Mettadham.pdf
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
เมตตาธรรม<br />
สายธารอันฉ่ำเย็นแห่งรักและการุณย์ที่เป็นต้นทุนแห่งสันติภาพ<br />
ว.วชิรเมธี<br />
METTA1-22.indd 1 4/26/11 8:41:41 PM
โลโก ปตฺถมฺภิกา เมตตา<br />
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก<br />
่<br />
่<br />
พิมพ์ครั้งแรก<br />
ธันวาคม ๒๕๕๒ จำนวนพิมพ์ ๓,๐๐๐ เล่ม<br />
พิมพ์ครั้งที<br />
๒ มกราคม ๒๕๕๔ จำนวนพิมพ์ ๒,๐๐๐ เล่ม<br />
พิมพ์ครั้งที<br />
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ จำนวนพิมพ์ ๕,๐๐๐ เล่ม<br />
บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง<br />
จำกัด (มหาชน)<br />
จัดพิมพ์<br />
เนื ่องในโอกาสที ่คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร<br />
บริษัทอมรินทร์พริ ้นติ ้งแอนด์พับลิชชิ ่ง จำกัด (มหาชน) ได้รับประกาศ<br />
เกียรติคุณพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ ์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา<br />
จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่<br />
๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔<br />
METTA1-22.indd 2 4/26/11 8:41:43 PM
เมตตา อุทกะพันธุ์<br />
์<br />
เมตตา กัลยาณมิตรแก้ว ไกวัล<br />
อุทกะ จิตชโลมปัน ประโยชน์ไว้<br />
พันธุ พุทธิกชนสรร ศาสน์รุ่ง<br />
เรืองแม่<br />
พุทธศาสตร์ บัณฑิตใช้ ชีพสร้างสุขเกษมฯ<br />
ว.วชิรเมธี<br />
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒<br />
METTA1-22.indd 3 4/26/11 8:41:46 PM
โมทนียพจน์<br />
“รัตนอุบาสิกา : เมตตา อุทกะพันธุ์”<br />
ก่อนแต่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระบรมศาสดาสัมมา-<br />
สัมพุทธเจ้า ทรงมอบพระธรรมวินัยหรือพระพุทธศาสนาไว้ในความ<br />
รับผิดชอบร่วมกันของพุทธบริษัทสี่ อันได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก<br />
อุบาสิกา โดยทรงชี ้แนวทางเอาไว้ว่า เมื ่อไหร่ก็ตามที ่พุทธบริษัทสี่ยังมี<br />
ความเกื้อกูลกันเป็นอย่างดีในลักษณะ“บ้านอวยทาน วัดอวยธรรม”<br />
เมื ่อนั ้น พุทธศาสนาก็จะยังมั ่นคงสืบไป แต่เมื ่อใดก็ตามที ่พุทธบริษัทสี ่<br />
แตกสามัคคีกัน นั ่นก็หมายความว่า ความมั ่นคงของพระพุทธศาสนา<br />
กำลังคลอนแคลน ความข้อนี้กวีท่านหนึ่งได้นำมาประพันธ์เป็น<br />
กวีโวหารสำหรับเตือนจิตสะกิดใจพุทธศาสนิกชนเอาไว้อย่างน่าฟังว่า<br />
“วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย<br />
บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย<br />
บ้านช่วยวัดวัดช่วยบ้านผลัดกันไป<br />
ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง”<br />
นอกจากจะทรงประทานแนวทางอันเป็นการวางระบบการปฏิสัมพันธ์<br />
เชิงเกื้อกูลกันและกันระหว่างวัดและบ้านเช่นที่กล่าวมาแล้ว ในส่วน<br />
ของอุบาสกอุบาสิกาบริษัท พระพุทธองค์ก็ยังทรงระบุชัดลงไปอีกว่า<br />
METTA1-22.indd 4 4/26/11 8:41:50 PM
อุบาสกอุบาสิกาบริษัทที ่จะสามารถเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา<br />
ได้นั้น ควรจะมีคุณสมบัติของ“รัตนอุบาสก-อุบาสิกา”อย่างน้อย<br />
๗ ประการ อุบาสก อุบาสิกาคนใดมีคุณสมบัติทั้ง ๗ ประการนี้<br />
นับว่าเป็น“อุบาสก-อุบาสิกาแก้ว”ที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญและ<br />
เจริญรอยตาม และนับว่าเป็นพุทธิกชนชั้นนำ คุณสมบัติทั้ง ๗<br />
ประการนั้นประกอบด้วย<br />
(๑) ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ<br />
(๒) ไม่ละเลยการฟังธรรม<br />
(๓) ศึกษาในศีลขั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป<br />
(๔) ถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใสในพระภิกษุทั้งที่เป็นพระเถระ<br />
มัชฌิมะ และนวกะ<br />
(๕) ฟังธรรมโดยไม่จ้องจับผิด<br />
(๖) ไม่ทำบุญนอกหลักการของพระพุทธศาสนา<br />
(๗) ใส่ใจอุปถัมภ์กิจการของพระพุทธศาสนาเป็นที่หนึ่ง<br />
ไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานแห่งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบ้านกับวัด<br />
ก็ดี ไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานของการเป็น“อุบาสก-อุบาสิกา”ก็ดี<br />
ผู้เขียนก็พบความจริงว่า คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการ<br />
บริหารบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)<br />
ล้วนถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติที่ต้องตามมาตรฐานดังกล่าวด้วยประการ<br />
ทั ้งปวง ดังนั ้น ทันทีที ่ได้ทราบข่าวอันเป็นมงคลว่า สภามหาวิทยาลัย<br />
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีมติเป็นเอกฉันท์ในการมอบปริญญา<br />
พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่คุณเมตตา อุทกะพันธุ์<br />
ผู้เป็น“รัตนอุบาสิกา” ผู้เขียนจึงได้แต่พลอยอนุโมทนาและรู้สึก<br />
METTA1-22.indd 5 4/26/11 8:41:53 PM
ยินดีปรีดาไปด้วยอย่างจริงใจ และแจ้งข่าวนี ้ให้แก่ศิษยานุศิษย์พลอย<br />
ร่วมอนุโมทนาด้วย ซึ่งแต่ละคนเมื ่อได้ทราบข่าวอันเป็นเกียรติคุณ<br />
ทางวิชาการเช่นนี้ต่างปลื้มปีติไปตามๆกัน<br />
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่พุทธศาสนิกชนชั้นนำของประเทศไทย<br />
เราเป็นอย่างดีว่า คุณเมตตา อุทกะพันธุ ์ และคุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ ์<br />
(แต่เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู<br />
่) พร้อมครอบครัวอุทกะพันธุ์และบริษัท<br />
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน) นั้น เป็นตระกูล<br />
สัมมาทิฐิที่มีบทบาทอย่างสูงยิ่งในการสร้างสรรค์พัฒนาสังคมไทย<br />
มาอย่างยาวนานโดยผ่านกิจการที่เรียกว่า“สำนักพิมพ์อมรินทร์” ซึ่ง<br />
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ผ่านมานั้นสำนักพิมพ์อมรินทร์ ที ่ได้รับการ<br />
ยกย่องว่าเป็นสำนักพิมพ์แถวหน้าของประเทศไทย ได้จัดพิมพ์หนังสือ<br />
แทบทุกแนวจำนวนนับได้หลายล้านเล่มเพื ่อจำหน่ายจ่ายแจกบำรุง<br />
สติปัญญาของสังคมไทยอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย หนังสือ<br />
จำนวนมากของสำนักพิมพ์นั้นบางชุด บางเล่ม เป็นหนังสือที่ไม่มี<br />
กำไรเป็นเม็ดเงิน แต่ถึงกระนั้นทั้งคุณเมตตาและสามีก็ยินดีจัดพิมพ์<br />
เผยแพร่แก่ประชาชนไทย เพราะพิจารณาเห็นว่า เป็นหนังสือที่ทรง<br />
คุณค่าทางสติปัญญาเป็นอย่างสูง ทั ้งในบัดนี ้และบัดหน้า เช่น ผลงาน<br />
วิชาการชุดสารานุกรมไทยทั้ง ๔ ภาค เป็นต้น นอกจากนั้นต้อง<br />
ไม่ลืมว่า ผลงานพระราชนิพนธ์ทุกเล่มในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัว<br />
เช่น พระมหาชนก คุณทองแดง เป็นอาทิ และในสมเด็จพระเทพ-<br />
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็สำนักพิมพ์อมรินทร์ของคุณ<br />
เมตตา อุทกะพันธุ์ อีกนั่นเองที่เป็นผู้จัดพิมพ์อย่างสวยงามสมเป็น<br />
พระราชนิพนธ์เกียรติยศของประเทศ<br />
METTA1-22.indd 6 4/26/11 8:41:58 PM
เมื่อแรกที ่คุณเมตตา อุทกะพันธุ ์ ได้พบกับผู ้เขียนนั ้น คุณเมตตา<br />
ได้ปรารภว่า ที่ผ่านมานั ้นได้อุทิศตนช่วยสถาบันชาติและสถาบันกษัตริย์<br />
มาอย่างเต็มขีดความสามารถแล้ว นับจากนี้ (นับจากที ่พบผู้เขียน<br />
ราวปี ๒๕๔๖) จะขออุทิศตนช่วยสถาบันพระศาสนาบ้าง และการณ์<br />
ก็เป็นไปตามคำปรารภนั้นทุกประการ<br />
เพราะเป็นที ่ทราบกันดีว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมา คุณเมตตา<br />
อุทกะพันธุ์ และครอบครัว รวมทั้งบริษัทในเครือได้อุทิศงบประมาณ<br />
จำนวนมหาศาลในแต่ละปีเพื ่อบำเพ็ญการกุศลอันเกื้อกูลแก่กิจการ<br />
ของพระพุทธศาสนาทั้งในเมืองไทยและในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น<br />
การบริจาคสร้างโรงเรียนเตรียมสามเณรในพระราชูปถัมภ์สมเด็จ<br />
พระเทพฯ ที ่วัดครึ ่งใต้ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย การรับเป็น<br />
เจ้าภาพกฐินสามัคคีอย่างต่อเนื่องทุกปีที่วัดบ้านเกิดของผู้เขียน หรือ<br />
ที่วัดบ้านเกิดของตนที ่บางมูลนาค จังหวัดพิจิตร การร่วมเป็นประธาน<br />
การก่อสร้างและพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติเขาดินหนองแสง<br />
จังหวัดจันทบุรี การเป็นประธานทอดกฐินวัดไทยในต่างแดน (ภาคพื ้น<br />
ยุโรป) ๙ วัด ถึง ๒ ปีซ้อน จนได้รับความชื ่นชมจากสมเด็จพระ-<br />
พุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัด<br />
สระเกศ ว่า คุณเมตตาและเครืออมรินทร์นั้นเป็นพุทธบริษัทชั้นนำ<br />
ที่หาได้ยาก นี ่ยังไม่นับการบริจาคเพื่อถวายทุนการศึกษาพระภิกษุ<br />
สามเณร เด็ก เยาวชน รวมทั ้งสนับสนุนการก่อสร้างหอจดหมายเหตุ<br />
พุทธทาส อินทปัญโญ โรงมหรสพทางวิญญาณสำหรับคนกรุงเทพฯ<br />
และโครงการช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน<br />
ที่คุณเมตตาได้อาสาออกหน้าเป็นแม่งาน และเป็นกัลยาณมิตร<br />
METTA1-22.indd 7 4/26/11 8:42:02 PM
ในการชักชวนเครือข่ายสายบุญให้หันมาอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธ-<br />
ศาสนาอย่างขนานใหญ่ จนกลายเป็น“ธรรมะอินเทรนด์”ในหมู ่<br />
นักธุรกิจไทยที่ต่างก็ให้ความสนใจมาประพฤติปฏิบัติธรรมกันอย่าง<br />
เป็นล่ำเป็นสัน และคุณูปการอันสำคัญอีกประการหนึ ่งซึ ่งควรกล่าวไว้<br />
ในที่นี ้ ในฐานะเป็นหลักไมล์ทางประวัติศาสตร์ของวงการพระศาสนาไทย<br />
ก็คือ คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ได้เป็นผู้ก่อตั้งนิตยสารธรรมะยุคใหม่<br />
ในชื่อ“Secret”<br />
ที่ก่อให้เกิดกระแสความสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา<br />
อย่างอุ่นหนาฝาคั่งทั้งในหมู่ชนชั้นนำที่เป็นชนชั้นกลางในเมือง และ<br />
ประชาชนคนทั่วไปในต่างจังหวัดทั่วประเทศไทยอย่างชนิดที่ไม่เคย<br />
มีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน ข้อที ่ควรชื ่นชมเป็นพิเศษก็คือ ด้วย<br />
นิตยสารฉบับนี้เองที ่คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ได้ใช้เป็นเครื่องมือสื่อ<br />
“ธรรมโฆษณ์” ที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งในการชักชวน เชื้อเชิญ<br />
ตลอดถึงจัดสภาพแวดล้อมให้ผู้อ่านของนิตยสารเรือนร้อย เรือนพัน<br />
และอาจถึงเรือนหมื ่น ให้เกิดความตื ่นตัวพากันเดินทางไปฝึก<br />
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานยังสำนักปฏิบัติธรรมชั้นนำทั้งที่จังหวัด<br />
จันทบุรี หรือจังหวัดอื่นๆอีกมากมายหลายแห่ง นี่คือตัวอย่างของ<br />
การใช้“สื ่อมวลชน” ซึ่งเป็น“ปาฏิหาริย์ของยุคสมัย” มารับใช้การ<br />
เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างได้ผลดียิ่ง<br />
ตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผู้เขียนรู้จัก สนิทเสวนากับคุณเมตตา<br />
อุทกะพันธุ ์ นั ้น ทำให้พูดได้อย่างเต็มปากว่า คุณเมตตา อุทกะพันธุ ์<br />
คือกัลยาณมิตรบนเส้นทางธรรม คือรัตนอุบาสิกาที่ถึงพร้อมด้วย<br />
คุณสมบัติต้องตามคัมภีร์พระไตรปิฎกที่กล่าวมาข้างต้น และเหนือ<br />
อื่นใด คือแบบอย่างของพุทธศาสนิกชนชั้นนำที่รู้จัก “เปลี่ยนเงิน<br />
METTA1-22.indd 8 4/26/11 8:42:06 PM
เป็นบุญ และเปลี่ยนทุนเป็นธรรม” อย่างชนิดที่เรียกได้ว่ามาก่อน<br />
กาล เพราะวันเวลาที่คุณเมตตาได้อุทิศตนอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธ-<br />
ศาสนามาอย่างยาวนานนั้น เป็นเวลาที่กระแส“รวยแล้วให้ ได้แล้ว<br />
แบ่งปัน” โดยบิล เก็ตส์ และวอเรนท์ บัฟเฟ็ต ยังไม่เป็นที่รู้จัก<br />
และยังไม่เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ<br />
วันนี้ อันเป็นวันที ่คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ได้รับการยกย่อง<br />
ไว้ในฐานะเป็นรัตนอุบาสิกาผู้คู่ควรแก่เกียรติคุณทางวิชาการ คือ<br />
“พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์” จึงนับเป็นวันแห่งความสำเร็จ<br />
อีกก้าวหนึ่ง เป็นวันแห่งความภาคภูมิใจ และเป็นวันแห่งการ<br />
แสดงออกซึ่งความชื่นชมโสมนัสตามแบบอย่างของชาวพุทธผู้มั่นอยู่<br />
ในพรหมวิหารธรรมข้อมุทิตาโดยแท้ ผู้เขียนในนามของกัลยาณมิตร<br />
บนเส้นทางธรรม (แม้คุณเมตตาจะยกให้เป็นครูบาอาจารย์ หากแต่<br />
ผู้เขียนเห็นว่า นั่นเป็นเกียรติที่สูงเกินไป) จึงขอร่วมแสดงมุทิตาจิต<br />
ด้วยถ้อยสุนทรียกถาที่กล่าวมาข้างต้นนั้น และพร้อมกันนี้ก็ขอ<br />
อัญเชิญคุณพระรัตนตรัยอำนวยพรให้คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ จงมี<br />
สุขภาพกาย สุขภาพจิต แข็งแรงสมบูรณ์ มีความสุข ความเจริญ<br />
ทั้งในทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป<br />
ตราบนานเท่านาน เทอญ<br />
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี)<br />
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย<br />
๖ เมษายน ๒๕๕๔<br />
METTA1-22.indd 9 4/26/11 8:42:10 PM
METTA1-22.indd 10 4/26/11 8:42:14 PM
METTA1-22.indd 11 4/26/11 8:42:17 PM
อนุโมทนา<br />
ฉบับพิมพ์ครั้งที่<br />
๒<br />
โลกของเราตกอยู ่ท่ามกลางวิกฤติมากมาย สาเหตุสำคัญ<br />
ประการหนึ่งของวิกฤติบรรดามีก็คือ โลกนี้กำลังขาดเมตตาธรรม<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตาธรรมระหว่างคนต่อคน คนต่อสังคม และ<br />
คนต่อธรรมชาติสิ่งแวดล้อม<br />
เมื่อคนเมตตากันและกันน้อยลง โลกจึงตกอยู ่ท่ามกลางการมอง<br />
คนเป็นคู่แข่งขัน และต่างก็จ้องแต่จะฉกชิงผลประโยชน์จากกันและ<br />
กันให้ได้มากที่สุด เมื่อคนขาดเมตตาต่อสังคม จิตสำนึกสาธารณะ<br />
จึงหายไป ปัญหาสังคมมากมายไม่ได้รับการแก้ไข การเห็นแก่สังคม<br />
กลายเป็นเรื ่องที่มาทีหลัง การเห็นแก่ตัวเป็นเรื ่องที่ต้องมาก่อน สังคม<br />
จึงมากมายไปด้วยปัญหา และพื ้นที่ปลอดภัยในสังคมนับวันน้อยลงไป<br />
อย่างน่าวิตก<br />
METTA1-22.indd 12 4/26/11 8:42:21 PM
เมื ่อคนขาดเมตตาต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร<br />
ธรรมชาติ รวมทั้งแม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขา แร่ธาตุ รวมทั้งระบบนิเวศ<br />
คือการพึ ่งพาอาศัยกันระหว่างคนกับสิ ่งแวดล้อม สัตว์กับสิ ่งแวดล้อม<br />
ก็สูญเสียสมดุล ฤดูกาลวิปริต ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล อุทกภัย<br />
วาตภัย ปฐพีภัย คุกคามมนุษย์ถี ่อย่างที ่ไม่เคยมีมาก่อน สถานการณ์<br />
เหล่านี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมดาของโลกอย่างแน่นอน หากแต่มัน<br />
คือการผิดสำแดงจากการที่โลก กล่าวคือ สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ<br />
ถูกกระทำย่ำยีจากน้ำมือมนุษย์อย่างปราศจากเมตตาธรรมนั่นเอง<br />
หากโลกของเราเปี ่ยมด้วยเมตตาธรรม โฉมหน้าของโลกคง<br />
จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เพราะเมตตาธรรมเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ<br />
ชโลมโลก และเป็นรากฐานแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในโลก การ<br />
เรียนรู้และพัฒนาตนให้เป็นบุคคลที ่มีศักยภาพที ่จะเมตตาตนและ<br />
คนอื่น<br />
สิ่งอื่น<br />
จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง<br />
หนังสือ“เมตตาธรรม”เขียนขึ้นบนพื้นฐานที่ต้องการให้โลกนี้<br />
เป็นโลกที ่ถูกอบร่ำด้วยรักแท้ คือเมตตา และเพื ่อเป็นแนวทาง<br />
ในการฝึกเจริญเมตตาจนสามารถมีชีวิตอยู ่ในลักษณะมีเมตตาเป็น<br />
เรือนใจ (เมตตาวิหารี) ในชีวิตประจำวัน<br />
METTA1-22.indd 13 4/26/11 8:42:25 PM
หนังสือเล่มนี้สำเร็จเป็นรูปเล่มได้ ก็เพราะอาศัยแรงบันดาลใจ<br />
จากคุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ผู้เป็นต้นธารให้เกิดการเขียนหนังสือ<br />
เล่มนี ้ในมงคลวารครบ ๕ รอบแห่งชีวิตเมื่อปีก่อน และมาในปีนี ้ก็เป็น<br />
ผู้แสดงความจำนงขอเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์เผยแพร่อีกเป็นครั้งที่สอง<br />
โดยปรารภความเจริญแพร่หลายแห่งธรรมเป็นสำคัญ ในฐานะผู ้เขียน<br />
จึงขออนุโมทนากุศลเจตนาของคุณเมตตา อุทกะพันธุ์ พร้อม<br />
ครอบครัว กล่าวคือ คุณระริน คุณโชคชัย คุณระพี และน้องปุณณ์<br />
มา ณ โอกาสนี้ด้วย<br />
“ขอพระธรรมจงแผ่ไพศาล<br />
ขอให้เธอเบิกบานกับการรับใช้เพื่อนมนุษย์”<br />
ว.วชิรเมธี<br />
๒๐ มกราคม ๒๕๕๔<br />
METTA1-22.indd 14 4/26/11 8:42:29 PM
METTA1-22.indd 15 4/26/11 8:42:32 PM
คำปรารภ<br />
ฉบับพิมพ์ครั้งแรก<br />
เมื ่อต้นปี ๒๕๕๒ มีผู้มาบอกข่าวว่า ปีนี้คุณโยมเมตตา<br />
อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์<br />
พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีอีกหัวโขนหนึ่งก็คือ กรรมการ<br />
อุปถัมภ์โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดครึ่งใต้วิทยา (โรงเรียนเตรียม<br />
สามเณรในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม-<br />
ราชกุมารี) และกรรมการที่ปรึกษาและอุปถัมภ์กิตติมศักดิ์ สถาบัน<br />
วิมุตตยาลัย จะมีอายุวัฒนมงคลครบ ๕ รอบ ตอนที ่ทราบข่าวนี้<br />
ปรากฏว่าคุณโยมเมตตาได้จัดงานทำบุญไปแล้วอย่างเงียบๆในหมู่<br />
ผู้ร่วมงานใกล้ชิด ด้วยไม่ประสงค์จะรบกวนใครให้เอิกเกริก แต่<br />
ผู้เขียนรู้สึกว่า กว่าที่ใครคนหนึ่งจะยังชีพยืนชนม์มาจนอายุครบ<br />
๖๐ ปีย่อมไม่ใช่ของง่าย ผู้เขียนจึงได้แจ้งแก่คุณโยมเมตตา อุทกะ-<br />
พันธุ์ ว่า ในโอกาสดีเช่นนี้ ควรจะบำเพ็ญธรรมทานเป็นกรณีพิเศษ<br />
เพื ่อเพิ่มพูนปัญญาบารมีทั้งในส่วนตนและส่วนสังคมให้ยิ่งๆขึ้นไป<br />
ในการคุยกันคราวนั้น ผู้เขียนได้รับปากว่าจะเขียนหนังสือขึ้นมา<br />
สักเล่มหนึ่งเพื ่อจัดพิมพ์เป็นธรรมทานในการนี้โดยเฉพาะ แต่เมื ่อ<br />
METTA1-22.indd 16 4/26/11 8:42:36 PM
เวลาผ่านไป จากต้นปีจนล่วงเข้าสู ่ปลายปี ก็ยังไม่มีเวลาเขียนต้นฉบับ<br />
เสียที กระทั่งทางเลขาฯของคุณโยมเมตตาเริ่มส่งเสียงเตือนเป็น<br />
ระยะๆว่าต้นฉบับหนังสือที่จะจัดพิมพ์เป็นธรรมทานเสร็จแล้วหรือยัง<br />
แต่ถึงแม้จะถูกกระตุ้นเตือนอยู่บ่อยครั้ง ผู้เขียนก็ยังไม่มีเวลาทำงาน<br />
ชิ ้นนี ้อยู ่นั ่นเอง กระทั ่งจวนล่วงเลยเวลามาทุกขณะ เหลือเวลาจัดงาน<br />
ทำบุญบำเพ็ญธรรมทานอีกไม่ถึง ๒๐ วัน ผู้เขียนจึงได้เริ่มต้นเขียน<br />
ต้นฉบับหนังสือชื่อ“เมตตาธรรม”เล่มนี้อย่างเป็นทางการเสียที<br />
ผู ้เขียนเริ ่มเขียนต้นฉบับหนังสือเล่มนี ้ ณ ที ่พำนักซึ ่งอยู ่ห่างจาก<br />
ต้นพระศรีมหาโพธิ อันเป็นอภิสัมพุทธสถาน คือสถานที่ตรัสรู้ของ<br />
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ถึง ๕๐๐ เมตร ลงมือเขียน<br />
ประมาณสองทุ่มครึ่งจนถึงตีหนึ่งของอีกวันหนึ่ง (เริ่มเขียนวันที่ ๒๖<br />
พฤศจิกายน ๒๕๕๒) ขณะที่เขียนนั้นอยู่ห่างจากแหล่งข้อมูลอ้างอิง<br />
อย่างสิ้นเชิง อาศัยเพียงกระแสธารแห่งธรรมที่หลั่งไหลออกมา<br />
จากใจอันอิ่มเต็มไปด้วยบุญกุศลเท่านั้น เป็นแรงจูงใจและพลังงาน<br />
ในการเขียน เพราะขณะที่มานั ่งเขียนต้นฉบับอยู ่นี ้ ผู ้เขียนอยู ่ระหว่าง<br />
การนำพุทธบริษัทจาริกแสวงบุญมายังสังเวชนียสถานทั้งสี่ วันที่<br />
ลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เป็นเพียงวันที่สองของการจาริกแสวงบุญ<br />
เท่านั้น แต่ด้วยอาศัยเมตตานุภาพของพระพุทธองค์โดยแท้ ทำให้<br />
กระแสธารแห่งธรรมไหลหลั่งอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว ราบรื่น จน<br />
เขียนเนื้อหาเสร็จไปกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ และมาเขียนเพิ่มเติมอีก<br />
คืนหนึ ่ง (วันที ่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒) ณ สถานที ่พำนักไม่ไกลนัก<br />
จากธัมเมกขสถูป อันเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธัมม-<br />
จักกัปปวัตตนสูตร เมืองพาราณสี<br />
METTA1-22.indd 17 4/26/11 8:42:40 PM
ที่ผู้เขียนเล่าถึงเบื้องหลังการเขียนหนังสือเล่มนี้เสียละเอียด<br />
อย่างนี้ก็เพื่อจะบันทึกไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ของหนังสือว่า ผลงาน<br />
เล่มนี้เกิดขึ้นก็ด้วยปรารภความ“เมตตา”ของมหาอุบาสิกาผู้ถวาย<br />
ความอุปถัมภ์งานเผยแผ่พุทธศาสนาให้แก่ตัวผู้เขียนมาอย่างแข็งขัน<br />
ทุ ่มเท จริงใจ จริงจัง และมากด้วยความเอ็นดูห่วงใย ตั ้งแต่ยุคแรก<br />
ที่ยังไม่มีใครรู้จักมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงดำรงตนเป็น<br />
พุทธศาสนิกชนชั้นนำอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะโดย<br />
วิธีการที ่เปิดเผย เช่น การถวายเงินบริจาคสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม<br />
ที่จังหวัดเชียงราย หรือที่วัดป่าวิมุตตยาลัย หลายล้านบาท และ<br />
วิธีการแบบปิดทองหลังพระในอีกหลายเรื่องหลายกรณีมาเกือบสิบปี<br />
เข้านี ่แล้ว โดยที ่มหาอุบาสิกาผู้นี้เองก็มีชื่ออันเป็นมงคลนามว่า<br />
“เมตตา”อีกต่างหาก ทั้งเจตนาในการเขียนของผู้เขียนก็เริ่มจาก<br />
ความ“เมตตา”ที ่ปรารถนาจะให้บุพการีผู้มีคุณูปการต่องานเผยแผ่<br />
ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญมหากุศลที่แผ่ไพศาล<br />
ให้เป็นกุศลบุญราศีส่วนตัวและส่วนครอบครัวและส่วนสังคมพร้อมๆ<br />
กันไป และการที ่ผู้เขียนได้มานั่งทำงานเขียนต้นฉบับหนังสืออยู่ถึง<br />
ประเทศอินเดีย และได้อุทิศตนบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์แก่ชาวโลก<br />
ทุกวันนี้ก็เพราะได้อาศัยพระ“เมตตาธิคุณ”ของพระอรหันตสัมมา-<br />
สัมพุทธเจ้า ที ่ทรงหลั่งไหลสายธารแห่งธรรมไว้หล่อเลี้ยงโลกอย่าง<br />
ไม่ขาดสายจนกระแสธารนั้นส่งต่อมาถึงผู้เขียนด้วยผู้หนึ่ง หาก<br />
ปราศจากเมตตาธิคุณของพระพุทธองค์เสียแล้ว ชีวิตของผู้เขียน<br />
จะเป็นประการใดก็สุดจะอนุมาน ทั้งการที่ได้มาเยือนแผ่นดิน<br />
METTA1-22.indd 18 4/26/11 8:42:44 PM
ถิ่นพุทธภูมิคราวนี้ก็ด้วยเมตตาของพุทธบริษัทอีกเช่นเดียวกัน<br />
รวมความว่า หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นด้วยแรงจูงใจที่ชื่อ“เมตตาธรรม”<br />
โดยแท้<br />
หากจะมีกุศลบุญราศีใดที่เกิดจากการเผยแผ่พุทธธรรมใน<br />
ส่วนที ่ว่าด้วย“เมตตาธรรม”แก่มหาชนในคราวนี ้แล้วไซร้ ผู ้เขียนก็ขอ<br />
อัญเชิญกุศลบุญกิริยาทั้งปวงนี้ อำนวยอวยชัยให้คุณโยมเมตตา<br />
อุทกะพันธุ์ จงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย คือ อายุ วรรณะ สุขะ<br />
พละ สิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์ด้วยอามิสไพบูลย์และธรรม-<br />
ไพบูลย์ยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ<br />
ว.วชิรเมธี<br />
พุทธคยา –พาราณสี อินเดีย<br />
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒<br />
METTA1-22.indd 19 4/26/11 8:42:48 PM
สารบัญ<br />
โมทนียพจน์ (๔)<br />
อนุโมทนา (๑๒)<br />
คำปรารภ (๑๖)<br />
ความหมายของเมตตา ๒<br />
ความสำคัญของเมตตา ๒<br />
เมตตาในฐานะเป็นหนึ่งในบารมี<br />
๑๐ ๓<br />
เมตตาในฐานะเป็นพรหมวิหารธรรม ๔<br />
เมตตาในฐานะเป็นอัปปมัญญา ๕<br />
เมตตาในฐานะเป็นเมตตากรรมฐาน ๕<br />
เมตตาในฐานะเป็นสื่อสมานไมตรี<br />
๖<br />
เมตตาในฐานะเป็นพระพุทธคุณ<br />
เมตตาในฐานะเป็นพระนาม<br />
๘<br />
แห่งพระศรีอารยเมตไตรยพุทธเจ้า ๑๐<br />
๑๐ เหตุผลที่เราทุกคนควรมีเมตตา<br />
๑๑<br />
ประโยชน์ของเมตตา ๑๖<br />
วิธีแผ่เมตตา ๑๘<br />
แผ่เมตตาให้ตัวเอง ๒๐<br />
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ๒๑<br />
METTA1-22.indd 20 4/26/11 8:42:51 PM
กรณีศึกษา “พลานุภาพของเมตตา” ๒๓<br />
อุปสรรคของเมตตา ๒๙<br />
ปราการแห่งทิฐิ ๑ ๓๐<br />
่<br />
้<br />
้<br />
อคติ: ความลำเอียง ๔ ๓๒<br />
ความตระหนี ๕ ๓๔<br />
การไม่ฝึกฝนเมตตาภาวนา ๑ ๓๗<br />
ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกใจให้เปี่ยมเมตตา<br />
เมื่อมนุษย์อยู่กันด้วยเมตตา<br />
๓๙<br />
พรหมบนฟ้าก็ไม่จำเป็น<br />
เมตตาแท้ ไม่ต้องเพียร ไม่ต้องแผ่ ไม่ต้องเพ่ง<br />
๔๐<br />
แต่ให้เปล่งประกายออกมาเองจากใจที่ตื่นรู<br />
๔๔<br />
อานาปานสติสมาธิ: ปฎิบัติเพียงหนึ่งแต่ได้ทั้งหมด<br />
อานาปานสติสมาธิภาวนา: มรรควิธีฝึกลมหายใจ<br />
๔๗<br />
แห่งการตื่นรู<br />
๔๙<br />
อานาปานสติ ๑๖ ขั้น<br />
๕๐<br />
บทสรุปอัจฉริยลักษณ์ของอานาปานสติสมาธิภาวนา ๕๒<br />
บทสวดคาถาเมตตา ๕๙<br />
ตำนานกรณียเมตตสูตร ๖๐<br />
บทสวดคาถาเมตตากรณียเมตตสูตร ๖๕<br />
ตำนานขันธปริตร ๗๐<br />
บทสวดคาถาขันธปริตร ๗๓<br />
ความหมายแห่งเมตตานิสังสะสุตตะปาฐะ ๗๖<br />
บทสวดคาถาเมตตานิสังสะสุตตะปาฐะ ๗๖<br />
บทแผ่เมตตาพิเศษ ๗๗<br />
METTA1-22.indd 21 4/26/11 8:42:55 PM
METTA1-22.indd 22 4/26/11 8:42:58 PM
เมตตาธรรม
ความหมายของเมตตา<br />
เมตตา หมายถึง ความมีน้ำใจเยื่อใยไมตรีต่อกันฉันมิตร<br />
ความปรารถนาอยากให้สรรพชีพ สรรพสัตว์ มีความสุข ความรู้สึก<br />
รักใคร่ไยดีที่มีต่อคน<br />
สัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม<br />
และต่อโลก<br />
ความสำคัญของเมตตา<br />
เมตตาเป็นองค์ธรรมสำคัญในพุทธศาสนาและศาสนาอื่น จน<br />
อาจกล่าวได้ว่าเป็นหลักธรรมที ่เป็นสากล ซึ ่งมีปรากฏอยู ่ในหลักธรรม<br />
คำสอนของศาสดาสำคัญของโลกทุกพระองค์ ตลอดถึงเป็นจริยธรรม<br />
สากลที ่ปวงปราชญ์ราชบัณฑิตและปัญญาชนทั ่วโลกต่างเห็นตรงกันว่า<br />
เป็นคุณธรรมซึ่งจะขาดเสียไม่ได้ในหมู่มนุษยชาติ มนุษยชาติขาดน้ำ<br />
ไม่ได้ฉันใด โลกก็ขาดเมตตาไม่ได้ฉันนั้น ในพุทธศาสนาเอง พระ-<br />
พุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับ“เมตตาธรรม”เป็นอันมาก ดังปรากฏ<br />
เมตตาธรรม
ว่า ทรงเน้นย้ำหลักธรรมเรื่องเมตตาไว้ในหมวดธรรมต่างๆมากมาย<br />
ทั้งในฐานะหลักธรรมที่พึงปฏิบัติเฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณี (การแผ่<br />
เมตตาซึ ่งเป็นกิจส่วนบุคคล) หรือหลักธรรมที ่พึงปฏิบัติเพื ่อบูรณาการ<br />
กับหลักธรรมข้ออื ่นๆ (พรหมวิหารธรรม ๔) ตลอดถึงเป็นหลักธรรม<br />
สำคัญสำหรับผู้เจริญวิปัสสนาขั้นสูง ที่จะใช้เป็นวิหารธรรมสำหรับ<br />
ผ่อนพักอย่างเป็นสุขอยู่ในปัจจุบันขณะ<br />
(เมตตาพรหมวิหาร)<br />
ในพุทธรรม เราจะพบคำสอนเรื่องเมตตากระจายอยู่ในหมวด<br />
ธรรมต่างๆมากมาย โดยมีจุดมุ่งหมายหรือจุดเน้นที่ต่างกันไปตาม<br />
สภาพแวดล้อมหรือตามความจำเป็นที่เมตตาธรรมจะต้องไปเชื่อมโยง<br />
หรือสนับสนุนหลักธรรมข้ออื่นๆ เมตตาธรรมที่ปรากฏในระบบ<br />
พุทธธรรมหรือในสารบบพุทธศาสนา เช่น<br />
เมตตาในฐานะเป็นหนึ่งในบารมี<br />
๑๐<br />
บารมี หมายถึง คุณธรรมอันยิ่งยวดที่ผู้เป็นพระโพธิสัตว์<br />
จะต้องบำเพ็ญให้ครบบริบูรณ์ทั้งสามระดับ คือ ระดับต้น (บารมี)<br />
ระดับกลาง (อุปบารมี) ระดับสูงสุด (ปรมัตถบารมี) บารมีดังกล่าวนี ้<br />
มี ๑๐ ประการ คือ<br />
(๑) ทานบารมี<br />
(๒) ศีลบารมี<br />
(๓) เนกขัมมบารมี<br />
ว.วชิรเมธี
(๔) ปัญญาบารมี<br />
(๕) วิริยบารมี<br />
(๖) ขันติบารมี<br />
(๗) สัจจะบารมี<br />
(๘) อธิษฐานบารมี<br />
(๙) เมตตาบารมี<br />
(๑๐) อุเบกขาบารมี<br />
เมตตาในฐานะเป็นพรหมวิหารธรรม<br />
หลักธรรมที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติมีคุณสมบัติเป็นผู้ประเสริฐ หรือ<br />
เป็นดั่งพระพรหมผู้สร้างสรรค์อภิบาลโลก (หลักการบริหารความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับสัตว์ คนกับหลักการ คนกับความ<br />
รู ้สึก คนกับความจริง) เรียกว่าพรหมวิหารธรรม มี ๔ ประการ คือ<br />
(๑) เมตตา ปรารถนาให้คนและสัตว์เป็นสุข<br />
(๒) กรุณา ปรารถนาให้คนและสัตว์พ้นจากความทุกข์<br />
(๓) มุทิตา พลอยยินดีในคราวที่ผู้อื่นมีความสุขความเจริญ<br />
(๔) อุเบกขา ความวางใจเป็นกลางเมื่อเห็นบุคคล /สัตว์กำลัง<br />
เสวยผลแห่งกรรมที่ตนเป็นคนก่อไว้เอง<br />
เมตตาธรรม
เมตตาในฐานะเป็นอัปปมัญญา<br />
การปฏิบัติตามหลักพรหมวิหารธรรม ๔ ประการที่กล่าวมา<br />
ข้างต้น ที่ขยายขอบเขตออกไปอย่างไร้พรมแดน ไม่มีขีดคั่น ไม่มี<br />
เงื่อนไข ไม่มีข้อจำกัด แผ่คลุมออกไปทั่วทั้งสากลจักรวาล เรียกว่า<br />
“อัปปมัญญา” (ไม่มีประมาณ ไม่มีข้อจำกัด) มี ๔ ประการ คือ<br />
(๑) เมตตา ปรารถนาให้คนและสัตว์เป็นสุขเสมอหน้ากัน<br />
ทั้งหมด<br />
(๒) กรุณา ปรารถนาให้คนและสัตว์พ้นจากความทุกข์เสมอ<br />
หน้ากันทั้งหมด<br />
(๓) มุทิตา พลอยยินดีในคราวที่ผู้อื่นมีความสุขความสำเร็จ<br />
เสมอหน้ากันทั้งหมด<br />
(๔) อุเบกขา ความวางใจเป็นกลางเมื่อเห็นบุคคล /สัตว์กำลัง<br />
เสวยผลแห่งกรรมที่ตนเป็นคนก่อไว้เองเสมอหน้ากันทั้งหมด<br />
เมตตาในฐานะเป็นเมตตากรรมฐาน<br />
การฝึกจิตที่เรียกว่า“กรรมฐาน”นั้น สามารถใช้เมตตาเป็น<br />
อารมณ์ของจิตได้ ผู้ที่ฝึกกรรมฐานโดยการใช้เมตตาเป็นอารมณ์ใน<br />
การฝึก ก็เรียกว่าเป็น“ผู ้เจริญเมตตากรรมฐาน” การเจริญกรรมฐาน<br />
โดยใช้เมตตาเป็นอารมณ์นี ้ จะถือว่าสัมฤทธิผลสูงสุดก็ต่อเมื ่อสามารถ<br />
ว.วชิรเมธี
แผ่เมตตาไปยังบุคคล ๔ จำพวกโดยปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง<br />
อย่างสิ้นเชิง<br />
บุคคลทั้งสี่จำพวกนี้ก็คือ<br />
(๑) ตนเอง<br />
(๒) คนอันเป็นที่รัก<br />
(๓) คนเป็นกลางๆ<br />
(๔) คนที่ตนเกลียดชัง<br />
ถ้าผู้เจริญเมตตากรรมฐานสามารถวางใจให้เมตตาต่อคนทั้ง<br />
สี่จำพวกนี้ได้เสมอกัน ก็จะเป็นการเจริญเมตตาชนิดไร้พรมแดน<br />
สามารถยกใจให้สูง รัก เมตตา เอ็นดู ห่วงใย เป็นมิตรกับคนและ<br />
เทวดาได้ทั้งสากลโลก<br />
เมตตาในฐานะเป็นสื่อสมานไมตรี<br />
มนุษย์ปุถุชนซึ่งเป็นคนหนาด้วยกิเลส ย่อมจะมีกิเลส คือ<br />
อคติ ๔ อันได้แก่ ความลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียง<br />
เพราะหลง ลำเอียงเพราะกลัว เป็นม่านกางกั ้นเอาไว้ทำให้ไม่สามารถ<br />
อยู ่ร่วมกันด้วยความรัก สมัครสมานสามัคคี เป็นเหตุให้มีใจคิดอิจฉา<br />
ริษยา โกรธกริ้ว พยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แต่เมื่อใด<br />
ก็ตาม ที่มนุษย์รู้จักยกใจให้สูงขึ้นมา เพราะมองเห็นว่าบุคคลที่อยู่<br />
ตรงหน้าของตนทั้งหมดนั้น<br />
แท้ที่จริงแล้วก็คือ“มิตรร่วมโลก”ของเรา<br />
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อสามารถมองดูคนทั้งโลกด้วยสายตาอัน<br />
เมตตาธรรม
เปี ่ยมด้วยเมตตาหรือความรู ้สึกเป็นมิตรแล้ว อคติ ๔ ก็หายไป คนที ่<br />
มีความแตกต่างหลากหลายในทางเชื ้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม<br />
เพศ ผิว เผ่าพันธุ ์ ก็จะสามารถอยู ่ร่วมกันได้อย่างสนิทสนมกลมกลืน<br />
เกิดเอกภาพ เกิดความสมานสามัคคี มีศานติในเรือนใจ อยู่ร่วมกัน<br />
ได้อย่างสงบสุข การที่จะฝึกใจให้สูงจนเกิดเป็นภาวะเปี่ยมไปด้วย<br />
น้ำใจไมตรีเช่นนี้<br />
มีวิธีสำคัญที่ทรงแสดงไว้ในกรณียเมตตสูตร<br />
ก็คือ<br />
ขอให้เราฝึกแผ่เมตตาให้แก่มนุษย์ เทวดา ตลอดถึงสรรพชีพสัตว์<br />
อย่างไร้ขีดจำกัด โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ด้วยการตั้งกุศลจิต<br />
ปรารถนาให้เขาเหล่านั้นอยู่ร่วมกัน ปฏิบัติต่อกันฉันมิตรพึงปฏิบัติ<br />
ต่อมิตร (มิตร มีรากศัพท์มาจากคำว่า เมตตา) ด้วยจิตนุ่มนวล<br />
อ่อนโยน ละมุนละไม ไร้ความวิหิงสาพยาบาท ปรารถนาแต่ให้เขา<br />
เหล่านั้นพ้นจากสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย สรรพ-<br />
เสนียดจัญไรทั้งปวง เผื่อแผ่ความเมตตาการุณย์รักไปยังสรรพชีพ<br />
สรรพสัตว์ ดังหนึ่งมารดาปรารถนาให้บุตรน้อยของตนยังชีพยืนชนม์<br />
อย่างสุขศานติไปตลอดกาล<br />
เมื ่อเราฝึกแผ่เมตตาจนสามารถแผ่พลังงานแห่งความรัก ความ<br />
ปรารถนาดี ความมีไมตรีจิตไปยังสรรพชีพ สรรพสัตว์ ด้วยความ<br />
รู้สึกดังหนึ่งแม่แผ่ความรักความหวังดีให้ลูกน้อยกลอยใจได้สำเร็จ<br />
เช่นนี้แล้ว เมื่อนั้นแหละ เราย่อมจะได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยเมตตา<br />
พรหมวิหาร เป็นผู้มีใจแช่มชื่นเบิกบานอยู่ด้วยรักแท้ และเป็นผู้ที่จะ<br />
สามารถสร้างสรรค์บันดาลโลกทั้งผองให้เป็นพี่น้องกันได้อย่างแท้จริง<br />
เมตตาที ่ฝึกภาวนาหรืออบร่ำไว้ในใจจนฉ่ำชื ่นรื ่นรมย์อยู ่เป็นนิตย์นิรันดร์<br />
ว.วชิรเมธี
นั้น แท้จริงแล้วก็คือรากฐานแห่งสันติภาพอันถาวรที่จะกลายเป็น<br />
หลักประกันสันติภาพของมวลมนุษยชาติโดยรวมสืบไป<br />
เมตตาในฐานะเป็นพระพุทธคุณ<br />
พระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเป็นอเนกอนันต์<br />
แม้มีปากตั้งแสน มีลิ้นตั้งล้าน ดำรงชีวิตอยู่จนตลอดกัปก็ไม่อาจ<br />
พรรณนาพระคุณของพระองค์ได้หมดสิ้น แต่เมื่อกล่าวโดยรวบยอด<br />
แล้ว พระคุณทั้งปวงของพระองค์ย่อมรวมลงในพระคุณสามประการ<br />
กล่าวคือ<br />
(๑) พระปัญญาคุณ พระคุณคือปัญญา<br />
(๒) พระวิสุทธิคุณ พระคุณคือความบริสุทธิ์<br />
(๓) พระกรุณาคุณ พระคุณคือความเมตตาต่อประชาสัตว์<br />
ด้วยพระคุณคือปัญญา ทำให้พระพุทธองค์ทรงสามารถช่วย<br />
ปลดเปลื้องมนุษย์ เทวดา ให้พ้นจากพันธนาการของกิเลสบรรดามี<br />
ทั้งหมด ด้วยพระคุณคือความบริสุทธิ์ ทำให้พระองค์ทรงปฏิบัติกิจ<br />
แห่งพระบรมศาสดาอย่างปราศจากข้อมัวหมองด้วยโลกามิสสินจ้าง<br />
ทั้งปวง และทำให้ทรงลอยพ้นจากการยึดติดถือมั่นในศีลและพรต<br />
ทุกชนิด ที ่ชาวโลกพากันยึดติดถือมั ่นอย่างแน่นเหนียว ด้วยพระคุณ<br />
คือกรุณา ทำให้พระองค์ทรงมีความเมตตาต่อประชาสัตว์ทุกถ้วนหน้า<br />
อย่างไร้พรมแดน ไร้ข้อจำกัด ทรงอุทิศพระวรกาย พระชนมชีพ<br />
เมตตาธรรม
พระปรีชาญาณ และวันเวลาทั ้งหมดให้ผ่านพ้นไปด้วยการมุ ่งทำกิจคือ<br />
การช่วยเหลือเกื้อกูลมนุษย์และเทพยดาให้ล่วงพ้นจากห้วงมหรรณพ<br />
แห่งความทุกข์ให้มากที่สุด ทุกทิวาราตรีกาลของพระองค์ผ่านพ้นไป<br />
ด้วยการทำกิจอันกอปรด้วยความเมตตาการุณย์รักต่อสัตวโลกอย่าง<br />
ไม่มีประมาณ กิจจานุกิจรายวันของพระองค์ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า<br />
ทรงบำเพ็ญพุทธกรณีย์ด้วยความเมตตาต่อประชาสัตว์มากเพียงไรนั ้น<br />
ปราชญ์ท่านประพันธ์ไว้ว่า<br />
(๑) เวลาจวนสว่าง ทรงแผ่ข่ายคือพระญาณสำรวจดูเวไนยสัตว์<br />
ที่ควรเสด็จไปโปรด<br />
(๒) เวลาเช้า เสด็จไปบิณฑบาตรวมทั้งโปรดเวไนยสัตว์ที่ทรง<br />
กำหนดหมายไว้<br />
(๓) เวลาเย็น ทรงแสดงธรรมแก่ประชาชนที่หลั่งไหลมาจาก<br />
จาตุรทิศ<br />
(๔) เวลาค่ำ ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุสงฆ์สาวก<br />
(๕) เวลาเที่ยงคืน ทรงแสดงธรรมโปรดชนชั้นปกครองและ<br />
เทพยดา<br />
นี่คือตารางเวลาที่แสดงให้เห็นว่า พระบรมศาสดาสัมมา-<br />
สัมพุทธเจ้าทรงกอปรด้วยพระคุณคือความกรุณา (ซึ่งย่อมหมายรวม<br />
ถึงเมตตาด้วย) ต่อสัตวโลกมากมายเพียงไร หากเราศึกษาพุทธจริยา<br />
อย่างทั่วถึงก็จะพบว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นบรมศาสดาที่ทรงงาน<br />
หนักมากที่สุดในโลกพระองค์หนึ่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่แรกตรัสรู้ ก็ทรง<br />
ตัดสินพระทัยที่จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ก็ด้วยแรงขับของความกรุณา<br />
ว.วชิรเมธี
(เมตตาด้วย) ระหว่างพุทธกาลและปัจฉิมพุทธกาลก็ยังคงทรงงาน<br />
หนักไม่จบสิ้น แม้กระทั่งวาระสุดท้ายก่อนวางวายทำลายขันธ์<br />
จากโลกนี้ไป ก็ยังทรงมีแก่ใจโปรดสาวกชนคนสุดท้ายอย่างสุภัทท-<br />
ปริพาชกให้ได้บรรลุอริยมรรคอริยผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล<br />
ขั้นพระอรหันต์ นับเป็นปัจฉิมสาวก แล้วจึงเสด็จจากไปในฐานะ<br />
บรมศาสดาผู้บำเพ็ญพุทธกิจอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง น้ำพระทัย<br />
อันกอปรด้วยเมตตาแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น<br />
ช่างต้องกันกับกวีนิพนธ์รจนาที่ว่า“พระกรุณาดั่งสาคร”โดยแท้<br />
เมตตาในฐานะเป็นพระนาม<br />
แห่งพระศรีอารยเมตไตรยพุทธเจ้า<br />
เป็นที ่ทราบกันดีในบรรดาพุทธศาสนิกชนว่า พระบรมโพธิสัตว์<br />
ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งขณะนี้<br />
กำลังทรงบำเพ็ญพุทธบารมีอยู่นั้น ทรงพระนามว่า“พระศรีอารย-<br />
เมตไตรยโพธิสัตว์” อันแปลว่า “พระโพธิสัตว์ผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญ<br />
แห่งความเมตตาอันประเสริฐ” หรือแปลง่ายๆว่า “พระพุทธเจ้าแห่ง<br />
ความเมตตา” และ /หรือ“พระพุทธเจ้าแห่งความรัก”ก็คงไม่ผิด จาก<br />
พระนามของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล ทำให้เรา<br />
ทราบว่า ยุคสมัยแห่งพระศรีอารยเมตไตรยพุทธเจ้า ก็คือยุคสมัย<br />
แห่งความเมตตา เป็นกาลเวลาที่มนุษย์ สัตว์ทั้งหลายจะอยู่ร่วมกัน<br />
10<br />
เมตตาธรรม
ด้วยความรัก ความปรารถนาดี ความมีไมตรีต่อกันอย่างทั่วถึง<br />
โลกในยุคของพระองค์ก็คือ โลกที่ชนทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เป็น<br />
โลกที่สุขเกษมศานต์เพราะพลานุภาพของปัญญา วิสุทธิ์ และกรุณา<br />
นั่นเอง<br />
๑๐ เหตุผลที่เราทุกคนควรมีเมตตา<br />
ทำไมพระบรมศาสดาของทุกศาสนาจึงเน้นย้ำให้มนุษยชาติทั ่วทั ้ง<br />
โลกอยู ่กันด้วยเมตตา เพื ่อจะตอบคำถามนี ้ ขอให้เราลองมาพิจารณา<br />
เหตุผลต่อไปนี้ร่วมกัน<br />
(๑) มนุษยชาติ รวมทั้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ อาจเคยเป็น<br />
ญาติพี่น้องหรือวงศาคณาญาติกันมาแต่ชาติปางก่อน<br />
เพราะในสังสารวัฏอันยาวไกลที่หาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด<br />
ไม่พบนี้ เราล้วนเคยเวียนว่ายตายเกิดกันมาแล้วนับชาติภพไม่ถ้วน<br />
ตลอดเวลาอันยาวนานนี้ เราอาจเคยเกี่ยวข้องกันมาแล้วในฐานะ<br />
ต่างๆ บ้างเคยเป็นมารดา บ้างเคยเป็นบิดา บ้างเคยเป็นบุตรธิดา<br />
บ้างเคยเป็นภรรยาสามี บ้างเคยเป็นเพื ่อน พี ่ น้อง บริวาร อาจารย์<br />
ศิษย์ ฯลฯ กันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยเหตุดังนี้ จึงไม่มีเหตุผล<br />
ที ่เราจะไม่เมตตาต่อคน ซึ ่งครั ้งหนึ ่งอาจเคยเป็นพี ่น้องวงศาคณาญาติ<br />
ของเราเอง<br />
(๒) มนุษย์ รวมทั้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ต่างก็เป็นสัตวโลก<br />
11<br />
ว.วชิรเมธี
ซึ่งดำรงความเป็นสมาชิกของโลกนี้ประเภทหนึ่งเหมือนกันกับเรา<br />
จริงอยู่ แม้คน สัตว์ เทวดา จะมีความแตกต่างกันโดย<br />
อัตภาพที่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกบ้าง แต่เมื่อว่าโดยภาพรวมแล้ว เรา<br />
ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในสังกัดเดียวกัน คือเป็นสัตวโลกผู้เป็นส่วนหนึ่ง<br />
ของโลกนี้เหมือนกัน<br />
จึงไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่เมตตาต่อกันและกัน<br />
(๓) มนุษย์ รวมทั้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ต่างก็เป็นผู้ตกอยู่<br />
ในกฎธรรมชาติเช่นเดียวกันกับเรา<br />
กล่าวคือ มนุษย์ สัตว์ เทวดา แม้จะเกิดมาแตกต่างกัน แต่<br />
ก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในอาณัติของกฎแห่งธรรมชาติอันเป็นสากลที่<br />
เรียกว่า กฎไตรลักษณ์ เหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น<br />
นั่นคือต่างก็ตกอยู่<br />
ในความไม่เที ่ยง (อนิจฺจตา) เป็นทุกข์ (ทุกฺขตา) เป็นอนัตตา (อนตฺตตา)<br />
และนอกจากนี้แล้ว ต่างก็ตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรมเสมอเหมือนกัน<br />
ล้วนถูกผลักดัน ถูกเหนี ่ยวนำให้ขึ ้นสูง ลงต่ำ รุ ่งโรจน์ ร่วงโรย ด้วย<br />
พลังแห่งกรรมที่ตนเป็นผู้ลงมือทำและสั่งสมไว้ทั้งสิ้น ในเมื่อมนุษย์<br />
สัตว์ ต่างก็ตกอยู่ในวัฏจักรแห่งกรรมที่คอยเหนี่ยวนำชีวิต (กมฺมุนา<br />
วตฺตตี โลโก) เหมือนกัน เราจึงไม่ควรจงเกลียดจงชังกัน เพราะลำพัง<br />
แค่สัตวโลกแต่ละคน แต่ละตน แต่ละตัว จะต้องรับผิดชอบต่อกรรม<br />
ที ่ตนเคยก่อไว้ ก็เป็นภาระมากพอแล้ว เราจึงไม่ควรไปตอกย้ำซ้ำเติม<br />
ใครต่อใครให้เจ็บช้ำน้ำใจเพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อพิจารณาเห็นว่า เขาก็มี<br />
กรรมของเขา เราก็มีกรรมของเราเช่นนี้แล้ว ต่างฝ่ายจึงต่างควรมี<br />
เมตตาต่อกันและกัน<br />
(๔) มนุษย์ รวมทั้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ล้วนถูกเชื่อมโยง<br />
1<br />
เมตตาธรรม
เข้าด้วยกันตามกฎอิทัปปัจจยตาที่ว่า<br />
“สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน”<br />
ก็ในเมื่อเราต่างก็<br />
“อิงอาศัยกัน”หรือ “ขึ้นต่อกันและกัน”<br />
ด้วย<br />
เหตุนั้น การที่เราทำร้ายกัน ก็เหมือนกับทำร้ายตัวเอง การที่เราดี<br />
ต่อกัน ก็เหมือนดีกับตัวเอง การที่เราเมตตาต่อกัน ก็เหมือนกับ<br />
เมตตาต่อตัวเอง ในเมื่อความเป็นไปในชีวิตของเราล้วนเชื่อมโยง<br />
กับสรรพสิ่งในลักษณะ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เราจึงไม่มี<br />
เหตุผลอันใดที ่จะไม่มีเมตตาต่อกัน เพราะทุกคน ทุกสิ ่ง ที ่เราเมตตา<br />
ด้วย จะส่งผลย้อนกลับมาเป็นความเมตตาต่อตัวเราด้วยเสมอไป<br />
(๕) มนุษย์ รวมทั ้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ต่างก็มีความต้องการ<br />
พื้นฐานเช่นเดียวกันกับเรา อันได้แก่ รักสุข เกลียดทุกข์ กลัวต่อ<br />
อาชญา และหวาดผวาต่อความตายเหมือนกัน<br />
ไม่ว่ามนุษย์ สัตว์ทั ้งหลาย จะมีความต้องการที ่เป็นรายละเอียด<br />
ปลีกย่อยแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่เมื ่อกล่าวเฉพาะความต้องการ<br />
พื้นฐานอันเป็นหลักใหญ่ใจความแล้ว ต่างก็มีความต้องการพื้นฐาน<br />
ที่เป็นเช่นเดียวกัน นั่นคือ ต่างก็รักความสุข เกลียดความทุกข์<br />
กลัวต่อการลงทัณฑ์ และหวาดผวาต่อมรณภัยที่จะมาถึงด้วยกัน<br />
ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็ในเมื่อสรรพชีพ สรรพสัตว์ ล้วนแล้วแต่มีความ<br />
ต้องการพื้นฐานเช่นเดียวกันกับเรา จึงไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่เมตตา<br />
ต่อกัน<br />
(๖) มนุษย์ รวมทั ้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ต่างก็มีภาระผูกพัน<br />
ที่จะต้องรับผิดชอบเป็นภารกิจส่วนตัวมากพออยู่แล้ว<br />
เมื่อพิจารณาเห็นว่า สรรพชีพ สรรพสัตว์ ต่างคน ต่างตน<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
ต่างรูป ต่างนาม ต่างก็ต้องแบกภาระที ่ตนเป็นผู ้รับสืบทอดต่อมาจาก<br />
มารดาบิดา จากตระกูลวงศ์พงศา จากเผ่าพันธุ์ และจากอัตภาพ<br />
ร่างกาย รวมทั ้งจากหน้าที ่การงานที ่เป็นสมบัติส่วนตนหนักหนาสาหัส<br />
อยู่แล้ว เราจึงไม่ควรไปเติมภาระให้แก่ใครต่อใครเพิ่มขึ้นมาอีก<br />
ทางที่ดีที่สุดจึงควรมีเมตตาต่อกันและกัน ให้เขาเหล่านั้นมีวันเวลา<br />
ในการบริหารธาตุขันธ์ อัตภาพร่างกาย ให้เป็นสุขต่อไปตามอัตภาพ<br />
เถิด<br />
(๗) มนุษย์ รวมทั้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ต่างก็มีอายุสังขาร<br />
ที่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนเวลาที่แสนสั้นเพียงชั่วช้างพับหู ชั่วงูแลบลิ้น<br />
ชั่วแม่ไก่ก้มกินน้ำ<br />
ชั่วลัดนิ้วมือเดียว<br />
ในเมื ่อต่างก็มีเวลาอันแสนจำกัดสำหรับยังชีพยืนชนม์อยู ่ในโลก<br />
เราจึงไม่ควรก่อกรรมทำเข็ญ โกรธ เกลียด ชิงชัง ริษยากัน อัน<br />
เป็นการใช้เวลาให้เปลืองเปล่าไปโดยไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงควรมี<br />
เมตตาต่อกันและกัน และรู้จักใช้เวลาแสนสั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />
กิจกรรมใดที่เป็นการพร่าและฆ่าเวลาไปโดยไร้แก่นสาร ไม่ควร<br />
ข้องแวะกิจกรรมนั้นโดยประการทั้งปวง เพราะพิจารณาว่า เราต่างก็<br />
มีเวลาแสนสั้นชั่วน้ำค้างหยาดพรมบนยอดหญ้าแล้วก็จางหาย เราจึง<br />
ควรอยู ่ร่วมกันไปในโลกนี ้ด้วยสันติและเมตตา เพื ่อถนอมเวลาให้เกิด<br />
คุณูปการสูงสุดต่อชีวิต<br />
(๘) มนุษย์ รวมทั ้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ที ่เอากำเนิดเกิดกาย<br />
มาเวียนว่ายบนโลกในสภาพชีวิตแบบต่าง ๆ นั ้น ล้วนแล้วแต่เคยมัวเมา<br />
หลงผิด ยึดติดอยู ่ในอำนาจของกิเลสมูล คือ ความโลภ ความโกรธ<br />
ความหลง เผลอทำผิด ทำพลาด ทำการอุบาทว์นานัปการ<br />
1<br />
เมตตาธรรม
กรรมชั่วมากมายที่ต่างก็เผลอทำลงไปด้วยความหลงผิดนี้<br />
เรา<br />
ต้องรีบชำระสะสางเสียให้สิ้น ก่อนที่ร่างกายจะแตกพับพังภินท์ลงไป<br />
ในวันเวลาไหนก็ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ หากเราไม่มีเมตตาต่อกัน ทว่า<br />
ยังคงปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปตามอำนาจของกิเลสอนุสัย บาปกรรม<br />
ทั้งหลายก็จะยิ<br />
่งพอกพูน ในเมื่อบาปเก่ายังไม่ได้ชำระ<br />
บาปใหม่ก็เพิ่ม<br />
เป็นทวีตรีคูณ ชีวิตก็จะถูกฉุดรั้งให้จมอยู่ในวังวนของบาปกรรมไม่รู้<br />
จบสิ้น ทางที่ดีจึงควรมีเมตตาต่อกันไว้ อย่าได้เผลอจิตปล่อยใจ<br />
ก่อเวรสร้างกรรมใหม่ให้เกิดแก่กันและกันอีกต่อไปเลย<br />
(๙) มนุษย์ รวมทั ้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ ล้วนเป็นหนี ้บุญคุณ<br />
ของบุพการี ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม<br />
แผ่นดินถิ่นเกิด<br />
เราผู้ได้ชื่อว่าเป็นสัตวโลก ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ได้<br />
โดยไม่อาศัยคนอื่น สิ่งอื่น แท้ที่จริงนั้น เราต่างก็เป็นหนี้บุญคุณ<br />
คนอื่น<br />
สิ่งอื่นมากมายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น<br />
หากเราไม่เมตตาต่อกัน<br />
ก็จะมัวพร่าเวลาของตนเองไปในเรื่องที่ไร้สาระ เวลาที่จะตอบแทน<br />
บุญคุณของประดาผู้มีพระคุณทั้งหลายก็จะไม่มี เมื่อเป็นเช่นนี้ หนี้<br />
แห่งชีวิตของเราก็ไม่ได้ชดใช้ คุณธรรมยิ ่งใหญ่คือความกตัญญูก็ไม่ได้<br />
บำเพ็ญ<br />
(๑๐) มนุษย์ รวมทั ้งสรรพชีพ สรรพสัตว์ เมื ่อแรกเกิดมานั ้น<br />
ล้วนมีต้นทุนเสมอกัน คือ นับว่าเป็นสัตวโลก แต่เมื ่อพัฒนาตัวเองให้<br />
เจริญยิ ่ง ๆ ขึ ้นไป สักวันหนึ ่งข้างหน้าก็ย่อมจะได้ชื ่อว่าเป็นผู ้วิวัฒนาการ<br />
ถึงจุดสูงสุดแห่งความเป็นอารยชนอารยชีวิตได้เช่นเดียวกัน<br />
วิวัฒนาการสูงสุดของจิตก็คือ การตื่นรู้สู่อิสรภาพ หลุดพ้น<br />
จากพันธนาการของกิเลสบรรดามีทั้งปวงที่รึงรัดมัดสรรพสัตว์ไว้ใน<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
บ่วงทุกข์ตลอดกาลอันยาวนาน ตราบใดก็ตามที่สัตวโลกทั้งหลายยัง<br />
ไม่เมตตาต่อกัน ยังขลุกขลุ่ยจมจ่อมอยู่ในความเบียดเบียน โกรธ<br />
เกลียด ชิงชังหักหาญทำร้ายกันไม่จบไม่สิ้น โอกาสที่จะหวนกลับมา<br />
พัฒนาตนเองให้ลุถึงภาวะพระนิพพานอันเป็นวิวัฒนาการสูงสุดของ<br />
จิตก็ย่อมไม่มี ดังนั้น สรรพชีพ สรรพสัตว์ จึงควรมีเมตตาต่อกัน<br />
และกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างก็อยู่ร่วมกันด้วยเมตตาและไมตรี ย่อมจะ<br />
มีแต่สันติสุข บนพื้นฐานของสันติสุขนั่นเอง ที่เราจะมีเวลามากพอ<br />
สำหรับการพัฒนาจิตใจให้ผลิบาน ตื่นรู้ งอกงามสู่ภาวะพระนิพพาน<br />
อันเป็นสถานีสุดท้ายที่ทุกชีวิตควรไปให้ถึง<br />
ประโยชน์ของเมตตา<br />
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า สำหรับ<br />
ผู้อยู่ด้วยเมตตา (เมตตาพรหมวิหารี) ต่อสรรพชีพ สรรพสัตว์อย่าง<br />
สม่ำเสมอ ย่อมจะเห็นถึงอานิสงส์ ๑๑ ประการดังต่อไปนี้ในตัวเอง<br />
อย่างแน่นอน<br />
(๑) นอนเป็นสุข คือ ไม่กลิ้ง ไม่กรน หลับสนิทเหมือนคน<br />
เข้าสมาบัติ มีลักษณะท่าทางเรียบร้อย งดงาม น่าเลื่อมใส<br />
(๒) ตื ่นเป็นสุข คือ ตื ่นขึ ้นแล้วไม่ทอดถอนหายใจ ไม่หน้านิ ่ว<br />
คิ้วขมวด ไม่บิดไปบิดมา มีหน้าตาชื่นบานเหมือนดอกปทุมที่กำลัง<br />
แย้มบาน<br />
(๓) ไม่ฝันร้าย คือ ไม่ฝันเห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว เช่น<br />
1<br />
เมตตาธรรม
พวกโจรรุมล้อม สุนัขไล่กัดหรือตกเหว หากฝันเห็นแต่นิมิตที่ดีงาม<br />
เช่น ไหว้พระเจดีย์ ทำการบูชา และฟังธรรมเทศนา<br />
(๔) เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย คือ เป็นที่รักเป็นที่เจริญใจ<br />
ของคนทั้งหลายเหมือนพวงไข่มุกที่ห้อยอยู่ที่หน้าอก หรือดอกไม้<br />
ที่ประดับอยู่บนเศียร<br />
(๕) เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย คือ ไม่ได้เป็นที่รักของคน<br />
อย่างเดียว ยังเป็นที่รักตลอดไปถึงเหล่าเทวาอารักษ์ทั้งหลายด้วย<br />
(๖) เทวดาทั้งหลายคอยเฝ้ารักษา คือ เทวดาทั้งหลายย่อม<br />
คอยตามรักษา เหมือนมารดาบิดาคอยตามรักษาบุตร<br />
(๗) ไฟ ยาพิษ หรือศัสตราไม่กล้ำกราย คือ ไม่ถูกไฟไหม้<br />
ไม่ถูกวางยาพิษ หรือไม่ถูกศัสตราวุธประหาร<br />
(๘) จิตเป็นสมาธิเร็ว คือ เมื่อเจริญกรรมฐาน จิตสำเร็จเป็น<br />
อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิเร็ว<br />
(๙) ผิวหน้าผ่องใส คือ หน้าตามีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส<br />
เหมือนลูกตาลสุกที่หล่นจากขั้วใหม่<br />
(๑๐) ไม่หลงตาย คือ ตายอย่างสงบ เหมือนคนนอนหลับ<br />
ไปเฉยๆ<br />
(๑๑) เมื่อไม่บรรลุถึงคุณธรรมเบื้องสูง อย่างต่ำก็จะไปบังเกิด<br />
ในพรหมโลก คือ ถ้ายังไม่ได้บรรลุอรหัตผลอันเป็นคุณเบื้องสูงกว่า<br />
เมตตาฌาน พอเคลื่อนจากมนุษยโลก ก็จะเข้าสู่พรหมโลกทันที<br />
เหมือนนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา<br />
ที่กล่าวมาคือประโยชน์ของเมตตาในเชิงปัจเจกบุคคล แต่เมื่อ<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
พิจารณาถึงประโยชน์ของเมตตาในระดับส่วนรวมแล้วก็จะพบว่า<br />
เมื่อโลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เพราะต่างก็มีเมตตาต่อกันและกัน<br />
แล้ว ก็จะทำให้มนุษยชาติสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ปฏิบัติการ<br />
เบียดเบียนทำร้ายซึ่งกันและกันก็จะลดน้อยถอยลงไป สันติภาพ<br />
สันติสุขก็จะเกิดขึ ้นทั ้งในใจ ในชีวิตประจำวัน และในโลกอย่างยั ่งยืน<br />
ชีวิตคน ชีวิตสัตว์ ชีวิตพืช ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และโลก ก็จะ<br />
ถูกทำลายน้อย ถูกเบียดเบียนเบาบาง ทรัพยากรของโลกก็จะถูกใช้<br />
อย่างมีสติ อย่างคำนึงถึงผลกระทบต่อคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม โลก<br />
จะมีความเสี่ยงต่อการแตกดับช้าลง ภยันตรายที่เกิดจากการเบียด-<br />
เบียนทำลายซึ่งกันและกันในมิติต่างๆก็จะถูกบรรเทาเบาบางลงเป็น<br />
อันมาก ด้วยอานุภาพแห่งเมตตา จะสามารถทำให้สันติภาพที ่แท้จริง<br />
เกิดขึ้นได้ที่ใจของเราทุกคน และแผ่กระจายไปปกป้องคุ้มครองโลก<br />
ทั้งหมดให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติเหมือนที่พุทธศาสนสุภาษิตกล่าวไว้ว่า<br />
“โลโก ปตฺถมฺภิกา เมตตา” (เมตตาธรรมค้ำจุนโลก)<br />
วิธีแผ่เมตตา<br />
วิธีแผ่เมตตาหรือวิธีสร้างเมตตานั้นมีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน<br />
แบบแรกก็คือการแผ่เมตตาในระดับโลกทัศน์ คือ การตระหนักรู้<br />
ว่าโลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน ตามหลักสัจธรรมพื้นฐานเรื่อง<br />
อิทัปปัจจยตา (interbeing) ในเมื ่อเราพิจารณาเห็นว่า มนุษย์ สัตว์<br />
1<br />
เมตตาธรรม
ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม โลก ล้วนดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ในลักษณะ<br />
อิงอาศัยกัน เกื้อกูลกัน ขึ้นต่อกันและกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กัน<br />
และกัน ด้วยเหตุดังนั้น เราจึงควรเมตตาต่อกัน เพราะเมื่อเรา<br />
เมตตาต่อกัน ก็มีความหมายเท่ากับว่า เรากำลังเมตตาต่อตัวเราเอง<br />
ด้วยเสมอไป<br />
หากมนุษยชาติตระหนักรู้ในสัจธรรมข้อนี้อย่างลึกซึ้ง ความ<br />
เมตตาที่สากลก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ การแผ่เมตตาแบบนี้จะเกิด<br />
ขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจหลักอิทัปปัจจยตา จนมองเห็นความจริงว่า<br />
สรรพสิ ่งหลอมรวมเป็นเนื ้อเดียวกัน เชื ่อมโยงกันในลักษณะเครือข่าย<br />
ทั่วทั้งสากลจักรวาลอันเป็นอนันต์ หากโลกนี้มีมนุษย์เข้าใจหลัก<br />
ความสัมพันธ์แบบสรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกันได้มากเพียงใด โลก คือ<br />
ชีวิตและสรรพสิ่ง ก็จะถูกประพรมให้ชุ่มเย็นอยู่เสมอด้วยน้ำคือ<br />
เมตตาอย่างกว้างขวางลึกซึ ้งเพียงนั ้น ปัญญาที ่หยั ่งถึงความจริงสากล<br />
ของโลกที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตานี้แหละคือรากฐานของสันติภาพโลก<br />
ที่เที่ยงแท้และยั่งยืน และเมตตาที่เกิดจากปัญญาอันหยั่งถึงความ<br />
สากลเช่นนี้ ก็เป็นเมตตาที่สากลด้วยเช่นเดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง<br />
ว่า เมตตาที ่สากลคือความสามารถที ่จะรักคนได้ทั ้งโลกอย่างปราศจาก<br />
การวางเงื ่อนไข และโลกในอุดมคติที ่พุทธศาสนาปรารถนาจะให้เกิดขึ ้น<br />
ก็คือ โลกที่มนุษยชาติอยู่ร่วมกันกับสรรพชีพ สรรพสัตว์ และ<br />
สรรพสิ่งด้วยเมตตา โลกที่พึงปรารถนาเช่นนี้ก็คือ โลกที่ปราศจาก<br />
การเบียดเบียนกันและกันในทุกความหมาย (อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก)<br />
นี่คือโลกในอุดมคติที่เราสร้างได้ด้วยรักแท้ คือเมตตาที่สากลจาก<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
ปัญญาที่สากลของเราเอง<br />
การแผ่เมตตาแบบที่หนึ่งนี้<br />
ควรเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า<br />
เป็นการ<br />
แผ่เมตตาด้วยปัญญา และการแผ่เมตตาแบบที่สอง ควรเรียกว่า<br />
เป็นการแผ่เมตตาด้วยการส่งพลังจิตแห่งความปรารถนาดีไปยัง<br />
สรรพชีพ สรรพสัตว์ ซึ่งวิธีที่สองนี้นิยมปฏิบัติกันอยู่ทั่วไปในหมู่<br />
ชาวพุทธ เมื่อจะแผ่เมตตาในแบบที่สองนี้ พึงปฏิบัติดังต่อไปนี้<br />
แผ่เมตตาให้ตัวเอง<br />
การแผ่เมตตาให้ตัวเองนี้ ท่านให้ปฏิบัติโดยให้เหตุผลว่าเพื่อ<br />
เป็นการเตรียมใจให้เกิดเมตตาที ่แท้ โดยใช้วิธีให้ถือเอาตัวเองเป็นที ่ตั ้ง<br />
ว่า ตัวเองมีความปรารถนาสุข เกลียดทุกข์ กลัวตายฉันใด คนอื่น<br />
สัตว์อื่น เขาก็ย่อมรักสุข เกลียดทุกข์ กลัวตาย ฉันนั้นเหมือนกัน<br />
วิธีการอย่างนี้เรียกว่าเป็นการฝึก“เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เมื่อเราเอา<br />
ใจเขามาใส่ใจเราแล้ว ก็จะเกิดความ“เห็นอกเห็นใจ”คนอื่น สัตว์อื่น<br />
ด้วยความรู้สึกที่เข้าถึงอกเขาอกเราเช่นนี้ เมื่อแผ่เมตตาออกไป จิต<br />
ก็จะมีความพร้อมในการแผ่เมตตาออกไปอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ใช่การ<br />
แผ่เมตตาโดยสักว่าแผ่เพียงแต่ปากอีกต่อไป แบบแผนการแผ่เมตตา<br />
เช่นนี้<br />
มีข้อความที่ถือสืบๆกันมาดังต่อไปนี้<br />
0<br />
เมตตาธรรม
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้า จงมีความสุข<br />
อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้า จงปราศจากความทุกข์<br />
อะหัง อะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้า จงปราศจากเวร<br />
อะหัง อัพ๎ยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้า จงปราศจากความ<br />
ลำบาก<br />
อะหัง อะนีโฆ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้า จงปราศจากอุปสรรค<br />
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ ขอให้ข้าพเจ้า จงมีความสุขกาย สุขใจ<br />
รักษาตนของตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น...เทอญ<br />
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์<br />
ผู้ที่แผ่เมตตาให้ตนเองบนพื้นฐานของการเอาใจเขามาใส่ใจเรา<br />
แล้ว หลังจากนั้นจึงควรแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ โดยปฏิบัติตาม<br />
แบบแผนการแผ่เมตตาดังต่อไปนี้<br />
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ<br />
ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น<br />
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและ<br />
กันเลย<br />
อัพ๎ยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาท<br />
เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย<br />
ทุกข์ใจเลย<br />
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตน<br />
ให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ<br />
เมตตาธรรม
กรณีศึกษา<br />
“พลานุภาพของเมตตา”<br />
ความเข้าใจเกี่ยวกับเมตตาและการแผ่เมตตาที่กล่าวมานั้น<br />
จะยังไม่สมบูรณ์ ถ้ายังไม่ได้กล่าวถึง“ตัวอย่าง”ของพลังแห่งเมตตา<br />
ในที่นี้จึงขอยกตัวอย่างพลังของเมตตาทั้งสองแบบ คือ เมตตาเชิง<br />
ปัจเจกที่เป็นการแผ่เมตตาส่วนบุคคล และเมตตาระดับโลกทัศน์<br />
ที่เป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองจากความเห็นแก่ตัวเป็นการเห็นแก่<br />
สรรพสัตว์อย่างที่เรียกกันว่า“โลกทั้งผองพี่น้องกัน”มาให้พิจารณา<br />
โดยในเรื่องที่หนึ่งนั้นเป็นตัวอย่างของพลังเมตตาในสมัยพุทธกาล<br />
เรื่องที่สองนั้นเป็นตัวอย่างของพระวิปัสสนาจารย์ชั้นนำชาวไทย และ<br />
เรื่องที่สามเป็นเรื่องของพระวิปัสสนาจารย์ชาวต่างชาติที่ปัจจุบันเป็น<br />
ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่งของหลวงพ่อชา<br />
สุภัทโท<br />
(๑) พลานุภาพของเมตตาสมัยพุทธกาล<br />
ในสมัยพุทธกาล ภิกษุกลุ ่มหนึ ่งเรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์<br />
แล้วก็ชวนกันเข้าไปฝึกภาคปฏิบัติอยู่กลางป่า ตั้งแต่ก้าวแรกที่ภิกษุ<br />
ว.วชิรเมธี
กลุ่มนั้นเหยียบย่างเข้าสู่ป่า ต่างก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอยู่เป็น<br />
ระยะๆ เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ภิกษุกลุ่มนั้นพบว่ามีบางสิ่งที่<br />
ไม่ปกติคอยคุกคามพวกตนอยู ่ใกล้ๆ แล้ววันหนึ ่งเจ้าสิ ่งที ่คอยคุกคาม<br />
ให้ต้องเสียวสันหลังวูบวาบกันก็เหิมเกริมถึงขนาดปรากฏตัวให้เห็น<br />
เป็นภาพอันน่าเกลียดน่ากลัว ชวนขนพองสยองเกล้า ภิกษุกลุ่มนั้น<br />
ถูกรบกวนหนักถึงขั้นนี้ก็ทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ในที่สุดต้องตัดสินใจ<br />
เก็บกลด บาตร ออกจากป่า มุ่งหน้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ<br />
พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงสดับ พระพุทธองค์ได้สดับแล้วทรง<br />
แย้มพระโอษฐ์พลางตรัสว่า<br />
“ภิกษุทั้งหลาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเธอมิได้นำเอาอาวุธไป”<br />
“อาวุธอะไรหรือพระเจ้าข้า” ภิกษุนับสิบถามขึ้นพร้อมกัน<br />
“อาวุธ คือเมตตา ยังไงล่ะ”<br />
ว่าแล้วก็ทรงสอนวิธีแผ่เมตตาให้ ภิกษุใหม่กลุ ่มนั ้นเรียนเอาวิธี<br />
แผ่เมตตาแล้วก็ชวนกันกลับเข้าป่าไปใหม่ คราวนี้พอเริ่มเหยียบย่าง<br />
เข้าสู่เขตป่า<br />
ต่างรูปก็ต่างแผ่เมตตาโดยพร้อมเพรียงกัน<br />
ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงราบรื่นดีตั้งแต่แรกย่างเข้าสู่ป่า บรรดา<br />
รุกขเทวดาอมนุษย์ทั ้งหลายต่างก็อนุโมทนาสาธุการ ไม่มีแม้แต่สิงสา-<br />
ราสัตว์มาเพ่นพ่านกวนใจ ป่าทั ้งป่าสงบสงัดเหมือนได้รับการจัดสรรไว้<br />
เพื ่อรองรับพระหนุ ่มเณรน้อยทั ้งหลายโดยเฉพาะ เมื ่อสภาพแวดล้อม<br />
เป็นใจถึงเพียงนี้ ใช้เวลาไม่นานนักภิกษุกลุ่มนั้นก็บรรลุถึงฝั่งแห่ง<br />
ชีวิตพรหมจรรย์กันถ้วนหน้า ได้เป็นอริยบุคคลไปตามๆกัน<br />
เมตตาธรรม
(๒) พลานุภาพของเมตตาของพระไทย<br />
ตัวอย่างข้างต้นนี ้อาจจะเก่าไปสักนิด เพราะเป็นเรื ่องราวในสมัย<br />
พุทธกาล บางท่านอาจติดใจว่าไม่ร่วมสมัยและไกลตัว<br />
ดังนั ้นจะขอเล่าอีกสักเรื ่องหนึ ่งซึ ่งเป็นเรื ่องใกล้ตัว เพราะเกิดขึ ้น<br />
ในประเทศไทยเรานี่เอง ทั้งยังเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นที่<br />
เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนคนไทยทั้งหลายเสียด้วย นั่นคือ<br />
เมตตานุภาพของหลวงพ่อลี ธัมมะธะโร พระวิปัสสนาจารย์ผู้เป็น<br />
ลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู ่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่าย<br />
วิปัสสนากรรมฐานของประเทศไทย<br />
หลวงพ่อลีเคยเล่าถึงอานุภาพของการแผ่เมตตาจากประสบ-<br />
การณ์ตรงของตนเองไว้ว่า<br />
“ในระหว่างที่อยู่จังหวัดนครสวรรค์นี้ได้ออกไปพักอยู่ในป่า<br />
ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๒๐ เส้น วันหนึ่งได้ยินเสียงช้างป่ากับช้าง<br />
ตกมันร้อง เสียงดังเพราะกำลังต่อสู้กันอยู่ สู้กันอยู่ประมาณ ๓ วัน<br />
ช้างป่าสู้ไม่ได้ ถึงแก่ความตาย ส่วนช้างตกมันไม่เป็นอะไร เมื่อเป็น<br />
ดังนั ้น ช้างตกมันก็ยิ ่งดุร้าย พลุ ่งพล่านอาละวาดหนักขึ ้น ได้วิ ่งขับไล่<br />
ใช้งาทิ่มแทงผู้คนซึ่งอยู่ในบริเวณป่าที่เราพักอยู่<br />
“เจ้าของช้างตกมันคือขุนจบฯ กับชาวบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น<br />
ได้ขอนิมนต์ให้เข้าไปพักในบ้าน เราไม่ยอมไป รู ้สึกหวาดเสียวอยู ่บ้าง<br />
แต่อาศัยขันติและเชื่ออำนาจแห่งความเมตตา<br />
“ต่อมาวันหนึ่ง เวลาบ่าย ประมาณ ๑๖.๐๐ น. ช้างตกมัน<br />
ว.วชิรเมธี
ตัวนั้นได้วิ่งมายืนอยู่ข้างหน้าที่พักของเรา ห่างที่เราพักประมาณ ๒๐<br />
วา ขณะนั้นเรากำลังนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องจึงได้<br />
โผล่หน้าออกไปจากที ่พัก เห็นช้างตกมันงาขาวยืนหูชันทำท่าทางน่ากลัว<br />
นึกขึ ้นในใจว่า ถ้ามันวิ ่งพุ ่งมาหาเราชั ่วระยะเวลาไม่ถึง ๓ นาทีก็ถึงตัว<br />
“เมื ่อนึกเช่นนั ้นก็เกิดความกลัว จึงกระโดดออกจากที ่พักไปถึง<br />
ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างจากที่พักประมาณ ๓ วา ขณะที่กำลังเอามือ<br />
เหนี่ยวต้นไม้ ก้าวขาปีนต้นไม้ได้ข้างหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคล้ายคน<br />
กระซิบที่หูว่า<br />
‘เราไม่จริง กลัวตาย คนกลัวตายจะต้องตายอีก’<br />
“เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเตือนเช่นนี้ จึงปล่อยมือ ปล่อยเท้า<br />
รีบเดินกลับไปที่พักนั่น เข้าที่ ไม่หลับตา หันหน้าไปทางทิศที่ช้าง<br />
ยืนอยู ่ นั ่งภาวนาแผ่เมตตาจิต ในระหว่างนี ้ได้ยินเสียงชาวบ้านโห่ร้อง<br />
กันดังสนั่นหวั่นไหว ตกอกตกใจว่าพระรูปนั้น (หมายถึงเรา) คงจะ<br />
แย่ ไม่มีใครช่วยเหลือท่าน ได้ยินแต่เสียงพูดกันอย่างนี้ แต่ก็ไม่<br />
ปรากฏว่ามีคนกล้าเข้ามาใกล้ตัวเราเลยแม้แต่คนเดียว<br />
“ได้นั่งแผ่เมตตาจิตอยู่ประมาณ ๑๐ นาที มองเห็นช้างตัวนั้น<br />
ตีหูโบกขึ้นลง เสียงพึ่มพับๆอยู่ประมาณสักครู่หนึ่ง แล้วก็หันหลัง<br />
กลับ เดินเข้าป่าไป”<br />
(๓) พลานุภาพแห่งเมตตาที่เป็นสากล<br />
หากเราสามารถทำให้การแผ่เมตตาของเรามีความเป็นกลางได้<br />
เสมือนหนึ่งสายฝนที่คงความชุ่มเย็นเสมอกัน ไม่ว่าจะตกใส่คนจน<br />
เมตตาธรรม
คนรวย คนดี หรือคนชั่ว และเสมือนแสงจันทร์ที่สาดโลมผืนโลก<br />
โดยไม่เลือกที ่รัก ไม่มักที ่ชังแล้วไซร้ เมื ่อนั ้นแหละการแผ่เมตตาของ<br />
เราจึงจะเป็นการแผ่เมตตาในความหมายที่แท้<br />
การแผ่เมตตาในระดับนี้เท่านั้นที่จะส่งผลเป็นความสงบร่มเย็น<br />
ขึ้นมาในชีวิตและเราจะสัมผัสได้ว่า หากเราแผ่เมตตาจากหัวใจอัน<br />
บริสุทธิ์ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแล้ว ผิวพรรณของเราจะผ่องใส<br />
ใบหน้าผุดผาด ความรู้สึกก็โปร่ง โล่ง เบา เป็นอิสระ และสงบ<br />
ร่มเย็น จิตเป็นสมาธิ มีความฉับไวต่อการรับรู้ มีความแหลมคม<br />
ต่อการขบคิดเป็นพิเศษ ไปที่ไหนหรืออยู่ที่ใดก็ตาม เราจะสัมผัสได้<br />
ถึงไมตรีจิตที่แผ่กระจายโอบล้อมอยู่รอบตัวเรา ความรู้สึกอันอบอุ่น<br />
เป็นมิตรไมตรีจากสรรพสิ่งรอบข้างเช่นนี้ จะเป็นภาวะที่คนมีเมตตา<br />
เป็นเรือนใจได้รับเป็นกำไรตอบแทนชนิดทันตาเห็นเสมอ แต่เมื่อไหร่<br />
ก็ตามที่การแผ่เมตตาของเรายังเป็นการแผ่เมตตาที่มี“เงื่อนไข” ผล<br />
ทั ้งหลายเช่นที ่กล่าวมานี ้หายไป และการแผ่เมตตาของเราจะกลายเป็น<br />
พิธีกรรมที่ว่างเปล่า<br />
ประสบการณ์ตรงจากต่างแดนของพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ<br />
(ฌอน ชิเวอร์ตัน) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี<br />
น่าจะเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการแผ่เมตตาที่เป็นสากลได้เป็น<br />
อย่างดี<br />
พระอาจารย์ชยสาโรเคยเล่าว่า ก่อนที่จะมาปักหลักใช้ชีวิตเป็น<br />
นักบวชในพระพุทธศาสนาอยู่ที่ประเทศไทยอย่างยาวนานมาจนถึง<br />
ทุกวันนี ้นั ้น ช่วงหนึ ่งของชีวิตหลังจากสำเร็จการศึกษา ท่านได้ใช้ชีวิต<br />
ว.วชิรเมธี
เร่ร่อนไปทั่วโลกเพื่อเสาะแสวงหาคำตอบทางจิตวิญญาณให้กับตัวเอง<br />
แล้ววันหนึ่งท่านก็พารูปสังขารอันแสนมอซอ ไม่ต่างอะไรกับลูกนก<br />
ตกน้ำไปเดินหันรีหันขวางอยู ่ท่ามกลางฝูงชนในนครหลวงของประเทศ<br />
อิหร่าน และที่แห่งนี้เอง<br />
“...ในขณะที่กำลังเดินโดยพยายามไม่มองร้านอาหารข้างทางที่<br />
ดึงดูดสายตาเหลือเกิน ไม่ดมกลิ่นหอมที่โชยออกมา เราได้สวนทาง<br />
กับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเห็นเราแล้วก็หยุดชะงัก จ้องมองเราอย่าง<br />
ตกตะลึงพักหนึ่ง แล้วเดินตรงมาหาหน้าบูดบึ้ง แล้วสั่งให้ตามเขาไป<br />
โดยใช้ภาษามือ เราเป็นนักแสวงหาเลยยอมเดินตาม เดินไปสัก<br />
สิบนาทีก็ถึงตึกแถว ขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่สี่ สันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเขา<br />
แต่เขาไม่พูดไม่จาอะไรเลย ยิ้มก็ไม่ยิ้ม<br />
หน้าถมึงทึงตลอด<br />
“พอเปิดประตูเข้าไป ปรากฏว่าเป็นบ้านของผู้หญิงคนนี้จริงๆ<br />
เขาพาไปที่ห้องครัวแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ ให้นั่ง นั่งแล้วเขาเอาอาหารมาให้<br />
กินหลายๆอย่าง<br />
“อาตมารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ทำให้รู้ว่าอาหารที่อร่อยที่สุด<br />
ในโลกคือ อาการที่กินขณะท้องกำลังร้องจ๊อกๆด้วยความหิว เขา<br />
เรียกลูกชายมา สั ่งอะไรก็ไม่รู ้ เพราะฟังไม่รู ้เรื ่อง แต่สังเกตว่าลูกชาย<br />
คงอายุไล่เลี ่ยกับเรา สักพักลูกชายก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าชุดหนึ่ง<br />
พอเห็นเราอิ่มหนำสำราญแล้วก็ชี้ไปที ่ห้องน้ำ สั่งให้อาบน้ำเปลี ่ยน<br />
ชุดใหม่ (ของเก่าน่ากลัวเอาไปเผา) เขาไม่ยิ้มไม่แย้ม ไม่พูดจาอะไร<br />
เลย มีแต่สั่งอย่างเดียว<br />
“ขณะอาบน้ำอยู ่ก็คิดสันนิษฐานว่า แม่คนนี ้อาจเห็นอาตมาแล้ว<br />
เมตตาธรรม
วาดภาพถึงลูกชายเขาเองว่า ถ้าลูกเราเดินทางไปต่างประเทศแล้ว<br />
ตกทุกข์ได้ยากอย่างนี ้ อยู ่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนี ้ มันจะเป็นอย่างไร<br />
เลยคิดแต่งตั้งเขาเป็นแม่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองอิหร่าน ยืนยิ้ม<br />
หน้าบานอยู ่ในห้องน้ำคนเดียว<br />
“เมื่อเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไปส่งเราตรงจุดที่ได้เจอกัน แล้ว<br />
เดินลุยเข้าไปในกระแสชาวเมืองที่กำลังเดินไปทำงาน อาตมายืนมอง<br />
ผู้หญิงอิหร่านคนนั้นถูกหมู่ชนกลืนหายไป รู้อย่างแม่นยำว่าชาตินี้คง<br />
ไม่มีวันลืมเขาได้ อาตมาประทับใจและซาบซึ ้งมาก น้ำตาทำท่าจะไหล<br />
คลอ เขาให้เราทั ้งๆที ่ไม่รู ้จักกันเลย ตัวสูงๆผอมๆเหมือนไม้เสียบผี<br />
จากป่าช้าไหนก็ไม่รู ้ เสื ้อผ้าก็เหม็นสกปรก ผมก็ยาวรุงรัง แต่เขากลับ<br />
ไม่รังเกียจ มิหนำซ้ำยังพาเราไปที ่บ้าน ดูแลเหมือนเราเป็นลูกของ<br />
เขาเอง โดยไม่หวังผลอะไรตอบแทนจากเราเลยแม้แต่การขอบคุณ<br />
“เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว อาตมาจึงอยากประกาศคุณของ<br />
พระโพธิสัตว์หน้าบูดคนนี้ให้ทุกคนได้ทราบ<br />
ว่าในเมืองใหญ่ๆก็ยังมี<br />
คนดี และอาจจะมีมากกว่าที่เราคิด”<br />
อุปสรรคของเมตตา<br />
แม้เมตตาจะเป็นคุณธรรมที่ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นแก่ดวงใจ<br />
เป็นสายธารแห่งมิตรภาพ เป็นผืนแผ่นดินแห่งสันติภาพ เป็นดอกไม้<br />
แห่งไมตรี ที่จะทำให้คน สัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อยู่ร่วมโลก<br />
ว.วชิรเมธี
กันอย่างสันติ แต่บางทีการมีเมตตาต่อกันก็มิใช่เรื ่องที ่จะทำได้ง่าย ถ้า<br />
เช่นนั้นแล้วอุปสรรคของเมตตาคืออะไร ในที่นี้ขอชี้ให้เห็นอุปสรรค<br />
ของเมตตา ๔ ประการ<br />
(๑) ปราการแห่งทิฐิ ๑<br />
(๒) อคติ: ความลำเอียง ๔<br />
(๓) ความตระหนี่<br />
๕<br />
(๔) การไม่ฝึกฝนเมตตาภาวนา ๑<br />
ปราการแห่งทิฐิ ๑<br />
มนุษย์ปุถุชนย่อมจะถูกม่านแห่งความเชื่อบางอย่างบังดวงตา<br />
คือปัญญาเอาไว้ อันเป็นเหตุให้มองไม่เห็นความจริงที่อยู่เบื้องหลัง<br />
ของจริงที่ตนกำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า เพื่อความเข้าใจขอให้พิจารณา<br />
เรื่องราวดังต่อไปนี้<br />
“เด็กหนุ่มนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่ง เป็นเด็ก<br />
เรียนดี นิสัยดี แต่มาเรียนหนังสืออยู่ในวิทยาลัยเทคนิคแห่งนี้ใน<br />
เมืองไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องการยกพวกตีกันของกลุ่มนักศึกษา วันหนึ่ง<br />
มีนักศึกษาสองคณะราว ๑๐ คน ยกพวกตีกันและมีการใช้อาวุธปืน<br />
ยิงคู่ต่อสู้ ลูกกระสุนพลาดไปถูกนักศึกษาที่เป็นเด็กเรียนดีคนนั้น<br />
ซึ่งขณะนั้นกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้ต้นไม้ริมสนามหญ้า กระสุน<br />
ถูกเข้าที่ไหล่ขวาหนึ่งนัด เพื่อนๆนำนักศึกษาคนนี้ไปส่งโรงพยาบาล<br />
0<br />
เมตตาธรรม
ที่อยู่ไม่ไกลจากวิทยาลัยแห่งนั้น แต่เมื่อแพทย์และพยาบาลเห็น<br />
เครื่องแบบวิทยาลัยที่นักศึกษาเคราะห์ร้ายคนนั้นสวมแล้ว ต่างก็<br />
ให้การเยียวยารักษาอย่างขอไปที กว่าที่นักศึกษาคนนั้นจะได้รับการ<br />
ทำแผล ผ่าตัดเอากระสุนออก เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานจนอาการของ<br />
นักศึกษาคนนั้นทรุดลงทุกที เมื่อเพื่อนๆเห็นปฏิกิริยาของแพทย์และ<br />
พยาบาลเป็นเหมือนไม่ใส่ใจคนเจ็บ จึงอดรนทนไม่ไหว เพื่อนของ<br />
นักศึกษาคนนั้นลุกขึ้นไปถามพยาบาลว่า ทำไมไม่รีบรักษาเพื่อนที่<br />
เจ็บหนักของเขาเสียที พยาบาลตอบด้วยประโยคที่ทุกคนก็คาดไม่ถึง<br />
“ไอ้เด็กเทคนิคพวกนี ้มันตีกันทุกวัน ในเมื ่อมันอยากตายกันนัก<br />
ก็น่าจะปล่อยให้มันตายกันไปเสีย ถึงรักษาไปก็ไม่ช่วยให้พวกมัน<br />
เป็นคนดีขึ ้นมาหรอก ปล่อยไว้อย่างนี ้แหละ ให้มันรู ้เสียบ้างว่า ความ<br />
คึกคะนองของพวกมันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน...”<br />
เพื่อนๆของนักศึกษานิสัยดีคนนี้ได้ยินพยาบาลพูดอย่างนั้น<br />
จึงรีบแก้ไขความเข้าใจผิดของพยาบาลทันทีด้วยการชี ้แจงว่า นักศึกษา<br />
คนนี้ไม่ใช่พวกอันธพาล แต่เขาเป็นเด็กเรียน นิสัยดี เป็นที่รักของ<br />
เพื ่อนๆ เขาไม่ได้อยู ่ในกลุ ่มนักศึกษาที ่ตีรันฟันแทงกันแม้แต่ครั ้งเดียว<br />
เขาเพียงแต่ถูก“ลูกหลง”เท่านั้น แม้จะชี้แจงอย่างไร แต่แพทย์และ<br />
พยาบาลก็ไม่สนใจจะฟังเหตุผลเสียแล้ว เพราะทั้งแพทย์และ<br />
พยาบาลต่างก็มี“ทิฐิ” (ความเชื่อที่ผิด) ล่วงหน้าอยู่ชุดหนึ่งแล้ว และ<br />
ด้วยทิฐิเช่นที่กล่าวมานี้เอง ทำให้แพทย์และพยาบาลจึงไม่สามารถ<br />
ที่จะ“เมตตา”ต่อคนเจ็บได้อย่างเต็มหัวใจเหมือนกรณีที่เขาเมตตา<br />
ต่อคนทั่วไป<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
ในโลกแห่งความเป็นจริง ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่สามารถ<br />
เมตตาหรือปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างหมดหัวใจ เพราะ<br />
พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ศรัทธาในความเชื่อบางอย่าง ลัทธิบางลัทธิ<br />
นิกายบางนิกาย ความจริงเพียงบางแง่มุมที่พวกเขาได้รับรู้ ทำให้<br />
พวกเขาหลงติดอยู ่ใน“เงา”ของความจริง แล้วก็ไม่สามารถที ่จะเข้าถึง<br />
แก่นสารของความจริงที่แท้ได้ ศักยภาพที่จะเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์<br />
และสรรพสัตว์ถึงแม้จะมีอยู่ในใจของพวกเขา แต่ศักยภาพนี้ก็ไม่<br />
สามารถแสดงตนออกมาเกื้อกูลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ได้ เพราะ<br />
ถูกกักขังเอาไว้ด้วยกำแพงแห่งทิฐิ เช่นกรณีของแพทย์และพยาบาล<br />
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น<br />
อคติ: ความลำเอียง ๔<br />
อคติ หมายถึง ภาวะที่ใจสูญเสียสมดุล ภาวะที่ใจตกเป็น<br />
ฝักฝ่ายข้างใดข้างหนึ ่งเพราะมีแรงจูงใจบางอย่างคอยผลักดัน แรงจูงใจ<br />
ให้ใจเสียสมดุลจนเกิดเป็นอคติหรือความลำเอียงนี้มีอยู่ ๔ ประการ<br />
คือ<br />
(๑) ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก<br />
(๒) โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง<br />
(๓) โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง<br />
(๔) ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว<br />
เมตตาธรรม
ลำเอียงเพราะรัก ทำให้มองไม่เห็นข้อผิดพลาดของคน สัตว์<br />
สิ่งของที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ผลเสียหายก็คือ แม้คน สัตว์ สิ่งของ<br />
ที่อยู่ตรงหน้า จะมีข้อเสียเพียงใด แต่ตนก็มองไม่เห็น จึงหลงรัก<br />
หลงเมตตา หลงเกื้อกูลจนเกิดการเลือกข้างและเข้าข้างมากเกินพอดี<br />
ลำเอียงเพราะชัง ทำให้มองไม่เห็นข้อดีของคน สัตว์ สิ่งของ<br />
ที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ผลเสียหายก็คือ แม้คน สัตว์ สิ่งของที่อยู่<br />
ตรงหน้าจะมีข้อดีเพียงใด แต่ตนก็มองไม่เห็น เมตตาไม่ได้ รักไม่ลง<br />
ลำเอียงเพราะหลง ทำให้มองไม่เห็นทั้งข้อดีข้อเสียของคน<br />
สัตว์ สิ่งของที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ผลเสียก็คือ ทำให้ไม่สามารถ<br />
เมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลคน สัตว์ สิ่งของที่อยู่ตรงหน้าได้อย่าง<br />
สอดคล้องกับความเป็นจริง อันนำไปสู่การมี“สัมพันธพลาด” ไม่ใช่<br />
“สัมพันธภาพ” ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์กับคน สัตว์ สิ่งของ วิปลาส<br />
ก่อความเสียหายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์<br />
ลำเอียงเพราะกลัว ทำให้แม้จะมองเห็นว่า คน สัตว์ สิ่งของ<br />
ที่อยู่ตรงหน้า มีข้อดี แต่ก็ไม่อาจเมตตา ช่วยเหลือ มีข้อเสีย แต่ก็<br />
ไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะกลัวว่าเมื่อเลือกข้างอย่างใดอย่างหนึ่ง ตน<br />
จะต้องสูญเสียหรือได้รับภยันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเลือกที่จะ<br />
วางท่าทีอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน เข้าข้างฝั่งหนึ่งมากไป หรือ<br />
ทอดทิ ้งอีกฝั ่งหนึ ่งมากไป หาสมดุลในการปฏิสัมพันธ์ไม่พบ สัมพันธ์<br />
เกี่ยวข้องกับใคร<br />
สิ่งใด<br />
ก็ก่อให้เกิดปัญหาตามมาเสมอ<br />
ว.วชิรเมธี
อคติทั้งสี่ประการนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาจน<br />
สามารถมองเห็นทุกสิ ่งที ่อยู ่ตรงหน้าอย่างทั ่วถึง ถ่องแท้ ทุกแง่ทุกมุม<br />
เหมือนพระพุทธเจ้าทรงมองทะลุสรรพสัตว์ว่า แม้จะมีความต่างกัน<br />
ในทางอัตภาพร่างกาย แต่ว่าโดยเนื้อแท้ ต่างก็เป็นเพียง“รูป”และ<br />
“นาม”ที่ยังคงมืดบอดหลงติดอยู่ในตาข่ายแห่งกิเลสอนุสัยด้วยกัน<br />
ทั ้งหมดทั ้งสิ ้น เมื ่อทรงเห็นความจริงอย่างถึงที ่สุดเช่นนี ้ จึงทรงสามารถ<br />
“เมตตา”ต่อสรรพสัตว์ได้อย่างปราศจากเงื่อนไข<br />
เมตตาธรรมที่ทรงมี<br />
ต่อมนุษย์และสรรพสัตว์ จึงสำแดงออกมาดังหนึ ่งแสงเดือนแสงตะวัน<br />
ที่สาดโลมผืนโลกอย่างไร้ไฝฝ้าราคีแห่งอคติด้วยประการทั้งปวง<br />
ความตระหนี่<br />
๕<br />
ความตระหนี่หรือความหวงแหน ความพยายามกีดกันไม่ให้<br />
ผู้อื่นได้ดีหรือมีส่วนร่วมในสมบัติหรือทรัพยากรอันมีค่า ซึ่งเป็นเหตุ<br />
ให้มนุษย์เห็นแก่ตัว มุ ่งแต่ทำเพื ่อตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงคนอื ่น ทำให้<br />
ไม่สามารถอยู ่ร่วมกันด้วยเมตตา ทั ้งยังจ้องหาเหตุทำลายซึ ่งกันและกัน<br />
เกิดมาจากความยึดติดหวงแหนผลประโยชน์ทั้งห้าดังต่อไปนี้<br />
(๑) อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี ่หวงแหนแผ่นดินถิ ่นที ่อยู ่ ไม่อยาก<br />
ให้ใครมาอยู่ มาอาศัย มาใช้สอยร่วมด้วย สงวนบ้านเรือน อาคาร<br />
สถานที่<br />
ไว้เฉพาะตนหรือพวกของตนฝ่ายเดียว<br />
(๒) กุลมัจฉริยะ ตระหนี่หวงแหนตระกูลวงศ์พงศา ไม่อยาก<br />
เมตตาธรรม
ให้ใครเข้ามามีส่วนร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ในตระกูล<br />
(๓) ลาภมัจฉริยะ ตระหนี ่หวงแหนผลประโยชน์ที ่เกิดขึ ้นแก่ตน<br />
หรือพวกพ้อง ป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาแบ่งปันหรือมีส่วนร่วม กิน ใช้<br />
บริโภค ผลประโยชน์หรือทรัพยากรที่ตนถือครองอยู่<br />
(๔) วัณณมัจฉริยะ ตระหนี่หวงแหนวรรณะ อันได้แก่ (๑)<br />
สรีรวรรณะ หวงแหนสีผิว เช่น คนผิวขาวหวงแหนผลประโยชน์<br />
ต่างๆไว้ให้เฉพาะคนผิวขาว พยายามกีดกันไม่ให้คนผิวดำเข้ามามี<br />
ส่วนแบ่งในผลประโยชน์ที่เป็นของคนผิวขาว สภาพเช่นนี้ก่อให้เกิด<br />
สงครามสีผิว เช่นในสหรัฐอเมริกา ที่คนผิวขาวผูกขาดผลประโยชน์<br />
มากมาย แล้วพยายามกดคนผิวดำให้ตกต่ำลงเป็นพลเมืองชั้นสอง<br />
จนในที่สุดเกิดขบวนการเรียกร้องความเสมอภาคให้แก่พลเมืองผิวดำ<br />
ที ่นำโดยดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และโรซา ปาร์คส์ จนรัฐบาล<br />
ของคนผิวขาวแห่งสหรัฐอเมริกาต้องตรากฎหมายรับรองสิทธิพลเมือง<br />
(Civil Right) ให้คนผิวดำและผิวขาวต่างก็มีความเสมอภาคกันในทาง<br />
การเมือง เป็นต้น (๒) คุณวรรณะ หวงแหนเกียรติคุณ ไม่อยาก<br />
ให้ใครมีคุณความดียิ่งไปกว่าตน ทนไม่ได้ที่มีคนที่เด่นกว่าเหนือกว่า<br />
ตัวเองในแง่คุณงามความดี ต้องการสงวนความเด่นความดีไว้เฉพาะ<br />
ตนผู้เดียว รวมทั้งไม่อยากฟัง ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็นคนที่เด่น<br />
กว่าตน ตลอดถึงการแบ่งชั้นวรรณะกันเป็นวรรณะสูง วรรณะต่ำ<br />
แล้วสงวนสิทธิ์ต่างๆไว้ให้เฉพาะคนในวรรณะเดียวกันเท่านั้น เช่น<br />
วรรณะพราหมณ์ผูกขาดการศึกษา วรรณะกษัตริย์ผูกขาดการปกครอง<br />
วรรณะแพศย์ผูกขาดการทำธุรกิจ ทำให้คนวรรณะศูทร รวมทั ้งจัณฑาล<br />
ว.วชิรเมธี
ซึ่งเป็นวรรณะที่ต่ำสุด เข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษา การปกครอง<br />
การทำธุรกิจ เป็นต้น การแบ่งแยกคนออกเป็นวรรณะ เคยเป็นที่มา<br />
ของความอยุติธรรมมากมาย ดังมีตัวอย่างให้เห็นในสังคมคนอินเดีย<br />
มาจนทุกวันนี ้ ที ่คนวรรณะต่ำถูกปิดกั ้นโอกาสทางการเมือง การศึกษา<br />
และการเข้าถึงบริการพื ้นฐานของรัฐในหลายๆด้าน ทำให้คนวรรณะต่ำ<br />
ต้องมีชีวิตที่ขาดคุณภาพชีวิตอย่างน่าสงสาร<br />
(๕) ธัมมมัจฉริยะ ตระหนี ่หวงแหนธรรมะ วิชาความรู ้ วิทยาการ<br />
ภูมิปัญญา ที่ตนได้บรรลุ ที่ตนรู้แจ้งเห็นจริง ที่ตนเชี่ยวชาญจัดเจน<br />
ที ่ตนมีความเป็นเลิศ ไม่อยากแบ่งปันให้ใครมามีส่วนในระบบภูมิธรรม<br />
ภูมิปัญญาที ่ตนครอบครอง ในปัจจุบันก็เทียบได้กับการที ่ชาวโลกนิยม<br />
จดสิทธิบัตรสิ ่งประดิษฐ์คิดค้นหรือนวัตกรรมต่างๆที ่ตนเป็นผู ้รังสรรค์<br />
ขึ้นมา<br />
โดยไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามาร่วมถือครองเป็นเจ้าของด้วย<br />
ความตระหนี่หวงแหนทั้งห้าประการดังกล่าวมานี้ ทำให้คน<br />
เกิดภาวะ“ใจแคบ” ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ทำให้ไม่สามารถที่จะเมตตา<br />
ใครได้อย่างเต็มที่ ศักยภาพของหัวใจนั้น แม้จะสามารถรักคนได้<br />
ทั ้งโลก เมตตาคนและสรรพชีพ สรรพสัตว์ได้ทั ้งจักรวาล แต่ก็ไม่อาจ<br />
เปิดใจให้กว้างขวางถึงที ่สุดได้ เพราะเกรงแต่ว่าคนอื ่น สัตว์อื ่น จะเข้ามา<br />
แย่งชิงผลประโยชน์บรรดามีไปจากตน คนที่หวงแหนผลประโยชน์<br />
จึงเป็นมนุษย์พันธุ์ใจแคบ<br />
ซึ่งพลอยทำให้โลกของเขาแคบตามไปด้วย<br />
เหมือนที ่กวีผู ้หนึ ่งกล่าวไว้ว่า “โลกนี ้กว้างใหญ่สำหรับคนใจกว้าง โลกนี ้<br />
อ้างว้างสำหรับคนใจแคบ”<br />
เมตตาในใจของคนนั้น เปรียบเสมือนสายน้ำที่หลั่งไหลอยู่<br />
เมตตาธรรม
ใต้ผืนดินซึ่งมีปริมาณมากมายมหาศาล แต่เมื่อไม่มีใครขุดเจาะลงไป<br />
ใต้ผิวดิน น้ำปริมาณมากมายนั ้นก็คงถูกกักขังอยู ่อย่างนั ้นเอง ไม่อาจ<br />
สำเร็จประโยชน์แก่ใครแต่อย่างใด เมตตาที่ถูกผืนแผ่นดินแห่ง<br />
ความตระหนี่ปิดกั้นเอาไว้ ก็มีคติเช่นนั้น นั่นคือ ถึงแม้จะมี แต่ก็<br />
เหมือนกับไม่มี<br />
การไม่ฝึกฝนเมตตาภาวนา ๑<br />
การฝึกเจริญเมตตาภาวนานั ้นเป็นกรรมฐาน คือ กระบวนการ<br />
ฝึกจิตประเภทหนึ่งในพุทธศาสนา เรียกว่า“เมตตากรรมฐาน” ภิกษุ<br />
หรือบุคคลทั่วไปที่ฝึกเจริญเมตตากรรมฐานได้ผลเป็นอย่างดีนั้น<br />
เรียกว่าเป็นผู้อยู่ด้วย“เมตตาพรหมวิหาร”<br />
ในพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อ<br />
“พระสุภูติ”ว่าเป็นผู้ที่ฝึกเมตตากรรมฐานได้ผลอย่างดียิ่ง จนทรง<br />
ยกย่องไว้ในเอตทัคคฐานันดรว่าเป็น“ผู ้เจริญฌาน (กรรมฐาน) ประกอบ<br />
ด้วยเมตตา” (หรือผู้อยู่ด้วยอรณวิหาร = ผู้อยู่โดยปราศจากศัตรู<br />
เพราะท่านมีแต่เมตตาต่อคนทั้งปวงเป็นนิตย์) กล่าวกันว่า พระสุภูติ<br />
นั้นเป็นผู้ครองตนกอปรด้วยเมตตาอยู่เสมอ แม้แต่ในขณะที่ไป<br />
บิณฑบาตในยามเช้าของแต่ละวัน ท่านก็ยังแผ่เมตตาให้แก่ผู้ถวาย<br />
อาหารบิณฑบาตอย่างทั่วถึง ในฝ่ายอุบาสิกา พระพุทธเจ้าก็ทรง<br />
ยกย่องพระนางสามาวดี ว่าเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในฐานะ<br />
ว.วชิรเมธี
“ผู้อยู่อย่างมีเมตตา”<br />
(เมตตาพรหมวิหารี)<br />
ธาตุแห่งความเมตตาหรือความปรารถนาดีต่อสรรพชีพ สรรพ-<br />
สัตว์นั ้น มีอยู ่แล้วในตัวเราทุกคน แต่หากเราไม่ได้ฝึกใจให้เมตตาต่อ<br />
มนุษยชาติและสรรพสัตว์ ใจนั้นก็อาจถูกปิดกั้นด้วยอุปสรรคของ<br />
เมตตาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั้น ต่อเมื่อใดก็ตามที่เราเพียรฝึกใจ<br />
ให้กอปรด้วยเมตตาอยู่เสมอ ใจก็จะเปี่ยมด้วยกระแสแห่งเมตตา<br />
สามารถมองดูคน สัตว์ ทั ่วทั ้งโลกด้วยสายตาแห่งไมตรีอารีรัก ปรารถนา<br />
แต่อยากจะให้คนอื่นมีความสุข<br />
มีความเจริญยิ่งๆขึ้นไป<br />
เมตตาธรรม
ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกใจให้เปี่ยมเมตตา<br />
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์แนะกุศโลบายในการ<br />
ฝึกเจริญเมตตาภาวนาไว้ว่า การฝึกใจให้มีเมตตานั้น ควรรำลึกถึง<br />
สรรพชีพ สรรพสัตว์ โดยไม่จำเพาะเจาะจง แล้วแผ่เมตตา คือ<br />
ความรัก ความปรารถนาดีออกไปให้ครอบคลุมสรรพชีพ สรรพสัตว์<br />
โดยอาการทั้ง<br />
๕ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ, อัพ๎ยาปัชฌา โหนตุ,<br />
อะนีฆา โหนตุ, สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.<br />
ขอสัตว์ทั ้งปวงจงอย่าผูกเวรกัน, จงอย่าเบียดเบียนกัน, จงอย่า<br />
มีทุกข์, จงมีสุข รักษาตนอยู่ไปให้ตลอดเถิด<br />
(๒) สัพเพ ปาณา อะเวรา โหนตุ, อัพ๎ยาปัชฌา โหนตุ,<br />
อะนีฆา โหนตุ, สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.<br />
ขอปาณะทั้งปวงจงอย่าผูกเวรกัน, จงอย่าเบียดเบียนกัน, จง<br />
อย่ามีทุกข์, จงมีสุข รักษาตนอยู่ไปให้ตลอดเถิด<br />
(๓) สัพเพ ภูตา อะเวรา โหนตุ, อัพ๎ยาปัชฌา โหนตุ, อะนีฆา<br />
โหนตุ, สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.<br />
ขอภูตทั ้งปวงจงอย่าผูกเวรกัน, จงอย่าเบียดเบียนกัน, จงอย่า<br />
มีทุกข์, จงมีสุข รักษาตนอยู่ไปให้ตลอดเถิด<br />
(๔) สัพเพ ปุคคลา อะเวรา โหนตุ, อัพ๎ยาปัชฌา โหนตุ,<br />
อะนีฆา โหนตุ, สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.<br />
ว.วชิรเมธี
ขอบุคคลทั้งปวงจงอย่าผูกเวรกัน, จงอย่าเบียดเบียนกัน, จง<br />
อย่ามีทุกข์, จงมีสุข รักษาตนอยู่ไปให้ตลอดเถิด<br />
(๕) สัพเพ อัตตะภาวะ ปริยาปันนา อะเวรา โหนตุ, อัพยา-<br />
ปัชฌา โหนตุ, อะนีฆา โหนตุ, สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.<br />
ขอผู้มีอัตภาพทั้งปวงจงอย่าผูกเวรกัน, จงอย่าเบียดเบียนกัน,<br />
จงอย่ามีทุกข์, จงมีสุข รักษาตนอยู่ไปให้ตลอดเถิด<br />
เมื่อมนุษย์อยู่กันด้วยเมตตา<br />
พรหมบนฟ้าก็ไม่จำเป็น<br />
เมตตาธรรมจัดอยู่ในหมวดธรรมหลายชุด แต่ชุดที่โดดเด่น<br />
ที ่สุดดูเหมือนจะเป็นที ่มาในชุด“พรหมวิหารธรรม” (หลักธรรมสำหรับ<br />
ฝึกใจให้เป็นพรหม, พรหมคือผู้อยู่อย่างมีใจไร้อคติ, แผ่ความรัก<br />
ความเมตตาให้แก่สรรพชีพ สรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้าอยู่เป็นนิตย์)<br />
คนอินเดียแต่โบราณมีความเชื่อกันว่า พระพรหมเป็นเทพเจ้า<br />
สูงสุด พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่ง ชีวิตของมนุษย์<br />
จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่พรหมลิขิต ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา<br />
ในโลกแล้ว ทรงนำเสนอคำสอนใหม่ว่า สิ ่งที ่จะสร้างสรรค์บันดาลชีวิต<br />
ของคนเรานั ้นไม่ใช่พรหมที ่อยู ่บนฟ้า แต่เป็นพรหมที ่อยู ่ในมนุษยโลก<br />
คือ มนุษย์ทั่วไปที่มี“พรหมวิหารธรรม”อยู่ในใจนั่นเอง มนุษย์ที่มี<br />
ใจเปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรมนี่แหละคือพระพรหมที่เดินเหินอยู่ใน<br />
0<br />
เมตตาธรรม
โลกนี้จริงๆ<br />
มนุษย์ที่เปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรมจนกลายเป็นพระพรหม<br />
ผู้สร้างสรรค์โลกตามแนวพุทธศาสนามีตัวอย่างอยู่มากมาย<br />
เช่น<br />
มหาเศรษฐีแอนดรูว์ คาร์เนกี ที่สละทรัพย์มากมายก่อตั้งเป็น<br />
มูลนิธิ และเขาได้ใช้เงินจากมูลนิธิที่ตนตั้งขึ้นก่อสร้างห้องสมุดให้แก่<br />
นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วโลกกว่า<br />
๓,๐๐๐ แห่ง<br />
มหาเศรษฐีอัลเฟรด โนเบล อดีตพ่อค้าขายอาวุธสงคราม<br />
ชื่อก้องคนหนึ่งของโลก เขาเคยร่ำรวยจากเม็ดเงินมหาศาลอันเป็น<br />
ผลจากการขายอาวุธสงครามอย่างระเบิดไดนาไมต์ เป็นต้น แต่ใน<br />
บั้นปลายของชีวิต เขารู้สึกเสียใจที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับเพื่อนมนุษย์<br />
เอาไว้มาก (= เมตตาธรรมเกิด) จึงเขียนพินัยกรรมอุทิศทรัพย์สิน<br />
มหาศาลที ่สะสมไว้ตั ้งเป็นมูลนิธิตามชื ่อของตนเอง โดยมีวัตถุประสงค์<br />
เพื่อมอบรางวัลให้แก่มนุษยชาติผู้สามารถสร้างนวัตกรรมด้านการ<br />
แพทย์ เคมี ฟิสิกส์ สันติภาพ และการนิมิตวรรณกรรมชั้นยอด<br />
ให้กับโลก<br />
เรารู้จักรางวัลอันทรงเกียรติยศสูงสุดของโลกนี้ในชื่อ“รางวัล<br />
โนเบล” และด้วยรางวัลที่เกิดจากความเมตตาต่อมนุษยชาติของเขา<br />
ทำให้มนุษยชาติจำนวนมากมายเกิดแรงบันดาลใจอยากสร้างสรรค์<br />
นวัตกรรมที่เกื้อกูลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปในทิศทางที่ดี<br />
ยังคงทุ่มเทอุทิศตนทำงานอย่างหนักมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้<br />
เมตตาของอัลเฟรด โนเบล ทำให้โลกหลังการจากไปของเขามีนวัตกรรม<br />
ที่เกื้อกูลต่อความอยู่เย็นเป็นสุขของโลกเพิ่มขึ้นมากมาย<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
แม่ชีเทเรซา แม่พระจากย่านสลัมในกรุงมุมไบ ประเทศอินเดีย<br />
อุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนยากจนข้นแค้นที่ป่วยเพราะขาด<br />
อาหาร ขาดเวชภัณฑ์ ขาดการศึกษา ในสลัมที่กรุงมุมไบ ทั้งยัง<br />
กระจายความเมตตาการุณย์รักแผ่ไปช่วยคนในส่วนอื่นๆของโลกอีก<br />
มากมายนับไม่ถ้วน จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ ่งที ่ถูกนั ้น<br />
อาจจะเรียกว่า สาขาเมตตาการุณย์ต่อสัตว์โลกก็ได้<br />
ภิกษุณีเจิ้งเหยียน ชาวไต้หวัน เกิดความสะเทือนใจจากการ<br />
เห็นหยดเลือดของสตรีชาวเขาคนหนึ่งที่มาทำคลอดที่โรงพยาบาล<br />
แห่งหนึ่งในไต้หวัน แล้วทางคลินิกไม่ยอมทำคลอดให้เพียงเพราะ<br />
เธอมีเงินไม่พอจ่ายค่าทำคลอด สามีต้องนำเธอกลับไปยังบ้านบนเขา<br />
ด้วยความทุกข์ทรมานปางตาย ด้วยความสะเทือนใจจนกลายเป็น<br />
ธรรมสังเวชคราวนั้น ท่านตัดสินใจขอรับเงินบริจาคจากชาวไต้หวัน<br />
ทั้งประเทศจนสามารถก่อตั้งมูลนิธิ“ฉือจี้”ขึ้นมาเป็นหน่วยงาน<br />
ขับเคลื ่อนการสร้างทั ้งโรงพยาบาล สร้างทั ้งแพทย์ที ่มี“หัวใจแห่งความ<br />
เป็นมนุษย์” (Humanized Man) สร้างโรงเรียนอนุบาล ประถม<br />
มัธยม และมหาวิทยาลัย ที่เน้นการศึกษาเพื่อช่วยกันสร้างสรรค์<br />
อภิบาลโลกให้เปี ่ยมไปด้วยความร่มเย็นเป็นสุข โดยใช้พรหมวิหารธรรม<br />
เป็นปรัชญาในการทำงาน ทุกวันนี้มูลนิธิฉือจี้ของท่านกลายเป็น<br />
องค์กรการกุศลที่หว่านโปรยความสุขให้กับคนไปทั่วโลก กล่าวกันว่า<br />
หากมีผู้ประสบวินาศภัยที่ไหนก็ตามในโลกนี้ จะมีอาสาสมัครจาก<br />
มูลนิธิฉือจี้เข้าไปเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้นอย่างทันท่วงที หรืออย่าง<br />
ช้าสุดก็ไม่เกินหนึ่งวัน<br />
เมตตาธรรม
จิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ที่แม้<br />
จะเป็นอดีตประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจไปแล้ว แต่เขายังคง<br />
เปลี ่ยนชื ่อเสียงของตนเองและทรัพย์สินที ่มีมาตั ้งเป็นมูลนิธิเพื ่อตระเวน<br />
ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากไปทั่วโลก รวมทั้งเป็นนักเจรจาไกล่เกลี่ย<br />
ให้กับหลายประเทศด้อยพัฒนาที ่มีสงครามกลางเมืองเพื ่อสันติภาพโลก<br />
เขาทำงานเสี่ยงตายเหล่านี้ทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะเมตตาต่อมนุษยชาติ<br />
เป็นแรงจูงใจ ทั้งๆที่เขาสามารถมีชีวิตที่สงบสุขอยู่ในประเทศมหา-<br />
อำนาจของตนได้อย่างสบาย<br />
บิล เกตส์ ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทไมโครซอฟท์ ์ ซึ ่ง<br />
ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกจนได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร<br />
ฟอร์บส์ ของสหรัฐอเมริกา ให้เป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกติดต่อ<br />
กันมาเกินสิบสมัย บิล เกตส์ เปลี่ยนเม็ดเงินมหาศาลของเขาให้เป็น<br />
มูลนิธิที ่มีทุนจดทะเบียนและมีเงินกองทุนสำหรับช่วยเหลือเพื ่อนมนุษย์<br />
มากที่สุดในโลก เขาใช้เงินในมูลนิธิที่ตั้งตามชื่อของตนและภรรยา<br />
ช่วยเหลือการศึกษา การคิดค้นเวชภัณฑ์ต้านไวรัสเอดส์ การแก้ปัญหา<br />
ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศด้อย<br />
พัฒนาปีละนับพันล้านดอลลาร์ กล่าวเฉพาะปี ๒๐๐๙ เขาบริจาคเงิน<br />
เพื ่อการพัฒนาประสิทธิภาพการสอนของครูในสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่า<br />
กว่า ๓๓๕ ล้านดอลลาร์ (ราว ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท) บิล เกตส์ ทำงาน<br />
การกุศลทั้งหมดก็ด้วยแรงจูงใจที่ชื่อเมตตา คือปรารถนาจะเห็นโลก<br />
วันนี้ที่ดีกว่าวันวาน<br />
และวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าวันนี้<br />
บุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลกที่กล่าวมาพอเป็นตัวอย่างข้างต้นนี้<br />
ว.วชิรเมธี
คือประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าหากมนุษยชาติมีใจอันเปี่ยมด้วย<br />
เมตตาพรหมวิหารธรรมแล้ว มนุษย์ธรรมดาอย่างเราทั้งหลายนี่เอง<br />
ก็คือพระพรหมในอัตภาพของมนุษย์ที่จะสามารถรังสรรค์อภิบาลและ<br />
ลิขิตโลกนี้ให้เป็นทิพยสถานอันน่ารื่นรมย์<br />
กล่าวอีกนัยหนึ ่งว่า โลกจะเป็นอย่างไร ขึ ้นอยู ่กับการสร้างสรรค์<br />
ของมนุษย์ในโลกนี ้ ไม่ใช่อยู ่ที ่การลิขิตของพระพรหมบนสวรรค์ เลิก<br />
มองหาพระพรหมที่อยู่บนฟ้า มาช่วยกันพัฒนาตนให้เป็นพระพรหม<br />
บนดินด้วยเมตตาธรรมกันดีกว่า<br />
เมตตาแท้ ไม่ต้องเพียร ไม่ต้องแผ่ ไม่ต้องเพ่ง<br />
แต่ให้เปล่งประกายออกมาเองจากใจที่ตื่นรู้<br />
การแผ่เมตตาที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่า<br />
เพียงไรก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเพียงการ“เพียรพยายาม”ที ่จะสร้างเมตตา-<br />
ธรรมนั้นขึ้นมาในกรอบกาลเทศะหนึ่งๆเท่านั้น ยังไม่ใช่เมตตาธรรม<br />
แท้ที ่บริสุทธิ ์ ดังนั ้น เมตตาธรรมที ่กล่าวมา จึงนับว่าไม่เพียงพอที ่จะ<br />
หล่อเลี้ยงตนและคนอื่นให้สามารถสร้างโลกที่ร่มเย็นเป็นสุข ไร้การ<br />
เบียดเบียนได้จริง หากเราปรารถนาจะพัฒนาเมตตาที่เป็นสากลให้เกิดขึ ้น<br />
ถึงขั้นชนิดที ่ไม่ต้อง“เพียรพยายาม”แผ่เมตตา แต่ให้เมตตาธรรม<br />
นั ้นกลายเป็นส่วนหนึ ่งของคุณภาพจิตอย่างยั ่งยืนตลอดไป เราก็จำเป็น<br />
อย่างยิ ่งที ่จะต้องฝึกหัดพัฒนาตนให้มี“เมตตาเป็นเรือนใจ”อยู ่เป็นนิตย์<br />
เมตตาธรรม
การที่จะทำเช่นนี้ได้ ไม่มีวิธีอื่นใดดีไปกว่าการฝึกตนให้ลอยพ้นกิเลส<br />
ทั้งปวง เพราะเมื่อจิตของเราหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้ว จิตจะมี<br />
คุณสมบัติพื้นฐานอย่างน้อยสามประการ<br />
กล่าวคือ<br />
(๑) ปัญญาที่ตัดกิเลสได้เด็ดขาด<br />
(ปัญญา)<br />
(๒) จิตใจที่บริสุทธิ์หลุดพ้นเป็นอิสระ<br />
(วิสุทธิ)<br />
(๓) ความรักแท้ที่ไร้พรมแดน<br />
(กรุณา)<br />
ในบรรดาคุณสมบัติทั้งสามประการนี้ “เมตตา”ก็คือ“กรุณา”<br />
อันส่งผลออกมาเป็นความรักต่อสรรพชีพ สรรพสัตว์ อย่างไร้พรมแดน<br />
นั่นเอง กรุณานี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“ความสงสาร” ผู้รู้ท่านเปรียบ<br />
ให้เห็นภาพว่า ผู้ที่บรรลุถึงฝั่งแห่งวิมุติหลุดพ้นแล้ว<br />
ย่อมเป็นเช่นกับ<br />
บุคคลที่ว่ายน้ำข้ามขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัยแล้ว และกำลังยืนอยู่บน<br />
ฝั่ง ทอดตามองลงมายังผู้คนมากมายที่ยังคงลอยคออยู่ในทะเลแห่ง<br />
ความทุกข์ ครั้นเห็นคนทุกข์เหล่านั้นแล้วก็เกิดความรักอย่างไพศาล<br />
ปรารถนาแต่จะช่วยเขาเหล่านั้นให้พ้นทุกข์ และมีความสุขอยู่กับการ<br />
เพียรช่วยคนให้พ้นทุกข์นั ้นเป็นแรงจูงใจให้ก้าวออกไปทำงานช่วยเหลือ<br />
เกื้อกูลชาวโลกอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากตรากตรำตลอดชีวิต<br />
พระพุทธองค์และเหล่าพระอริยสาวกล้วนทรงงาน /ทำงานหนักใน<br />
การเกื้อกูลชาวโลกด้วยคุณธรรมคือกรุณา (ซึ่งย่อมหมายรวมถึง<br />
เมตตา) นี้เป็นแรงจูงใจ และด้วยกรุณา /เมตตาแท้ๆที่หลั่งไหล<br />
ออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาตินี ่เอง จึงทำให้ท่านกลายเป็นบุคคลแห่ง<br />
เมตตา เป็นที่มาของรักแท้ ที่สามารถช่วยสร้างสรรค์พัฒนาโลกนี้<br />
ให้ร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างยั่งยืน<br />
ว.วชิรเมธี
การที่ปัจเจกบุคคลจะพัฒนาตนให้พบเมตตาแท้ที่เป็นสากล<br />
ชนิดที่ไม่ต้องแผ่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเพียร แต่เป็นการเปลี่ยนให้<br />
เมตตาธรรมนั้นกลายเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของจิตใจอย่างเป็น<br />
ธรรมชาติชนิดที่เรียกกันว่า มีเมตตาเป็นเรือนใจ (พรหมวิหาร-<br />
ธรรม) อยู ่เสมอนั้น วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ การปฏิบัติตามหลัก<br />
อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเจริญวิปัสสนา-<br />
กรรมฐานนั่นเอง เพราะเมื่อบุคคลมาเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนถึง<br />
ที่สุดแล้ว ก็จะเกิดภาวะวิมุติหลุดพ้น เป็นอิสระจากกิเลสที่รัดรึง<br />
จิตใจบรรดามีทั ้งหมด จิต ปัญญา และพฤติกรรมมีแต่ความบริสุทธิ ์<br />
สะอาด ปราศจากไฝฝ้าราคีแห่งอคติ ก้าวข้ามสมมุติบัญญัติอันเป็น<br />
อุปสรรคแห่งรักแท้ทั้งปวง และดังนั้น จึงสามารถรักคน เมตตา<br />
คนได้อย่างหมดใจ ไร้วาระซ่อนเร้น วันเวลาที ่เหลือจึงถูกใช้ไปในการ<br />
เกื ้อกูลชาวโลกอย่างบริสุทธิ ์ใจ อุปมาง่าย ๆ ก็เป็นดั ่งแสงเดือนแสงตะวัน<br />
ที่สาดโลมผืนโลกโดยไม่เคยคิดทวงถามถึงการตอบแทนนั่นเอง<br />
กล่าวอีกนัยหนึ ่งว่า รักแท้ที ่เป็นสากล คือ ความสามารถที ่จะ<br />
รักคนได้ทั ้งโลกนั ้น จะเกิดขึ ้นมาก็ต่อเมื ่อปัจเจกบุคคลได้ก้าวพ้นจาก<br />
บรรดากิเลสทั้งปวงแล้วเท่านั้น และการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน<br />
ก็คือหนทางสู่รักแท้หรือเมตตาที่เป็นสากลดังกล่าวมา<br />
ในที่นี้ขอแนะนำวิธีการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้นตาม<br />
แนวทางแห่ง“อานาปานสติสูตร” ซึ่งเป็นพระสูตรที่ทรงยืนยันว่า<br />
ทำให้พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแนะนำให้พุทธสาวกเพียรประพฤติ<br />
ปฏิบัติ ทั้งในฐานะที่เป็นวิปัสสนาวิธีที่ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน<br />
เมตตาธรรม
และทั้งในฐานะที่เป็นวิหารธรรม (ธรรมประจำเรือนใจ) โดยมีสาระ<br />
สำคัญดังต่อไปนี้<br />
อานาปานสติสมาธิ: ปฏิบัติเพียงหนึ่งแต่ได้ทั้งหมด<br />
มีความเข้าใจคลาดเคลื ่อนในหมู ่ผู ้สนใจปฏิบัติธรรมในเมืองไทย<br />
บางกลุ ่มว่า การเจริญสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ ่งอานาปานสติสมาธินั ้น<br />
เป็นเพียง“สมถภาวนา” ส่วนการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนว<br />
สติปัฏฐาน ๔ ต่างหากจึงเป็น“วิปัสสนาภาวนา” ทัศนะเช่นนี้ทำให้มี<br />
การมองข้าม หรือเห็นว่าอานาปานสติภาวนาไม่สำคัญ หรือถึงจะสำคัญ<br />
ก็ไม่เท่าสติปัฏฐาน ๔ ความเห็นเช่นนั้นนับว่าไม่สอดคล้องกับความ<br />
เป็นจริง เพราะเมื่อจะกล่าวให้ถูกแล้ว การเจริญอานาปานสตินั้น<br />
เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา มีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา รวมอยู่ใน<br />
สมาธิแบบนี ้อย่างสมบูรณ์ โดยที ่ ๓ หมวดแรกของอานาปานสติสมาธิ<br />
นับว่าเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา ส่วนหมวดที่ ๔ เป็นวิปัสสนาล้วน<br />
(พึงสังเกตวิธีปฏิบัติซึ่งจะกล่าวต่อไป) หรืออีกนัยหนึ่ง หลักสติ-<br />
ปัฏฐาน ๔ หมวดแรก ซึ่งว่าด้วยการตามดูรู้เท่าทันกาย (กายานุ-<br />
ปัสสนาสติ) วิปัสสนาล้วน (พึงสังเกตวิธีปฏิบัติซึ ่งจะกล่าวต่อไป) หรือ<br />
อีกนัยหนึ ่ง หลักสติปัฏฐาน ๔ หมวดแรก ซึ ่งว่าด้วยการตามดูตามรู ้<br />
เท่าทันกาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ก็คืออานาปานสติสมาธินั ่นเอง<br />
เพราะฉะนั ้น ทั ้งอานาปานสติสมาธิและสติปัฏฐาน ๔ เมื ่อกล่าวอย่าง<br />
ว.วชิรเมธี
ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง<br />
ส่วนที่กล่าวว่า มีศีล สมาธิ ปัญญารวมอยู่ด้วยในตัวอย่าง<br />
เบ็ดเสร็จนั้น ส่วนที่เป็นความสำรวมกาย วาจา ใจ โดยมีเจตนาที่<br />
ปลอดจากการละเมียดหรือการเบียดเบียน นับเป็นศีล การมีสติ<br />
กำหนดระลึกรู้อยู่กับกายคือลมหายใจ หรือตั้งมั่นอยู่กับสิ่งที่กำหนด<br />
ในขณะนั้นๆ นับเป็นสมาธิ การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มองเห็นกาย<br />
เวทนา จิต ธรรม ตามความเป็นจริง จนสามารถถอดถอนความ<br />
สำคัญผิดยึดติดถือมั่นว่าเป็นตัวเรา ตัวเขา สัตว์ บุคคล ออกมา<br />
เสียได้ เห็นแต่ความจริงตามสภาวะล้วนๆที่เกิดดับอยู่ตามธรรมดา<br />
นับเป็นปัญญา<br />
ในพระไตรปิฎกท่านแสดงหลักฐานไว้ว่า อานาปานสติสมาธิ<br />
กับสติปัฏฐาน ๔ นั้น ดำรงอยู่ในกันและกัน บูรณาการเข้าในกัน<br />
และกัน หรือเป็นหนึ ่งเดียวกัน เกื ้อกูลซึ ่งกันและกัน เวลาที ่ทรงแสดง<br />
อานาปานสติสมาธิ ก็ทรงแสดงสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ นับเนื่อง<br />
อยู่ในพระสูตรเดียวกัน ซึ่งเท่ากับทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า<br />
ทั ้งอานาปานสติสมาธิ สติปัฏฐาน ๔ และโพชฌงค์ ๗ นั ้น เป็นหมวด<br />
ธรรมประเภทเดียวกัน วิธีปฏิบัติก็ใช้หลักการเดียวกันมุ่งตรงต่อ<br />
เป้าหมายสูงสุดคือ“วิชชา วิมุตติ” * เหมือนกัน ความข้อนี ้พึงพิจารณา<br />
* พึงดูวิธีที่ทรงแสดงอานาปานสติสมาธิ, สติปัฏฐาน , โพชฌงค์ ว่าเป็น<br />
ธรรมนับเนื่องอยู่ในกันและกัน เกื้อกูลกัน ใช้หลักการเดียวกันจากอานา-<br />
ปานสติสูตร ใน ม.อุ.1 /1 -1 /1<br />
เมตตาธรรม
จากพระพุทธพจน์ดังนี้<br />
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอันเป็นเอกที่ภิกษุเจริญ ทำให้<br />
มากแล้ว ทำให้ธรรม ๔ ประการบริบูรณ์, ธรรม ๔ ประการที่ภิกษุ<br />
เจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้ธรรม ๗ ประการบริบูรณ์, ธรรม<br />
๗ ประการที่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้ธรรม ๒ ประการ<br />
บริบูรณ์เป็นอย่างไร<br />
ดูก่อนอานนท์ ธรรมอันเป็นเอกคือ อานาปานสติที ่ภิกษุเจริญ<br />
ทำให้มากแล้ว ทำให้สติปัฏฐาน ๔ ประการบริบูรณ์, สติปัฏฐาน<br />
๔ ประการที่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้โพชฌงค์ ๗ ประการ<br />
บริบูรณ์, โพชฌงค์ ๗ ประการที ่ภิกษุเจริญ ทำให้มากแล้ว ทำให้<br />
วิชาและวิมุตติบริบูรณ์” (สํ.ม.๑๙/๙๘๙/๔๗๓)<br />
อานาปานสติสมาธิภาวนา:<br />
มรรควิธีฝึกลมหายใจแห่งการตื่นรู้<br />
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา เรียกการเจริญ<br />
อานาปานสติสมาธิว่า “อานาปานสติ ๑๖ ขั้น” (โสฬสวตฺถุกอานา-<br />
ปานสติ, โสฬสวตฺถุกา อานาปานสฺสติสมาธิภวนา) การปฏิบัติอานา-<br />
ปานสติสมาธิ ก็พึงดำเนินขั้นตอนตามที่ทรงแนะนำไว้ในอานา-<br />
ปานสติสูตร ดังต่อไปนี้<br />
“อานาปานสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร<br />
ว.วชิรเมธี
จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก<br />
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้<br />
(๑) ไปสู่ป่าก็ดี<br />
ไปสู่โคนไม้ก็ดี<br />
ไปสู่สุญญาคารก็ดี<br />
**<br />
(๒) นั่งขัดสมาธิ<br />
ตั้งกายตรง<br />
ดำรงสติไว้เฉพาะเบื้องหน้า<br />
(๓) มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก<br />
อานาปานสติ ๑๖ ขั้น<br />
หมวดที่<br />
๑ กายานุปัสสนา<br />
(๑) เมื่อหายใจเข้ายาว<br />
ก็รู้ชัดว่า<br />
“เราหายใจเข้ายาว”<br />
เมื่อหายใจออกยาว<br />
ก็รู้ชัดว่า<br />
“เราหายใจออกยาว”<br />
(๒) เมื่อหายใจเข้าสั้น<br />
ก็รู้ชัดว่า<br />
“เราหายใจเข้าสั้น”<br />
เมื่อหายใจออกสั้น<br />
ก็รู้ชัดว่า<br />
“เราหายใจออกสั้น”<br />
(๓) สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้กองลมทั้งปวง<br />
หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้กองลมทั้งปวง<br />
หายใจออก”<br />
(๔) สำเหนียกว่า “เราระงับกายสังขาร หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราระงับกายสังขาร หายใจออก”<br />
** สุญญาคาร หมายถึง สถานที่ซึ่งเอื้อต่อการเจริญอานาปานสติสมาธิ<br />
แห่ง (1) ภูเขา ( ) ซอกเขา ( ) ถ้ำในภูเขา ( ) ป่าช้า ( ) ป่าละเมาะ<br />
( ) ที่โล่งแจ้ง ( ) ลอมฟาง<br />
0<br />
เมตตาธรรม
หมวดที่<br />
๒ เวทนานุปัสสนา<br />
(๕) สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้ปีติ<br />
หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้ปีติ<br />
หายใจออก”<br />
(๖) สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้สุข<br />
หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้สุข<br />
หายใจออก”<br />
(๗) สำเหนียกว่า “เรากำหนดจิตตสังขาร หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เรากำหนดจิตตสังขาร หายใจออก”<br />
(๘) สำเหนียกว่า “เราระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราระงับจิตตสังขาร หายใจออก”<br />
หมวดที่<br />
๓ จิตตานุปัสสนา<br />
(๙) สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้จิต<br />
หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เรากำหนดรู้จิต<br />
หายใจออก”<br />
(๑๐) สำเหนียกว่า “เราทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก”<br />
(๑๑) สำเหนียกว่า “เราทำจิตให้ตั้งมั่น<br />
หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราทำจิตให้ตั้งมั่น<br />
หายใจออก”<br />
(๑๒) สำเหนียกว่า “เราเปลื้องจิต<br />
หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราเปลื้องจิต<br />
หายใจออก”<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
หมวดที่<br />
๔ ธรรมานุปัสสนา<br />
(๑๓) สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง<br />
หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง<br />
หายใจออก”<br />
(๑๔) สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นความคลายออกได้ หายใจออก”<br />
(๑๕) สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นความดับไป หายใจออก”<br />
(๑๖) สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจเข้า”<br />
สำเหนียกว่า “เราพิจารณาเห็นความสละคืน หายใจออก”<br />
ภิกษุทั ้งหลาย อานาปานสติที ่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี ้ ทำให้มาก<br />
แล้วอย่างนี้ จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก (ม.อุ.๑๔/๑๔๘/๑๘๗-๙)<br />
บทสรุป<br />
อัจฉริยลักษณ์ของอานาปานสติสมาธิภาวนา<br />
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่าว่า พระโพธิสัตว์ก่อนแต่จะตรัสรู้ มี<br />
พระชนม์เพียง ๗ พรรษาเท่านั ้น ก็ได้เคยฝึกอานาปานสติสมาธิภาวนา<br />
ด้วยพระองค์เองมาครั้งหนึ่งแล้ว และก็ด้วยประสบการณ์คราวนี้เอง<br />
ที่ทำให้พระองค์ทรงหวนระลึกถึงว่า “น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่<br />
ทำให้บรรลุภาวะพระนิพพาน” หลังจากที ่ทรงทดลองฝึกวิธีการต่างๆ<br />
เมตตาธรรม
มาแล้วจากครูบาอาจารย์แทบทุกสำนัก แต่กลับทรงค้นพบว่าไม่ใช่<br />
ทางที่ทรงแสวงหา ประสบการณ์ในวัยเยาว์คราวนั้นแท้ๆที่ทำให้<br />
ทรงค้นพบอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมา-<br />
สัมพุทธเจ้า<br />
ด้วยเหตุที่อานาปานสติสมาธิภาวนา เป็นภาวนาวิธีที่ทำให้<br />
พระองค์ประสบความสำเร็จอันใหญ่หลวง จึงทรงยกย่องสมาธิวิธี<br />
ข้อนี้เป็นอันมาก จึงได้อุทิศตนทุ่มเทศึกษาพระสูตรนี้อย่างจริงจัง<br />
กระทั่งนำมาเขียนเป็นหนังสือ จัดตั้งวางเป็นแบบแผนแห่งการปฏิบัติ<br />
ขึ้นที่สำนักสวนโมกขพลาราม<br />
ซึ่งยังคงมีการสอนกันอยู่มาจนถึงบัดนี้<br />
ทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ<br />
ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวถึงอานาปานสติสมาธิว่า<br />
“อานาปานสติภาวนา เป็นกรรมฐาน หรือเป็นสมาธิภาวนา<br />
แบบที ่พระพุทธองค์ได้ปฏิบัติและตรัสรู ้, มีคำตรัสยืนยันว่าตรัสรู ้ด้วย<br />
อานาปานสติภาวนาโดยเฉพาะ นี้ก็เป็นเรื่องพิเศษเรื่องหนึ่งว่าทำไม<br />
จึงระบุอย่างนี ้, กรรมฐานภาวนามีตั ้งมากมาย ทำไมจึงตรัสระบุอานา-<br />
ปานสติภาวนา, ใช้คำว่าอานาปานสติภาวนา ไม่ได้ใช้คำว่าสติปัฏฐาน;<br />
แม้ว่าเรื ่องนี ้ก็เป็นเรื ่องเดียวกัน จะมีความแตกต่างกันอยู ่บ้างก็ไม่เท่าไร,<br />
พระองค์ก็ยังตรัสเรียกว่า ระบบอานาปานสติภาวนาเป็นระบบที่ทำให้<br />
พระองค์ได้ตรัสรู้,<br />
นี้ก็ควรจะสนใจ<br />
มันมีของดีหลายอย่างหลายประการสำหรับแบบนี้, ตัวอย่าง<br />
เช่น แบบนี้เมื่อทำแล้วจะเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาพร้อมกันในตัว<br />
ไม่ต้องแยกทำคนละที และยังแถมกล่าวได้ว่า มีศีลพร้อมกันไปในตัว<br />
ว.วชิรเมธี
ไม่ต้องทำพิธีรับศีลก่อนแล้วจึงมาทำ, ขอให้ลงมือทำเถิดตามระบบนี้<br />
ก็จะมีศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมกันไปในตัว, แบบนี้จะสู้แบบที ่เขา<br />
กำลังเล่าลือกันในโลก คือแบบเซน อย่างแบบเซนของจีน ของญี่ปุ ่น<br />
ที่ไปมีชื่อเสียงโด่งดังในตะวันตก ในพวกฝรั่งนั้นก็เพราะว่ามันเป็น<br />
แบบที่มีสมถะและวิปัสสนาติดกันอยู่ด้วยพร้อมกันไปในตัว<br />
เมื่อพิจารณาดูถึงแบบฝ่ายเถรวาท ก็เห็นว่าแบบอานาปานสติ<br />
นี่แหละ มีสมถะและวิปัสสนาพร้อมกันไปในตัว แล้วก็อย่างรัดกุม<br />
ที่สุด, เลยเป็นเหตุให้ต้องนึกถึงข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อพระ-<br />
พุทธเจ้าตรัสถึงทางออกจากความทุกข์ คือ วิถีทางดับทุกข์นั้น โดย<br />
ทั่วไปก็ตรัสเป็นอัฏฐังคิกมรรค หรือมัชฌิมาปฏิปทา แต่ก็มีมากแห่ง<br />
เหลือเกิน แทนที่จะตรัสว่ามัชฌิมาปฏิปทา ก็ตรัสเพียงว่า สมโถ จ<br />
วิปัสสนา จ เท่านี้ก็มี คือ สมถะและวิปัสสนา เป็นนิโรธคามินี-<br />
ปฏิปทา คือ ตรัสแทนคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา...<br />
ทำไมมันแทนกันได้ เพราะว่าในสมถะนั้นมีศีลรวมอยู ่ด้วย,<br />
เมื ่อพูดว่าสมถะและวิปัสสนา ก็มีทั ้งศีล ทั ้งสมาธิ และทั ้งปัญญา ใน<br />
อริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น, ถ้าสงเคราะห์ย่นย่อแล้วก็มีเพียงศีล สมาธิ<br />
ปัญญา ดังนั้นมันจึงมีค่าเท่ากัน พระองค์จึงนำมาตรัสแทนกันได้,<br />
ระหว่างคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา กับคำว่า สมโถ จ วิปัสสนา จ,<br />
ขอให้เป็นที่เข้าใจในข้อนี้<br />
ทำสมาธิภาวนาโดยวิธีอานาปานสติภาวนาแล้วจะเป็นการ<br />
ปฏิบัติอย่างถึงที่สุดทั้งในศีล สมาธิ และทั้งในปัญญา เรียกว่ามัน<br />
สมบูรณ์แบบอยู่ในตัว ถ้าจะพูดอย่างธรรมดาสามัญก็ว่า เป็นวิธีที่<br />
เมตตาธรรม
ได้เปรียบที่สุด”<br />
***<br />
อานาปานสติสมาธิภาวนาเป็นทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนา<br />
กรรมฐานอยู่ในตัวเองพร้อมบริบูรณ์ วิธีปฏิบัติก็ง่าย ไม่ต้องใช้<br />
องค์ประกอบมากมาย อาศัยเพียงแต่การตามระลึกรู ้ลมหายใจ (กาย)<br />
เวทนา จิต ธรรม อย่างรู้ตัวทั่วพร้อมเท่านั้น หากผู้ใดปฏิบัติตาม<br />
วิธีการดังกล่าวนี ้อย่างถูกต้องก็จะได้รับผลตั ้งแต่ขั ้นต่ำ คือ ความอยู ่<br />
เป็นสุขในปัจจุบันทันตาเห็น เกื้อกูลต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต<br />
กระจ่างใส สดชื่นเบิกบาน ผ่อนคลาย สบายใจ ไร้ความตึงเครียด<br />
และประโยชน์ขั้นสูงสุด คือ ทำให้หยั่งลงสู่สัจธรรมระดับปรมัตถ์<br />
กล่าวคือ ภาวะพระนิพพาน อันเป็นที ่สิ ้นสุดลงของความทุกข์บรรดามี<br />
ทั้งมวล<br />
อานาปานสติสมาธิภาวนา จึงเป็นสมาธิภาวนาที ่ควรนำมาปฏิบัติ<br />
ในชีวิตประจำวันอย่างทั ่วถึง ในที ่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ทั ้งนี ้ เพื ่อที่<br />
เราทั ้งหลายจะได้ลิ ้มชิมรสอมตธรรมในชีวิตนี ้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้อง<br />
รอให้เนิ ่นนานไกลออกไปนับแสนล้านชาติภพอย่างที ่เคยเชื ่อกันมาอย่าง<br />
ผิดๆแต่โบราณอีกต่อไป ดังที่มีพุทธพจน์ตรัสยืนยันอย่างชัดเจนว่า<br />
“ภิกษุทั ้งหลาย เมื ่อเธอเจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี ้แล ทำให้<br />
มากอย่างนี ้แล้ว เธอพึงหวังผล ๗ ประการ ผล ๗ ประการคืออะไรบ้าง<br />
กล่าวคือ<br />
*** พุทธทาสภิกขุ, คู่มือปฏิบัติอานาปานสติ.(สำนักพิมพ์ ธรรมสภา :<br />
กรุงเทพ), , หน้า -<br />
ว.วชิรเมธี
(๑) บรรลุอรหันตตผลในปัจจุบันทันที<br />
(๒) หากไม่ได้บรรลุอรหันตตผลในปัจจุบัน ก็จะบรรลุในเวลา<br />
ใกล้มรณะ<br />
(๓) หากไม่ได้บรรลุอรหันตตผลในปัจจุบันและในเวลาใกล้มรณะ<br />
ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้มีอันตราปรินิพพายี<br />
(๔) ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี<br />
(๕) ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี<br />
(๖) ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู ้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะ<br />
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการหมดสิ้นไป<br />
ภิกษุทั ้งหลาย เมื ่อเธอเจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี ้แล ทำให้<br />
มากอย่างนี้แล้ว<br />
เธอพึงหวังผล ๗ ประการดังกล่าวมานี้”<br />
เมตตาธรรม
พุธพจน์<br />
“สมาธิที่ศีลอบร่ำแล้ว<br />
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก<br />
ปัญญาที่สมาธิอบร่ำ<br />
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก<br />
จิตที่ปัญญาอบร่ำแล้ว<br />
ย่อมหลุดพ้นโดยชอบทีเดียว<br />
จากอาสวะ (กิเลส) ทั้งหลาย<br />
คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ”<br />
(ที.ม. ๑๐/๗๗/๙๙)<br />
ว.วชิรเมธี
บทสวดคาถาเมตตา
ตำนานกรณียเมตตสูตร<br />
กรณียเมตตสูตรเป็นพุทธมนต์บทที่ ๓ ใน ๗ ตำนาน เป็น<br />
บทที่ประกาศเมตตาธรรม สอนให้ทุกคน ตลอดจนสรรพสัตว์และ<br />
สรรพชีพอื่นๆทั่วไป รวมถึงพวกที่ไม่ปรากฏรูป เช่น เทวดา ภูตผี<br />
เป็นต้น ให้มีเมตตาต่อกัน ปรารถนาความสุข ความไม่มีเวรไม่มีภัย<br />
เว้นการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทำกิจทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุข<br />
ของกันและกัน พุทธมนต์นี้จึงทรงอานุภาพควรแก่การคารวะยิ่งนัก<br />
และยังเป็นอาวุธเล่มหนึ่ง ที่เรียกว่าพุทธวุธ พระบรมศาสดา<br />
พอพระทัยประทานแก่สาวกคราวเข้าไปในแดนอมนุษย์ที่ดุร้าย เพื่อ<br />
ป้องกันรักษาความปลอดภัย ฉะนั้นพระพุทธมนต์นี้จึงทรงอานุภาพ<br />
ควรแก่การศึกษาท่องบ่นและเจริญอยู่เป็นนิตย์ ในพระฝ่ายอรัญวาสี<br />
ที่อยู่ป่าและพระที่ถือธุดงค์นิยมเจริญกรณียเมตตสูตรเป็นประจำ<br />
ความจริงเมตตาธรรมนี้ควรเจริญให้มาก เพราะผู้ที่จำเริญ<br />
เมตตา พระบรมศาสดาตรัสว่า จะได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการ ตาม<br />
0<br />
เมตตาธรรม
ที่ประทานไว้ในเมตตานิสังสสูตรว่า<br />
(๑) หลับเป็นสุข<br />
(๒) ตื่นเป็นสุข<br />
(๓) ไม่ฝันร้าย<br />
(๔) เป็นที่รักใคร่ของหมู่มนุษย์<br />
(๕) เป็นที่รักใคร่แม้แต่มนุษย์<br />
ตลอดสัตว์เดียรัจฉาน<br />
(๖) เทวดารักษา<br />
(๗) ย่อมล่วงพ้นยาพิษศัสตราวุธได้<br />
(๘) เจริญสมาธิได้รวดเร็ว<br />
(๙) หน้าตาย่อมผ่องใส<br />
(๑๐) มีสติไม่หลงในเวลาสิ้นชีวิต<br />
(๑๑) เมื่อดับชีวิตแล้วจะไปเสวยความสุขในพรหมโลก<br />
ฉะนั้น จึงควรตั้งใจเจริญและสดับตรับฟังให้มากในเรื่องราว<br />
อันเป็นที่มาแห่งพระพุทธมนต์นี้ จะได้เจริญศรัทธาเพิ่มพูนบารมี<br />
เพราะเมตตาเป็นบารมีหนึ่งในบารมีสิบทัศ<br />
ตำนานในพระสูตรเล่าไว้ว่า<br />
สมัยหนึ่งพระบรมศาสดาเสด็จประทับยังพระเชตวันมหาวิหาร<br />
ในพระนครสาวัตถี มีภิกษุ ๕๐๐ รูป เรียนกัมมัฏฐานในพุทธสำนัก<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
แล้วทูลลาจาริกไปในชนบทเพื่อหาสถานที่บำเพ็ญสมณธรรม ผ่าน<br />
ทางไกลไปหลายโยชน์ก็ถึงตำบลใหญ่ตำบลหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจาก<br />
ป่านัก ชาวบ้านพากันปฏิสันถารเป็นอันดี แล้วเรียนถามท่านว่า<br />
“นี่<br />
พระคุณเจ้า จะพากันไปไหนขอรับ”<br />
“หาที่เจริญสมณธรรมให้ผาสุกสักแห่งหนึ่ง อุบาสก” พระ-<br />
อาจารย์ตอบ<br />
ท่านผู้ใหญ่บ้านแห่งนั้นจึงเรียนท่านไปว่า<br />
“ถ้าพระคุณเจ้าต้องประสงค์สถานที่เช่นนั้นละก็ ไพรสณฑ์<br />
เชิงภูผานี ้เป็นเหมาะมากเทียวท่าน เพราะไม่ไกลหมู ่บ้าน พอมาพอไป<br />
หากันได้สะดวก เช่น พระคุณท่านจะมาบิณฑบาตก็ไม่ไกล ผมจะ<br />
ไปนมัสการบ้างก็ไม่ยาก”<br />
พอท่านผู้ใหญ่บ้านเว้นระยะคำพูดเพื่อฟังความเห็นจากพระ-<br />
อาจารย์ ผู้ใจบุญหลายท่านก็ช่วยกันเสริมอีกว่า<br />
“อย่าลังเลใจเลยพระคุณท่าน นิมนต์อยู่เสียที่นี่แหละ ถ้า<br />
พระคุณท่านอยู่ พวกผมจะได้มีโอกาสถวายทาน รักษาศีล และ<br />
ฟังธรรมในสำนักพระคุณท่านบ้าง”<br />
เมื่อพูดถูกใจเช่นนั้น พระทุกรูปก็ยินดี ครั้นท่านพระอาจารย์<br />
ผู้นำคณะเห็นเพื่อนพระพอใจอยู่เป็นเอกฉันท์ จึงรับนิมนต์ แล้วก็<br />
พากันไปอยู ่ในไพรสณฑ์ตามความผาสุก ครั ้งนั ้นเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา<br />
ในไพรสณฑ์ต่างซุบซิบกันว่า<br />
“ภิกษุเหล่านี้เป็นผู้มีศีล เมื่อเข้ามาพำนักอยู่จะทำให้เราลำบาก<br />
ในการย้ายที่ ด้วยเราจะอยู่ข้างบนก็ไม่ควร จะอยู่ข้างล่างก็ลำบาก<br />
เมตตาธรรม
จะทำอย่างไรดีหนอ”<br />
“ท่านไม่อยู่นานหรอกน่า” เทพตนหนึ่งออกความเห็น “คงจะ<br />
อยู่รับฉลองศรัทธาของชาวบ้านสักวันสองวันก็คงจะไป” เทพตนหนึ่ง<br />
ตัดบทว่า<br />
“คอยดูไปก็แล้วกัน จะมาปรารมภ์ไปก่อนทำไม”<br />
ครั้นล่วงไปสองสามวันเทวดายังไม่เห็นทีท่าว่าพระจะไปจาก<br />
ที ่นั ้นเลย ตรงข้ามกลับเห็นทำทีว่าจะอยู ่กันเป็นแรมปี ดังนั ้น ก็ตกใจ<br />
พากันปรับทุกข์ว่า<br />
“ไม่ไหวแล้ว ต่อไปนี้พวกเราจะไม่มีความสุข”<br />
“อะไร ทำขี้แยไปได้”<br />
เทพตนหนึ่งพูดระงับเสียงบ่น<br />
“แล้วจะทำอย่างไร” อีกตนหนึ่งกล่าวเป็นเชิงหารือ<br />
“เราจะให้ท่านไปเสียก็หมดเรื่อง<br />
เมื่อเราไม่พอใจให้ท่านอยู่”<br />
“จะทำอย่างไรท่านจึงจะไปเล่า ข้าพเจ้าต้องการทราบ”<br />
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน”<br />
เทพตนนั้นออกความเห็น<br />
“พวกเราช่วยกันแสดงอาการเป็นภูตผี หลอกหลอนให้หลายๆ<br />
อย่างที่จะทำให้พระเหล่านี้กลัว เห็นเป็นภัย อยู่ไม่มีความสุข” แล้ว<br />
ผลเดือดร้อนก็ประจักษ์แก่พระทั้งหลายด้วยอำนาจของเทพเหล่านั้น<br />
ทันที<br />
“ผมไม่สบาย ไอเหลือเกิน” พระรูปหนึ่งกล่าว<br />
“ผมจามไม่หยุด ผมก็นอนไม่หลับ ผมถูกผีหลอก เห็นเดิน<br />
ผ่านมาไม่มีหัว เมื่อกี้เห็นผี<br />
น่ากลัวเหลือเกิน” พระอีกรูปหนึ่งว่า<br />
“ที่ชายป่าโน้น เสียงอมนุษย์ร้องโหยหวนน่าหวาดเสียว เสียง<br />
ว.วชิรเมธี
เยือกเย็น ขนลุกขนพอง” พระทั ้งหลายนั ่งไม่ติด อยู ่ตามลำพังก็ไม่ได้<br />
งานกัมมัฏฐานล้ม ต้องเลี่ยงเข้ามาจับกลุ่มซุบซิบกัน<br />
“พวกเราอยู ่ไม่ได้แน่ ถ้าเป็นรูปนี ้ ขืนอยู ่ก็จะตกใจตายเท่านั ้น”<br />
เมื ่อพระทั ้งหมดสิ ้นศรัทธาก็พร้อมกันลาชาวบ้านตำบลนั ้นกลับพระนคร<br />
สาวัตถี เข้าเฝ้าถวายบังคมพระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า<br />
“เธอเพิ่งไปไม่นาน<br />
ไฉนรีบกลับกันมาเสียเล่าภิกษุ”<br />
“ไม่มีความสุขพระเจ้าข้า”<br />
“บิณฑบาตลำบากหรือ” รับสั่งด้วยความเอ็นดู<br />
“มิได้พระเจ้าข้า บิณฑบาตสะดวก แต่ภูตผีปีศาจรบกวน<br />
เหลือทน จึงรีบกลับ”<br />
พระบรมศาสดารับสั่งว่า<br />
“ควรจะไปอยู่ที่นั่นแหละภิกษุ เมื่อเสนาสนะและอาหารเป็นที่<br />
สะดวกสบายดีแล้ว”<br />
“ไม่กล้าพระเจ้าข้า”<br />
“ไปเถอะภิกษุ” รับสั่งด้วยความปรานี<br />
“ตถาคตจะให้อาวุธ เมื ่อเธอถืออาวุธของตถาคตไปอยู ่ที ่นั ่นแล้ว<br />
จะมีความสุข”<br />
ครั้นทรงเห็นภิกษุทั้งหลายพอใจในอาวุธที่จะประทาน และ<br />
เกิดความอาจหาญจะกลับไปอยู ่ในไพรสณฑ์นั ้นอีก ก็ประทานกรณีย-<br />
เมตตสูตรให้พระเหล่านั้นเรียนจนขึ้นปากขึ้นใจแล้ว จึงมีรับสั่งว่า<br />
“ไปเถอะ ภิกษุทั ้งหลาย เมื ่อไปถึงแล้วจงตั ้งเมตตาจิต ปฏิบัติ<br />
ตามที่ตถาคตบอกให้ทุกประการ”<br />
เมตตาธรรม
ภิกษุทั้งหลายชื่นใจในพระมหากรุณาที่ประทาน พากันถวาย<br />
บังคมลา จาริกไปยังไพรสณฑ์นั้นอีก แต่ก่อนจะเข้าถึงประตูป่า<br />
พระทั ้งหมดก็ตั ้งกัลยาณจิตประกอบด้วยเมตตา ระลึกถึงพระพุทธคุณ<br />
เป็นอารมณ์ เจริญพระพุทธมนต์กรณียเมตตสูตรอันเป็นอาวุธพิเศษ<br />
ที ่พระศาสดาประทานมา แม้เมื ่อเข้าไปในไพรสณฑ์ก็เจริญพุทธมนต์นี ้<br />
อีก<br />
ด้วยอานุภาพกรณียเมตตสูตรที่พระทั้งหลายเจริญในเวลานั้น<br />
ได้ทำให้เหล่าเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขามีใจเมตตารักใคร่พระทั ้งหลาย พากัน<br />
ออกมาต้อนรับด้วยเพศอุบาสกอุบาสิกาเป็นอันดี ทั้งยังช่วยให้ความ<br />
อารักขาอีกด้วย ทุกอย่างสงบเรียบร้อยที ่สุด แม้เสียงร้องอันก่อให้เกิด<br />
ความรำคาญก็ไม่มีแม้แต่น้อย<br />
ภิกษุทั้งหลายได้ความสงัดอันเป็นทางแห่งความสงบ เจริญ<br />
กัมมัฏฐานอยู่ไม่นานก็บรรลุผลที่ปรารถนาทุกรูป<br />
บทสวดคาถาเมตตากรณียเมตตสูตร<br />
(หันทะ มะยัง กะระณียะเมตตะสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส.)<br />
กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ<br />
ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ<br />
กิจอันภิกษุ (ผู้บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่า)<br />
ผู้ฉลาด<br />
ในประโยชน์ใคร่จะบรรลุสันตบทอยู่เสมอ<br />
ว.วชิรเมธี
พึงกระทำก็คือ<br />
สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ<br />
พึงเป็นผู้อาจหาญ<br />
เป็นคนตรง และเป็นคนซื่อ<br />
สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี<br />
เป็นผู้ว่าง่าย<br />
อ่อนโยน และไม่เย่อหยิ่ง<br />
สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ<br />
เป็นผู้สันโดษ<br />
เป็นผู้เลี้ยงง่าย<br />
อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ<br />
เป็นผู้มีกิจน้อย<br />
มีความประพฤติเบาพร้อม (คือ ไม่สะสม)<br />
สันตินท๎ริโย จะ นิปะโก จะ<br />
มีอินทรีย์อันสงบระงับ มีปัญญารักษาตน<br />
อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ<br />
เป็นผู้ไม่คะนอง<br />
เป็นผู้ไม่พัวพันกับชาวบ้าน<br />
นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ<br />
เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง<br />
ไม่พึงประพฤติในสิ่งที่เลวทรามใดๆที่เป็นเหตุ<br />
คนอื่นซึ่งเป็นผู้รู้ติเตียนเอาได้<br />
สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ<br />
สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา<br />
จงเจริญเมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มี<br />
ความสุขกาย สุขใจ มีแต่ความเกษมสำราญเถิด<br />
เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ<br />
เมตตาธรรม
สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย<br />
ทุกเหล่าหมดบรรดามี<br />
ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา<br />
ที่เป็นประเภทเคลื่อนไหวได้ก็ดี<br />
ประเภทอยู่กับที่ก็ดี<br />
ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา<br />
เป็นสัตว์มีขนาดลำตัวยาว ปานกลาง หรือสั้นก็ดี<br />
เป็นสัตว์มีลำตัวใหญ่ ปานกลาง หรือเล็กก็ดี<br />
เป็นชนิดมีลำตัวละเอียดหรือมีลำตัวหยาบก็ดี<br />
ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา<br />
เป็นจำพวกที่ได้เห็นแล้ว<br />
หรือไม่ได้เห็นก็ดี<br />
เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร<br />
เป็นผู้อยู่ในที่ไกล<br />
หรือในที่ใกล้ก็ดี<br />
ภูตา วา สัมภะเวสี วา<br />
เป็นผู้ที่เกิดแล้ว<br />
หรือกำลังแสวงหาที่เกิดอยู่ก็ดี<br />
สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา<br />
ขอสัตว์ทั้งปวงนั้น<br />
จงเป็นผู้มีความสุขกาย<br />
สุขใจเถิด<br />
นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ<br />
บุคคลไม่พึงข่มเหงกัน<br />
นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ<br />
ไม่พึงดูหมิ่นเหยียดหยามกัน<br />
ไม่ว่าในที่ไหนๆ<br />
พ๎ยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา<br />
นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ<br />
ไม่พึงคิดก่อทุกข์ให้แก่กันและกัน<br />
ว.วชิรเมธี
เพราะความโกรธ และเพราะคุมแค้น<br />
มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข<br />
มารดาถนอมบุตรคนเดียว ผู้เกิดในตน<br />
ด้วยการยอมสละชีวิตของตนแทน ฉันใด<br />
เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง<br />
พึงเจริญเมตตาจิตอันกว้างใหญ่ อันหาประมาณมิได้<br />
ในสัตว์ทั้งปวง<br />
แม้ฉันนั้นเถิด<br />
เมตตัญจะ สัพพะโลกัส๎มิง มานะสัมภาวะเย<br />
อะปะริมาณัง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง<br />
อะเวรัง อะสะปัตตัง<br />
พึงเจริญเมตตาจิตอันกว้างใหญ่ อันหาขอบเขตมิได้<br />
อันไม่มีเวร ไม่มีศัตรูคู่ภัย<br />
ไปในสัตว์โลกทั้งสิ้น<br />
ทั้งในเบื้องบน<br />
ในทิศเบื้องต่ำ<br />
และในทิศขวาง<br />
ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา<br />
สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ<br />
ผู้เจริญเมตตาจิตอย่างนี้<br />
ปรารถนาจะตั้งสติ<br />
ในเมตตาฌานให้นานเพียงใด ท่านผู้นั้นจะอยู่ใน<br />
อิริยาบถยืน เดิน นั่ง<br />
หรือนอนก็ตาม<br />
พึงเป็นผู้ปราศจากความท้อแท้<br />
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ<br />
ก็จะตั้งสตินั้นไว้ได้นานเพียงนั้น<br />
พ๎รัห๎มะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ<br />
เมตตาธรรม
บัณฑิตทั้งหลาย<br />
กล่าวเมตตาวิหารธรรมนี้ว่า<br />
เป็นพรหมวิหารในพระศาสนานี้<br />
ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา<br />
บุคคลผู้นั้น<br />
ละความเห็นผิด คือสักกายทิฏฐิ<br />
เสียได้เป็นผู้มีศีล<br />
ทัสสะเนนะ สัมปันโน<br />
ถึงพร้อมแล้วด้วยญาณทัสนะ (คือการเห็นอริยสัจ ๔<br />
ด้วยญาณ ซึ่งเป็นองค์โสดาปัตติมรรค)<br />
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง<br />
สามารถกำจัดความยินดีในกามทั้งหลายเสียได้<br />
(ด้วยอนาคามิมรรค)<br />
นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ.<br />
ย่อมไม่ถึงซึ่งการนอนในครรภ์อีก<br />
โดยแท้<br />
ทีเดียวแล. (คือไม่กลับมาเกิดอีก)<br />
ว.วชิรเมธี
ตำนานขันธปริตร<br />
ขันธปริตรเป็นมนต์บทที่ ๔ ใน ๗ ตำนาน ต่อจากกรณีย-<br />
เมตตสูตร โดยใจความเป็นเรื่องที่บรมศาสดาสอนให้แผ่เมตตา<br />
เหมือนกัน แต่เฉพาะให้แผ่เมตตาไปในอสรพิษ คืองูที่ดุร้าย<br />
ในสมัยก่อนพุทธกาลปรากฏว่าประชาชนยำเกรงและนับถืองู<br />
กันอย่างจริงๆ คนที่มีอานุภาพเป็นที่เกรงขามของผู้คนนั้นจะต้อง<br />
บังคับงู เลี้ยงงูร้ายได้เชื่อง ใช้งูร้ายเป็นเครื่องส่งเสริมอานุภาพให้<br />
เป็นที่เกรงขาม สามารถทำให้มหาชนเห็นว่าแม้แต่พญางูก็ยังยำเกรง<br />
ในพระพุทธศาสนามีเรื่องพระภูริทัตในทศชาติ ก็เป็นพญางู<br />
ได้รับยกขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพิเศษ เพราะเป็นชาติที่ใกล้จะ<br />
ตรัสรู้บำเพ็ญศีลอุปบารมีเป็นเยี่ยม ส่วนในมหานิบาตไม่ปรากฏว่า<br />
ยกสัตว์เดียรัจฉานจำพวกอื่นเป็นพระโพธิสัตว์เลย นับเป็นเรื่องน่า<br />
อัศจรรย์<br />
แม้ในสมัยพุทธกาลปรากฏว่าการนับถือพญางูที่ยังนิยมกัน<br />
อยู่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับบรมศาสดาก็มีหลายตอน<br />
คือ<br />
(๑) ในตอนตรัสรู ้ คราวเสด็จประทับที ่ร่มไม้จิก ฝนตก ๗ วัน<br />
๗ คืน พญางูมุจจลินท์มีความเลื่อมใสมาทำขนดแผ่พังพานกันลม<br />
กันฝนถวายตลอดเวลา<br />
(๒) ในคราวเสด็จโปรดพระอุรุเวลกัสสปะพร้อมด้วยชฎิล ๕๐๐<br />
ก็ได้ทรงบังคับพญานาคราชที่โรงไฟอันเป็นที่ยำเกรงของชฎิลทั้งหมด<br />
ให้ขดลงในบาตร แสดงให้ชฎิลเห็นอานุภาพแล้วเคารพนับถือ ซึ ่งเป็น<br />
0<br />
เมตตาธรรม
ปฏิหาริย์ครั้งแรกที่ทรงแสดงให้เห็นเป็นอัศจรรย์<br />
(๓) คราวเสด็จไปโปรดอัคคิทัตฤๅษีพร้อมด้วยบริวาร ก็ได้ทรง<br />
ให้พระมหาโมคคัลลานะไปทรมานพญางูอหิฉัตตะซึ่งเป็นที่นับถือ<br />
ของฤๅษีเหล่านั้นให้หมดพยศยอมอยู่ในอำนาจ ทำให้ฤๅษีเห็นเป็น<br />
อัศจรรย์ ยอมนับถือบูชา<br />
(๔) คราวทรมานพญางูนันโทปนันทะซึ่งดุร้าย ปรากฏว่าเป็นที่<br />
เกรงขามทั้งมนุษย์และเทวดา ให้หมดพยศลดความดุร้ายได้ผล<br />
เป็นอัศจรรย์ เรียกร้องความเชื ่อความเลื ่อมใสในพระพุทธศาสนาจาก<br />
มหาชนเป็นอันมาก<br />
(๕) เมื่อพระเทวทัตต์แสวงหาอำนาจ คราวใช้อุบายเอาอชาต-<br />
สัตตุกุมารเข้ามาเป็นศิษย์ ก็จำแลงรูปเป็นมานพหนุ ่มน้อย แต่มีงูร้าย<br />
เป็นสังวาลพันตัวน่าเกรงขาม เข้าไปหาอชาตสัตตุกุมารถึงในที ่ประทับ<br />
พระราชกุมารก็เลื่อมใสยำเกรง ยอมตนเป็นศิษย์ทันที<br />
(๖) มนอาฏานาฏิยสูตรก็แสดงถึงน่านน้ำในมหาสมุทรทั้งหลาย<br />
เป็นผืนน้ำที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนดิน น่านน้ำทั้งหมดนั้นก็มีพญางูวิรูปักข์<br />
เป็นใหญ่ปกครอง มีอานุภาพเป็นที่เกรงขามของมวลสัตว์น้ำสิ้นเชิง<br />
แม้ในปัจจุบันชาวฮินดูในประเทศอินเดียก็ยังนับถือเลื่อมใส<br />
ในอานุภาพของงูร้ายอยู่ไม่น้อย เขาไม่ทำร้าย วิธีนี้เข้ากับแนวพระ-<br />
พุทธศาสนาประการหนึ่ง ที่สอนไม่ให้ทำร้ายสัตว์ ตรัสสอนให้แผ่<br />
เมตตาจิตในสัตว์ร้าย เช่น งูร้าย เป็นต้น หากมีความกลัวงูร้ายจะ<br />
ขบกัด บรมศาสดาก็ตรัสมนต์ป้องกันงูร้ายประทานไว้ด้วย เรียกว่า<br />
ขันธปริตร แปลว่า มนต์ป้องกันตัว<br />
1<br />
ว.วชิรเมธี
ขันธปริตรนี้เป็นนิคมคาถามาในบาลีอหิราชสูตร พระสูตรนี้<br />
มีตำนานเล่าไว้ว่า<br />
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ พระเชตวัน<br />
มหาวิหาร ในพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นมีภิกษุรูปหนึ่งถูกงูร้ายกัด<br />
และมรณภาพลงด้วยพิษงู ข่าวนี้ได้กระทำให้พระเป็นอันมากกลัวต่อ<br />
ภัยนี้ พร้อมกับสลดใจในมรณภาพของภิกษุรูปนั้น จึงพร้อมใจกัน<br />
เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดายังที ่ประทับ แล้วกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ<br />
บรมศาสดาทรงมีรับสั่งว่า<br />
“ภิกษุทั้งหลาย งูไม่น่าจะกัดพระ เพราะโดยปกติพระย่อมอยู่<br />
ด้วยเมตตา ชะรอยพระรูปนั้นจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังพญางูทั้ง<br />
๔ เหล่าเป็นแน่แท้ จึงต้องทำกาลกิริยาด้วยพิษงูร้าย หากภิกษุจึงพึง<br />
แผ่เมตตาไปในพญางูทั้ง ๔ ตระกูลแล้ว เธอจะไม่ถูกงูประทุษร้าย<br />
เลย”<br />
ตระกูลพญางูทั้ง<br />
๔ นั้นคือ<br />
ตระกูลวิรูปักขะ ตระกูลเอราปถะ<br />
ตระกูลฉัพยาปุตตะ และตระกูลกัณหาโคตมกะ<br />
“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิตไปยังตระกูล<br />
พญางูทั ้ง ๔ นี ้ เพื ่อคุ ้มครองตน เพื ่อรักษาตัว เพื ่อป้องกันตัวต่อไป”<br />
ครั้นรับสั่งดังนี้แล้วจึงได้ตรัสขันธปริตร มนต์ป้องกันตัว<br />
ประทานภิกษุทั ้งหลาย นับแต่นั ้นมาขันธปริตรก็เกิดเป็นมนต์ศักดิ ์สิทธิ ์<br />
ป้องกันชีวิตให้บุคคลที่มีใจมั่นคงด้วยเมตตาจิตตั้งใจภาวนา พ้นจาก<br />
การบีฑาของเหล่างูร้าย สัตว์ร้าย ตลอดถึงภูตผีที่ดุร้ายทุกสถาน<br />
ฯ.<br />
เมตตาธรรม
บทสวดคาถาขันธปริตร<br />
(หันทะ มะยัง ขันธะปะริตตัง ภะณามะ เส.)<br />
วิรูปักเขหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับงูตระกูลวิรูปักขะทั้งหลาย<br />
เมตตัง เอราปะเถหิ เม<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับงูตระกูลเอราปถะทั้งหลาย<br />
ฉัพ๎ยาปุตเตหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับงูตระกูลฉัพยาปุตตะทั้งหลาย<br />
เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ<br />
และข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับงูตระกูลกัณหาโคตมกะทั้งหลาย<br />
อะปาทะเกหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับสัตว์ไม่มีเท้าทั้งหลาย<br />
เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับสัตว์ ๒ เท้าทั้งหลาย<br />
จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับสัตว์ ๔ เท้าทั้งหลาย<br />
เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิตกับสัตว์มีเท้ามากทั้งหลาย<br />
มา มัง อะปาทะโก หิงสิ<br />
ขอสัตว์ไม่มีเท้าอย่าได้เบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก<br />
ว.วชิรเมธี
สัตว์ ๒ เท้าก็อย่าเบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
มา มัง จะตุปปะโท หิงสิ<br />
ขอสัตว์ ๔ เท้าอย่าได้เบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
มา มัง หิงสิ พะหุปปะโท<br />
สัตว์มีเท้ามากก็อย่าเบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
สัตเพ สัตตา สัพเพ ปาณา<br />
ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้มีลมปราณ<br />
สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา<br />
และเหล่าภูตสัตว์ทั้งปวง ผู้หาลมปราณมิได้<br />
สัพเพ ภัท๎รานิ ปัสสันตุ<br />
จงประสบแต่ความเจริญด้วยกันทั้งหมดเถิด<br />
มา กัญจิ ปาปะมาคะมา<br />
ขอความทุกข์อย่าได้เข้าถึงใครๆเลย<br />
อัปปะมาโณ พุทโธ<br />
พระพุทธเจ้ามีพระคุณสุดที่จะประมาณ<br />
อัปปะมาโณ สังโฆ<br />
พระสงฆ์ทรงพระคุณสุดที่จะกำหนด<br />
ปะมาณะวันตานิ สิริงสะปานิ<br />
สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย<br />
อันมีประมาณคือ<br />
อะหิวิจฉิกา สะตะปะที<br />
งู แมงป่อง ตะขาบ<br />
อุณณานาภี สะระพู มูสิกา<br />
เมตตาธรรม
แมงมุม ตุ๊กแก<br />
และหนู<br />
กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ<br />
ขอสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น<br />
จงหลบหลีกไปเสียเถิด<br />
เพราะการรักษาป้องกัน อันข้าพเจ้าได้ทำไว้แล้ว<br />
โสหัง นะโม ภะคะวะโต<br />
เพราะข้าพเจ้านั้น<br />
กระทำความนอบน้อม<br />
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่<br />
นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง.<br />
กระทำความนอบน้อม แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br />
๗ พระองค์อยู่.<br />
ว.วชิรเมธี
ความหมายแห่ง<br />
เมตตานิสังสะสุตตะปาฐะ<br />
พระสูตรบทนี้ถือเป็นพระคาถาเมตตามหานิยมที่ผู้ใดนำไป<br />
เจริญภาวนาจะเป็นสิริมงคลต่อตนเอง เป็นที ่รักใคร่ของเหล่าเทวดาและ<br />
มนุษย์ หรือแม้กระทั่งอมนุษย์ สรรพสัตว์เดรัจฉานและสรรพชีพ<br />
อื่นๆ ไปแห่งหนตำบลไหนก็จะมีแต่ผู้คนให้ความรักนิยมชมชอบ<br />
ไม่มีศัตรู ไม่มีผู ้ใดสิ ่งใดมาทำร้าย ถึงยามนอนก็หลับฝันดี ตื ่นนอนมา<br />
ก็เป็นสุข ผิวพรรณใบหน้าผุดผ่องแจ่มใส จิตใจไม่วอกแวก มีสติ<br />
ไม่ขี้หลงขี้ลืม<br />
เมื่อเจริญภาวนาเป็นประจำจะเป็นอุปการะหนุนส่งให้ไปบังเกิด<br />
ในพรหมโลก<br />
บทสวดคาถาเมตตานิสังสะสุตตะปาฐะ<br />
เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ<br />
พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ<br />
สุสะมารัทธายะ เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขาฯ กะตะเม เอกาทะสะฯ<br />
สุขัง สุปะติ สุขัง ปะฏิพุชฌะติฯ นะ ปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติฯ<br />
มะนุสสายัง ปิโย โหติฯ อะมะนุสสานัง ปิโย โหติฯ เทวะตา<br />
รักขันติฯ นาสสะ อัคคิ วา วิสังวา สัตถัง วา กะมะติฯ ตุวะฏัง<br />
จิตตัง สะมาธิยะติฯ มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติฯ อะสัมมุฬโห กาลัง<br />
เมตตาธรรม
กะโรติฯ อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พ๎รัห๎มะโลกูปะโค โหติฯ<br />
เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ<br />
พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริ-<br />
จิตายะ สุสะมารัทธายะ อิเมเอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขาติฯ<br />
อิทะมะโวจะ ภะคะวาฯ อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง<br />
อะภินันทุนติฯ<br />
บทแผ่เมตตาพิเศษ<br />
สัพเพ สัตตา,<br />
อันว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ<br />
ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น;<br />
อะเวรา โหนตุ,<br />
ขอจงอย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย,<br />
อัพ๎ยาปัชฌา โหนตุ,<br />
ขอจงอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย,<br />
อะนีฆา โหนตุ,<br />
ขอจงพากันอยู่เป็นสุข<br />
อย่ามีทุกข์เลย;<br />
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ,<br />
ขอจงรักษาตนให้เป็นสุขเถิด;<br />
สัพเพ สัตตา,<br />
ว.วชิรเมธี
อันว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ<br />
ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น;<br />
กัมมะทุกขา ปะมุญจันตุ,<br />
ขอจงได้มีความพ้นทุกข์เถิด,<br />
ชะราธัมโมมหิ,<br />
เราไม่ล่วงพ้นความแก่ชราไปได้;<br />
พ๎ยาธิธัมโมมหิ,<br />
เราไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้;<br />
มะระณะธัมโมมหิ,<br />
เราไม่ล่วงพ้นความตายไปได้;<br />
สัพเพ สัตตา,<br />
อันว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ<br />
ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น;<br />
กัมมัสสะกา, มีกรรมเป็นของตัว;<br />
กัมมะทายาทา, มีกรรมเป็นมรดก;<br />
กัมมะโยนิ, มีกรรมเป็นกำเนิด;<br />
กัมมะพันธุ, มีกรรมเป็นพวกพ้อง;<br />
กัมมะปะฏิสะระณา, มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย;<br />
ยัง กัมมัง กะริสสามิ, เราได้ทำกรรมอันใดไว้;<br />
กัล๎ยาณัง วา, ดีก็ตาม;<br />
ปาปะกัง วา, ชั่วก็ตาม;<br />
ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสามิ, เราทั ้งหลายเหล่านั ้นจะได้ผลกรรมนั ้นแล.<br />
เมตตาธรรม