สุริยจักรวาล โลก และดวงดาว


อวกาศ
อวกาศ หมายถึง บริเวณที่ว่างเปล่าที่อยู่นอกบรรยากาศของโลกออกไป หรือบริเวณที่มีความสูงจากผิวโลกประมาณ 800 กิโลเมตรขึ้นไป ประกอบด้วยดวงดาวต่างๆ มากมาย
เนื่องจากอวกาศอยู่ไกลจากโลกเรามาก จึงไม่สามารถส่งแรงไปดึงดูดวัตถุต่างๆ ในอวกาศได้ ทำให้วัตถุต่างๆ อยู่ในสภาพที่ไร้น้ำหนัก วัตถุต่างๆ จะล่องลอยอยู่ในอวกาศโดยไม่ตกลงมาสู่โลก อุณหภูมิของอวกาศจะสูงและมีรังสีต่างๆ จากดวงอาทิตย์และดาวอื่นมากมาย
นักดาราศาสตร์ได้กำหนดให้ใช้หน่วยวัดระยะทางในอวกาศเป็น ปีแสง โดยแสงจะเดินทางไปได้ไกลประมาณ 300,000 กิโลเมตรใน 1 วินาที และระยะทางที่แสงเดินทางได้ในระยะเวลา 1 ปี เรียกว่า 1 ปีแสง

ดวงอาทิตย์
เป็นก้อนสสารขนาดใหญ่ที่มีอุณหภูมิสูงและแผ่รังสีออกโดยรอบ การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ของก๊าซไฮโดรเจนที่อยู่ในใจกลางของดวงอาทิตย์เป็นต้นกำเนิดพลังงานที่ดวงอาทิตย์ส่งมาถึงโลกในรูปของความร้อนและแสงสว่าง ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีวิตอยู่ได้





ระบบสุริยจักรวาล
สมัยโบราณคนเราเข้าใจว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมีดวงอาทิตย์และดวงดาวต่างๆ เป็นบริวารหมุนโดยรอบ แต่ในปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในจำนวน 9 ดวงของระบบสุริยจักรวาลซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางเท่านั้น ดาวบริวารของดวงอาทิตย์ทั้ง 9 ดวงนี้ หมุนเวียนรอบดวงอาทิตย์ด้วยอัตราความเร็วคงที่ต่างๆ กันไป แต่ละดวงเมื่อเปรียบเทียบขนาดแล้ว นักดาราศาสตร์กล่าวว่าแม้จะเอาดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารทั้ง 9 ดวงมารวมเข้าด้วยกันก็คงมีปริมาณได้เพียง 1 ใน 100 ของดวงอาทิตย์เท่านั้น ดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงของระบบสุริยจักรวาล คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวมฤตยู ดาวเนปจูน และดาวพลูโต แต่อย่างไรก็ตามในระบบสุริยจักรวาลใช่จะมีแต่ดาวเคราะห์ 9 ดวงนี้เท่านั้น หากยังมีบริวารอย่างอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ดวงจันทร์ซึ่งเป็นบริวารของดาวเคราะห์ ดวงจันทร์เหล่านี้หมุนเวียนรอบๆ ดาวเคราะห์ 5 ดวงด้วยกัน บริวารอย่างอื่นของดวงอาทิตย์ก็มี กลุ่มดาวเคราะห์น้อย มีทางโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ดาวหางนับจำนวนล้านที่นานๆ ก็โคจรมาใกล้โลกอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็ลับหายไปกับสะเก็ดของดวงดาวต่างๆ นับจำนวนไม่ถ้วนซึ่งลอยล่องอยู่ในเวหาอันเวิ้งว้าง เมื่อผ่านเข้ามาใกล้แรงดึงดูดของโลกก็ถูกโลกดูดให้พุ่งผ่านบรรยากาศด้วยอัตราความเร็วสูงเสียดสีกับอากาศ จนเกิดความร้อนสว่างวาบเป็นทางในท้องฟ้าแล้วไหม้หมดไปดังที่เราเรียกว่า ดาวตกหรือผีพุ่งไต้ นั่นเอง สะเก็ดดาวเหล่านี้ถ้ามีขนาดใหญ่ ลุกไหม้ในบรรยากาศไม่หมดเหลือตกลงมาถึงผิวพื้นของโลกก็เรียกกันว่า อุกกาบาต



โดย : นาย ํธน รัตนกิจโกศล, โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย, วันที่ 23 พฤศจิกายน 2544