Professional Documents
Culture Documents
กลุ่มงานประสานงานและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ
กองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
จตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
พิมพ์ครั้งที่ : 1/2556 จำนวน 2,000 เล่ม
สำหรับเผยแพร่ ห้ามจำหน่าย สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2556
ที่ปรึกษา : ตรีภพ ทิพยศักดิ์
ที่ปรึกษาด้านพฤกษศาสตร์ : ดร.สมราน สุดดี
เรียบเรียง : อาภรณ์ อุดมศิลป์
คณะผู้ศึกษา และภาพประกอบ :
อาภรณ์ อุดมศิลป์
ทวีโชค จำรัสฉาย
รัชภัทร โภชฌงค์
วิเชียร พิพัฒน์มงคลสิน
ภาพประกอบเพิ่มเติม :
สุพัตตรา โพธิ์ศิริ
ปริวรรต อุทธสิงห์
ผู้พิมพ์ : ปวีณา ใฝ่ฝัน
ณัฏฐญาวรรณ นิลเนียม
พิสูจน์อักษร : พัฒนา ยิวคิม
มนัสพร สง่าเมือง
ออกแบบปก : อุทุมพร ดวงเจริญ
กรรัตน์ สิริวิชัยกุล
พิมพ์เมื่อ : มีนาคม 2556
พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด
ISBN : 978-616-316-117-8
ค ำ น ำ
Preface
ปัจจุบนั ทัว่ โลกกำลังประสบปัญหายิง่ ใหญ่
อันเดียวกัน คือ การสูญเสียความสมดุลทางธรรมชาติ
ก่ อ ให้ เ กิ ด อุ ท กภั ย ภั ย แล้ ง ฝนตกไม่ ต รงฤดู ก าล
มลภาวะในสภาพแวดล้อมทั้งในดิน แหล่งน้ำ
และบรรยากาศ การเกิดสภาวะเรือนกระจกที่
ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน กำลังเป็นที่ตื่นตัวอยู่
ณ ขณะนี้ ด้วยเหตุสำคัญจากการกระทำของคนเรา
นี้เอง สภาวการณ์เหล่านี้มิได้เกิดผลกระทบต่อมนุษย์เท่านั้น
แต่ทั้งพืชและสัตว์ต่างก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน พืชกลุ่มกล้วยไม้
หลายชนิดกำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
แหล่งที่อยู่อาศัย การบุกรุกป่า การเก็บออกจากป่า ทั้งเพื่อการค้า เพื่อการสะสม เพื่อการ
ปลูกเลี้ยงเป็นไม้ประดับ ทำให้กล้วยไม้ในป่าธรรมชาติลดจำนวนลงเรื่อยๆ ตลอดมา และ
อาจสูญพันธุ์ได้ในที่สุด โดยเฉพาะชนิดที่มีประชากรและมีการกระจายตัวน้อย ขึ้นอยู่เฉพาะ
เจาะจงต่อพื้นที่ โอกาสสูญพันธุ์ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
กองคุ้ ม ครองพั น ธุ์ สั ต ว์ ป่ า และพื ช ป่ า ตามอนุ สั ญ ญา ได้ ต ระหนั ก ถึ ง สิ่ ง เหล่ า นี
้
ดัชนีชื่อไทย 124
ดัชนีชื่อวิทยาศาสตร์ 129
บรรณานุกรม 135
Coelogyne brachyptera Rchb. f.
บทนำ
สืบเนื่องจากการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าทั่วโลก มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งด้านปริมาณและมูลค่าทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อ
ประชากรของพันธุ์พืชป่าและสัตว์ป่าในธรรมชาติลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องและ
รวดเร็ว จนบางชนิดใกล้สูญพันธุ์ เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินี้ไว้ให้ยัง
ประโยชน์แห่งมวลมนุษยชาติของอนุชนรุ่นต่อๆ ไป อนุสัญญาไซเตส (CITES :
Convention on International Trade in Endangered Species of
Wild Fauna and Flora) หรืออนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่ง
ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ จึงถือกำเนิดขึ้นและ
มี ผ ลบั ง คั บ ใช้ เ มื่ อ ปี พ.ศ. 2515 ครบรอบ 40 ปี ในปี นี้
(พ.ศ.2556) มีประเทศสมาชิกร่วมลงนามแล้วถึง 178 ประเทศ
ทั่วโลก ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศภาคีสมาชิก ชนิดพันธุ์ใน
บัญชีควบคุมของ CITES จัดเป็น 3 บัญชี (Appendix I, II และ III)
ตามระดับความจำเป็นในการปกป้อง บัญชี 1 ชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์
ห้ามทำการค้าขายโดยเด็ดขาด ยกเว้นเฉพาะกรณีจำเป็น เช่น เพื่อ
การศึกษา วิจยั มีการขยายเทียมหรือเพาะพันธุข์ นึ้ มาใหม่ บัญชี 2
ชนิดพันธุ์ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ทำการค้าได้ แต่ต้อง
ไม่ละเมิดกฎหมายภายในประเทศ ส่วนบัญชี 3 ชนิด
พันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของประเทศ
ใดประเทศหนึ่ ง และได้ ข อความร่ ว มมื อ จาก
ประเทศสมาชิกให้ช่วยควบคุมดูแลการนำเข้าด้วย
โดยจะต้องมีหนังสือรับรองการส่งออกจากประเทศถิ่นกำเนิด
พื ช กลุ่ ม กล้ ว ยไม้ ป่ า ทุ ก ชนิ ด ถู ก จั ด อยู่ ใ นบั ญ ชี 2 ยกเว้ น เอื้ อ งปากนกแก้ ว
(Dendrobium cruentum) และสกุลรองเท้านารี (Paphiopedilum spp.)
ทั้งหมดถูกจัดอยู่ในบัญชี 1
พืชอนุรักษ์ในบัญชีไซเตส (CITES) : กล้วยไม้ป่าในผืนป่าตะวันออก ตอนที่ 1 1
พืชวงศ์กล้วยไม้ (ORCHIDACEAE)
กล้วยไม้ เป็นพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว มีการกระจาย
อยู่ทั่วไปแทบทุกมุมโลก ซึ่งประมาณกันว่ามีอยู่ราว
800 สกุล และไม่น้อยกว่า 25,000 – 30,000 ชนิด
จึงจัดเป็นพืชวงศ์ใหญ่ทมี่ จี ำนวนชนิดมากทีส่ ดุ ในโลก ส่วนใหญ่มกี ารกระจายพันธุ์
อยู่ในเขตร้อน และเขตอบอุ่น ในประเทศไทยมีประมาณ 176 สกุล 1,157 ชนิด
สามารถเจริญเติบโตได้ทั้งบนกิ่งไม้ พื้นดิน พื้นหิน และที่ชื้นแฉะ ใบเป็นใบเดี่ยว
เรียงสลับ โคนใบแผ่ออกเป็นกาบ ดอกออกเป็นช่อหรือเป็นดอกเดี่ยว มีก้านดอก
โดดเด่น ดอกสมบูรณ์เพศ สมมาตรด้านข้าง มีกลีบรวม 6 กลีบ เป็นกลีบเลีย้ ง 3 กลีบ
เป็นกลีบชัน้ นอกอาจแยกหรือเชือ่ มติดกัน กลีบดอก 3 กลีบ เป็นกลีบชัน้ ในโดยมี
กลีบกลางเป็นกลีบปาก มีรูปร่างและสีแตกต่างจากกลีบข้าง 2 กลีบ เกสรเพศผู้
และเกสรเพศเมียเชื่อมติดกันเป็นเส้าเกสร อับเรณูเป็นกลุ่มมี 2 หรือ 8 กลุ่ม
รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ ผลแก่แห้งแตกมี 3 หรือ 6 แนวตะเข็บ เมล็ดคล้ายฝุ่นผง
ขนาดเล็กจำนวนมาก น้ำหนักเบา เนื่องจากมีอาหารสะสมเพียงเล็กน้อยจึงปลิว
กระจายไปตามลม เพิม่ โอกาสในการอยูร่ อดและการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
การจำแนกกล้วยไม้ตามลักษณะการอาศัยแบ่งได้เป็น กล้วยไม้อิงอาศัย
(epiphytic orchid) เป็นกล้วยไม้ที่พบได้มากที่สุด พบได้ในป่าทุกประเภท
แต่จะพบได้มากจนสังเกตเห็นได้ง่ายในป่าดิบ โดยเฉพาะในป่าดิบเขาที่มักพบ
อาศัยอยู่อย่างหนาแน่นปะปนอยู่กับเฟิร์นหรือมอส กล้วยไม้กลุ่มนี้นอกจากจะ
ใช้รากยึดติดกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่แล้ว รากยังสามารถสังเคราะห์อาหารได้ดว้ ย
จึงไม่มีการแย่งอาหารจากต้นไม้ที่อาศัยอยู่ เช่น สกุลสิงโต (Bulbophyllum)
สกุลหวาย (Dendrobium) กล้วยไม้ดิน (terrestrial orchid) เป็นกล้วยไม้ที่
ส่วนใหญ่มหี วั หรือเหง้าอยูท่ ผี่ วิ ดินหรือใต้ดนิ พบได้ทงั้ ชนิดทีส่ ามารถเจริญเติบโต
ได้ทกุ ฤดูกาลทีม่ กั พบตามป่าดิบ หรือชนิดทีม่ ชี ว่ งการพักตัวในฤดูกาลทีไ่ ม่เหมาะสม
จำนวนชนิดที่พบ
สกุลกล้วยไม้ ทั่วโลก ประเทศ ป่าเขาสอยดาว
ไทย เขาคิชฌกูฏ
Acampe Lindl. สกุลช้างสารภี 6 4 1
Acriopsis Blume สกุลจุกพราหมณ์ 6 2 2
Aerides Lour. สกุลเอื้องกุหลาบ 20 8 2
Agrostophyllum Blume สกุลเอื้องปีกไก่ 85 7 1
Apostasia Blume สกุลตานโมย 8 3 1
Appendicula Blume สกุลหางแมงเงา 50 7 2
Arachnis Blume สกุลแมงปอ * 3 1
Ascocentrum Schltr. ex J. J. Sm. สกุลเข็ม 8 5 1
Brachycorythis Lindl. สกุลท้าวคูลู 25 5 1
Bulbophyllum Thouars สกุลสิงโตกลอกตา 1,000 141 10
Calanthe Ker – Gawl. สกุลเอื้องน้ำต้น 150 16 3
Cleisostoma Blume. สกุลเอื้องเขาแพะ 80 28 5
ชื่อวิทยาศาสตร์
Paphiopedilum callosum (Rchb. f.) Stein
ลักษณะ
ลำต้นสั้นและแตกกอ ใบรูปขอบขนาน ค่อนข้างบาง ขนาด 10-15 x
2-2.5 ซม. ปลายแหลมและหยักเป็นสามแฉกตื้น ผิวใบด้านบนลายเขียวสลับ
ขาวเป็นแถบและหย่อมๆ ผิวใบด้านล่างเขียวลายไม่ชัด แผ่นใบกางออกเป็นแนว
รั ศ มี ดอกออกเดี่ ย วที่ ป ลายยอด ก้ า นดอกตั้ ง ตรงสี ม่ ว งเข้ ม ก้ า นช่ อ ยาว
15-20 ซม. มีขน กลีบเลี้ยงบนแผ่กว้างสีขาวและมีขีดสีเขียวแกมม่วงแดงตาม
ยาว กลีบดอกรูปขอบขนานโค้ง ขอบกลีบมีตมุ่ สีนำ้ ตาลเข้มเป็นมันและมีขน กลีบ
กระเป๋าสีมว่ งแดงแกมน้ำตาล ดอกบานเต็มที่กว้าง 6-8 ซม.
ช่วงออกดอก กุมภาพันธ์ - เมษายน
สภาพนิเวศ กล้วยไม้ดนิ พบตามพืน้ ดินในป่าดิบชืน้ ทีร่ ม่ รำไร มักพบใกล้แหล่งน้ำ
เขตการกระจายพันธุ์ ไทย มาเลเซีย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ของอนุสัญญาไซเตส เป็นกล้วยไม้มีค่าหายาก
และถูกรุกรานจนใกล้สูญพันธุ์ในธรรมชาติ
เอื้องตีนจิ้งจก
ชื่อวิทยาศาสตร์
Acampe ochracea (Lindl.) Hochr.
ลักษณะ
ลำต้นค่อนข้างยาว ใบรูปแถบ ขนาด 2 x 12 ซม. ปลายใบเว้า ช่อดอก
เป็นช่อกระจะหรือช่อแยกแขนง ก้านช่อดอกสั้นกว่าแกนช่อดอก ดอกขนาด
1.2 ซม. กลีบเลี้ยงรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กลีบดอกรูปแถบแกมรูปไข่กลับ
มีสีเหลืองและแถบสีน้ำตาลแดงจำนวนมาก ปลายกลีบมน กลีบปากรูปไข่ สีขาว
ปลายกลีบมน ขอบกลีบหยักไม่สม่ำเสมอ และมีเดือยดอกปรากฏเด่นชัด
ช่วงออกดอก พฤศจิกายน - มกราคม
สภาพนิ เวศ กล้ ว ยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบแล้งที่ มี แ สงแดดรำไรที่ ค วามสู ง
ประมาณ 300 เมตร จากระดับน้ำทะเล
เขตการกระจายพันธุ์ สิกขิม ภูฏาน อินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ไทย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ascocentrum miniatum (Lindl.) Schltr.
ลักษณะ
ต้นขึ้นตรง สูง 8-20 ซม. ใบรูปแถบเรียง
สลับระนาบเดียว กว้าง 1-2 ซม. ยาว 5-15 ซม.
แผ่นใบหนาและแข็ง ปลายใบเว้าหยัก ช่อดอก
ตั้งตรง ออกตามซอกใบหลายช่อ ช่ อ ดอกยาว
8-15 ซม. มีดอกจำนวนมาก ดอกขนาด 1 ซม.
สีส้มสด เดือยดอกทรงกระบอกยาวกว่ากลีบปาก
ฝาครอบเกสรเพศผู้มีสีคล้ำ
ช่วงออกดอก มีนาคม - เมษายน
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบแล้ง
และป่าเบญจพรรณ ในทุกภาคของไทย ยกเว้น
ภาคตะวันตก
เขตการกระจายพันธุ์ ลาว เวียดนาม มาเลเซีย
อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา
ไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Brachycorythis heglecta H. A. Pedersen
ลักษณะ
ต้นเป็นหัวแบบมันฝรั่ง ลำต้นเหนือดิน
สูง 25-30 ซม. ใบรูปรี รูปไข่ จนถึงรูปขอบ
ขนาน ขนาด 3 x 5 ซม. ปลายใบมน ช่อดอก
แบบช่อกระจะ ดอกขนาด 2 ซม. กลีบเลี้ยง
บนรู ป ขอบขนาน กลี บ เลี้ ย งคู่ ข้ า งรู ป เคี ย ว
กลี บ ดอกรู ป แถบ สี ข าวถึ ง สี เขี ย วสดถึ ง ซี ด
ปลายกลี บ มน กลี บ ปากรู ป ทรงเกื อ บกลม
สีขาวจนถึงสีม่วง มักมีจุดสีม่วงทั่วกลีบ
ช่วงออกดอก กรกฎาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้ดิน ในป่าเบญจพรรณ
พบตามที่ร่มแสงแดดรำไร มีการพักตัวเหลือ
เพียงหัวใต้ดินในฤดูหนาวและฤดูร้อน
เขตการกระจายพันธุ์ พม่า จีน ไทย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา
ไซเตส
ชือ่ วิทยาศาสตร์
Bulbophyllum clandestinum Lindl.
ลักษณะ
ภาพ : ชาตรี มากนวล
ลำลู กกล้ว ยขนาดเล็ ก มากอยู่ ห่ า งกั น
บนเหง้า ทอดเลื้อยและห้อยลง เหง้ามีข้อถี่มาก
ใบรูปขอบขนาน ใบเดี่ยว ขนาด 0.5 x 2 ซม.
ออกดอกเดี่ยวที่โคนหรือที่ข้อเหง้า ดอกขนาด
1.0 ซม. สี ข าวครี ม กลี บ เลี้ ย งรู ป หอกปลาย
เรียวแหลม ยาวประมาณ 0.5 ซม. กลีบดอก
รู ป ไข่ มี ข นาดเล็ ก มากและสั้ น กว่ า กลี บ เลี้ ย ง
ประมาณหนึ่งในสามส่วน กลีบปากขนาดเล็ก
รูปหอก เส้าเกสรสั้น ปลายมีรยางค์สั้นๆ ดอกมี
กลิ่นหอมอ่อน
ช่วงออกดอก สิงหาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบเขา
ตามริมลำธารทีร่ ม่ รำไร ทีค่ วามสูง 400-1,000 เมตร
เหนือระดับทะเล
เขตการกระจายพันธุ์ พม่า ไทย ลาว เวียดนาม
มาเลเซีย อินโดนีเซีย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา
ไซเตส
สีขาวครีมและปลายกลีบมักเป็นสีส้ม กลีบปากรูป
ขอบขนาน อวบอ้วน ปลายกลีบไม่โค้งงอลง เส้า
เกสรเล็กและสั้น ที่ปลายมีรยางค์คล้ายเขี้ยวยื่นขึ้น
ดอกมีกลิ่นหอม
ช่วงออกดอก มิถุนายน - กรกฎาคม
สภาพนิ เ วศ กล้ ว ยไม้ อิ ง อาศั ย พบในป่ า ดิ บ
บริเวณที่มีแสงแดดรำไร
เขตการกระจายพันธุ์ พม่า เวียดนาม ไทย ลาว
จีน อินเดีย เนปาล สิกขิม ภูฏาน
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา
ไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Bulbophyllum siamense Rchb. f.
ลักษณะ
ลำลูกกล้วยขนาดใหญ่สีเขียวรูปไข่ กว้าง 2-3 ซม.
ยาว 3-5 ซม. ออกห่างกัน 3-7 ซม. ใบมี 1 ใบ รูปรีแกมรูป
ขอบขนาน กว้าง 5-7 ซม. ยาวได้ถึง 20 ซม. ปลายแหลม
แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ดอกเดี่ยว ออกตามข้อของ
เหง้า ก้านดอกยาวได้ถึง 10 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอก
สีเหลือง มีเส้นสีม่วงแดงตามยาวจำนวนมาก กลีบเลี้ยงบน
รูปใบหอกกว้างได้ถึง 1 ซม. ยาวได้ถึง 5 ซม. กลีบเลี้ยงคู่
ข้างขนาดใกล้เคียงกับกลีบเลี้ยงบนแต่ฐานกว้างกว่าและ
เว้าเป็นแอ่ง ปลายกลีบชี้ลง กลีบดอกด้านข้างรูปใบหอก
แคบและสั้ น กว่ า กลี บ เลี้ ย งแผ่ ก างออกในแนวระนาบ
กลีบปากสีเหลือง ยาวได้ถึง 1 ซม. มีจุดประสีม่วงแดงขนาดเล็กกระจายทั่วไป
กลีบม้วน ปลายกลีบแหลม ชี้ลง ใกล้โคนกลีบมีแต้มกลมสีเหลืองเข้ม เส้าเกสร
แผ่กว้างสีเหลือง มีเส้นสีม่วงแดงตามยาว
ช่วงออกดอก พฤศจิกายน - ธันวาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัยและเจริญได้บนหิน พบในป่าดิบเขาได้ทุกภูมิภาค
ของไทย
เขตการกระจายพันธุ์ อินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Calanthe vestita Wall. ex Lindl.
ลักษณะ
ลำลูกกล้วยรูปน้ำเต้า ใบรูปรี ขนาด 10 x 25 ซม. ปลาย
เรียวแหลม ช่อดอกมีขนปกคลุม ดอกขนาด 4 ซม. กลีบเลี้ยงรูปรี
จนถึงรูปรีแกมรูปไข่ ปลายกลีบเรียวแหลม ด้านนอกของกลีบมีขน
ปกคลุม กลีบดอกรูปรีกว้าง ปลายกลีบเป็นติ่งแหลม ทั้ง 5 กลีบ
สีขาวนวล กลีบปากเป็น 3 แฉก แฉกกลางเว้าลึก โคนกลีบสีเหลือง
เข้มและเชื่อมกับเส้าเกสรจนเป็นโพรงลึก กลีบมีเดือยดอกยาวมาก
ช่วงออกดอก พฤศจิกายน - มกราคม ทิ้งใบก่อนออกดอก
สภาพนิเวศ กล้วยไม้ดิน พบในป่าดิบแล้ง และตามซอกหินบน
ภูเขาหินปูน
เขตการกระจายพันธุ์ พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
ก้างปลา
ชือ่ วิทยาศาสตร์ Cleisostoma fuerstenbergianum Kraenzl.
ลักษณะ
ลำต้นผอม ยาวมาก และห้อยย้อยลง ใบรูปทรงกระบอกเรียวยาว
เหมือนลำต้น ปลายแหลม ช่อดอกห้อยลง ก้านช่อสั้นกว่าแกนช่อ ดอกขนาด
0.7 ซม. กลีบเลี้ยงรูปขอบขนานกลีบดอกรูปแถบ ทั้งห้ากลีบสีน้ำตาลเข้ม ปลาย
กลีบมน เมื่อบานเต็มที่ลู่ไปทางด้านหลัง กลีบปากมีขนาดเล็ก สีครีม ปลายกลีบ
รูปสามเหลี่ยม หูปากรูปสามเหลี่ยม สีเหลือง งุ้มเข้าด้านใน กลีบมีเดือยดอก
ขนาดใหญ่
ช่วงออกดอก กรกฎาคม - สิงหาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าเต็งรังตามที่โล่งแจ้งแสงแดดจัดและ
แสงแดดรำไร
เขตการกระจายพันธุ์ จีน ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม
สถานภาพ พืชอนุรกั ษ์บญ ั ชีที่ 2 ของอนุสญ
ั ญา ไซเตส
พืชอนุรักษ์ในบัญชีไซเตส (CITES) : กล้วยไม้ป่าในผืนป่าตะวันออก ตอนที่ 1 41
เข็มเย็บกระสอบ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cleisostoma rostratum (Lindl.) Garay
ลักษณะ
ต้นกลมเจริญทางปลายยอด ใบแข็ง แผ่เรียว
ยาว ปลายใบแหลม ดอกเป็ น ช่ อ ห้ อ ยลง ดอกแน่ น
จำนวนประมาณ 35-45 ดอก ขนาดประมาณ 0.8 ซม.
ทยอยบาน กลี บ เลี้ ย งและกลี บ ดอกสี เขี ย วอมเหลื อ ง
มีแถบสีน้ำตาลสองแถบ กลีบปากเป็นถุง สีม่วง
ช่วงออกดอก กรกฎาคม - กันยายน
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบ
เขตการกระจายพันธุ์ จีน กัมพูชา ลาว ไทย เวียดนาม
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
เอื้องเทียนไทย
ชือ่ วิทยาศาสตร์
Coelogyne quadratiloba Gagnep.
ชื่อพ้อง Coelogyne thailandica Seidenf.
ลักษณะ
ลำลูกกล้วยสีเขียวอ่อน รูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาว 5-8 ซม. ใบมี
2 ใบ รูปใบหอก กว้าง 3-5 ซม. ยาว 20-25 ซม. ปลายแหลม แผ่นใบหนามีเส้นใบ
ตามยาว 3 เส้น ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกที่ฐานลำลูกกล้วย ก้านช่อดอกยาว
3-4 ซม. โคนก้านช่อมีกาบซ้อนทับกัน แต่ละช่อมี 2-5 ดอก กลีบเลี้ยงและกลีบ
ดอกด้านข้างสีครีม กลีบเลี้ยงทั้ง 3 กลีบรูปใบหอก กว้างประมาณ 8 มม.
ยาวประมาณ 2 ซม. กลีบดอกด้านข้างรูปแถบกว้างประมาณ 1.5 มม. ยาวเท่าๆ
กั บ กลี บ เลี้ ย งหรื อ สั้ น กว่ า เล็ ก น้ อ ย แผ่ ก างออกปลายชี้ ขึ้ น กลี บ ปากสี ข าว
ยาวประมาณ 1.7 ซม. มี 3 แฉก บริเวณคอกลีบปากและขอบหูกลีบปากมีแถบ
สีน้ำตาล แถบตรงคอกลีบปากมีลักษณะเป็นรูปตัววาย บริเวณกลางกลีบมีสัน
ตามยาวชัดเจน 3 สัน เส้าเกสรสีเหลือง
ช่วงออกดอก มกราคม - กุมภาพันธ์
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย เจริญได้บนหิน พบในป่าดิบเขาตามที่โล่งแจ้ง
แสงรำไร
เขตการกระจายพันธุ์ กล้วยไม้ถิ่นเดียวที่พบเฉพาะในประเทศไทย
สถานภาพ พืชอนุรกั ษ์บญั ชีที่ 2 ของอนุสญั ญาไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cymbidium dayanum Rchb. f.
ลักษณะ
ลำลูกกล้วยขนาดเล็ก ขึน้ ชิดกันเป็นกอ ใบรูปแถบ
ขนาด 2 x 40 ซม. ปลายแหลม ใบมีอายุหลายฤดู
ก่อนหลุดร่วง ช่อดอกมีเพียงช่อเดียวและห้อยย้อยลง
ก้านช่อสั้นกว่าแกนช่อ ดอกขนาด 2.5 ซม. กลีบเลี้ยง
และกลีบดอกทั้งห้ากลีบรูปแถบ สีขาว กลางกลีบมีแถบ
สีแดง ปลายแหลม กลีบปากรูปรี สีม่วงแดง กลางกลีบ
สีเหลือง มีหูปากรูปสามเหลี่ยมตั้งชัน ปลายกลีบมน
เมื่อบานเต็มที่จะม้วนลงทางด้านล่าง เส้าเกสรสีม่วงแดง
เรียวยาว กลุ่มเรณูรูปทรงกลม สีเหลือง
ช่วงออกดอก กรกฎาคม - ตุลาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบเขาและ
ป่าดิบแล้ง ตามที่ร่มแสงแดดรำไรถึงค่อนข้างมืดครึ้ม
บางครั้งเจริญบนขอนไม้ผุริมน้ำตกหรือตามโขดหินข้าง
ลำธาร
เขตการกระจายพันธุ์ อินเดีย พม่า เวียดนาม ลาว
กัมพูชา จีน ไต้หวัน มาเลเซีย บอร์เนียว ฟิลิปปินส์
ญี่ปุ่น
สถานภาพ พืชอนุรกั ษ์บญั ชีที่ 2 ของอนุสญั ญาไซเตส
กล้วยไม้มือนาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dendrobium acerosum Lindl.
ลักษณะ
ลำต้นผอม ยาว 15-25 ซม. ขึ้นชิดกันเป็นกอ
ใบรูปทรงกระบอก ขนาด 0.3-0.5 x 3-5 ซม. ปลายแหลม
และโค้ ง งอ ดอกเดี่ ย ว ออกที่ ข้ อ ส่ ว นปลายของลำต้ น
ชือ่ วิทยาศาสตร์
Dendrobium aphyllum (Roxb.) C. E. C. Fisch.
ลักษณะ
ลำลูกกล้วยเรียวยาวและห้อยลง ใบรูปใบหอก
แกมรู ป ไข่ ขนาด 3 x 6 ซม. ปลายแหลม ช่ อ ดอก
สั้นมาก มี 2-3 ดอก ดอกขนาด 4 ซม. กลีบเลี้ยงรูปแถบ
กลีบดอกรูปใบหอก สีขาว ปลายแหลม กลีบปากรูปทรง
เกือบกลม สีม่วงซีด แผ่นกลีบเป็นขนละเอียด โคนกลีบ
มีลายสีเข้ม กลีบม้วนเข้าจนหุ้มเส้าเกสรที่อ้วนและสั้น
ช่วงออกดอก มีนาคม - เมษายน
สภาพนิ เ วศ กล้ ว ยไม้ อิ ง อาศั ย พบในป่ า เต็ ง รั ง
ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็ง รั ง ผสมสน ตามที่ โ ล่ ง แจ้ ง
แสงแดดจัด พบได้ทุกภูมิภาคของไทย
เขตการกระจายพั น ธุ์ พบเป็ น พื้ น ที่ ก ว้ า งในภู มิ ภ าค
เอเชียใต้
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
เอื้องสายน้ำเขียว
ชือ่ วิทยาศาสตร์ Dendrobium crepidatum Lindl. & Paxton
ลักษณะ
ลำต้นรูปทรงกระบอก สีเขียว ยาว 15-30 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 7-10 ซม.
มี เ ยื่ อ กาบใบบางๆ คลุ ม ขึ้ น เป็ น กลุ่ ม ทอดเอนหรื อ ห้ อ ยลง ใบยาวรี ขนาด
5-8 x 1.5 ซม. แผ่นใบบางและอ่อน ร่วงไปเมื่อต้นแก่ ดอก ช่อดอกเกิดตามข้อ
ช่ อ ละ 1-2 ดอก ขนาดดอก 2-2.5 ซม. กลี บ ดอกสี ข าวปลายกลี บ สี ม่ ว ง
กลางกลีบปากสีเหลือง ขอบกลีบปากมีขนนุ่มละเอียด กลีบดอกไม่กาง ดอกมี
กลิ่นหอมอ่อนๆ
ช่วงออกดอก กุมภาพันธ์ - เมษายน
สภาพนิเวศ กล้วยไม้องิ อาศัย พบในป่าดิบแล้ง
เขตการกระจายพันธุ์ เนปาล อินเดีย สิกขิม ภูฏาน จีน ไทย ลาว
เวียดนาม
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
ขอบกลีบหยักย้วย
ช่วงออกดอก เมษายน - พฤษภาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย บางครั้งพบเจริญบน
โขดหิน พบในป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้นตามที่ร่ม
รำไร
เขตการกระจายพันธุ์ จีน พม่า เวียดนาม ไทย
มาเลเซีย อินโดนีเซีย และหมู่เกาะในมหาสมุทร
แปซิฟิก
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา
ไซเตส
สีเหลืองและมีจุดสีแดง ขอบกลีบหยัก
ช่วงออกดอก กุมภาพันธ์ - พฤศจิกายน
สภาพนิเวศ กล้วยไม้องิ อาศัย พบในป่าดิบแล้ง
เขตการกระจายพันธุ์ ไทย พม่า อินเดีย สิกขิม
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
และในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์
พืชอนุรักษ์ในบัญชีไซเตส (CITES) : กล้วยไม้ป่าในผืนป่าตะวันออก ตอนที่ 1 81
82 พืชอนุรักษ์ในบัญชีไซเตส (CITES) : กล้วยไม้ป่าในผืนป่าตะวันออก ตอนที่ 1
ว่านเพชรหึง
ว่านงูเหลือม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Grammatophyllum speciosum Blume
ลักษณะ
เป็ น กล้ ว ยไม้ ที่ มี ข นาดใหญ่ ที่ สุ ด ในโลก
ลำต้นยาวได้ถึง 7 เมตร ใบรูปแถบ กว้าง 3 ซม.
ยาว 50-80 ซม. ช่ อ ดอกกระจะ ยาวได้ ก ว่ า
2 เมตร ดอกจำนวนมาก ดอกขนาด 6-10 ซม.
สีเหลืองหม่น มีแต้มสีน้ำตาลอมม่วง กลีบปากเป็น
สามแฉก ภายในมีขนสีน้ำตาลอมม่วงปลายกลีบ
ปากสีน้ำตาล
ช่วงออกดอก กรกฎาคม - ตุลาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบตามป่าดิบ
เขตการกระจายพันธุ์ ไทย ลาว พม่า เวียดนาม
มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา
ไซเตส และในธรรมชาติมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ จน
เหลือน้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ludisia discolor (Ker Gawl.) A. Rich.
ลักษณะ
ลำต้นทอดชูยอด สีม่วงแดง ใบรูปรีจนถึงรูป
หอก ขนาด 3 x 5 ซม. สีเขียวคล้ำจนเกือบดำ และมี
ลายสีทองแดง 3-5 ลาย ปลายใบแหลม ช่อดอกชูตั้ง
ดอกขนาด 0.8 ซม. กลีบเลี้ยงรูปไข่กว้าง กลีบดอก
เชื่อมกับกลีบเลี้ยงบน ทั้งหกกลีบสีขาว กลีบปากเป็น
2 แฉก ปลายกลีบมน เส้าเกสรสีขาว ฝาครอบกลุ่มเรณู
รูปหยดน้ำคว่ำสีเหลืองสดและผิวมัน
ช่วงออกดอก กรกฎาคม - ตุลาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้ดิน พบในป่าดิบเขาและป่าดิบแล้ง
ตามที่ร่มแสงแดดรำไร เป็นดินร่วนปนทรายและมีเศษ
ซากพืชทับถม
เขตการกระจายพันธุ์ พม่า ไทย จีน ฮ่องกง เวียดนาม
มาเลเชีย อินโดนีเซีย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Luisia zollingeri Rchb. f.
ลักษณะ
ลำต้นรูปทรงกระบอกทอดเอียง ใบรูปทรงกระบอก ขนาด 0.6 x 10 ซม.
ปลายใบมน ช่อดอกมีหลายช่อ ดอกขนาด 0.8 ซม. กลีบเลี้ยงรูปรี กลีบเลี้ยง
คู่ข้างเป็นอุ้ง ด้านหลังกลีบเป็นสัน กลีบดอกรูปรีกว้างจนเกือบกลมทั้งห้ากลีบ
เหนือเดือยหยักเป็นแฉก โคนกลีบปากเรียวแคบ
ช่วงออกดอก มีนาคม – พฤษภาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบชื้น
เขตการกระจายพันธุ์ ไทย มาเลเซีย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตสเป็นกล้วยไม้ถูกรุกราน
และหายากในธรรมชาติมีจำนวนลดลงมาก
ยื่นยาว
ช่วงออกดอก พฤษภาคม – สิงหาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบตามป่าดิบเกือบทุกภาคของไทย ยกเว้น
ภาคกลาง
เขตการกระจายพันธุ์ มีเขตการกระจายพันธุ์กว้างขวางในเอเชียเขตร้อนและกึ่ง
อบอุ่น
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
พืชอนุรักษ์ในบัญชีไซเตส (CITES) : กล้วยไม้ป่าในผืนป่าตะวันออก ตอนที่ 1 97
ภาพ : ภัทธรวีร์ พรมนัส
เอื้องรงรอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Panisea uniflora (Lindl.) Lindl.
ลักษณะ
ลำลูกกล้วยรูปรีจนถึงรูปขนมเปียกปูน ผิวลำเป็น
มันวาว ใบรูปแถบ ขนาด 2 x 10 ซม. ดอกเดี่ยว ขนาด
1.3 ซม. กลีบเลี้ยงรูปหอกแกมรูปไข่ กลีบดอกรูปขอบ
ขนาน สีดอกมีตั้งแต่ขาวนวลไปจนถึงสีส้ม ปลายกลีบ
แหลม กลีบปากรูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายมน กลางกลีบมี
จุดสีเข้มจำนวน 3 จุด กลีบมีหูปากรูปเขี้ยวขนาดใหญ่
ขอบกลีบหยักเป็นบางช่วง ปลายเส้าเกสรแผ่เป็นครีบ
สั้นๆ
ช่วงออกดอก ธันวาคม - กุมภาพันธ์
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบเขา ตามที่โล่ง
แจ้งแสงแดดจัดถึงแสงแดดรำไร
เขตการกระจายพันธุ์ เนปาล สิกขิม ภูฏาน อินเดีย จีน
พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Phalaenopsis cornu-cervi (Breda) Blume & Rchb. f.
ลักษณะ
ลำต้นเล็กและสั้น ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับจนถึงรูป
ขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ขนาด 3.5 x 8 ซม. ปลายใบมน
ถึงแหลม ช่อดอกเป็นช่อกระจะหรือช่อแยกแขนง มักมี
หลายช่อ ดอกขนาด 1.5 ซม. ทยอยบานคราวละ 1-2 ดอก
กลีบเลี้ยงบนรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายมน กลีบเลี้ยงคู่
ข้ า งรู ป รี แ กมรู ป ไข่ ก ลั บ กลี บ ดอกรู ป รี แ กมรู ป แถบ
ปลายแหลม ทั้งห้ากลีบสีเหลือง มักมีแถบหรือจุดสีน้ำตาล
แดงทั่วกลีบ กลีบปากสีขาวจนถึงสีเหลือง ปลายกลีบเป็น
รูปสามเหลีย่ ม กลางกลีบมีรยางค์ยนื่ ยาว 2 อัน เส้าเกสรสัน้
ช่ ว งออกดอก ช่ ว งออกดอกยาวนาน ตั้ ง แต่ เ ดื อ น
ตุลาคม -มีนาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัยขนาดเล็ก พบในป่าเต็งรัง
ป่าเบญจพรรณ ตามที่โล่งแจ้งแสงแดดรำไร
เขตการกระจายพันธุ์ อินเดีย พม่า ไทย ลาว มาเลเซีย
อินโดนีเซีย
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
พืชอนุรักษ์ในบัญชีไซเตส (CITES) : กล้วยไม้ป่าในผืนป่าตะวันออก ตอนที่ 1 101
ม้าวิ่ง กล้วยไม้ม้า กล้วยหิน แดงอุบล หญ้าดอกหิน
ชื่อวิทยาศาสตร์
Phalaenopsis pulcherrima (Lindl.) J. J. Sm.
ชื่อพ้อง Doritis pulcherrima Lindl.
ลักษณะ
รากมีขนาดใหญ่มาก ลำต้นสั้น ใบรูปขอบขนาน รูปรีจนถึงรูปทรงเกือบ
กลม ขนาด 4 x 6 ซม. ปลายแหลม มนจนถึงเว้าบุม๋ ช่อดอกมักมีมากกว่า 1 ช่อ
ดอกขนาด 1 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกรูปรี สีขาวแกมม่วงจนถึงสีม่วงแดง
ปลายกลีบมน เมื่อบานเต็มที่ลู่ไปทางด้านหลัง กลีบปากมีรูปทรงเฉพาะ มีหูปาก
ค่อนข้างกลม โคนกลีบมีติ่งแหลม ปลายกลีบมน และมีสันเตี้ยๆ
ช่ ว งออกดอก ยาวนานหลายเดื อ น ออกมากที่ สุ ด ช่ ว งเดื อ นมิ ถุ น ายนถึ ง
พฤศจิกายน
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัยบนหิน พบบนพื้นที่โล่ง ลานหิน พบได้ทุกภูมิภาค
ในไทย
เขตการกระจายพันธุ์ พบเป็นพื้นที่กว้างในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
ชื่อวิทยาศาสตร์
Staurochilus fasciatus (Rchb. f.) Ridl.
ลักษณะ
รากมีขนาดใหญ่ ลำต้นรูปทรงกระบอก ใบรูป
ขอบขนานจนถึงรูปแถบ ขนาด 3.5 x 15 ซม. ปลายใบเว้า
ช่ อ ดอกเป็ น ช่ อ กระจะ ดอกขนาด 3.5 ซม. เรี ย ง
ห่างๆ กัน กลีบเลี้ยงรูปขอบขนาน กลีบดอกรูปรีแกมรูป
ขอบขนาน ทั้งห้ากลีบอวบหนา สีเหลืองและมีลายสีน้ำตาลแดงพาดตามขวาง
ปลายกลีบแหลม กลีบปากสีขาวและเป็น 3 แฉก แฉกกลางมีขนปกคลุม ปลาย
แฉกสีเหลือง กลางกลีบปากมีจุดสีน้ำตาลแดง เส้าเกสรสีเหลือง อ้วนสั้น
ช่วงออกดอก มีนาคม - พฤษภาคม
สภาพนิเวศ กล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดิบแล้ง
ตามที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด
เขตการกระจายพันธุ์ กระจายเป็นพืน้ ทีก่ ว้างในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถานภาพ พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ของอนุสัญญาไซเตส
หน้า
หน้า
ก
ค
กระต่ายหูเดียว 116
คอกว่าง 38
กล้วยไม้ม้า 102
เครืองูเขียว 121
กล้วยไม้มือนาง 51
ง
กล้วยหางไหล 47
งูเขียวน้อย 92
กล้วยหิน 102
จ
กะเรกะร่อน 47
จุกพราหมณ์ 13
กะเรกะร่อนเขา 49
จุกโรหินี 14
กะเรกะร่อนดอย 50
ช
กะเรกะร่อนด้ามข้าว 48
ช้างงาเดียว 117
กะเรกะร่อนปากแดง 49
ช้างดำ 107
กะเรกะร่อนปากเป็ด 50
ช้างผสมโขลง 79
ก้างปลา 41
ช้างรอบคอ 81
กุหลาบเหลืองโคราช 16
ฒ
ข
เฒ่านั่งฮุ่ง 34
ขาวมะลิลา 37
ด
ข้าวตอกปราจีน 68
แดงอุบล 102
เข็มหนู 13
ต
เขากวางอ่อน 101
ตองผา 122
เขาแกะ 111
ตากาฉ่อ 87
เขาควาย 111
ตานโมย 18
เข็มเย็บกระสอบ 42
ตีนตะขาบ 116
Pages
A
Acampe ochracea (Lindl.) Hochr. 12
Acriopsis indica Wight 13
Acriopsis liliifolia (J. König) Seidenf. 14
Aerides falcata Lindl. & Paxton 15
Aerides houletiana Rchb. f.
16
Agrostophyllum planicaule (Wall. ex Lindl.) Rchb. f. 17
Apostasia nuda R. Br. 18
Appendicula cornuta Blume 19
Appendicula reflexa Blume 20
Arachnis labrosa (Linld. & Paxton) Rchb. f. 21
Ascocentrum miniatum (Lindl.) Schltr. 22
B
Brachycorythis heglecta H. A. Pedersen
23
Bulbophyllum clandestinum Lindl. 24
Bulbophyllum dissitiflorum Seidenf. 25
Bulbophyllum flabellum-veneris (J. König) Aver. 26
Bulbophyllum lasiochilum C. S. P. Parish & Rchb. f. 27
Bulbophyllum macranthum Lindl. 28
Bulbophyllum odoratissimum (Sm.) Lindl. ex Hook. f. 29
Bulbophyllum orectopetalum Garay, Hamer & Siegerist 30
พรมนัส สำหรับรูปภาพกล้วยไม้ที่ใช้ประกอบในหนังสือเล่มนี้