่งหมายของชาติ (National<br />
purpose) ที่แสดงออกมาในรูปของกฎหมาย<br />
ปรัชญาและคุณธรรมพื้นฐานที่ดำรงอยู่อย่าง<br />
ต่อเนื่องจนเป็นระบบของชนชาติ (National<br />
system) นั้นๆ ๒ นอกจากนี้ค่านิยมของชาติ<br />
ก็คือ ผลประโยชน์หลักของชาติ๓ นั่นเอง<br />
พันเอก ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์
สอดคล้องกับที่ Colin S. Gray ที่กล่าวว่า หาก<br />
กล่าวถึงยุทธศาสตร์แล้วมีสิ่งที่ต้องพิจารณาอยู่<br />
๕ ประการคือ แนวคิด จริยธรรม วัฒนธรรม<br />
ที่ตั้ง/ภูมิศาสตร์และเทคโนโลยี ๔ ดังนั้นในการ<br />
กำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติจึงต้อง<br />
สอดคล้องกับค่านิยมและความเชื่อที่ฝังแน่น<br />
ของคนไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบการคิด<br />
คุณค่าทางจริยธรรม วัฒนธรรมและลักษณะ<br />
ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ มิเช่นนั้นยุทธศาสตร์นั้น<br />
อาจจะใช้ไม่ได้ในสังคมไทย โดยยุทธศาสตร์<br />
ดังกล่าวอาจกำหนดอย่างสอดคล้องต่อปัจจัย<br />
ดังกล่าวหรือเพื่อที่จะลดอุปสรรค ข้อขัดข้อง<br />
ที่เกิดจากปัจจัยนั้น<br />
ค่านิยมและความเชื่อที่ฝังแน่น<br />
“ดูหนัง ดูละครแล้วย้อนดูตัว” อาจนับ<br />
เป็นการศึกษาเชิงปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง<br />
กรณีละครยอดฮิตหรือเป็นที่นิยมในสังคม<br />
ไทยอาจเป็นเรื่องของค่านิยมที่บ่งบอกความ<br />
เชื่ออย่างหนึ่งผ่านการดูละครแนวการสร้าง<br />
ที่สื่อถึงผู้คนในสังคมนั้น การแสดงถึงการใช้<br />
คำพูดด่าทอ เสียดสี รวมถึงการอิจฉา จนกลาย<br />
เป็นเรื่องธรรมดาจนกลายเป็นปรากฏการณ์<br />
ทางการเมืองที่เป็นอยู่ ซึ่งดูจะสอดคล้อง<br />
และเป็นประเด็นที่น่าคิดไม่น้อยสำหรับกรณี<br />
ประเทศไทยที่ Eric Weiner ซึ่งเป็นนักข่าวต่าง<br />
ประเทศของ National Public Radio (NPR)<br />
แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้เดินทางไปตามล่า<br />
หาความสุขตามที ่ต่างๆ กันจาก ๑๐ ประเทศ<br />
เพื่อค้นหาความสุขของคนแต่ละประเทศ<br />
เขาพบว่าความสุขของคนแต่ละประเทศแตก<br />
ต่างกันไป เช่น สหราชอาณาจักรความสุขคือ<br />
งานที่คืบหน้า กาตาร์ความสุข คือการถูกหวย<br />
สหรัฐฯ ความสุขคือ บ้าน<br />
เป็นต้น แต่สำหรับประเทศไทย<br />
เขาพบว่า ความสุขของคนไทย<br />
คือ การไม่คิด ๕ ซึ่งจะจริงหรือ<br />
ไม่เป็นจริงรวมทั้งอาจสะท้อน<br />
อะไรบางอย่างก็ตาม แต่ก็เป็น<br />
เรื่องที่น่าศึกษาวิเคราะห์อย่าง<br />
ตรงไปตรงมาในฐานะที่เป็น<br />
คนไทยอย่างเราท่าน (กล่าวถึง<br />
เรื่อง “การศึกษา” ได้ถูกแปล<br />
ความหมายไปอย่างผิดๆ แม้<br />
จะมีพจนานุกรมซึ่งช่วยแก้ไข<br />
ความเข้าใจผิดนี้ได้ไม่มากนัก<br />
เพราะก็ยังให้ความหมายของ<br />
การศึกษาไปในทางการบรรจุ<br />
ความรู้ไว้ในสมอง ทั้งที่การ<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
27
ศึกษามาจากภาษาละตินว่า “educo” ซึ่ง<br />
หมายถึง การปรับปรุง “จากภายใน” การชัก<br />
ออกมา การดึงออกมาหรือการเจริญเติบโตโดย<br />
อาศัยหลักการของการ “ใช้งาน” ๖ ) ประกอบ<br />
กับมีการสำรวจมุมมองผู้บริหารฝรั่งใน ๑๑<br />
ข้อเสียของคนไทยพบว่า ๑. คนไทย “ชอบโกหก<br />
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ” เช่น มาสาย...ขาดงาน<br />
โดยอ้างว่าป่วย เป็นต้น ๒. มักน ำเรื่อง “เพื่อนฝูง”<br />
มาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ เช่น การจัด<br />
ซื้อข้าวของภายในสำนักงาน โดยไม่คำนึง<br />
ถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรได้รับ เมื่อพบ<br />
ว่าเพื่อนทุจริตก็ช่วยกันปกป้องไม่รู้ไม่เห็น<br />
๓. แยกไม่ออกระหว่าง “เรื่องงาน” กับ “เรื่อง<br />
ส่วนตัว” ชอบนำทั้ง ๒ อย่างมาปนกัน ๔. มัก<br />
ยึดติดกับ “ความเคยชินแบบเดิมๆ” เคยทำ<br />
มาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่มี “ความคิด” ที่<br />
จะเปลี่ยนแปลงถ้านำวิธีการใหม่ๆ เข้ามาก็<br />
28<br />
พันเอก ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์
จะไม่ได้รับความร่วมมือ ๕. เมื่อมีการเจรจา<br />
“ไม่กล้าโต้แย้ง” ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลัง “เสีย<br />
เปรียบ” ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็น “คนคุมเกม”<br />
นิสัยขี้เกรงใจจึงทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้า<br />
๖. “ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด” ไม่กล้าบอกความคิดของ<br />
ตัวเองออกมา ทั้งที่มีความคิดดีๆ ไม่แพ้ชาติ<br />
ใดเลย “ไม่กล้าตั้งคำถาม” ทำให้ทำงานไป<br />
คนละเป้าหมาย หรือ “ทำงานไม่สำเร็จ”<br />
๗. “ไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาไว้ล่วงหน้า” งานไหน<br />
ให้เวลานานๆ ก็ทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึง<br />
กำหนดส่ง เลยทำแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานเท่า<br />
ที่ควรและ “ไม่ค่อยมีแผน” รองรับเวลาเกิด<br />
ปัญหา แต่จะรอให้เกิดปัญหา แล้วหาทางแก้<br />
ไปแบบเฉพาะหน้า ชอบให้นายสั่งลงมาก่อน<br />
แล้วค่อยทำตาม ๘. คนไทยจะบอกแต่ข่าวดี<br />
จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่า เจ้านายจะชอบ<br />
เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าตามความจริง<br />
๙. คำพูดว่า “ไม่เป็นไร” เป็นคำพูดติดปาก<br />
เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ จะหา<br />
ตัวคนทำผิดไม่ค่อยได้ เพราะเกรงใจกัน แต่<br />
จะใช้คำว่า “ไม่เป็นไร” แทน ๑๐. คนไทย<br />
ไม่ค่อยมี “ทักษะ” ในการทำงาน รวมถึงไม่<br />
ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจะให้ได้<br />
“ผลงานที่ดีที่สุด” ๑๑. ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้<br />
ความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไหร่นัก แล้วไม่<br />
ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติม แม้จะเป็นเรื่อง<br />
เกี่ยวกับงานก็ตาม ๗ นี่อาจจะเป็นสิ่งสะท้อน<br />
อีกประการหนึ่งของข้อด้อยคนไทยที่หลาย<br />
ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็น<br />
เรื่องนานาจิตตัง แต่ขอให้คิดวิเคราะห์บนหลัก<br />
ของเหตุผลและความจริง โดยที่การแก้ปัญหา<br />
ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง<br />
ข้อมูลที่นำมาใช้ต้องเป็นความจริงเท่านั้นและ<br />
ความจริงเท่านั้นที่จะเหลืออยู่กับกาลเวลา ๘<br />
แต่ก็มีคำกล่าวที่ชวนคิดไม่น้อยว่า “มีคนน้อย<br />
เสียเหลือเกินที่เต็มใจที่จะฟังความจริงที่แสดง<br />
ถึงความอ่อนแอของตน” ๙ ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อ<br />
แก้ปัญหาไปแล้วก็จะเกิดปัญหาอีกหลายๆ<br />
อย่างตามมา<br />
อย่างไรก็ตามหากกล่าวถึง “ความจริง”<br />
ซึ่งเป็นสิ่งที่โดยสากลมักให้ความสำคัญยิ่ง แต่<br />
ในสังคมไทยการป้องกันการเสียหน้าเป็นสิ่ง<br />
ที่สำคัญ การโกหกที่เรียกว่า White lies จึง<br />
เป็นสิ่งที่ยอมรับในสังคมไทย ๑๐ ดังจะเห็นได้<br />
บนท้องถนนทั่วไปกับรถยนต์ที่มักเขียนว่า<br />
“รถคันนี้สี...” ทั้ง ๆ ที่สีรถที่ขับอยู่เป็นคนละสี<br />
ที่เขียนไว้ซึ่งดูจะเป็นเรื่องปกติกับการโกหก<br />
เล็กๆ น้อยๆ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งแม้จะเป็น<br />
เรื่องความเชื่อส่วนบุคคลแต่ก็แสดงอะไรบาง<br />
อย่างสำหรับสังคมไทย ต่างกับประเทศอื่น<br />
ขอยกกรณีบทเรียนสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ<br />
(Civil War) อย่างคำพูดที่ว่า “พลังที่แท้จริงไม่<br />
ได้มาจากความเกลียด แต่มาจากความจริง” ๑๑<br />
หรือ “ไม่มีสิ่งใดที่มีพลังอำนาจเท่าความ<br />
จริง” ๑๒ เป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันให้ความสำคัญ<br />
ยิ่งต่อ “ความจริง” เพราะสงครามกลางเมือง<br />
เป็นความจริงอีกเรื่องหนึ่ง ที่คอยกระตุ้นเตือน<br />
จิตสำนึกของความแตกต่างทางความคิดอย่าง<br />
สุดขั้วจนเกิดการแบ่งฝ่ายจับอาวุธขึ้นสู้กัน<br />
ระหว่างฝ่ายเหนือหรือ Union/Federals กับ<br />
ฝ่ายใต้หรือ Confederates จนมีผู้เสียชีวิต<br />
มากกว่า ๖๕๐,๐๐๐ คน บนแผ่นดินอเมริกา<br />
ความจริงนี้ได้พยายามทำให้ตีแผ่ย้ำเตือนให้<br />
คนอเมริกันรุ่นปัจจุบันและเยาวชนได้เห็น<br />
ประวัติศาสตร์ที่น่าเจ็บปวดไม่ว่าจะมีการทำ<br />
เป็นภาพยนตร์ การพาไปดูสถานที่ที่เป็นสมรภูมิ<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
29
เช่น เมืองเก็ตตี้สเบอร์ก (Gettysburg) ค่ายสัมเตอร์<br />
(Fort Sumter) เป็นต้น อย่างไรก็ตามมีผู้กล่าว<br />
ว่าปัจจุบันสงครามกลางเมืองในอเมริกาก็ยังคง<br />
เกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นในสภาคองเกรส (Congress)<br />
!!! ดังนั้นอเมริกาจึงให้ความสำคัญกับความ<br />
เป็นประชาธิปไตย (Democracy) เสรีภาพ<br />
และความเท่าเทียมกัน หากกล่าวถึงความ<br />
เชื่อที่ฝังแน่นของสหรัฐฯ ที่หลายท่านอาจ<br />
จะมองว่าสหรัฐฯ มองถึงเรื่องผลประโยชน์<br />
ทางเศรษฐกิจของตนเองเป็นหลัก ความข้อนี้<br />
Napoleon Hill ได้กล่าวถึงอุดมการณ์แห่งชาติ<br />
ของสหรัฐฯ ไว้อย่างน่าคิดว่า “พวกเราได้ปลูก<br />
ฝังอุดมการณ์แห่งชาติแก่เยาวชนของเราเช่น<br />
เดียวกันและอุดมการณ์นั้นก็เติบโตขึ้นมามาก<br />
ทีเดียว! มันได้กลายเป็นอุดมการณ์ที่ครอบงำ<br />
คนในชาติ อุดมการณ์นั้นคือ ความปรารถนาที่<br />
จะมั่งคั่งร่ำรวย! สิ่งแรกที่เราต้องการทราบ<br />
เกี่ยวกับเพื่อนใหม่ของเรามิใช่ “ใคร?” หาก<br />
แต่ “มีเท่าไหร่?” และสิ่งต่อไปคือ “ฉันจะได้<br />
จากเขาด้วยวิธีใด?” ๑๓<br />
ดังนั้นจะเห็นว่าค่านิยมและความเชื่อที่<br />
ฝั่งแน่นของประเทศแต่ละประเทศผู้กำหนด<br />
ชะตาของประเทศจะต้องเข้าใจในค่านิยม<br />
และความเชื่อที่ฝั่งแน่นที่แท้จริงของประเทศ<br />
ว่าเป็นอย่างไร อย่างกรณีของประเทศจีน<br />
หากศึกษาวิเคราะห์ดีๆ แล้วเขาก็จะใช้หลัก<br />
จากตำราพิชัยสงครามของซุนวูในการนำพา<br />
ประเทศ (จากการที่ผู้เขียนพูดคุยกับผู้ที่เคยไป<br />
เรียนที่วิทยาลัยป้องกันประเทศของจีน) แต่จะ<br />
ใช้อย่างไร โดยวิถีทางใดนั้นก็ต้องแล้วแต่การ<br />
วิเคราะห์ของแต่ละบุคคล<br />
การกำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ<br />
ปัจจุบันในสถาบันการศึกษาทางทหาร<br />
ระดับสูงที่มีการศึกษาด้านยุทธศาสตร์ต่าง<br />
ก็มักจะใช้นโยบายความมั่นคงแห่งชาติเป็น<br />
ตัวกำหนดยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์<br />
ทหารกันโดยอนุโลม ซึ่งในต่างประเทศที่มีอยู่<br />
ไม่มากนักที่ยังคงกำหนดเป็นนโยบายความ<br />
มั่นคงแห่งชาติ ในขณะที่หลายประเทศมีการ<br />
พัฒนาให้เป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติที่<br />
เป็นเรื่องต้องนำไปปฏิบัติอย่างเป็นจริงเป็นจัง<br />
มิใช่เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติหรือ<br />
ที่เรียกว่า นโยบาย อย่างไรก็ตามอาจมีผู้โต้<br />
แย้งว่าก็ไม่ผิดอะไรที่กำหนดเป็นยุทธศาสตร์<br />
แต่ถ้ากล่าวในประเด็นของการนำไปปฏิบัติ<br />
หรือต้องนำไปปฏิบัติก็จะเห็นชัดเจนของความ<br />
แตกต่าง เพราะโดยเนื้อแท้แล้วยุทธศาสตร์<br />
ที่กล่าวกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากทางทหาร<br />
เพราะเป็นเรื่องของชัยชนะหรือความพ่ายแพ้<br />
ยุทธศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่ต้องนำไปปฏิบัติ<br />
อย่างจริงจัง โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การป้องกัน<br />
ประเทศและยุทธศาสตร์ทหารที่จัดกระทำ<br />
โดยทหารจะต้องชัดเจน เป็นตัวแบบให้กับ<br />
องค์กรอื่นๆ ได้ เพราะแท้จริงแล้วกล่าวกัน<br />
ว่า ยุทธศาสตร์ก็คือ ศิลปะของการเป็นนายพล<br />
นั่นเอง อย่างไรก็ตามที่นับวันจะยิ่งทวีความ<br />
สำคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ของยุทธศาสตร์ความ<br />
มั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้อง<br />
เร่งศึกษาพัฒนาหากระบวนการที่เหมาะสม<br />
ในการพัฒนา นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ<br />
สู่การเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติไม่ว่า<br />
จะเป็นการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้มา<br />
ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อนำมาเป็นร่มใหญ่<br />
ในการนำพาประเทศและเพื่อให้หน่วยงาน<br />
องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีจุดหมาย<br />
ปลายทางเดียวกันที่จะดำเนินงานอย่าง<br />
มีทิศทางที่ชัดเจน<br />
อนึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดทบทวนไม่น้อย<br />
ว่าที่จริงแล้วที่ผ่านมาประเทศไทยเราใช้<br />
หลักการ แนวคิดหรือเอกสารใดในการ “นำพา”<br />
ประเทศ (จะเห็นว่าผู้เขียนไม่ใช้คำว่า “พัฒนา”)<br />
เราใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ หรือนโยบาย<br />
ความมั่นคงแห่งชาติหรือ นโยบายรัฐบาลที่<br />
แถลงต่อรัฐสภาหรือแผนการบริหารราชการ<br />
แผ่นดิน??? ซึ่งหลายครั้งที่ผู้เขียนมักถามผู้ที่รับ<br />
ฟังตามโอกาสที่ได้ไปถ่ายทอดแนวคิดรวมทั้ง<br />
สอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยในวิชาที่เกี่ยวกับ<br />
ความมั่นคงของชาติ ก็มักจะได้คำตอบที่หลาก<br />
30<br />
พันเอก ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์
หลายตามความเข้าใจของแต่ละคน นั่นบ่งบอก<br />
ถึงความไม่ชัดเจนของแนวคิดหรือหลักการนำ<br />
พาประเทศ เพื ่อการนำการพัฒนาประเทศ ซึ่ง<br />
หากเข้าใจไม่ตรงกันหรือไม่เป็นไปในแนวทาง<br />
เดียวกันก็ทำให้เกิดความสับสน ขาดความ<br />
เข้าใจที่ตรงกันในเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง อัน<br />
ส่งผลให้เสียเวลา เสียโอกาสและเสียอะไรอีก<br />
หลายๆ อย่างที่ไม่น่าจะเสีย<br />
สรุป<br />
ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว สังคมไทยได้<br />
ผ่านและมีบทเรียนมากมาย (แต่น่าเสียดาย<br />
ที่ขาดการศึกษาที่เป็นเรื่องเป็นราวที่เป็นลาย<br />
ลักษณ์อักษรหรือการศึกษาเชิงวิชาการ) การ<br />
ศึกษาประวัติศาสตร์ การค้นหาความเชื่อที ่ฝัง<br />
แน่นจนเป็นค่านิยมที ่แท้จริงของสังคมไทยจึง<br />
นับเป็นเรื่องสำคัญเพราะสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น<br />
ของการกำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงของ<br />
ชาติได้อย่างเหมาะสมที่สุด การศึกษาหรือดู<br />
เขามามากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ย้อนดูตัว<br />
ว่าที่จริงเรามีปรัชญา ความเชื่ออย่างไร เพราะ<br />
อย่างไรเสียก็ไม่มีคนผู้ใดที่จะเป็นคนที่มีความ<br />
คิดถูกต้องเที่ยงตรงได้ หากปราศจากความ<br />
ใจกว้าง “ความใจแคบ” ที่กระทำด้วยการปิด<br />
หนังสือที่ยังมิได้อ่านลงแล้วตัดสินใจว่า “ฉัน<br />
อ่านแล้ว! ฉันรู้มันทั้งหมดแล้ว!” ความใจแคบ<br />
จะสร้างศัตรูให้กับทุกคนที่ควรจะเป็นมิตร<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
เป็นการทำลายโอกาสและจิตใจยังห่อหุ้มด้วย<br />
ด้วยความหวาดระแวง ความไม่เชื่อและอคติ ๑๔<br />
ถ้าเป็นดังนี้ก็จะเรียกหาความไว้วางใจและ<br />
ความจริงใจได้จากที่แห่งใดกันเล่า<br />
๑<br />
เสถียร วีรกุล, ตำราพิชัยสงครามซุนวู, พิมพ์ครั้งที่<br />
๒, ๒๕๒๙, หน้า ๒๘<br />
๒<br />
J. Boone Bartholomees, Jr., (Ed.), U.S. Army<br />
War College Guide to National Security<br />
Issues Volume ll: National Security Policy<br />
and Strategy, PA: Strategic Studies Institute,<br />
2012, p. 413<br />
๓<br />
Joseph R. Cerami, James F. Holcomb,<br />
Jr., (Ed.), U.S. Army War College Guide to<br />
Strategy, PA: U.S. Army War College, 2001,<br />
p. 222<br />
๔<br />
Colin S. Gray, The Whole House of Strategy,<br />
in JFQ issue 71, 4th quarters 2013, p. 60.<br />
๕<br />
ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Eric Weiner,<br />
The Geography of Bliss, โตมร ศุขปรีชา (แปล),<br />
หน้า 273-298<br />
๖<br />
ปสงค์อาสา (แปล), ปรัชญาชีวิต ศาสตร์แห่ง<br />
ความสำเร็จ (The Napoleon Hill’s Laws of<br />
Success), พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, กรุงเทพมหานคร:<br />
ภาพพิมพ์, ๒๕๕๗, หน้า ๖๙<br />
๗<br />
ทวี มีเงิน, ๑๑ ข้อเสียคนไทย...ในมุมมองผู้บริหาร<br />
ฝรั่ง, ใน ข่าวสดออนไลน์, ๑๒ ต.ค. ๒๕๕๖<br />
๘<br />
อ้างแล้ว, ปสงค์อาสา (แปล), หน้า ๙๙<br />
๙<br />
เรื่องเดียวกัน, หน้า ๕๑๕<br />
๑๐<br />
Richard D. Lewis, When Cultures Collide:<br />
Leading Across Cultures, 3rd ed., Finland:<br />
WS Bookwell, 2010, p. 474<br />
๑๑<br />
เป็นคำกล่าวประโยคหนี่งในภาพยนตร์เรื่อง<br />
ลินคอล์น (Lincoln) ในช่วงของการเกิด<br />
สงครามกลางเมืองใน สหรัฐฯ<br />
๑๒<br />
เป็นคำกล่าวของ แดนิล เวบสเตอร์ (Danial<br />
Webster) ชาวอเมริกันที่ปรากฏหลังบัลลังก์ศาล<br />
แห่งเมือง Carlisle, Pennsylvania, USA<br />
๑๓<br />
อ้างแล้ว, ปสงค์อาสา (แปล), หน้า ๖๙๔<br />
๑๔<br />
เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๑<br />
31
Watershed Air War<br />
“กำลังทางอากาศที่ครองฟ้าได้<br />
คือกำลังที่กำหนดชะตาของสงคราม”<br />
From Air Force Magazine,April 2015<br />
By :DaneilL.Haulman<br />
ผู้เรียบเรียง : นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม<br />
32 นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม
“การคิดจะต่อกรกับประเทศที่มีกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า<br />
เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หากยังฝืนเดินหน้าชน ก็จะยิ่งเป็นผล<br />
เสียต่อฝ่ายตนเอง นี่คือบทเรียนทางทหารซึ่งเป็นผลจากความ<br />
เข้มแข็งของกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ ใน Operation Allied<br />
Force ปี ๑๙๙๙ ”<br />
ช่วงต้นศตวรรษที่ ๒๐ เครื่องบินได้เริ่ม<br />
เข้ามามีบทบาทเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งใน<br />
สงคราม แต่ก็ยังทำอะไรได้ไม่มากนัก เนื่องจาก<br />
เป็นยุคต้นๆ ของการบิน แต่เมื่อเข้าสู่กลาง<br />
ศตวรรษเท่านั้นเอง ด้วยการพัฒนาที่รวดเร็ว<br />
ของกิจการการบินทั้งในยุโรปและอเมริกา<br />
กำลังทางอากาศได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็น<br />
กองกำลังที่ชี้ผลแพ้ชนะของสงครามที่แท้จริง<br />
กองทัพที่เข้มแข็งจะต้องพึ่งพิงกำลังทางอากาศ<br />
จึงจะสามารถครองยุทธศาสตร์ได้<br />
เมื่อล่วงเข้าปลายศตวรรษ ความโดดเด่น<br />
ยิ่งชัดเจนขึ้นของกำลังทางอากาศ ถึงขั้น<br />
กล้ากล่าวและเป็นที่ยอมรับกันว่า กำลังทาง<br />
อากาศสามารถชนะสงครามใดๆ ได้ โดยที่ไม่<br />
ต้องใช้กำลังทางภาคพื้น ซึ่งไม่ได้หมายความ<br />
ว่า ไม่มีการพึ่งพิง แต่หากหมายถึง การเอาชนะ<br />
สงครามที่มีการสูญเสียกำลังภาคพื้นน้อยที ่สุด<br />
หรือไม่สูญเสียเลย ต้องใช้กำลังทางอากาศ<br />
ที่เข้มแข็งที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้<br />
ทศวรรษแรกของปี ๑๙๙๐ เกิดความขัดแย้ง<br />
จนกลายเป็นสงครามในประเทศแถบยุโรป<br />
ตะวันออกติดทะเล Adriatic โดยฉพาะกลุ่ม<br />
ประเทศที่พึ่งแยกตัวออกจากยูโกสลาเวียหลัง<br />
ยุคสงครามเย็นสิ้นสุดลง ประเทศดังๆ ในย่านนี้<br />
ที่แยกตัวมาจากยูโกสลาเวียและติดหูติดตามา<br />
ตลอดคือ Serbia,Croatia,Montenegro และ<br />
Bosnia-Herzegovina เป็นต้น ประเทศใน<br />
ภูมิภาคนี้ อัดแน่นไปด้วยสารพัดปัญหาที่เป็น<br />
ชนวนสงคราม ไม่ว่าจะเป็นดินแดน ความเชื่อ<br />
ทางลัทธิศาสนาหรือเผ่าพันธ์ุ<br />
ความรุนแรงถึงขั้นฆ่าล้างผลาญให้สิ้นซาก<br />
กันไปข้างใดข้างหนึ่งใน Bosnia-Herzegovina<br />
ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นคริสต์ชาว Serbian<br />
ซึ่งไม่ต้องการให้ชาวมุสลิม Bosnian แยก<br />
ตัวออกเป็นอิสระ โดยความรุนแรงของความ<br />
พยายามและต่อต้านการแยกประเทศในเวลา<br />
เดียวกันของเผ่าพันธุ์ทั้งสองศาสนานี้ เลวร้าย<br />
ลงถึงขั้นเกิดสงครามในปี ๑๙๙๕<br />
ปัญหาใหญ่หลวงของที่สุดแห่งเงื่อนงำ<br />
สงครามคงจะไม่จบลงอย่างสันติ ความโหดร้าย<br />
จะยิ่งจมลึกไปมากยิ่งขึ้น ทำให้สหประชาชาติ<br />
ผลักดันให้ NATO และสหรัฐฯ เข้ามาช่วยกู้<br />
วิกฤตนี้สำหรับสหรัฐฯ นั้น ในช่วงแรกได้เปิด<br />
ยุทธการกำลังทางอากาศ “Deliberate Force”<br />
เพื่อปิดม่านหมอกความซึมเศร้าของสงคราม<br />
ที่เรียกว่า “The Bosnian Crisis”<br />
ปัญหา Bosnia แม้จะเบาบางลง แต่ความ<br />
อึมครึมและอึดอัดจากบรรยากาศสงคราม<br />
และการค่อยๆ แยกตัวออกของรัฐต่างๆ ใน<br />
ความเป็นยูโกสลาเวีย ก็ยังยืดเยื้อยาวนานมา<br />
ถึงเกือบปลายทศวรรษ ๑๙๙๐ ยูโกสลาเวีย<br />
ในยุคนี้ ยังเหลือรัฐที่รวมกันเป็นยูโกสลาเวีย<br />
เพียงแค่สองรัฐคือ Serbia และ Montenegro<br />
เท่านั้น<br />
ความโหดร้ายแบบสุดๆ เริ่มก่อตัวที่นี่<br />
เมื ่อจังหวัด Kosovo อันเป็นส่วนหนึ่งของ<br />
Serbia และประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดนี้เป็น<br />
มุสลิมชาว Albanian แสดงความต้องการแบบ<br />
แรงกล้าที่จะแยกตัวอิสระบ้างตามกระแสของ<br />
รัฐใหญ่ๆ ของยูโกสลาเวีย เป็นความพยายาม<br />
ที่บ้าบิ่นและเดินไปบนลำธารโลหิตของการ<br />
เข่นฆ่า<br />
นาย Slobodan Milosevic ประธานาธิบดี<br />
แห่งยูโกสลาเวียซึ่งเป็นชาวคริสต์ Serbian<br />
ให้การสนับสนุน Serbia อย่างออกหน้าออกตา<br />
ในการขัดขวางการแยกตัวออกเป็นอิสระ<br />
ของจังหวัด Kosovo ซึ่งจังหวัดนี้ประชากร<br />
ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมชาว Albanian ความยุ่งยาก<br />
ใจได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินที่มีพระเจ้าถึงสอง<br />
พระองค์<br />
เดือน กันยายน ๑๙๙๘ กองทัพ Serbia<br />
ได้บุกเข้าไปใน Kosovo ประชาชนชาว Albanian<br />
เกือบครึ่งล้านคนต้องอพยพหนีตายไปยัง<br />
ประเทศเพื่อนบ้านเช่น Albania,Macedonia<br />
และ Montenegro การฆ่าที่ไร้เหตุผลเต็มไป<br />
ด้วยความเกลียดชัง เป็นฆ่าทำลายล้างเผ่าพันธุ์<br />
โดยสิ้นเชิงของกองทัพ Serbia ซึ่งดูเหมือนจะ<br />
ทำให้ Kosovo เป็นดินแดนบริสุทธิ์ปราศจาก<br />
มุสลิม Albanian ให้เหลือแต่คริสต์ Serbian<br />
เท่านั้น สงครามครั้งนี้ จะเรียกว่า “The<br />
Kosovo Crisis” ก็ได้<br />
เดือน ตุลาคม ๑๙๙๘ สหประชาชาติ<br />
ได้เห็นชอบให้ NATO เข้ามีส่วนในการจัดระเบียบ<br />
ความขัดแย้งอันน่ากลัวนี้ ซึ่งแนวทางการแก้ไข<br />
ปัญหาไม่ได้แตกต่างไปจาก “The Bosnian<br />
Crisis”ซึ่งเน้นไปที่การใช้กำลังทางอากาศเป็น<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
33
เครื่องมือหลัก ในการยุติสงครามฆ่าล้าง<br />
เผ่าพันธุ์<br />
นาย Slobodan Milosevic แสดงทีท่า<br />
เชื่อฟัง UN โดยแสดงเจตจำนงการถอนกำลัง<br />
ทหารหลายหมื่นคนออกจาก Kosovo และให้<br />
NATO บินสำรวจตรวจสอบการถอนทหารของ<br />
เขาได้ แต่สิ่งที่เขาทำก็เป็นแค่กลลวงเบี่ยงเบน<br />
ความกังวลของ UN เท่านั้น เขาไม่ได้ปฏิบัติ<br />
จริง ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น ในปลายปี ๑๙๙๘ เขา<br />
สั่งห้ามไม่ให้ เจ้าหน้าที่ UN เข้าไปตรวจสอบ<br />
ใน Kosovo ถึงการกระทำที่เป็นอาชญากร<br />
สงคราม ครั้นถึงต้นปี ๑๙๙๙ เขาได้ประกาศ<br />
บีบบังคับให้ผู้นำจังหวัด Kosovo เดินทางออก<br />
นอกประเทศ<br />
เมื่อการกระทำทุกวิถีทางของการเจรจา<br />
ที่ UN หรือ NATO กับ นาย Slobodan<br />
Milosevic ไม่มีทิศทางบวก มีแต่จะแย่ลง<br />
เรื่อยๆ ผู้คนชาว Albanian ล้มตายแบบ<br />
ง่ายๆ แต่ด้วยวิธีที ่พิสดารมากขึ้น NATO<br />
จึงตัดสินใจเปิดปฏิบัติการของกำลังทาง<br />
อากาศ“Operation Allied Force” ในวันที่<br />
๒๔ มีนาคม ๑๙๙๙ เพื่อจบอาชญากรสงคราม<br />
สายพันธ์ุใหม่แห่งยูโกสลาเวีย<br />
“Operation Allied Force” แม้จะ<br />
เป็นการประกอบกำลังของกำลังทางอากาศ<br />
จากหลายชาติในกลุ่ม NATO แต่โดย<br />
ส่วนใหญ่แล้วกำลังทางอากาศก็มาจากสหรัฐฯ<br />
ผู้บัญชาการปฏิบัติการนี้ก็เป็นคนอเมริกัน มีศูนย์<br />
บัญชาการที่ Vicenza, Italy<br />
ในฝั่งของกำลังทางอากาศของยูโกสลาเวีย<br />
(Yogoslav Air Force) มีเขี้ยวเล็บสงคราม<br />
จากค่ายคอมมิวนิสต์เช่น 16MIG-29,80MIG-<br />
21,28J-22 และ 70G-4M กำลังภาคพื้นใน<br />
ระบบป้องกันตนเองทางอากาศของ Serbia มี<br />
แบบ Portable SA-7,SA-14 และ SA-16 ส่วน<br />
แบบ Long-range มี SA-2s,16SA-3s และ<br />
มากกว่า 80SA-6s<br />
กำลังทางบกของยูโกสลาเวีย มีกำลัง<br />
ทหารมากถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน รถถังประมาณ<br />
๕๔๐ คัน ปืนใหญ่มากกว่า ๒๐๐ ชุดยิง สำหรับ<br />
กำลังทหารที่ยูโกสลาเวียส่งเข้าไปใน Kosovo<br />
มีประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน<br />
การทำแผนปฏิบัติการ (Air Campaign)<br />
ของ “Operation Allied Force” นั้น NATO<br />
วางแผนไว้ ๕ Phase โดยในขั้นแรกนั้นเริ่มต้น<br />
เมื่อ ๒๔ มีนาคม ๑๙๙๙ เป็นการโจมตีกำลัง<br />
ภาคพื้นและระบบป้องกันของยูโกสลาเวียทั้ง<br />
ที่กรุง Belgrade และ Kosovo ตั้งเป้าไว้ให้<br />
ง่อยเปลี้ยเสียขากันไปเลย โดยใช้การโจมตี<br />
ทางอากาศจากเครื่องบินรบ มากกว่า ๒๑๔<br />
เครื่อง ขึ้นบินจากฐานบินจากหลายประเทศ<br />
เช่น Italy, German, UK และ US นอกจากนั้น<br />
เพื่อความหนักแน่นของการทำลายและยับยั้ง<br />
NATO ยังใช้การทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์จาก<br />
เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ขั้นตำนาน<br />
และขั้นเทพล่องหนทั้ง ๓ แบบคือ B-52 จาก<br />
ฐานใน UK, B-2 จากฐานที่ Whiteman AFB,<br />
Missouri และเครื่องบินทิ้งระเบิด ระดับ<br />
ความเร็วเหนือเสียงแบบ B-1 ด้วย<br />
การโจมตีจากกำลังทางอากาศของ<br />
NATO ได้รับการเสริมความเข้มแข็งในการ<br />
สะกดกำลังภาคพื้นด้วยกำลังทางเรืออีกด้วย<br />
คือ Tomahawk ส่งของขวัญจากเรือรบ<br />
ในทะเล Adriatic เพียงแค่ในช่วงสามวัน<br />
แรกของปฏิบัติการ ระบบป้องกันและการ<br />
ควบคุมรายงาน (Air Defense System and<br />
Commmand and Control) ของยูโกสลาเวีย<br />
และ Serbia ก็เกือบจะย่อยยับ เครื่องบิน<br />
รบแบบ MIG หลายสายพันธ์ที่ขึ ้นบินขับไล่<br />
สกัดกั้นแบบไม่ยำเกรง ถูกยิงตกถึง ๕ เครื ่อง<br />
จาก F-16 และ F-15 ความสำเร็จของ Air<br />
Campaign ยกแรกนี้ต้องยกย่องและยอมรับ<br />
ความสมบูรณ์ไร้เทียมทานของ Airborne<br />
Command and Control ซึ่งใช้ EC-130 และ<br />
ระบบ ISR (Intelligence, Surveillence and<br />
Reconnaissance ซึ่งใช้ RQ-1 (Predator)<br />
อย่างไรก็ตามการรบย่อมมีการสูญเสีย<br />
แต่การสูญเสียของเครื่องบินรบล่องหนของ<br />
NATO แบบ F-117 ที่ถูกยิงตกในวันที่สี่ของ<br />
ปฏิบัติการนั้น เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่ก็<br />
เป็นผลดีทางด้านเทคนิคการบินของนักบินรุ่น<br />
หลังต่อไป และเป็นบททดสอบการให้ความ<br />
สำคัญในคุณค่าของคน NATO ระดมสรรพ<br />
กำลังในการค้นหาและช่วยชีวิตนักบิน F-117<br />
จนสามารถช่วยเหลือเขาออกมาได้อย่าง<br />
ปลอดภัย การโจมตีของ NATO หนักหน่วงขึ้น<br />
เรื่อยๆ จนในที่สุดเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๑๙๙๙<br />
กองบัญชาการใหญ่ทางทหารของยูโกสลาเวีย<br />
กลางกรุง Belgrade ก็ถูกโจมตีจนพินาศ<br />
มืดบอดสนิทจริงๆ ในสายการบังคับบัญชา<br />
ท่ามกลางการปฏิบัติการทางอากาศที่กดดัน<br />
ยูโกสลาเวีย NATO ก็ไม่ได้ลืมการช่วยเหลือ<br />
ทางด้านมนุษยธรรมต่อผู้อพยพลี้ภัยสงคราม<br />
ชาว Albanian จาก Kosovo ที่เข้าไปอยู่ใน<br />
ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะใน Albania การ<br />
ช่วยเหลือนี้เป็นภายใต้ปฏิบัติการ “Sustain<br />
Hope Operation” โดยใช้เครื่องบินลำเลียง<br />
ไอพ่นขนาดใหญ่แบบ C-17 ของกองทัพอากาศ<br />
สหรัฐฯ<br />
ภายหลังการปฏิบัติการ “Operation<br />
Allied Force” ไปได้สามสัปดาห์ Turkey<br />
และ Hungary ได้ยินยอมให้ NATO ใช้ฐานทัพ<br />
ในประเทศ ทำให้เกิดความง่ายของปฏิบัติการ<br />
มากขึ้น จนสามารถทำลายศูนย์บัญชาการ<br />
แห่งชาติของประธานาธิบดีในกรุง Belgrade<br />
34<br />
นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม
ได้ แต่รัฐบาลนาย Slobodan Milosevic ก็<br />
ไม่ได้ยอมแพ้<br />
วันที ่ ๒ พฤษภาคม ๑๙๙๙ เครื่องบินรบ<br />
แบบ F-16CJ ถูกยิงตกโดย SA-3 นักบินโชคดี<br />
เช่นเคยที่เขามีทีมค้นหาและกู้ภัยที่ยอดเยี่ยม<br />
เขาถูกช่วยเหลือในทันทีที่เท้าแตะพื้นหลังจาก<br />
ดีดตัวออกจากเครื่องบิน ในกรุง Belgrade<br />
เป็นอัมพาตหนักขึ้นเมื่อ F-117 แก้แค้นแทน<br />
เพื่อนที่ถูกยิงตก รอบนี้ F-117 หย่อน CBU-94<br />
ทำลายระบบไฟฟ้าของ Belgrade โรงงาน<br />
สำคัญๆ ให้ย่อยยับไประบบไฟฟ้าของ<br />
ยูโกสลาเวียหายไปถึงร้อยละ ๗๐ ส่งผลถึง<br />
การสื่อสารทุกอย่างต้องชะงักงันไปด้วย อาจ<br />
ถึงขั้นตีกลองแจ้งความส่งข่าวกันของผู้คนใน<br />
ยูโกสลาเวีย<br />
ความผิดพลาดที ่น่าอายเกิดขึ้นกับ<br />
สหรัฐฯ เมื่อ ๗ พฤษภาคม ๑๙๙๙ เครื ่อง B-2<br />
ทิ้งระเบิดทำลายถูกเป้าหมาย แต่เป็นเป้าหมาย<br />
ที่แปลความผิดอย่างมหาศาล โดยที่ฝ่าย<br />
วิเคราะห์เป้าหมายมั่นใจว่า ตึกใหญ่กลางกรุง<br />
Belgrade คือ Federal Directorate for<br />
Supply and Procurement แต่แท้จริงแล้ว<br />
เป็นตึกของคู่แข่งพลังอำนาจของโลกยุคใหม่<br />
คือ ตึกที่ทำการสถานทูตจีน มีคนตายไปสาม<br />
คน บาดเจ็บอีกยี่สิบคน ประธานาธิบดี Clinton<br />
ถึงกับต้องขออภัยทางการทูตและเรียกความ<br />
ผิดพลาดครั้งนี้ว่า “Tragic Mistake” จีนเอง<br />
คงบอกไม่เป็นไร ทุกอย่างรอกันได้ เวลาจะเป็น<br />
เครื่องรักษาความเจ็บปวด<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
๒๔ พฤษภาคม ๑๙๙๙ NATO เข้า<br />
ซ้ำระบบไฟฟ้าและสื่อสารอีกรอบ เที่ยวนี้<br />
หนักหนาสาหัสมาก เหมือนนวดแผลที่ยังไม่<br />
หาย ระบบไฟฟ้าและการสื่อสารปั่นป่วนใช้<br />
งานไม่ได้ทั้งประเทศ ระบบธนาคารต้องปิด<br />
ตัวเอง การโฆษณาหาพวกปลุกระดมทำไม่ได้<br />
ประเทศอยู่ในขั้นยับเยินมาก ในเวลาเดียวกัน<br />
The International Criminal tribunal ได้<br />
พิพากษาว่า นาย Slobodan Milosevic<br />
ประธานาธิบดีแห่งยูโกสลาเวีย มีการกระทำ<br />
ที่เป็นอาชญากรสงคราม<br />
๕ พฤษภาคม ๑๙๙๙ นาย Slobodan<br />
Milosevic ประธานาธิบดีแห่งยูโกสลาเวีย<br />
ประกาศยินดีที่จะเจรจา แต่ในช่วงเจรจา<br />
NATO ยังคงโจมตียุทธศาสตร์สำคัญที่ยัง<br />
เหลืออยู่เช่น สนามบินชั้นรอง โรงกลั่นน้ำมัน<br />
และกำลังทหารของ Serbia ใน Kosovo<br />
เป็นการจบขีดความสามารถทางทหารเชิงรุก<br />
ต่อ Kosovo อย่างสิ้นเชิง<br />
๙ มิถุนายน ๑๙๙๙ นาย Slobodan<br />
Milosevic ประธานาธิบดีแห่งยูโกสลาเวีย ยอมรับ<br />
เงื่อนไขทุกประการของ NATO ทหาร Serbia ถอน<br />
กำลังที่พิการจาก Kosovo กลับรังที่ทรุดโทรม<br />
เจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่ปฏิบัติหน้าที่ตรวจ<br />
สอบควบคุมให้เกิดสันติภาพ เริ่มเดินทางเข้า<br />
Kosovo ชาว Albanian ที่พลัดบ้านเมืองไป เริ่ม<br />
หวนกลับคืนมาบูรณะถิ่นฐานบ้านเกิด รุ่งขึ้น<br />
วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๑๙๙๙ NATO ยุติการ<br />
โจมตีทางอากาศที่มีมาอย่างหนักหน่วงตลอด<br />
ช่วงเวลา ๗๘ วัน<br />
ชีวิตของผู้นำยูโกสลาเวีย ที่ใช้ด้านที่มืดมิด<br />
ของความเกลียดชังในเรื่องเชื้อชาติและศาสนา<br />
เป็นแสงนำทางชีวิตเขาและชาติบ้านเมือง มา<br />
อยู่ในสถานะที่น่าเป็นห่วง ตัวเขาถูกส่งตัว<br />
ไปขึ้นศาลโลกที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เมื่อ<br />
๒๙ มิถุนายน ๒๐๐๑ ในข้อหาอาชญากร<br />
สงคราม ต้นตอของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เผา<br />
รหัสพันธุกรรม ศาลโลกเริ่มพิจารณาคดีเมื่อ<br />
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๐๐๒ เขาถือว่าเป็นผู้นำ<br />
รัฐคนแรกที่ต้องขึ้นศาลโลกเพื่อพิจารณาคดี<br />
อาชญากรสงคราม ชีวิตเขาอาภัพนัก ไม่ยืนยาว<br />
พอที่จะได้ฟังผลการพิจารณา เขาเสียชีวิตภายใต้<br />
การถูกควบคุมตัวในระหว่างพิจารณาคดีเมื่อ<br />
วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๐๐๖<br />
“Operation Allied Force” เป็นบท<br />
เรียนของสงครามยุคใหม่ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า<br />
การมีกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า และสามารถ<br />
ครองความเป็นเจ้าอากาศได้ จนทำให้การ<br />
ปฏิบัติการทางทหารใดๆ เป็นไปได้เกือบจะเสรี<br />
นั้น คือสิ ่งบอกอนาคตว่า ชัยชนะจะเป็นของ<br />
ผู้ที่ครองฟ้า และที่สำคัญ กำลังทางอากาศ<br />
ที่เข้มแข็ง สามารถนำพาให้เกิดชัยชนะ<br />
ได้แต่เพียงลำพัง “Operation Allied<br />
Forceproved that a war can be win by<br />
airpower alone”<br />
35
ดุลยภาพทางการทหาร<br />
ของประเทศอาเซียน<br />
ฝูงรถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
หน่วยนาวิกโยธินอินโดนีเซีย<br />
ประจำการด้วยรถรบทหารราบ<br />
แบบบีเอ็มพี-๒ (BMP-2) ซื้อ<br />
มาจากประเทศยูเครน รวม ๙ คัน เมื่อปี<br />
พ.ศ.๒๕๔๑ ได้รับมอบรถรบบีเอ็มพี-๒ ในปี<br />
เดียวกัน ต่อมาได้จัดซื้อเพิ่มเติมอีก ๒ คัน จัด<br />
ซื้อเพิ่มเติมอีก ๑๑ คัน เป็นรุ่นบีวีพี-๒ (BVP-2)<br />
เป็นรุ่นที่ผลิตจากประเทศสโลวาเกีย ได้รับ<br />
มอบในปี พ.ศ.๒๕๔๓ จัดซื้อเพิ่มเติมอีกหลาย<br />
ครั้งรวมประจำการ ๔๐ คัน หน่วยนาวิก<br />
โยธินอินโดนีเซียนำรถรบทหารราบแบบบีเอ็ม<br />
พี-๒ (BMP-2) ปฏิบัติการทางทหารที่จังหวัด<br />
อาเจะห์ (Aceh) ปี พ.ศ.๒๕๔๓ - ๒๕๔๖ หน่วย<br />
นาวิกโยธินอินโดนีเซียมีผู้บังคับหน่วยชั้นยศ<br />
พลตรี กำลังพล ๒๙,๐๐๐ นาย กำลังทหาร<br />
ประกอบด้วย กองพลน้อยทหารราบนาวิก<br />
โยธินที่ ๑ กองบัญชาการอยู่ที่เมืองสุราบายา<br />
กำลังรบ ๓ กองพันทหารราบ (กองพันที่ ๑,<br />
กองพันที่ ๓ และกองพันที่ ๕) พร้อมด้วยหน่วย<br />
สนับสนุนในส่วนฐานของกองพลน้อย, กองพล<br />
น้อยทหารราบนาวิกโยธินที่ ๒ กองบัญชาการ<br />
อยู่ที่กรุงจาการ์ต้ากำลังรบ ๓ กองพันทหาร<br />
ราบ (กองพันที่ ๒, กองพันที่ ๔ และกองพันที่ ๖)<br />
พร้อมด้วยหน่วยสนับสนุนส่วนฐานของกองพลน้อย<br />
รถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ กองทัพบกอินเดีย ขณะทำการฝึกภาคสนามที่รัฐราชาสถาน (Rajasthan) ทะเลทรายธาร์ (Thar Desert)<br />
ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพื้นที่ขนาด ๒๐๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ใกล้ชายแดนปากีสถาน<br />
36<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
รถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ กองทัพบกรัสเซีย จากกองทัพที่ ๕๘ ขณะปฏิบัติการทางทหารที่เซ้าโอซีเทีย (South Ossetia War)<br />
พ.ศ.๒๕๕๑<br />
ป้อมปืนของรถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ พร้อมด้วยปืนหลักขนาด ๓๐ มิลลิเมตร เครื่อง<br />
ยิงลูกระเบิดควัน (สามท่อยิง) และจรวดนำวิถีต่อสู้รถถัง เอที-๕ พร้อม ด้วยช่องยิงทางด้าน<br />
ข้าง (สามช่องยิง) ลูกจรวดหนัก ๑๔.๖ กิโลกรัม หัวรบหนัก ๒.๗ กิโลกรัม นำวิถีด้วยระบบ<br />
เส้นลวด และระยะยิง ๗๐ - ๔,๐๐๐ เมตร<br />
และกองพลน้อยทหารราบนาวิกโยธินที ่ ๓<br />
กองบัญชาการอยู่ที่จังหวัดสุมาตราใต้ กำลังรบ<br />
รวม ๔ กองพันทหารราบ (กองพันที่ ๗, กองพัน<br />
ที่ ๘ และกองพันที่ ๙)<br />
รถรบทหารราบบีเอ็มพี-๒ (BMP-2) อดีต<br />
สหภาพโซเวียตได้พัฒนาขึ้นในยุคสงครามเย็น<br />
ต่อจากรถรบทหารราบแบบบีเอ็มพี-๑ (BMP-<br />
1) ข้อมูลสำคัญคือ น้ำหนัก ๑๔.๓ ตัน ยาว<br />
๖.๗๒ เมตร กว้าง ๓.๑๕ เมตร สูง ๒.๔๕ เมตร<br />
เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด ๓๐๐ แรงม้า (UTD-<br />
20/3) ความเร็วในภูมิประเทศ ๔๕ กิโลเมตร<br />
ต่อชั่วโมง ความเร็วในน้ำ ๗ กิโลเมตรต่อ<br />
ชั่วโมง ระยะปฏิบัติการ ๖๐๐ กิโลเมตร เกราะ<br />
หนา ๓๓ มิลลิเมตร อาวุธหลัก ปืนขนาด ๓๐<br />
มิลลิเมตร (2A42 อัตราการยิงสูงสุด ๕๕๐ -<br />
๘๐๐ นัดต่อนาทีและระยะยิงไกล ๔,๐๐๐<br />
เมตร) จรวดนำวิถีต่อสู้รถถังขนาดหนักแบบ<br />
เอที-๕ (AT-5 Spandrel/9M113 Konkurs<br />
ลูกจรวดหนัก ๑๔.๖ กิโลกรัม หัวรบหนัก ๒.๗<br />
กิโลกรัม นำวิถีด้วยระบบเส้นลวด ระยะยิง<br />
๗๐ - ๔,๐๐๐ เมตร) ปืนกลเบาขนาด ๗.๖๒<br />
มิลลิเมตร (PKTM) และบรรทุกทหารได้ ๑๐<br />
นาย (ประจำรถ ๓ นาย + ทหารราบ ๗ นาย)<br />
นำเข้าประจำการในกองทัพบกอดีตสหภาพ<br />
โซเวียตปี พ.ศ.๒๕๒๓ เป็นห้วงของสงครามเย็น<br />
ที่มีความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์และ<br />
ปฏิบัติการทางทหารเกิดขึ้นหลายครั้งทั่วโลก<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
37
รถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ กองทัพอัฟกานิสถานขณะปฏิบัติการลาดตระเวนวันที่<br />
๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ บริเวณหมู่บ้านทาแก็บ (Tagab) ประเทศอัฟกานิสถาน<br />
รถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ (รุ่นบังคับการ) กองทัพอิรัก ถูกยิงได้รับความเสียหายอย่างมาก<br />
ทางด้านซ้ายบริเวณด้านหลังของตัวรถ พื้นที่การรบอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิรัก<br />
ในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ.๒๕๔๖<br />
จึงได้ประจำการแพร่หลายประกอบด้วย<br />
กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก กลุ่มประเทศ<br />
ตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซีย<br />
และอัฟริกาแสดงถึงรถรบทหารราบแบบ<br />
บีเอ็มพี-๒ (BMP-2) ประจำการอย่างแพร่หลาย<br />
ในหลายภูมิภาคของโลกรวมทั้งได้ปฏิบัติการ<br />
ทางทหารในหลายสภาพของพื้นที่การรบ<br />
และหลายสภาพภูมิอากาศที่จะลดขีดความ<br />
สามารถของรถรบทหารราบให้ลดต่ำลงทั้ง<br />
ระบบเครื่องยนต์และระบบอาวุธ (ฝุ่นทราย<br />
ละเอียดรวมทั ้งอุณหภูมิสูงมากและอุณหภูมิ<br />
ต่ำมากใต้ศูนย์องศาเซลเซียส จะลด<br />
ประสิทธิภาพการทำงานของกลไกหรือทำงาน<br />
ไม่เป็นไปตามปกติ)<br />
รถรบทหารราบแบบบีเอ็มพี-๒ (BMP-2)<br />
มีส่วนร่วมปฏิบัติการทางทหารทั่วโลกตั้งแต่<br />
ปี พ.ศ.๒๕๒๓ จนถึงปัจจุบันนาน ๓๕ ปี<br />
รวมทั้งสิ้น ๒๐ สมรภูมิ แต่มีปฏิบัติการทาง<br />
ทหารขนาดใหญ่มีผลกระทบต่อความมั่นคง<br />
ของภูมิภาคที่สำคัญคือสงครามกลางเมืองใน<br />
อังโกลา พ.ศ.๒๕๑๘ - ๒๕๔๕, โซเวียตบุก<br />
อัฟกานิสถาน พ.ศ.๒๕๒๒ - ๒๕๓๒ (เมื่อวันที่<br />
๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๒ รถรบทหารราบ<br />
บีเอ็มพี-๒ จึงเข้าร่วมปฏิบัติการในเวลาต่อมา<br />
ในสนามรบที่เป็นทะเลทรายแห้งแล้งอดีต<br />
สหภาพโซเวียตทำการรบนาน ๙ ปี กับอีก ๑<br />
เดือน), สงครามอิหร่าน-อิรัก พ.ศ.๒๕๒๓ -<br />
๒๕๓๑ (อิรักบุกอิหร่าน เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน<br />
พ.ศ.๒๕๒๒ อิรักทำการรบนาน ๗ ปีกับอีก ๑๐<br />
เดือน), สงครามอ่าวเปอร์เซีย ครั้งที่ ๑ พ.ศ.<br />
๒๔๓๓ - ๒๕๓๔ (ยุทธการพายุทะเลทราย),<br />
สงครามในอัฟกานิสถาน พ.ศ.๒๕๔๔- ปัจจุบัน,<br />
สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๖ -<br />
ปัจจุบันและสงครามกลางเมืองในซีเรีย พ.ศ.<br />
๒๕๕๔ - ปัจจุบัน<br />
เมื่ออดีตสหภาพโซเวียตได้ล่มสลาย<br />
ลงเป็นผลให้เกิดเป็นประเทศใหม่อีกหลาย<br />
ประเทศและได้นำมาสู่สงครามกลางเมือง<br />
ทหารทั้งสองฝ่ายมีการใช้อาวุธที ่เหมือนกัน<br />
โดยเฉพาะรถรบทหารราบแบบบีเอ็มพี-๒<br />
(BMP-2) พร้อมทั้งยุทธวิธีที่เหมือนกัน มีการ<br />
เผยแพร่ข่าวสารให้ต่างประเทศไม่มากนักคือ<br />
สงครามกลางเมืองในจอร์เจีย พ.ศ.๒๕๓๑ -<br />
๒๕๓๖,สงครามกลางเมืองในทาจิคิสถาน พ.ศ.<br />
๒๕๓๕ - ๒๕๔๐, สงครามกลางเมืองเชเชน<br />
ครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๗ - ๒๕๓๙, สงครามหกวัน<br />
ในอับคาฮ์เซีย พ.ศ.๒๕๓๑, สงครามกลาง<br />
เมืองเชเชนครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๒,สงครามที่<br />
38<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
เซ้าโอซีเทีย พ.ศ.๒๕๕๑ และสงครามในยูเครน<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ มีการผลิตออกมาทั้งสิ้น ๕ รุ่น<br />
(เป็นรุ่นหลักตามภารกิจการใช้งาน) นอกจาก<br />
นี้ยังมีการผลิตในต่างประเทศ ประกอบ<br />
ด้วย อดีตเชคโกสโลวเกีย(เรียกชื่อใหม่ว่า<br />
BVP-2) และอินเดีย (BMP-2, มีชื่อเรียก<br />
ว่า Sarath ทำการผลิตระหว่างปี พ.ศ.<br />
๒๕๓๐-๒๕๔๒ รวมทั้งสิ้น ๑,๒๕๐ คัน)<br />
ปัจจุบันนี้ยังคงประจำการอยู่ทั่วโลกรวม ๓๒<br />
ประเทศ สำหรับประเทศทวีปเอเชียที่นำเข้า<br />
ประจำการรวม ๑๐ ประเทศประกอบด้วย<br />
จอร์แดน ๓๑ คัน, ซีเรีย ๑๐๐ คัน (ปัจจุบัน<br />
ยังมีการรบอยู่), เยเมน ๓๓๔ คัน (คงเหลือ<br />
ประจำการ ๑๐๐ คัน), คูเวต ๓๖๗ คัน (คงเหลือ<br />
ประจำการ ๗๖ คัน), อัฟกานิสถาน (๑๕๐ คัน<br />
มีปฏิบัติการทางทหารเป็นระยะเวลานาน<br />
จึงไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง), อิหร่าน ๑,๕๐๐ คัน<br />
(คงเหลือประจำการ ๔๐๐ คัน) ,ศรีลังกา ๔๐ คัน,<br />
อินเดีย ๑,๕๐๐ คัน, อินโดนีเซีย ๔๐ คันและ<br />
เวียดนาม ๖๐๐ คัน กองทัพบกอิรักเคยประจำ<br />
การด้วยรถรบทหารราบบีเอ็มพี-๒ (BMP-2)<br />
เป็นจำนวนมากตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๙ ต่อมา<br />
ได้นำเข้าปฏิบัติการบุกประเทศคูเวตเมื่อปี<br />
พ.ศ.๒๕๓๓ นำมาสู่ยุทธการพายุทะเลทราย<br />
หรือรู้จักในชื่อสงครามอ่าวเปอร์เซีย ครั้งที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๓๔ และสงครามอ่าวเปอร์เซีย ครั้งที่ ๒<br />
พ.ศ.๒๕๔๖ รถรบทหารราบบีเอ็มพี-๒ (BMP-2)<br />
ถูกทำลายเป็นจำนวนมากในพื้นที่การรบ<br />
ที่เป็นทะเลทราย ปัจจุบันนี้กองทัพอิรักอยู่ใน<br />
การสร้างกองทัพบกขึ้นใหม่ (ส่วนใหญ่จะนำ<br />
อาวุธรุ่นใหม่เข้าประจำการ อาวุธที่ประจำการ<br />
มาเป็นเวลานานจะมีความยุ่งยากในระบบการ<br />
ส่งกำลังบำรุง)<br />
กองทัพบกเวียดนามประจำการด้วยรถ<br />
รบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ (BMP-2) รวม ๑๕๐<br />
คัน จัดซื้อมาจากอดีตสหภาพโซเวียต และได้<br />
รับมอบระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๕ - ๒๕๒๗ จัดซื้อ<br />
เพิ่มเติมอีกหลายครั้ง ปัจจุบันประจำการ ๖๐๐<br />
คัน จึงเป็นรถรบหลักของกองพลทหารราบ ๖<br />
กองพล และกองพลน้อยรถถัง ๓ กองพล<br />
รถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ กองทัพบกซีเรียขณะปฏิบัติการทางทหารเมือง<br />
ตอนเหนือของประเทศ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖ อาวุธหลักคือปืนขนาด ๓๐ มิลลิเมตร<br />
(2A42) อัตราการยิง (ต่ำ) ๒๐๐ - ๓๐๐ นัดต่อนาที อัตราการยิงสูงสุด ๕๕๐ - ๘๐๐ นัด<br />
ต่อนาทีและระยะยิงไกล ๔,๐๐๐ เมตร<br />
รถรบทหารราบ บีเอ็มพี-๒ ทางด้านในเป็นที่นั่งของทหารราบ พร้อมด้วยอาวุธที่น ำติดตัว<br />
บรรทุกทหาร ๑๐ นาย ประกอบด้วย พลประจำรถ ๓ นาย พร้อมด้วยทหารราบ ๗ นาย<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
39
เปิดประตู<br />
สู่เทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
เปิดตัว T-14 รถถังใหม่<br />
หรือ Minor Change<br />
รถถังถือเป็นยานรบทางบกหลัก<br />
สำหรับปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกใน<br />
ยุทธวิธีที่ต้องอาศัยความรวดเร็ว<br />
ในการเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่เป้าหมายเพื่อประชิด<br />
แนวข้าศึก ควบคู่ไปกับอำนาจการโจมตีและ<br />
ทำลายที่รุนแรง สามารถปฏิบัติภารกิจได้ใน<br />
ทุกสภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศ โดยที่<br />
สามารถดำรงความอยู่รอดของรถถังและ<br />
เจ้าหน้าที่ภายในรถให้ปลอดภัย ศักยภาพและ<br />
แสนยานุภาพของรถถังเหมาะกับรูปแบบ<br />
ของการเจาะลึกหรือการโอบปีกกว้างพื้นที่<br />
การรบ ในปัจจุบันรถถังที่ได้รับการยกย่อง<br />
ด้านสมรรถนะและได้รับการกล่าวขาน<br />
จนเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีมีหลายรุ่น อาทิ<br />
รถถัง T-90 ของรัสเซีย M1A2 Abrams ของ<br />
สหรัฐ Leopard 2A7+ ของเยอรมัน รถถัง<br />
เหล่านี้นอกจากจะถูกนำเข้าประจำการใน<br />
ประเทศของผู้ผลิตแล้ว ยังได้รับจัดหาเพื่อ<br />
บรรจุเข้าประจำการกองทัพในต่างประเทศ<br />
อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศ<br />
ที่สามารถผลิตรถถังใช้เองในประเทศ<br />
ยกตัวอย่างเช่น รถถัง Merkava ของอิสราเอล<br />
และ T-99 ของจีน เป็นต้น รถถังเหล่านี้มี<br />
ต้นกำเนิดมาจากแนวคิดและเทคโนโลยีในยุค<br />
ช่วงสมัยสงครามเย็น สำหรับปฏิบัติการรบตาม<br />
แบบหรือ Conventional Warfare ผ่านการ<br />
พัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถไปตามกาล<br />
เวลาและยุคสมัย ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนปีนี้<br />
รถถัง T-14 Armata ของรัสเซียได้ปรากฏตัว<br />
ออกมาให้เห็นในขบวนพิธีฉลองชัยชนะใน<br />
สงครามโลกครั้งที่สอง ใจกลางย่านจัตุรัสแดง<br />
การปรากฏตัวครั้งนี้ได้สร้างแรงสั ่นสะเทือน<br />
เขย่าวงการรถถังครั้งใหญ่พลิกโฉมรูปลักษณ์<br />
ของรถถังค่ายรัสเซียที่เราคุ้นเคย ด้วยรูปทรง<br />
การออกแบบอันทันสมัยภายใต้กรอบแนว<br />
ความคิดทางยุทธวิธีแบบใหม่ครอบคลุมการรบ<br />
40 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
รถถัง Leopard 2<br />
รถถัง T-90<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
ในแบบ Conventional Warfare และ การรบ<br />
ในเขตเมือง (Urban Warfare) แต่ยังคงดำรงไว้<br />
ซึ่งประสิทธิภาพและแสนยานุภาพตามแบบ<br />
ฉบับของยุทโธปกรณ์ค่ายรัสเซีย<br />
ระบบอาวุธ<br />
เครื่องหมายการค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของ<br />
รถถังค่ายรัสเซีย คือ อำนาจการยิง ไม่ว่าจะ<br />
ในยุคสมัยใดก็ตาม ยานรบทางบกของรัสเซีย<br />
จะอัดแน่นไปด้วยระบบอาวุธหลากหลายชนิด<br />
เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจการทำลาย สำหรับ<br />
T-14 ยังคงเดินตามเส้นทางนั้นด้วยปืนใหญ่<br />
ขนาด ๑๒๕ มิลลิเมตร มีขนาดใหญ่กว่าปืน<br />
รถถังของกลุ่มประเทศ NATO อย่าง Leopard 2<br />
และ Abram ที่มีขนาด ๑๒๐ มิลลิเมตร ด้านนอก<br />
ลำกล้องปืนของรถถัง T-14 ถูกหุ้มด้วยปลอก<br />
กันความร้อน ส่วนด้านในลำกล้องน่าจะถูก<br />
เคลือบสารในกลุ่มของ Chromium ช่วยชะลอ<br />
การสึกกร่อนและยืดอายุการใช้มากขึ้น ภายใน<br />
ป้อมปืนบรรจุกระสุนพร้อมยิงจำนวน ๓๒ นัด<br />
การบรรจุกระสุนเป็นแบบอัตโนมัติ ช่วยลด<br />
ขั้นตอนในการบรรจุกระสุน เพิ่มความรวดเร็ว<br />
ในการยิงสำหรับกระสุนสำรองอีก ๔๕ นัด<br />
ถูกแยกเก็บไว้คนละส่วนกับห้องพลประจำรถเพื่อ<br />
ความปลอดภัยตัวป้อมปืนยังคงรูปแบบเดิม<br />
ที่เน้นให้มีขนาดเล็กมีน้ำหนักเบาและยากต่อการ<br />
ถูกตรวจจับ รูปทรงของป้อมปืนมีมุมลาดเอียง<br />
ช่วยลดการเจาะทะลุทะลวงจากอาวุธของ<br />
ฝ่ายข้าศึก<br />
ความแม่นยำในการโจมตีถือเป็นหัวใจ<br />
สำคัญของอาวุธยิงเล็งตรงอย่างปืนใหญ่รถถัง<br />
ไม่เพียงเท่านั ้น พลปืนประจำรถจะต้องค้นหา<br />
และพิสูจน์ทราบเป้าหมายได้จากระยะไกล<br />
ทำการยิงได้อย่างแม่นยำทั้งในขณะเคลื่อนที่<br />
หรือหยุดนิ่ง ที่ผ่านมานั้นการพิสูจน์ทราบ<br />
เป้าหมายด้วยกล้องตรวจจับความร้อนหรือ<br />
กล้องกลางคืนถือเป็นจุดอ่อนทางด้านเทคโนโลยี<br />
ของรัสเซียที่ล้าหลังชาติตะวันตกและนับ<br />
เป็นข้อจำกัดของรถถังรัสเซียในรุ่นที่ผ่านมา<br />
แต่ปัญหาเหล่านี้ได้หมดไปเมื่อรัสเซียหันไปพึ่ง<br />
เทคโนโลยีทางฝั่งตะวันตก ช่วยให้รถถังของ<br />
รัสเซียมีขีดความสามารถในการรบเวลากลางคืน<br />
ได้ทัดเทียมกับรถถังจากค่ายอื่นๆ ในส่วน<br />
ของการยิงที่แม่นยำนั้น T-14 มีระบบควบคุม<br />
การยิงซึ ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็น Hardware<br />
และ Software ผ่านการปรับปรุงพัฒนาจาก<br />
รถถังรุ่นก่อนๆ ระบบควบคุมการยิงจะหลอมรวม<br />
ข้อมูลจากอุปกรณ์ตรวจวัดต่างๆ อาทิ เครื่อง<br />
วัดระยะด้วยแสงเลเซอร์ Laser Rangefinder<br />
เครื่องวัดค่าสภาพอากาศ รวมถึงข้อมูลของ<br />
เป้าหมายและประเภทของกระสุนที่ใช้โดยจะ<br />
คำนวณออกมาเป็นวิถีกระสุน แล้วทำการส่ง<br />
ข้อมูลต่อไปยังกลไกเพื่อปรับทิศและมุมของ<br />
41
ลำกล้องปืน นอกจากนี้บทเรียนจากสงคราม<br />
ในอัฟกานิสถานและเชชเนียเป็นสองสมรภูมิ<br />
ที่สร้างความสูญเสียให้กับรถถังรัสเซียเป็น<br />
จำนวนมาก บทเรียนนี้ได้สอนเรื่องการรับมือ<br />
กับการถูกรุมสำหรับการรบในเมือง ที่อยู่ใน<br />
ระยะประชิดโดยได้ทำการติดตั้งปืนอัตโนมัติ<br />
ขนาด ๗.๖๒ มิลลิเมตร ไว้บน T-14 โดยที่พลปืน<br />
สามารถทำการยิงได้อย่างแม่นยำจากภายในรถ<br />
อย่างปลอดภัยจากการถูกลอบซุ่มโจมตี<br />
42<br />
รถถัง M1 Abram<br />
รถถัง Merkava<br />
ระบบป้องกันตัวเอง<br />
การป้องกันตัวเองของรถถัง T-14<br />
สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ชั้น ได้แก่ เกราะ<br />
Explosive Reactive Armour (ERA) แผ่น<br />
เกราะ Composite และ ระบบ Active<br />
Protection ที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์<br />
(Sensor) ต่างๆ โดยรอบป้อมปืน ซึ่งส่วนหนึ่ง<br />
คาดว่าเป็นอุปกรณ์ตรวจจับรังสีอินฟราเรด<br />
ในย่านแสงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความร้อนหรือ<br />
แสงเลเซอร์รวมทั้งแผงเรดาร์ เพื่อตรวจจับ<br />
อาวุธต่อสู้รถถัง นอกจากนี้ยังได้มีการวาง<br />
ตำแหน่งท่อยิง Smoke Grenade ที่มีรัศมีการ<br />
ป้องกันแบบรอบทิศ รวมถึงด้านบนของป้อม<br />
ปืนเพื่อรับมือกับจรวดต่อสู้รถถังชนิดสามารถ<br />
เลือกโหมดการโจมตีแบบ Top Attack อย่าง<br />
Spike หรือ Javelin ซึ่งวิถีการเคลื่อนที่ของ<br />
จรวดจะเข้าโจมตีจากทางด้านบนของรถถัง<br />
เนื่องจากเป็นส่วนที่มีการป้องกันที่บอบบาง<br />
ที่สุดนอกจากนี้ยังมีตะแกรงเหล็ก Slat Armor<br />
คอยทำหน้าที่ป้องกันห้องเครื่องจากการ<br />
โจมตีอีกด้วย ภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัว<br />
ของรถถังอีกประเภทคือระเบิดแสวงเครื่อง<br />
หรือ IED ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับ<br />
รถถังไม่แพ้จรวดต่อสู้รถถัง ดังที่รถถัง M1<br />
Abram เกราะ ตะแกรงเหล็ก Slat Armor<br />
อุปกรณ์ต่อต้านกับได้เผชิญมาแล้วในอิรัก รถถัง<br />
T-14 จึงได้ติดตั้งอุปกรณ์ต่อต้านกับระเบิด<br />
และระเบิดแสวงเครื่องด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า<br />
Electromagnetic Pulse ในส่วนของการป้องกัน<br />
พลประจำรถนับเป็นอีกหนึ่งด้านที่ได้รับการ<br />
ปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น โดยตำแหน่งของ<br />
ที่นั่งของพลประจำรถจะถอยห่างออกจาก<br />
ด้านหน้ารถ ซึ่งระยะห่างนี้จะเป็นการเพิ่ม<br />
พื้นที่สำหรับติดตั้งแผ่นเกราะให้มีความหนา<br />
มากขึ้น<br />
ภาพรวม<br />
ด้านมิติของรถถัง T-14 มีน้ำหนักโดย<br />
ประมาณอยู่ที่ ๔๘ ตัน ถือว่ามีขนาดที่เล็กกว่า<br />
และน้ำหนักตัวที่เบากว่า M1Abrams หรือ<br />
Leopard 2 มีน้ำหนักโดยเฉลี่ยที่ ๖๐ ตัน<br />
และมีพลประจำ ๔ คน ซึ่งประกอบไปด้วย<br />
ผู้บังคับรถ, พลขับ, พลปืน และพลบรรจุกระสุน<br />
ในขณะที่ T-14 มีพลประจำรถ ๓ นาย เนื่องจาก<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
การบรรจุกระสุนทำโดยอัตโนมัติ โดยที่ห้อง<br />
พลประจำรถถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งที่<br />
ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ที่นั่งของผู้บังคับรถ และ<br />
พลขับ อยู่ในแนวระนาบเดียวกัน ช่วยให้การ<br />
สื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ T-14 มี<br />
ปืนใหญ่ขนาด ๑๒๕ มิลลิเมตร เป็นอาวุธหลัก<br />
อีกทั้งยังยิงอาวุธนำวิถีได้อีกด้วย ด้านระบบขับ<br />
เคลื่อน T-14 เลือกที่จะใช้เครื่องยนต์ดีเซลใน<br />
ระดับแรงม้าที่ ๑,๕๐๐ แรงม้า และช่วงล่างที่<br />
มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดและมีใช้งานอยู่<br />
ในกองทัพ เพื่อความง่ายและสะดวกต่อการ<br />
ซ่อมบำรุง ต่างจาก M1Abrams ที่ขับเคลื ่อน<br />
ด้วยเครื่องยนต์ Turbine ถึงแม้จะใช้น้ำมันได้<br />
หลายชนิด (Multi Fuel) ทั้ง JP4 หรือ JP8 แต่<br />
มีความสลับซับซ้อนในการซ่อมบำรุง ในด้าน<br />
ของระบบไฟฟ้าภายในยานรบหรือ Vetronics<br />
(Vehicle Electronics) ประมาณการว่าส่วน<br />
ใหญ่ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่มาจากรถถัง T-90<br />
โดยอาจจะมีปรับปรุงในส่วนของ Software<br />
รวมทั้งการปรับปรุงระบบควบคุมการยิงให้<br />
มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ตลอดจนการบริหาร<br />
จัดการข้อมูลและการแสดงผลจากระบบตรวจ<br />
จับต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่รอบตัวรถ<br />
สรุป<br />
นาทีนี้คงต้องยกนิ้วให้ทีมงานนักวิจัย<br />
รถถัง T-14 ที่ได้ทำการวิเคราะห์และศึกษาสภาพ<br />
แวดล้อมและภัยคุกคามเรียกว่าได้ทำการบ้าน<br />
มาเป็นอย่างดี มีการปรับปรุง พัฒนา และแก้ไข<br />
ข้อจำกัดทางเทคนิคต่างๆ รวมถึงปัญหาจาก<br />
การใช้งานที่ผ่านมาในอดีตได้อย่างครบถ้วน<br />
และสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเคลื่อนที่<br />
ระบบอาวุธ ความอยู่รอดในสนามรบ มีการใช้<br />
อะไหล่และชิ้นส่วนแบบเดียวกับยานรบภาค<br />
พื้นดินแบบอื่นๆ ช่วยเพิ่มความสะดวกด้าน<br />
การส่งกำลังบำรุงแบบชนิดที่ว่าถูกใจหน่วย<br />
ผู้ใช้ สบายใจหน่วยผู้ซ่อม นี่คงจะเป็นการส่ง<br />
สัญญาณที่ชัดเจนจากแดนหมีขาวรัสเซียถึงช่วง<br />
เวลาแห่งการปฏิรูปและพัฒนากำลังรบให้มี<br />
ความทันสมัย คิดนอกกรอบและก้าวข้ามความ<br />
คุ้นเคยกับแนวคิดสมัยยุคสงครามเย็น ที่ตาม<br />
หลอกหลอนมาเป็นเวลานานจนกระทั่งได้ออก<br />
มาเป็นรถถังที่ถือว่าเหมาะกับหลักนิยมและ<br />
สภาพแวดล้อมด้านภัยคุกคามของรัสเซียอย่าง<br />
สมบูรณ์แบบ นับจากนี้ไป T-14 จะเป็นฐาน<br />
ทางด้านเทคโนโลยีที่จะใช้ก้าวไปในการพัฒนา<br />
รถถังรุ่นใหม่ๆ ของรัสเซียต่อไปในอนาคต<br />
เกราะ ตะแกรงเหล็ก Slat Armor<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
43
วัฒนธรรมทางการเมือง<br />
ของสังคมไทยกับ<br />
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์<br />
คนในสังคมเดียวกันมักมีรูปแบบ<br />
พฤติกรรมทางการเมืองที่<br />
คล้ายคลึงกัน เช่น นักการเมือง<br />
อเมริกัน มักมีการโจมตีกันอย่างรุนแรงใน<br />
ช่วงเวลาการหาเสียง แต่เมื่อการเลือกตั ้ง<br />
ผ่านไปพวกเขาก็จะไม่ถือเอาการปะทะคารม<br />
และการโจมตีกันตอนหาเสียงมาก่อให้เกิด<br />
การบาดหมางคลางแคลงใจกัน พวกเขาจะลืม<br />
เรื่องที่ผ่านมาและเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะได้<br />
เห็นผู้สมัครที่แพ้จะเป็นคนแรกที่มาแสดงความ<br />
ยินดีกับผู้ชนะ การเดินประท้วงรัฐบาลของพวก<br />
เขามักจะเป็นไปโดยสงบแม้จะมีผู้เดินขบวน<br />
ประท้วงเป็นจำนวนมากก็ตาม ไม่ค่อยมีการ<br />
ปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการทำลาย<br />
ข้าวของให้เสียหาย<br />
44<br />
ตรงกันข้ามกับในเกาหลีใต้ที่ผู้เดินขบวน<br />
มักจะใช้กำลังเข้าปะทะกับตำรวจรักษาการณ์<br />
อยู่เสมอ มีการใช้ก้อนหินขว้างปาหรือใช้ระเบิด<br />
ขวดทำร้ายตำรวจ เช่นเดียวกับในไต้หวันจะ<br />
เห็นกันบ่อยๆ ที่ผู้แทนราษฎรใช้กำลังทำร้าย<br />
กันและกัน หรือใช้สิ่งของขว้างปากันในสภา<br />
ส่วนในประเทศอังกฤษการถกเถียงกันในสภา<br />
ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจจะเป็นไป<br />
อย่างรุนแรง แต่จะไม่มีเรื่องการทำร้ายร่างกายกัน<br />
ระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยกัน<br />
เมื่อคนเราแรกเกิดมานั้น ธรรมชาติไม่ได้<br />
สั่งให้เราหรือบอกว่าต้องพูดภาษาอะไร เชื่อ<br />
อย่างไร มีค่านิยมและบุคลิกภาพอะไรบ้าง แต่<br />
เมื่อทารกโตขึ้นเขาจะเริ่มมีลักษณะนิสัยที่ต่าง<br />
กับคนอื่นมากขึ้นๆ ลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน<br />
นี้ได้ถูกส่งผ่านขบวนการเรียนรู้จากครอบครัว<br />
โรงเรียน สถานบันทางศาสนา เพื่อนเล่นและ<br />
เพื่อนร่วมงาน โรเบิร์ต เลน นักการเมืองชาว<br />
อังกฤษให้ทัศนะว่า พ่อจะสอนความเชื่อและ<br />
ค่านิยมทางการเมืองให้ลูกโดยตรง นอกจากนี้<br />
การที่ลูกต้องอาศัยอยู่กับพ่อ เขาจะมีสิ่ง<br />
แวดล้อมเช่นเดียวกับพ่อ จึงมีโอกาสที่ทำให้<br />
คนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายๆ พ่อได้ง่าย และวิธี<br />
การที่พ่อวางตัวในสายตาของลูกหรือวิธีการ<br />
ที่พ่ออบรมลูก สร้างบุคลิกภาพบางอย่างให้<br />
ลูกซึ่งจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมือง<br />
ของลูกโดยทางอ้อม อย่างเช่นบุคลิกภาพแบบ<br />
เผด็จการ เป็นต้น เด็กๆ ในสังคมอังกฤษจะเรียน<br />
รู้ถึงระบอบประชาธิปไตยโดยทางอ้อมจากพ่อ<br />
แม่ที่พูดถึงการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์
ผู้แทน ในขณะที่สังคมเผด็จการจะไม่เคย<br />
ประสบพบเห็นว่ามีการเลือกตั้งผู้แทนหรือการ<br />
เลือกบุคคลที่จะปกครองประเทศเลย<br />
ขณะที่ ดีน เจโรส์ นักสังคมวิทยา เชื่อว่า<br />
เด็กได้รับการถ่ายทอดความเชื่อและทัศนคติ<br />
ทางการเมืองจากโรงเรียนใน ๒ วิธี คือ ถ้าเป็น<br />
โรงเรียนที่ครูเปิดโอกาสให้เด็กแสดงความ<br />
เห็นมากๆ แล้ว เด็กจะมีความกล้าที่จะแสดง<br />
ความเห็น นอกจากนี้ยังเกิดจากการสอน<br />
โดยตรงด้วยวิชาที่สอนเกี่ยวกับการเมืองซึ่ง<br />
จะช่วยสร้างความเชื่อและค่านิยมบางอย่าง<br />
แก่เด็ก เช่น อาจจะสอนความหมายของคำว่า<br />
ประชาธิปไตย ลำดับขั้นของความเป็นมาหรือ<br />
วิวัฒนาการของระบบการเมือง<br />
โรเบิร์ต เลน รวบรวมผลการศึกษาซึ่ง<br />
รายงานว่า สถานศึกษาต่างๆ สามารถถ่ายทอด<br />
ความเชื่อและค่านิยมให้แก่นักเรียน นักศึกษา<br />
ในสหรัฐอเมริกา ผลการศึกษายังพบด้วยว่า<br />
คนที่มีการศึกษาสูงมักจะรู้ความเป็นไปหรือ<br />
ข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางการเมืองดีกว่า<br />
คนที่มีการศึกษาต่ำกว่า เด็กอาจจะเปลี่ยน<br />
พรรคการเมืองที่เคยนิยมจากครอบครัวตาม<br />
โรงเรียนที่เด็กส่วนใหญ่นิยม ผู้ได้รับการศึกษา<br />
สูงขึ้นโดยเฉพาะผู้เข้ามหาวิทยาลัยจะมีแนว<br />
โน้มที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น<br />
ไปเลือกตั้ง ช่วยผู้สมัครบางคนหาเสียงหรือ<br />
เข้าร่วมโดยวิธีอื่นๆ และจะมีลักษณะที่ยอมรับ<br />
ความเห็นของคนอื่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า<br />
ความรักชาติก็เป็นสิ่งที่เด็กๆ ทั่วโลกเรียนจาก<br />
โรงเรียนและมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะโรงเรียน<br />
ประถมและมัธยมเป็นองค์กรที่สำคัญมากต่อ<br />
การสร้างความรู้สึกรักชาติในตัวเด็ก<br />
แม้ว่าคนแต่ละเชื้อชาติจะมีลักษณะ<br />
นิสัยที่แตกต่างกัน แม้แต่พี่น้องบิดามารดา<br />
เดียวกันแต่ก็จะมีลักษณะนิสัยบางอย่างที่คน<br />
ส่วนใหญ่ในสังคมมีคล้ายๆ กัน เรียกลักษณะ<br />
นิสัยของคนในสังคมเดียวกันที่คล้ายคลึงกัน<br />
นี้ว่า ลักษณะนิสัยประจำชาติ (National<br />
Characteristics) และเป็นลักษณะนิสัยที่คน<br />
ชาติอื่นในโลกส่วนใหญ่ไม่มี<br />
จากการศึกษาพบว่านิสัยประจำชาติของ<br />
คนไทยที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองมี<br />
รายละเอียดที่น่าสนใจดังต่อไปนี้<br />
ความเชื่อว่า การเมืองเป็นเรื่องของคน<br />
ชั้นสูง จากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชจนถึง<br />
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ.๒๔๗๕<br />
ถึงแม้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
45
จะมีการพัฒนาจนถึงปัจจุบัน ความรู้สึกเดิมนี้ยัง<br />
มีสืบมา ทำให้คนไทยไม่ตระหนักว่าพวกเขามี<br />
อำนาจที่จะกำหนดตัวผู้นำประเทศ มีอำนาจที่<br />
จะตั้งเงื่อนไขการใช้อำนาจของผู้นำประเทศใน<br />
รูปของนโยบายที่สัญญากับประชาชน สำหรับ<br />
คนไทยประวัติศาสตร์อันยาวนานผ่านมาเพียงใด<br />
คนไทยยังคงทำตามผู้มีอำนาจไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว<br />
กับการแย่งชิงอำนาจ ไม่โค่นล้มผู้นำที่ไม่ดี<br />
การเมืองเป็นเรื่องของคนมีอำนาจวาสนา<br />
การไม่ให้ความสำคัญกับการจงรักภักดี<br />
ต่อบุคคล ผู้เป็นนายอาจมีมากในยุโรปและ<br />
ญี่ปุ่นสมัยก่อน แต่สำหรับคนไทยจะให้ความ<br />
สำคัญกับการปรับตัวให้เข้ากับผู้มีอำนาจ<br />
มากกว่า ถ้าผู้มีอำนาจคนเก่าหมดอำนาจไปก็<br />
ต้องพยายามปรับตัว จริงอยู่คนไทยมีตัวอย่าง<br />
ของคนจงรักภักดี แต่เมื่อเป็นประชาธิปไตย การ<br />
แย่งอำนาจของนายโดยลูกน้องมีอยู่เสมอ โดย<br />
46<br />
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประณามการทรยศหักหลัง<br />
ว่าเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด ในขณะที่การทำตัว<br />
เพื่อให้เข้าถึงอำนาจใกล้ชิดผู้มีอำนาจก็เป็นเรื่อง<br />
ธรรมดา เพราะเมื่อใกล้ชิดได้ก็จะมีผล<br />
ประโยชน์ตามมา คนที่ประจบประแจงคนมี<br />
อำนาจก็มักจะได้ดีเสมอ การทำงานก้าวหน้า<br />
อย่างรวดเร็ว<br />
การไม่ให้ความสำคัญกับหลักการ กฎเกณฑ์<br />
หรือกติกา คงไม่มีประเทศใดที่คนไม่ทำผิด<br />
กฎหมาย แต่การเคารพกฎเกณฑ์ กติกาหรือ<br />
การยึดในหลักการอันใดอันหนึ่งของคนไทย<br />
เฉลี่ยมีค่อนข้างน้อย ทุกๆ วันเราจึงพบการทำ<br />
ผิดกฎหมาย ทำผิดกฎจราจร การขาดระเบียบ<br />
วินัย การแซงคิว และการใช้อภิสิทธิ์หลีกเลี่ยง<br />
กฎเกณฑ์ กติกาต่างๆ เพื่อความสะดวกสบาย<br />
ของตนเอง โดยสังคมไม่ได้ประณามพฤติกรรม<br />
ดังกล่าวแต่อย่างใด<br />
การให้ความสำคัญแก่การพึ่งพากันของ<br />
ญาติมิตรพวกพ้อง คนไทยมีความผูกพันกัน<br />
ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น เป็นพี่น้อง ญาติ<br />
เพื่อนเล่น เพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมสถาบัน คน<br />
มาจากท้องถิ่นเดียวกัน เป็นคนรู้จักกัน เป็น<br />
ครูเป็นลูกศิษย์กัน หรือแม้แต่เป็นคนที่เคยมี<br />
บุญคุณต่อกัน ซึ่งความผูกพันเหล่านี้แม้คน<br />
ชาติอื่นจะมี แต่สำหรับคนไทยนั้นถือว่า ถ้ามี<br />
ความผูกพันกัน ก็ควรจะปฏิบัติต่อกันดีกว่าการ<br />
ปฏิบัติต่อคนที่ไม่ผูกพันกัน แม้ว่าการปฏิบัตินั้น<br />
จะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็ตาม สำหรับ<br />
สังคมไทยความผูกพันในกรณีที่ไม่ใช่ญาติกัน<br />
ก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมาก แม้แต่ดื่มเหล้า<br />
วงเดียวกัน คุยกันถูกอัธยาศัยครั้งเดียวก็อาจ<br />
จะเรียกพี่เรียกน้อง และเป็นปัจจัยที่ช่วยเหลือ<br />
กันในเวลาต่อมา ถ้ายิ่งทั้งสองฝ่ายมีปัจจัยที่จะ<br />
ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ความผูกพันก็ยิ่งมีได้<br />
เร็วขึ้น ความผูกพันกันนี้ทำให้คนไทยให้ความ<br />
สำคัญแก่การที่จะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่ง<br />
รวมไปถึงการเกื้อกูลช่วยเหลือกันในสิ่งที่ไม่<br />
เป็นธรรมแก่คนอื่นด้วย รวมถึงความผูกพันใน<br />
เชิงอุปถัมภ์เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่าง<br />
คนที่มีสถานภาพต่างกัน คนที่มีสถานภาพ<br />
ทางสังคมสูงให้คนสถานภาพทางสังคมต่ำ<br />
ยืมเงิน ฝากลูกเข้าโรงเรียน ส่วนคนสถานภาพ<br />
ทางสังคมต่ำกว่าก็อาจมาช่วยทำสิ่งต่างๆ เมื่อ<br />
คนที่มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่าเรียกใช้<br />
การไม่ให้ความสำคัญแก่ความรับผิดชอบ<br />
ต่อส่วนรวม บางครั้งเราอาจจะได้เห็น<br />
คนไทยใจบุญ ทำบุญกันคราวละมากๆ แต่<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์
ก็มีวัตถุประสงค์สะสมบารมีของตนเองเพื่อ<br />
อนาคต คนไทยทำบุญกับพระมากกว่าทำบุญ<br />
กับคนชรา การทำบุญของคนไทยไม่ใช่เพื่อส่วน<br />
รวมแต่เพื่อตนเองและโดยทั่วไปยังมีความคิด<br />
เพื่อส่วนรวมน้อย<br />
การถือว่าเสียศักดิ์ศรีที่จะไปง้อคนอื่น<br />
เพราะฉะนั้นถึงแม้คนไทยจะชอบพึ่งพากัน<br />
แต่ถ้าขัดแย้งกันขึ้นมารุนแรงก็อาจโกรธกันไป<br />
นานถึงขั้นไม่เผาผีกัน ถึงตายแล้วก็ยังไม่หาย<br />
โกรธ พี่น้องที่เคยรักกันมากๆ หรือเพื่อนที่<br />
สนิทกันมากก็อาจจะแตกกันและหันหลังให้<br />
กันตลอดไป ไม่มีใครไปขอคืนดีใครที่เรียกว่า<br />
ไม่ง้อ<br />
การปรับตัวเข้ากับผู้มีอำนาจและ<br />
กฎเกณฑ์ ทำให้คนไทยเคารพยำเกรงคนที่มี<br />
สถานภาพทางสังคมสูงกว่า ไม่อยากโต้แย้ง<br />
ด้วย แต่จะพยายามทำตัวให้เข้ากันได้และ<br />
ได้รับการยอมรับจากผู้ที่สถานภาพสูงกว่า<br />
ข้าราชการที่ก้าวหน้าเร็วจะต้องรู้จักเอาใจนาย<br />
ทั้งในหน้าที่การงาน และนอกหน้าที่การงาน<br />
ส่วนนายที่มีบุคลิกภาพอำนาจนิยมก็จะชอบ<br />
ลูกน้องที่เอาใจช่วยตน พินอบพิเทา ประจบ<br />
ประแจง<br />
การขาดความคิดริเริ่ม เป็นผลมาจาก<br />
บุคลิกภาพแบบอำนาจนิยมที่ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้<br />
ผู้น้อยมาขัดแย้งกับตน ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้เด็ก<br />
แสดงความฉลาดกว่าแต่จะแสดงว่าตนรู้มาก<br />
กว่า ฉลาดกว่าอยู่เสมอ การขาดความคิดหรือ<br />
การแสดงออกของเด็กไทยทำให้คนไทยขาด<br />
ความคิดริเริ่ม คนไทยโดยทั่วไปจึงมีลักษณะ<br />
อนุรักษ์นิยมค่อนข้างสูง มักจะยอมรับสิ่งที่เป็น<br />
อยู่โดยไม่ดูเหตุผลหรือความเปลี่ยนแปลง<br />
การไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนและมอง<br />
การณ์ไกล ทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองหรือ<br />
การคิดอะไรลึกซึ้งเป็นปรัชญาที่คนไทยคิดขึ ้น<br />
เองจึงไม่ค่อยมี มีแต่เอาของต่างชาติมาศึกษา<br />
คนไทยอาจจะบ่นว่าระเบียบอย่างนั้นไม่ดีกฎ<br />
อย่างนั้นมีปัญหา แต่จะไม่กล้ากดดันให้เกิด<br />
การเปลี่ยนแปลงเพราะกฎระเบียบต่างๆ<br />
ออกมาโดยผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดี อย่า<br />
ไปคัดค้านโดยเปิดเผยจะเป็นภัยใส่ตัวเอง คนไทย<br />
จึงปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อ<br />
ประโยชน์แก่ตัวเองให้มากที่สุด<br />
การชอบทำตามใจตนเองโดยไม่คำนึงถึง<br />
ผลที่ตามมา เป็นคำพังเพยที่ว่า ทำอะไรตามใจ<br />
คือไทยแท้ ซึ่งดูจะขัดกับลักษณะอำนาจนิยม<br />
ที่ยอมอ่อนน้อมต่อผู้มีสถานภาพทางสังคมสูง<br />
กว่า แต่ผู้มีสถานภาพทางสังคมต้องรู้ว่าจะไป<br />
บังคับจิตใจผู้น้อยเกินไปไม่ได้ ต้องมีขอบเขต<br />
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐธรรมนูญของ<br />
สหรัฐอเมริกาซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๗๘๙<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตลอดแต่ยังคงส่วน<br />
ใหญ่ไว้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ<br />
ของประเทศญี่ปุ่นและอิตาลีใช้มาตั้งแต่สิ้น<br />
สงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส<br />
ใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๕๘ สาธารณรัฐเกาหลี<br />
มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญหลายครั้ง<br />
นับตั้งแต่เป็นเอกราช เมื่อสิ้นสงครามโลก<br />
ครั้งที่ ๒ ฟิลิปปินส์ก็มีการเปลี่ยนแปลง<br />
รัฐธรรมนูญหลายครั้งเช่นกัน แต่ไม่มีประเทศใด<br />
เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเท่าประเทศไทย นับ<br />
ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.<br />
๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบันที่อยู่ในระหว่างการร่าง<br />
ของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ ่ม<br />
เติม เพื่อนำไปสู่การลงมติ เป็นฉบับที่ ๒๐ ถือ<br />
เป็นลักษณะเด่นของการเมืองไทยโดยเฉพาะ<br />
อันเนื่องมาจากนิสัยประจำชาติดังกล่าวมา<br />
ข้างต้น<br />
ประเทศประชาธิปไตยทุกประเทศจำเป็น<br />
ต้องมีรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ<br />
ที่มาและขอบเขตของอำนาจของรัฐบาลและ<br />
รัฐสภาอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีประเด็น<br />
อื่นๆ เช่น อุดมการณ์ใหญ่ๆ หรือแนวนโยบาย<br />
ของรัฐ รูปแบบของรัฐ เป็นสาธารณรัฐหรือ<br />
เป็นราชอาณาจักร เป็นสหพันธรัฐหรือรัฐเดี่ยว<br />
หน้าที่สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอด<br />
จนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
พระผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร<br />
ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.<br />
๒๔๗๕ ซึ่งมีพระราชหัตถเลขาต่อท้ายคำนำ<br />
ของรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยว่า<br />
“ขอให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร<br />
ของเรานี้ จงเป็นหลักที่สถาพรสถิตประดิษฐาน<br />
สมรรถภาพอันประเสริฐ เป็นบ่อเกิดความ<br />
ผาสุกสันติคุณวิบูลราศีแก่อาณาประชาชน<br />
ตลอดจำเนียรกาลประวัติ นำประเทศสยาม<br />
บรรลุสรรพพิพัฒนชัยมงคล อเนกสุกผล<br />
สกลเกียรติยศมโหฬาร ขอให้พระบรมวงศา<br />
นุวงศ์และข้าราชการทั้งทหารพลเรือนทวย<br />
อาณาประชาราษฎรจงมีความสมัครสโมสร<br />
เป็นเอกฉันท์ในอันจะรักษาปฎิบัติรัฐธรรมนูญ<br />
แห่งราชอาณาจักรสยามนี้ให้ยืนยงอยู่กับสยาม<br />
รัฐราชสีมาตราบเท่ากัลปาวสานสมดั่งพระบรม<br />
ราชปณิธานทุกประการเทอญ”<br />
นอกจากคนในชาติจะตั้งความหวังว่า<br />
อยากเห็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย<br />
ปี ๒๕๕๙ ไม่เสียของแล้ว ยังเป็นรัฐธรรมนูญ<br />
ถาวรฉบับสุดท้ายของประเทศอีกด้วย<br />
47
การรบใหญ่<br />
ที่เมืองสิเรียม ๒๑๕๖<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
อาณาจักรพม่าในยุคที่สอง เป็นอาณาจักรที่มีความเข้มแข็ง<br />
ทางทหาร เริ่มต้นราชวงศ์จากเมืองตองอูก้าวขึ้นสู่การมีอำนาจ<br />
ทางทหารทีละน้อย พระเจ้าบุเรงนอง (King Bayinnaung)<br />
กษัตริย์ลำดับที่สาม แห่งราชวงศ์ตองอู ทรงมีกองทัพขนาดใหญ่<br />
และอาวุธที่ทันสมัยจากยุโรป อาณาจักรพม่าในยุคที่สองก้าวขึ้น<br />
สู่อำนาจทางทหารอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น อาณาจักรที่กว้างใหญ่<br />
ขึ้นกว่าในอดีตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พระองค์ทรงครองราช<br />
สมบัตินานถึง ๓๐ ปี ทรงขยายอาณาจักรให้เป็นมหาอำนาจ<br />
ทางทหารแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำโขง มีอาณาจักร<br />
ขนาดใหญ่ เมื่อพระเจ้าบุเรงนองทรงสวรรคตอาณาจักรพม่า<br />
ก้าวสู่ความวุ่นวายและนำมาสู่สงครามกลางเมือง บทความนี้<br />
กล่าวถึงการรบใหญ่ที่เมืองสิเรียมปี พ.ศ.๒๑๕๖<br />
กล่าวทั่วไป<br />
ทางตอนใต้ของอาณาจักรพม่าที่บริเวณ<br />
ปากแม่น้ำอิระวดี (Irrawaddy) ชาวโปรตุเกส<br />
เป็นเจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) มีชื่อว่า ฟิลิป<br />
เดอ บริโต นิโคเต (Philip de Brito Nicote)<br />
ได้ปรับปรุงป้อมเมืองสิเรียมให้มีความแข็งแรง<br />
ไว้ป้องกันตัวเมืองจากการรุกรานจากภายนอก<br />
และยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญ มีความเชี่ยวชาญ<br />
ในการเดินเรือและใช้ปืนใหญ่ทำการรบทาง<br />
เรือระหว่างเรือรบกับเรือรบ และการใช้ปืน<br />
ใหญ่ประจำป้อมปืนประจำเมืองทำการยิง<br />
ป้องกันการเข้าตีจากภายนอก พร้อมทั้งมี<br />
ความเชี่ยวชาญในการรบทางบกในการใช้อาวุธ<br />
สมัยใหม่ในขณะนั้น เมื่อกรุงหงสาวดีถึงกาล<br />
ล่มสลายแล้วจึงขาดอำนาจการปกครองจาก<br />
ศูนย์กลาง เป็นผลให้เมืองสิเรียม (Syriam) มี<br />
บทบาทมากยิ่งขึ้นกลายเป็นเมืองศูนย์กลาง<br />
การค้าของพม่าทางตอนใต้ เมืองจึงมีฐานะ<br />
ทางเศรษฐกิจดีขึ้นแทนกรุงหงสาวดี (จากการ<br />
เก็บภาษีการค้าที่ท่าเรือ และเจ้าเมืองทำการ<br />
ค้าขายส่วนตัว เป็นผลให้เจ้าเมืองมีฐานะ<br />
ร่ำรวยอย่างรวดเร็ว) ความเปลี่ยนแปลงทาง<br />
ด้านการเมืองของเมืองต่างๆ ตามแนวลุ่มแม่น้ำ<br />
อิระวดีภายหลังการสวรรคตของพระเจ้า<br />
นันทบุเรงเป็นไปอย่างรวดเร็วและสับสน เมือง<br />
ตองอูมีเจ้าเมืองตองอูคนใหม่ (นัดจินหน่อง)<br />
ต่อมาเจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) ยกกองทัพ<br />
เข้ายึดเมืองตองอูพร้อมทั้งเผาเมืองเสียหาย<br />
เป็นจำนวนมาก เจ้าเมืองตองอู (นัดจินหน่อง)<br />
ได้ดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้าเมืองสิเรียม<br />
(Philip de Brito Nicote) พร้อมทั้งได้ติดตาม<br />
ไปที่เมืองสิเรียม (Syriam)<br />
เมืองสิเรียม (Syriam) เป็นเมืองท่าเรือ<br />
ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำหงสากับแม่น้ำย่างกุ้งเป็น<br />
ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ต่อมา ฟิลิป เดอ<br />
บริโต นิโคเต ได้เป็นเจ้าเมืองสิเรียม (Syriam)<br />
ปกครองเมืองนาน ๑๓ ปี ปัจจุบันมีชื่อว่าเมือง<br />
ดันยลิน (Thanlyin) มีพื้นที่ ๓๕๐ ตาราง<br />
กิโลเมตร<br />
พ.ศ.๒๑๕๕ พระเจ้าอังวะ (พระเจ้า<br />
อนันกะเพตลุน/Anaukpetlun Min/Maha<br />
เมืองสิเรียม (Syriam) เป็นเมืองท่าหลัก<br />
ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำอิระวดีที่ต้นแม่น้ำ<br />
ไหลผ่านเมืองที่สำคัญของพม่า<br />
Dhamma Raza) ทรงยกกองทัพใหญ่ลงมา<br />
ทางด้านใต้ด้วยกำลังทหาร ๑๒๐,๐๐๐ คน<br />
พร้อมด้วยเรือรบ ๔๐๐ ลำ เข้าล้อมเมืองสิเรียม<br />
(Syriam) แต่กำแพงเมืองสิเรียมมีความมั่นคง<br />
(ได้รับการปรับปรุงใหม่) อย่างมาก จึงเป็นการ<br />
ยากที่กองทัพอังวะ (Ava) จะตีหักเข้าไปใน<br />
เมืองให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ประกอบกับปืน<br />
ใหญ่ในกองทัพกรุงอังวะ (Ava) มีขนาดเล็กกว่า<br />
ปืนใหญ่ประจำเมืองสิเรียม (Syriam) นอกจากนี้<br />
กองทัพกรุงอังวะ (Ava) ไม่มีทหารรับจ้างชาว<br />
โปรตุเกสอย่างในอดีตจึงขาดอำนาจการยิงใน<br />
การเข้าตี เจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) ได้ส่งคน<br />
ไปซื ้อกระสุนดินดำปืนเพิ่มเติมที่เมืองเบงกอล<br />
(แต่ไม่ประสบความสำเร็จ) กองทัพพม่าแห่ง<br />
48 พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
ภาพวาดฟิลิป เดอ บริโต นิโคเต (Philip de Brito Nicote) เจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) เป็นเมืองท่าที่สำคัญบริเวณปากแม่น้ำอิระวดี<br />
เป็นเจ้าเมืองนาน ๑๓ ปี<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
49
ภาพกราฟิกส์ของอาณาจักรพม่าในยุคที่สองราชวงศ์ตองอู ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอ ำนาจ<br />
พ.ศ.๒๑๒๓ มีอาณาเขตที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต<br />
กรุงอังวะ (Ava) ล้อมเมืองสิเรียม (Syriam) อยู่<br />
นานถึง ๒ ปี แม้ว่าจะทุ่มกำลังทหารเข้าตีหลาย<br />
ครั้งก็ยังไม่สามารถที่จะหักเข้าเมืองได้ (ป้อม<br />
และหอรบมีความมั่นคงแข็งแรง)<br />
การรบใหญ่ที่เมืองสิเรียม (Syriam)<br />
เจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) พยายามที่จะ<br />
ต่อสู้ให้ได้นานที่สุด โดยใช้ความได้เปรียบใน<br />
การตั้งรับจากกำแพงเมืองและขอความช่วย<br />
เหลือจากพันธมิตร เมืองกัว (Goa ตั้งอยู่ทาง<br />
ด้านตะวันตกของอินเดีย ทางด้านชายฝั่งทะเล<br />
อาระเบียน) เป็นที่ตั้งเมืองหลวงของอาณานิคม<br />
โปรตุเกสในอินเดีย โดยใช้เป็นสถานีการค้า<br />
และเดินเรือของชาวโปรตุเกสโดยอุปราช<br />
เมืองกัว (Goa) ได้ส่งเรือรบมาช่วย ๕ ลำ ได้มา<br />
จอดอยู่นอกเมืองประมาณ ๓ กิโลเมตร แต่ถูก<br />
เรือรบของพระเจ้ากรุงอังวะ (Ava) เข้ายึดได้ ๔ ล ำ<br />
และเรือรบอีกหนึ่งลำสามารถหลบหนีกลับ<br />
ไปยังเมืองกัว (Goa) กำลังทหารที่จะมาช่วย<br />
เหลือเมืองสิเรียม (Syriam) จากพันธมิตรจึง<br />
ไม่มี จำเป็นต้องต่อสู้ตามลำพัง<br />
กองทัพกรุงอังวะ (Ava) ได้ล้อมเมือง<br />
ต่อไปอีก ๓ เดือน พระมหาธรรมราชา (พระ<br />
เจ้าอนันกะเพตลุน) แห่งกรุงอังวะ (Ava) ทรง<br />
ยื่นข้อเสนอให้กับเจ้าเมืองสิเรียม (Syriam)<br />
ยอมแพ้ โดยให้สัญญาว่าจะให้เจ้าเมืองสิเรียม<br />
(Syriam) และครอบครัวเดินทางกลับไปยัง<br />
เมืองกัว (Goa) อย่างปลอดภัย แต่เจ้าเมือง<br />
สิเรียม (Syriam) ได้ปฏิเสธ ในที่สุดกองทัพ<br />
กรุงอังวะ (Ava) ทำการรุกโดยการขุดอุโมงค์<br />
ลอดใต้กำแพงเมือง จึงได้ส่งกำลังทหารเข้าไป<br />
ภายในตัวเมืองได้มีการต่อสู้ระยะใกล้หรือ<br />
ระยะประชิดอย่างรุนแรง สามารถเข้ายึดได้<br />
50<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
เมืองสิเรียม (Syriam) ตั้งอยู่ปากแม่น้ำอิระวดี เป็นเมืองท่าที่สำคัญยิ่งในการติดต่อ<br />
ค้าขายกับต่างอาณาจักรจากยุโรป เป็นผลให้ท่าเรือจึงมีรายได้จากการค้าขายเป็นจำนวน<br />
มาก (ลูกศรชี้ เมืองสิเรียม)<br />
เมืองสิเรียม (Syriam) เมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำ<br />
ปีฉลู พ.ศ.๒๑๕๖ ทหารพม่าสามารถจับกุม<br />
เจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) และเจ้าเมืองตองอู<br />
(นัดจินหน่อง) พระเจ้ากรุงอังวะ (Ava) ทรง<br />
นึกถึงเจ้าเมืองตองอู (นัดจินหน่อง) เป็นเชื้อสาย<br />
พระเจ้าบุเรงนอง ถ้าจะถวายสัตย์ว่าจะจงรัก<br />
ภักดีต่อพระองค์ เจ้าเมืองตองอู (นัดจินหน่อง)<br />
กราบบังคมทูลว่าพระองค์ได้เปลี่ยนศาสนา<br />
มาเป็นการนับถือศาสนาใหม่คือศาสนาคริสต์<br />
แล้ว ในที่สุดพระเจ้ากรุงอังวะ (Ava) แห่งพม่า<br />
มีรับสั่งให้ประหารชีวิตทั้งสองคน เจ้าเมือง<br />
สิเรียม (Syriam/Philip de Brito Nicote) ถูก<br />
เสียบทรมานประจานและเสียชีวิตในอีกสามวัน<br />
ต่อมา และมเหสี (ธิดาอุปราชเมืองกัว) และ<br />
ข้าราชบริพารถูกขายเป็นทาส<br />
พระเจ้ากรุงอังวะ (Ava) แห่งพม่าเมื่อรบ<br />
ชนะศึกที่เมืองสิเรียม (Syriam) ปี พ.ศ.๒๑๕๖<br />
ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์พม่าแห่ง<br />
ราชวงศ์ตองอูอย่างแท้จริง<br />
บทสรุป<br />
กองทัพพม่าจากกรุงอังวะยกกองทัพลง<br />
ใต้เข้าล้อมเมืองสิเรียม (Syeiam) แม้ว่าเมือง<br />
สิเรียม (Syriam) จะมีกำแพงเมืองที่แข็งแรงและ<br />
ได้รับการปรับปรุงใหม่ หลังการสิ้นพระชนม์<br />
ของพระเจ้านันทบุเรงที่เมืองตองอู เมืองต่างๆ<br />
แห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดีต่างก็ได้แย่งชิงความเป็น<br />
ใหญ่ ศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรหงสาวดี<br />
จากราชวงศ์ตองอูเริ่มที่จะอ่อนกำลังลง จึงกลาย<br />
เป็นสงครามกลางเมืองของพม่าในยุคที่สอง<br />
พร้อมทั้งมีชาวโปรตุเกสเข้ามามีส่วนร่วมทาง<br />
ด้านการเมืองของพม่าทางตอนใต้ การแย่งชิง<br />
อำนาจเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาณาจักรพม่า<br />
แห่งหงสาวดี (Hanthawaddy) ในยุคที่สองก็<br />
ล่มสลายลงตามกาลเวลา<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
51
2 days English Camp<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ<br />
คำแนะนำในการเรียนภาษาต่าง<br />
มีนักวิชาการจำนวนมากที่ได้ให้<br />
ประเทศให้ได้ผล อย่างเช่น ๑. เริ่มต้น<br />
จากการฟังเยอะๆ ( Start with Listening)<br />
๒. พยายามจำเป็นภาพมากกว่าจำตัวอักษร ( Use<br />
Photographic Memory ) ๓. อย่ายึดติดกับหลัก<br />
ไวยากรณ์ ( Don’t focus only Grammar rules)<br />
๔. อย่าแปลเป็นไทยทุกครั้ง พยายามนึกเป็นภาษา<br />
อังกฤษจะได้ไม่เสียเวลา ( No Translation)<br />
๕. เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมือนอยู่เมืองนอก<br />
(Change Environment) เป็นต้น<br />
เมื่อพูดคำว่าเปลี ่ยนสิ่งแวดล้อมให้เหมือน<br />
เมืองนอก หลายคนจึงส่งลูกหลานหรือส่งตัว<br />
เองไปหลักสูตรระยะสั้นที่ต่างประเทศ เช่น<br />
สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือประเทศ<br />
ใดๆ ก็ตามที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ<br />
หลายครอบครัวที่ส่งลูกหลานไปเรียนในช่วง<br />
ภาคฤดูร้อนในประเทศใกล้ๆ บ้าน เช่น สิงคโปร์<br />
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น เพราะค่าใช้<br />
จ่ายไม่สูงมากนัก ว่าไปแล้วการไปเรียนต่าง<br />
ประเทศไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้พัฒนาความรู้และ<br />
ทักษะภาษาอังกฤษได้ทุกคนหรอกนะคะ หรือจะ<br />
สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วตาม<br />
ที่พ่อแม่คาดหวังเสมอไป ผู้เขียนสังเกตได้ว่า ยังมี<br />
นักเรียนไทยจำนวนมากที่ไปเรียนภาษาอังกฤษที่<br />
ต่างประเทศ แล้วอาจจะไม่สามารถพัฒนาความ<br />
รู้และทักษะด้านภาษาอังกฤษได้มากนัก ทำไมถึง<br />
พูดแบบนี้ เพราะผู้เขียนสังเกตว่า สิ่งแวดล้อมที่<br />
น้องๆ เหล่านั้นดำรงชีวิต ยังไม่เอื้ออำนวยให้มี<br />
เกิดกระบวนการในการเรียนรู้ หรือ พัฒนาภาษา<br />
อังกฤษในเชิงสื่อสารได้มากนัก เพราะน้องๆ คนไทย<br />
เหล่านั้น ยังไม่เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เป็นเมืองนอก<br />
อย่างแท้จริงที่จะต้องสื่อสารกับเจ้าของภาษาจริง<br />
กล่าวคือ น้องๆ ส่วนใหญ่ยังใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ<br />
ญาติๆ หรือ ชุมชนไทย กินอาหารไทย อยู่แถว<br />
เมืองไทยทาวน์ ( Thai Town) ดูรายการสารคดี<br />
เกมส์โชว์ รายการทีวีและละครไทยตลอดเวลา<br />
พอเข้าห้องเรียนก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าตอบ นั่งฟัง<br />
เงียบๆ กลับมาหอพักก็เจอเพื่อนร่วมห้องคนไทย<br />
ไปเที่ยวสถานที ่ต่างๆ ก็ไปเฉพาะกลุ่มคนไทย<br />
วันๆ แทบจะไม่พูดภาษาอังกฤษเลย พอจบ<br />
หลักสูตรกลับมาเมืองไทยและไม่ได้สื่อสารกับฝรั่ง<br />
อีกทำให้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้คล่อง จึงเป็นที่ตั้ง<br />
คำถามว่า คนนี้ไปเรียนเมืองนอกมาแล้วทำไม<br />
พูดไม่ได้<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้<br />
ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร<br />
ทางด้านภาษาอังกฤษให้สามารถรองรับการ<br />
52<br />
เข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงได้มีการจัดหลักสูตร<br />
ภาษาอังกฤษให้แก่กำลังพลในทุกระดับ กิจกรรม<br />
หนึ่งที่พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้ข้าราชการ<br />
และลูกจ้างได้มีโอกาสปัดฝุ่นและเพิ่มพูนความ<br />
รู้และทักษะในการสื่อสารภาษาอังกฤษคือ<br />
กิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษ (English Camp)<br />
โดย ศูนย์ภาษาต่างประเทศ กรมวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยีกลาโหม ได้จัดขึ้นที่ โรงแรม<br />
พัทยาปาร์ค จังหวัดชลบุรี ในระหว่างวันที่<br />
๒๕ – ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เพื ่อเป็นการเปลี่ยน<br />
บรรยากาศและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นการ<br />
กระตุ้นให้ผู้เรียนที่เป็นวัยทำงานหรือ วัยผู้ใหญ่ได้<br />
เรียนรู้ ฟื้นฟูและพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ<br />
เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการ<br />
เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน<br />
ต่อไปและเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพที่ชัดเจนมาก<br />
ขึ้นว่าการจัดกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษเพียงสอง<br />
วันจะได้อะไรบ้าง กรุณาอ่านตามอาจารย์วันดี<br />
เลยค่ะ<br />
วันแรก คือ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘<br />
เวลา ๐๖๐๐ คณะผู้เข้าร่วมกิจกรรม เดินทางการ<br />
ออกจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนศรี<br />
สมาน หลังจากรับประทานอาหารเช้าคือ แซนวิช<br />
กับน้ำส้ม เพื่อลิ้มรสชาติอาหารแบบตะวันตก<br />
เรียบร้อยแล้ว การเรียนภาษาอังกฤษก็เปิดฉากในรถ<br />
โดยเริ่มจากการศึกษาสำนวนภาษาอังกฤษที่นิยม<br />
ใช้ในชีวิตประจำวัน การฝึกการสร้างประโยค<br />
พื้นฐานที่จะช่วยทำให้ผู้เรียนได้จำประโยคและ<br />
ลองศึกษาด้วยตนเองและหัดถาม ตอบกับคน<br />
ที่นั่งใกล้ในรถบัส เช่น<br />
๑. คำถามทั่วไป<br />
* How are you doing? คุณสบายดีไหม<br />
* What is your name? คุณชื่ออะไร<br />
* Where are you from? – คุณมาจากไหน<br />
* What is your nickname? คุณชื่อเล่นชื่ออะไร<br />
* What do you do? คุณทำงานอะไร<br />
* Where do you work? คุณทำงานที่ไหน<br />
* Which unit do you work? คุณทำงานหน่วยไหน<br />
* What is your rank? คุณยศอะไร<br />
* What sports do you like? คุณชอบกีฬาอะไร<br />
* Nice to see you again? ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้ง<br />
๒. ฝึกออกเสียงเพื่อปรับระดับเสียง ตั้งแต่การ<br />
ออกเสียง a-z ฝึกการนับเลข one – ten และ<br />
ฝึกการออกเสียงแบบที่ต้องพูดรัวๆ จนลิ้นแทบ<br />
พันกัน เราเรียกว่า Tongue Twister ถ้าภาษา<br />
ไทย ก็เช่น ทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึก กิน<br />
ลำไย น้ำลายยายไหล หรือ รถยนต์ล้อยาง รถราง<br />
ล้อเหล็ก เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษที่ให้ฝึกเพื่อ<br />
บริหารลิ้นระหว่างเดินทาง เช่น<br />
1. “ Fresh fried fish, fish fresh fried, fried fish<br />
fresh, fish fried fresh.”<br />
2. “ I can think of six thin things, but I can think<br />
of six thick things too.”3. “ If two witches were<br />
watching two watches, which witch would<br />
watch which watch? “4. “ Give papa a cup<br />
of proper coffee in a copper coffee cup.”<br />
5. “ I scream you scream we all scream for<br />
ice cream...”<br />
เวลาประมาณ ๐๙๓๐ คณะเดินทางมา<br />
ถึงโรงแรม และเข้าร่วมพิธีเปิดการจัดกิจกรรม<br />
อย่างเป็นทางการ ในการทำกิจกรรมครั้งนี้ทางผู้<br />
จัดได้รับความอนุเคราะห์เป็นอย่างดี จาก มร.นีลส์<br />
โคลอฟ ประธานบริษัท พัทยาพีเพิล มีเดีย กรุ๊ป<br />
เป็นบริษัทจัดทำสื่อวิทยุ โทรทัศน์และสื่อสังคม<br />
ออนไลน์ในเมืองพัทยา ได้กรุณานำคณะเจ้าหน้าที่<br />
ชาวต่างชาติมาต้อนรับและร่วมจัดกิจกรรมฝึกพูด<br />
ภาษาอังกฤษ ช่วงแรก ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้ฟัง<br />
คุณ นีลส์ พูดกล่าวต้อนรับเป็นภาษาอังกฤษ<br />
พันเอกหญิงวันดี โตสุวรรณ
บางคนนั่งยิ้ม บางคนนั่งขมวดคิ้ว บางคนกระชิบ<br />
ถามเพื ่อนข้างๆ รู้เรื ่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่พอ<br />
สังเกตได้ว่า พลังการต่อสู้เพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษ<br />
ของแต่ละคนได้เริ่มขึ้นแล้ว<br />
เวลา ๑๐๓๐ คุณแบรี่ อัพตั้น (Mr. Barry<br />
Upton) และคุณ มีแกน สปีคแมน (Ms. Megan<br />
Speakman) ผู้จัดการจัดทำสื่อโทรทัศน์ วิทยุ<br />
และผู้สื่อข่าว ได้มาแนะนำตัวเองและฝึกให้ผู้เข้า<br />
ร่วมกิจกรรม ออกมาแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ<br />
และฝึกการพูดโดยให้มองไปที่กล้องถ่ายรูปและ<br />
พูดแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษช้า ๆ เช่น Good<br />
morning, I’m Lieutenant Colonel Thitikajee<br />
Bijaphala, Chief of the Training and Section,<br />
Science and Technology Development<br />
Division, Defence Science and Technology<br />
Department. I am glad to attend the<br />
English camp today.<br />
( สวัสดีค่ะ ดิฉัน พันโทหญิง ฐิติขจี พีชผล<br />
หัวหน้าแผนกวิชาการและฝึกอบรม กองส่ง<br />
เสริมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรม<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม รู้สึกดีใจมาก<br />
ที่ได้ร่วมกิจกรรมค่ายภาษาอังกฤษในวันนี้)<br />
กิจกรรมนี้ สร้างความสนุกสนาน ผสมความกล้าๆ<br />
กลัวๆ บางคนกล้า แต่ออกเสียงผิด บางคนออก<br />
เสียงได้ดีแต่อายไม่กล้า แต่ในที่สุดทุกคนก็ได้มี<br />
โอกาสได้ฝึกแนะนำตัวเองผ่านกล้องโทรทัศน์<br />
ทำให้มื้อเที ่ยงวันทั้งต่างคนก็ต่างคุยว่า ตื่นเต้น<br />
แค่ไหน<br />
เวลา ๑๓๐๐ เป็นการฝึกภาคสนาม โดยผู้<br />
เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องไปสัมภาษณ์อาสาสมัคร<br />
ตำรวจชาวต่างประเทศ หรือเราเรียกว่า Foreign<br />
Police Volunteer หรือชื่อย่อว่า FPV ณ สถานี<br />
ตำรวจภูธร เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยแบ่งผู้<br />
เข้าร่วมกิจกรรมออกเป็น ๗ กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่ม<br />
จะต้องคิดประโยคภาษาอังกฤษเพื่อนำข้อมูลมา<br />
นำเสนอหน้าชั้นในวันที่สอง ประโยคที่ให้ผู้เข้ารับ<br />
การอบรมเป็นตัวอย่าง เช่น<br />
* Where are you from? คุณมาจากประเทศไหน<br />
* How long have you been in Thailand?<br />
อยู่ประเทศไทยนานแค่ไหน<br />
* Why do you prefer to settle down in Pattaya?<br />
ทำไมเลือกที่จะมาอยู่ที่พัทยา<br />
* How can you join FVP?<br />
คุณมาเป็นตำรวจอาสาสมัครได้อย่างไร<br />
* What kind of Thai food do you like?<br />
คุณชอบอาหารไทยชนิดไหน<br />
* What kind of music do you like?<br />
คุณชอบดนตรีแนวไหน<br />
* Who is your favorite star?<br />
ดาราคนโปรดของคุณคือใคร<br />
วันที่สอง คือ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘<br />
เวลา ๐๙๐๐ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในเสื้อสีโอโรส<br />
ปักสัญลักษณ์ English camp มาพร้อมกันในห้อง<br />
อบรมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยกิจกรรมใน<br />
เช้าวันนั้น คุณแบรี่พร้อมกีตาร์คู่ใจที่เขาเคยเป็นนัก<br />
ร้องชื ่อดังในอังกฤษ มาสร้างบรรยากาศการเรียน<br />
ภาษาด้วยการร้อง เล่น เต้นรำ สร้างบรรยากาศ<br />
ยามเช้าที่เต็มไปด้วยพลังและความเบิกบาน<br />
จากนั ้นสมาชิกแต่ละกลุ่มก็ออกมานำเสนอผลงาน<br />
ที่ได้ไปสัมภาษณ์อาสาสมัครตำรวจชาวต่างชาติ<br />
แสดงรูปภาพและเล่าเรื่องราวของแต่ละคนได้<br />
อย่างภาคภูมิใจกับผลงานที่ได้ร่วมกันทำ แน่นอน<br />
ผู้ที่นำเสนอ อาจจะใช้ภาษาอังกฤษผิดบ้างแต่ก็<br />
สามารถสื่อสารและฟังเข้าใจ ที่สำคัญคือ พวกเขา<br />
ทั้งหลายสามารถสื่อสาร พูดคุย จนนำข้อมูลมาเล่า<br />
สู่กันฟังด้วยน้ำเสียง ลีลาและภาพที่นำเสนอได้<br />
อย่างดี แค่นี้ก็พอใจแล้ว ซึ่งหลังจากการนำเสนอ<br />
ของแต่ละกลุ่ม วิทยากรและอาจารย์ได้ช่วยกันให้<br />
ข้อแนะนำและเสริมหลักการใช้ภาษาเพิ่มเติมเพื่อ<br />
ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเข้าใจและสามารถนำความรู้<br />
ที่ได้เรียนมา ไปฝึกฝนต่อไป<br />
เวลา ๑๕๐๐ เป็นช่วงพิธีปิด ผู้เข้าร่วม<br />
กิจกรรมได้กล่าวขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษ ถึง<br />
แม้ว่าจะใช้คำง่ายๆ พูดช้าๆ แต่ครูทุกคนรู้ว่า<br />
พวกเขาทั้งหลายประทับใจการเข้าค่ายสองวันนี้<br />
จริงๆ และเราลองมาอ่านความคิดเห็นของคุณ<br />
แบรี่ (Barry Upton) บ้างค่ะ ว่าเขารู้สึกอย่างไร<br />
กับค่ายภาษาอังกฤษที ่จัดโดยสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม The English Camp held at<br />
the Pattaya park hotel and Pattaya Police<br />
Station was in my eyes a big success. The<br />
students took advantage of the break in<br />
routine to get energized about their need<br />
to speak better English. I hope we helped<br />
to show some of the ways to present<br />
better to the public via TV media and also<br />
how to better communicate. The music<br />
and songs made a big impression as it<br />
serves to help them find ways to improve<br />
English language skills in a fun way. I was<br />
impressed again by Colonel Wandee’s<br />
approach and “ motherly ” nature to her<br />
students who respond accordingly to her<br />
good nature. It was a pleasure to be part<br />
of the English Camp and I look forward<br />
to helping more whenever I can in the<br />
future.<br />
เวลา ๑๘๐๐ คณะนักเรียนและผู้จัด<br />
ค่ายภาษาอังกฤษเดินทางมาถึงสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม โดยสวัสดิภาพ ขอขอบคุณ<br />
ผู้ใหญ่ใจดี ขอบคุณผู้ร่วมงาน ขอบคุณพลขับและ<br />
ขอบคุณผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน ค่ะ See you<br />
again next year<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
53
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
“โรคออฟฟิศ ซินโดรม”<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
โ<br />
รคออฟฟิศซินโดรม คือ โรคจากการ<br />
นั่งทำงานในท่าที่ผิดเป็นเวลานาน<br />
เช่น นั่งหลังงอ หลังค่อม คุณก็จะเกิด<br />
อาการปวดหลัง หรือ การก้มหน้าโดยไม่รู้ตัว<br />
เพราะต้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ คอ<br />
คุณก็จะปวด และเราจะเรียงลำดับอาการดังนี้<br />
คือ อาการปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง ปวดข้อมือ<br />
นิ้วล๊อค ตาพร่ามัว แพ้แสง ตาแห้ง และปวดศีรษะ<br />
ไมเกรน รวมถึงการแพ้อากาศด้วย เพราะส่วน<br />
ใหญ่คนทำงานออฟฟิศ จะนั่งรวมกันในห้อง<br />
หลายคน และอยู่แต่ในตึกอากาศจึงไม่ถ่ายเท<br />
คุณจึงควรหาวิธีออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลาย<br />
และแก้ไขอาการแต่เนิ่นๆ<br />
งานวิจัยบ่งชี้ การนั่งทำงานนานเป็นเวลา<br />
ติดต่อกันหลายชั่วโมง ส่งผลเสียต่อสุขภาพ โรคภัย<br />
รุมเร้า เสี่ยงพิการ แต่การเปลี่ยนอิริยาบถทุก<br />
๒๐ นาที จัดท่านั่งให้เหมาะสม รวมถึงการ<br />
ออกกำลังกาย สามารถลดปัจจัยเสี่ยงของ<br />
โรคได้ รู้ไหมว่าการที่เรานั่งทำงานนานติดต่อ<br />
กันหลายชั่วโมง ทำให้สุขภาพเราแย่ขนาด<br />
ไหน ลองมาดูรายงานจากเว็บไซต์เดลี่เมลของ<br />
อังกฤษกันดีกว่า ซึ่งเปิดเผยผลวิจัยที่ตีพิมพ์ลง<br />
ในนิตยสาร Physical Activity & Health ของ<br />
สหรัฐฯ ว่า การที่เรานั่งทำงานนานจนเกินไป<br />
หรือนั่งติดต่อกันนานเกิน ๑๒ ชั่วโมงต่อวัน<br />
ทำให้ร่างกายของเรามีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิด<br />
ปัญหาด้านสุขภาพหลายประการ และทำให้<br />
เกิดความเสี่ยงต่อการพิการมากถึงร้อยละ ๕๐<br />
โดย ศาสตราจารย์ มาร์ก ไวท์ลีย์ จากไวท์ลีย์<br />
คลินิก ที่เวสท์ลอนดอน ได้อธิบายว่า การนั่ง<br />
นานๆ นั้นจะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียน<br />
ออกจากขาขึ้นมาสู่หัวใจได้ ทำให้เส้นเลือดดำ<br />
ในขาและเท้ามีความดันโลหิตสูงตลอดเวลา<br />
และเมื่อผนังของเส้นเลือดดำได้รับแรงดันสูง<br />
ตลอดเวลา โปรตีนและของเหลวบางชนิดอาจ<br />
รั่วไหลไปยังเนื้อเยื่อจนส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้<br />
นอกจากนี้จากการไหลเวียนของเลือดที่ขาลด<br />
ลง ยังสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของ<br />
เส้นเลือดได้อีกด้วย เช่น โรคหลอดเลือดดำอุดตัน<br />
(DVT) เป็นต้น<br />
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ มาร์ก ไวท์ลีย์ ได้<br />
แนะนำว่า การที่เราแกว่งเท้า หรือลุกขึ้นเดิน<br />
เปลี่ยนอิริยาบถ ทุกๆ ๒๐ นาที จะสามารถช่วย<br />
ในด้านการไหลเวียนของเลือดได้<br />
นอกจากปัญหาด้านการไหลเวียนของ<br />
เลือดแล้ว การที่เรานั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลา<br />
นานหลายชั่วโมงติดต่อกันนั้น ยังสามารถนำ<br />
มาซึ่งปัญหาสุขภาพร้ายหลายๆ ประการอีก<br />
ด้วย ดังนี้<br />
น้ำตาลในเลือดสูง<br />
มาร์ก แวนเดอร์พัมพ์ วิทยากรอาวุโสด้าน<br />
โรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ จาก Royal Free<br />
London NHS Foundation Trust เผยว่า<br />
54<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
การนั่งนานเกินไปโดยไม่มีการเคลื่อนไหว<br />
ร่างกายเป็นเวลานาน อาจทำให้เราเกิดการ<br />
ต่อต้านอินซูลินได้ และนำเราไปสู่โรคเบาหวาน<br />
ชนิดที ่ ๒ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหว เล็กๆ<br />
น้อยๆ จะสามารถช่วยเพิ่มระดับการทำงาน<br />
ของอินซูลินที่กระทำต่อกลูโคส และช่วยระบบ<br />
กล้ามเนื้อได้<br />
ท้องผูก<br />
แอนตัน เอ็มมานูเอล ที่ปรึกษาด้านระบบ<br />
ทางเดินอาหารจาก University College<br />
Hospital ในกรุงลอนดอน อังกฤษ เปิดเผยว่า<br />
การที่เราไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานานนั้นจะ<br />
ทำให้เราเกิดอาการท้องผูกได้ เพราะเมื่อเรา<br />
นั่งนานๆ จะส่งผลให้การบีบหดตัวของลำไส้<br />
ลดลง เป็นผลให้อุจจาระแห้งแข็งและถ่ายออกได้<br />
ยาก และอาการนี้จะเกิดขึ้นภายใน ๒๔ ชั่วโมง<br />
หากมีการนั่งอยู่กับที่นานๆ อย่างไรก็ตาม เรา<br />
สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการออกกำลังกาย<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
เบาๆ สัก ๑๐ นาทีต่อวัน เช่นการเดินบันได<br />
ขึ้นลงในที่ทำงาน<br />
ปวดศีรษะ<br />
แซมมี่ มาร์โก้ นักกายภาพบำบัด กล่าวว่า<br />
การที่เรานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลา<br />
นาน จะทำให้ศีรษะ คอ หลัง และไหล่ของเรา<br />
เกิดการงอตัวเป็นรูปตัว C ซึ่งจะทำให้เราเกิด<br />
อาการปวดศีรษะได้ นอกจากนี้ การงอตัวนี้<br />
ยังส่งผลกระทบต่อไหล่ ทำให้มีอาการปวดไหล่<br />
ไหล่แข็ง หรือเคลื่อนไหวได้น้อยลงอีกด้วย โดย<br />
แซมมี่ ได้ให้คำแนะนำว่า ท่านั่งที่ดีนั้นควรจะนั่ง<br />
ให้บั้นท้ายชิดส่วนในสุดของเก้าอี้ หลังติด<br />
พนักพิง และเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยที่หลัง<br />
ส่วนกลางและส่วนบนนั้น สามารถทำได้ด้วย<br />
การเอื้อมมือทั้ง ๒ ข้างไปจับกันไว้ด้านหลัง เพื่อ<br />
ช่วยกู้คืนลักษณะการขดตัวรูปตัว C โดยให้ทำ<br />
ในทุกๆ ชั่วโมงของการทำงาน<br />
หัวเข่าเสื่อม<br />
เราอาจจะคิดว่าโรคข้อเข่าเสื่อมมัก<br />
จะเกิดขึ้นในคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ<br />
มากกว่า แต่ผู้เชี่ยวชาญได้เปิดเผยว่า การนั่งนาน<br />
เกินไปนั ้นยังมีส่วนเชื่อมโยงสู่อาการหัวเข่า<br />
เสื่อมเช่นกัน เพราะการไม่ได้เคลื่อนที่เป็น<br />
เวลานานนั้นได้นำไปสู่โรคอ้วน และมวลของ<br />
ร่างกายที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลให้เกิดความดันที่<br />
ข้อต่อมากขึ้น นอกจากนี้การไม่ได้ใช้งานกล้าม<br />
เนื้อเป็นระยะเวลานานยังอาจนำไปสู่ภาวะ<br />
กล้ามเนื้ออ่อนแรงอีกด้วย โดย ฟิลิปส์ โคนาแกน<br />
ศาสตราจารย์ด้านกล้ามเนื้อและกระดูก ที่มหา<br />
วิทยาลัยลีดส์ กล่าวว่า ให้ลองสังเกตดูว่า หาก<br />
เราต้องใช้แขนของเราช่วยยันในขณะที่ลุกขึ้น<br />
จากเก้าอี้ นั่นหมายถึงกล้ามเนื้อต้นขาของเรา<br />
เริ่มอ่อนแรงลงแล้ว<br />
มะเร็งลำไส้ใหญ่<br />
นักวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย<br />
เวสเทิร์น ออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่ทำงานประจำ<br />
เป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปี มีโอกาสที่จะเกิดเนื้อ<br />
งอกที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายมากกว่าถึง ๒ เท่า<br />
และร้อยละ ๔๔ ของผู้ป่วยก็มีโอกาสพัฒนา<br />
กลายมาเป็นมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมี<br />
ปัจจัยอีกหลายประการเช่นกันที่จะทำให้ผู้ที่<br />
นั่งติดเก้าอี้นานๆ เกิดความเสี่ยงต่อการเป็น<br />
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่<br />
วันนี้เรามีวิธีป้องกันและแก้ไขแบบง่ายๆ<br />
ทำได้ทันทีมาฝาก<br />
ท่าที่ ๑ ให้นั่งหลังตรง ประสานมือ และ<br />
ดันมือยืดมาด้านหน้า เป็นการยืดกล้ามเนื้อ<br />
บริเวณหัวไหล่ และคอไปพร้อมกัน ทำค้าง<br />
ไว้ ๑๐ วินาที ผ่อนคลาย และหายใจเข้าออก<br />
เป็นปกติ<br />
ท่าที่ ๒ หายใจเข้า ประสานมือเข้ามา<br />
ที่หน้าอก เงยหน้าขึ้น ๔๕ องศา กางศอกไป<br />
ด้านข้างให้สุดหายใจเข้าออกค้างไว้ ๑๐ วินาที<br />
ท่านี้จะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ<br />
และทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงด้วย<br />
ท่าที่ ๓ หายใจออก คราวนี้กำมือแล้ว<br />
ยืดมือไปด้านหน้า ก้มหน้าลงให้คางติดลำตัว<br />
ให้มากที่สุด หลังตรง และหายใจเข้าออกเป็น<br />
ปกติ ค้างไว้ ๑๐ วินาที จากนั้นให้คุณย้อนกลับ<br />
ไปทำท่าที่ ๑, ๒ และ ๓ วนไปเรื่อยๆ จนรู้สึก<br />
สบายต้นคอ ที ่สำคัญอย่าเกร็ง ให้ทำแบบผ่อน<br />
คลายที ่สุด และทำอย่างช้าๆ ไม่ต้องรีบ ต่อมา<br />
ให้ทำท่าต่อไปนี้เพื่อยืดกล้ามเนื้อตรงบริเวณ<br />
หัวไหล่ และสะบัก<br />
ท่าที่ ๔ ให้นั่งหลังตรง เอามือกอดตัว<br />
เองจนแน่น (แต่ไม่เกร็ง) แล้วใช้มือดึงหัวไหล่<br />
ให้โน้มมาด้านหน้า จากนั้นให้หันหน้าไปทาง<br />
ซ้าย หายใจเข้าออกเป็นปกติ ค้างไว้ ๑๐ วินาที<br />
เสร็จแล้วหันไปฝั่งตรงข้ามช้าๆ แล้วค้างไว้อีก<br />
๑๐ วินาที จากนั้นให้ทำซ้ำอีกสัก ๒ – ๓ ครั้ง<br />
หรือจะวนกลับไปทำท่าที่ ๑, ๒ และ ๓ ร่วม<br />
ด้วยก็ได้ ทั ้งหมดนี้ เป็นท่าบริหารและเหยียด<br />
ยืดกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า ไหล่ และสะบัก<br />
ซึ่งแทบจะทุกคนที่ทำงานออฟฟิศ จะมีอาการ<br />
ปวดเมื่อยบริเวณนี้เป็นประจำ<br />
เมื ่อจำท่าทั้งหมดได้และทำอย่างต่อเนื่อง<br />
ช้าๆ เบาๆ ที ่สำคัญ ต้องไม่เกร็งกล้ามเนื้อส่วน<br />
ใดเลย คุณก็จะรู้สึกผ่อนคลาย และสามารถ<br />
บรรเทาอาการปวดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เชื่อ<br />
ลองทำดู<br />
55
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี<br />
และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็น<br />
ประธาน ในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการ<br />
ระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘<br />
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก ศิริชัย<br />
ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมประชุม<br />
ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ๔ กระทรวงการคลัง<br />
ถ.พระราม ๖ เมื่อ ๓ มิ.ย.๕๘<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายฟรานเชสโก ซาเวริโอ นิซิโอ<br />
(Francesco Saverio Nisio) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ ณ ห้องรับรอง<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อ ๔ มิ.ย.๕๘<br />
56
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก<br />
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ให้การต้อนรับ พลเรือเอก Jung, Ho - Sub<br />
ผู้บัญชาการทหารเรือสาธารณรัฐเกาหลี<br />
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ<br />
ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
เมื่อ ๙ มิ.ย.๕๘<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีปิดทอง “พระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์” โดยมี นายทหารชั้นผู้ใหญ่<br />
ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ มณฑลพิธีวัดปริวาสราชสงคราม ถ.พระราม ๓ เขตยานนาวา เมื่อ ๕ มิ.ย.๕๘<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
57
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม รับมอบเครื่องแต่งกายเหล่าทหารเรือ พร้อมเครื่องหมายยศจาก พลเรือเอก ไกรสร จันทร์สุวานิชย์<br />
ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสที ่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานยศ โดยมีรองปลัดกระทรวงกลาโหมและ<br />
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒๗ พ.ค.๕๘<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และนางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
รับมอบเครื่องหมายความสามารถในการบินชั้นกิตติมศักดิ์ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์และสนับสนุนภารกิจของกองทัพอากาศ จาก<br />
พลอากาศเอก ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ณ ห้องรับรองกองทัพอากาศ เมื่อ ๒๐ พ.ค.๕๘<br />
58
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม รับมอบทุนการศึกษาสำหรับบุตร-ธิดา ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
จาก พลเอก วีระกูล ทองมา อุปนายกสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมทั้งให้พรกับคณะนักกีฬาจักรยานและ<br />
เจ้าหน้าที่ที่จะเดินทางเข้าร่วมแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๒๘ เมื่อ ๕ มิ.ย.๕๘ ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการรับฟังการบรรยายสรุปจาก กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร โดยมี รองปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าร่วม<br />
ณ กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร เขตราชเทวี เมื่อ ๒๖ พ.ค.๕๘<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
59
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ตรวจความคืบหน้าโครงการพัฒนาพื ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ สะพาน<br />
สมเด็จพระปิ่นเกล้า ถึง สะพานพระราม ๗ เพื่อจัดทำเป็นจุดชมวิวและพื้นที่นันทนาการแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร โดยมี นายทหาร<br />
ชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมคณะ เมื่อ ๑๒ พ.ค.๕๘<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานรับมอบทุน<br />
การศึกษาจาก คุณโสภณ กล้วยไม้ ณ อยุธยา ที่ปรึกษาบริหารธุรกิจทหาร<br />
ธนาคารทหารไทยจำกัด (มหาชน) จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำไป<br />
มอบให้กับบุตรข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ประจำปี<br />
๒๕๕๘ ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๒ พ.ค.๕๘<br />
พลอากาศเอก ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์ รองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในการสัมมนาเสริมสร้างเครือข่ายการ<br />
ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายใน<br />
ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๓ มิ.ย.๕๘<br />
60
พลเอก ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ พันเอก Dang Thanh Tien ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐสังคมนิยม<br />
เวียดนามประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ ณ ห้องขวัญเมือง ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒ มิ.ย.๕๘<br />
พลโท สุวโรจน์ ทิพย์มงคล เจ้ากรมกรมการเงินกลาโหม<br />
เป็นประธานในการทอดผ้าป่าสามัคคี และกิจกรรมปลูกต้นไม้<br />
เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติพ.ศ.๒๕๕๘ ณ วัดโคก อ.บางปะหัน<br />
จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ ๗ มิ.ย.๕๘<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
61
กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมงานพิธีปิดทอง “พระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์”<br />
ณ มณฑลพิธีวัดปริวาสราชสงคราม ถ.พระราม ๓ เขตยานนาวา เมื่อ ๕ มิ.ย.๕๘<br />
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นำคณะกรรมการสมาคมฯ ทัศนศึกษาศิลปวัฒนธรรม<br />
ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา (จ.นนทบุรี) ณ พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี / ศาลเจ้าแม่ทับทิม / วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร / วัดแคนอก /พุทธสถาน<br />
เชิงท่า-หน้าโบสถ์ / วัดใหญ่สว่างอารมณ์ / วัดบางจาก / วัดเสาธงทอง / วัดปรมัยยิกาวาส เมื่อ ๒๑ พ.ค.๕๘<br />
62
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ<br />
ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) เมื่อ ๑๙ พ.ค.๕๘<br />
นางอนรรฆมณี โชคคณาพิทักษ์ อุปนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการสมาคมฯ ร่วมงาน<br />
วันคล้ายวันสถาปนา ๔๐ ปี สมาคมภริยาทหารเรือ ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อ ๑๘ พ.ค.๕๘<br />
หลักเมือง กรกฎาคม ๒๕๕๘<br />
63
นางอนรรฆมณี โชคคณาพิทักษ์ อุปนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นำคณะกรรมการสมาคมฯ เลี้ยงอาหาร<br />
กลางวันน้องๆ “ร่วมใจผูกพันธ์แบ่งปันเพื่อสังคม” ณ มูลนิธิเด็ก พุทธมณฑลสาย ๔ อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อ ๑๘ มิ.ย.๕๘<br />
นางธัญรัศม์ อาจวงษ์ อุปนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการสมาคมฯ รับฟังการบรรยาย<br />
ผลิตภัณฑ์ ของบริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ ณ ห้องประชุมชั้น ๑๐ ที่ทำการสมาคมภริยาข้าราชการ สป. (แจ้งวัฒนะ) เมื่อ ๑๙ มิ.ย.๕๘<br />
64
พลอากาศเอก ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด<br />
การอบรมสัมมนาสถานีวิทยุกระจายเสียง<br />
สาธารณะด้านความมั่นคงเครือข่ายสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พลตรี ณภัทร สุขจิตต์<br />
เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น<br />
ประธานในพิธีปิด ณ โรงแรม เดอะ รอยัล เจมส์<br />
กอล์ฟ รีสอร์ท จ.นครปฐม ระหว่างวันที่ ๒๗ –<br />
๒๙ พ.ค.๕๘<br />
พลเอก นพดล ฟักอังกูร เจ้ากรม<br />
เสมียนตรา เป็นประธานในพิธีเปิด<br />
โครงการจิตสำนึกรักเมืองไทย ปี ๗<br />
ประจำปี ๒๕๕๘ ซึ่งจัดโดย สำนักงาน<br />
เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงโหม<br />
ณ ห้องยุทธนาธิการ ภายในศาลาว่าการ<br />
กลาโหม เมื่อ ๒๑ พ.ค.๕๘
Defence Technology Institute (Public Organisation)<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)<br />
เปิดรับสมัครบุคลากร<br />
เพื่อคัดเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ ปี ๕๘<br />
ครั้งที่ ๖ จำานวน ๑๑ อัตรา<br />
ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๑๕ ก.ค. ๕๘<br />
๑. นักวิจัย (Control Engineering) ฝ่ายวิศวกรรมระบบ ๑ อัตรา<br />
๒. นักวิจัย (Control System) ส่วนงานวิศวกรรมควบคุมและการสื่อสาร ๑ อัตรา<br />
๓. นักวิจัย (Flight Control System Integration) ส่วนงานวิศวกรรมอากาศยาน ๑ อัตรา<br />
๔. นักวิจัย (System Integration) ส่วนงานวิศวกรรมระบบขับเคลื่อน ๑ อัตรา<br />
๕. นักวิจัย (Explosive) ส่วนงานวิศวกรรมวัตถุระเบิดฯ ๑ อัตรา<br />
๖. นักวิจัย (Mechanical) ส่วนงานวิศวกรรมวัตถุระเบิดฯ ๑ อัตรา<br />
๗. นักวิจัย (Network Analyst) ส่วนงานระบบเครื่องช่วยฝึกเสมือนจริง ๑ อัตรา<br />
๘. นักพัฒนา ส่วนควบคุมคุณภาพและการมาตรฐาน ๑ อัตรา<br />
๙. นักบริหารโครงการ ๒ อัตรา<br />
๑๐. เจ้าหน้าที่แผนและงบประมาณ ๑ อัตรา<br />
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและ<br />
ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.dti.or.th<br />
ยื่นใบสมัครพร้อมเอกสารประกอบการสมัครด้วยตัวเอง<br />
ในวันและเวลาราชการที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล<br />
หรือทาง e.mail : recruitment@dti.or.th<br />
สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. ๐-๒๙๘๐-๖๖๘๘ ต่อ ๑๑๓๔,๑๑๓๓