พุทธศาสนา‘เนื้องอก’โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

หลวงปู่พุทธทาสบรรยายเสมอๆ ว่า พุทธศาสนา คือ วิชาหรือหลักปฏิบัติให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และที่ว่าอะไรเป็นอะไร ก็คือ สังขาร ทุกสิ่งอย่างไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็น “อนัตตา” สัตว์หรือคนทั่วไปก็ยังหลงยึดถือผูกพันในสิ่งเหล่านี้ นั่นเพราะอำนาจอุปทาน ทั้ง 4 ปัญหาก็เกิดขึ้น คือ “ความทุกข์” เนื่องจาก “อุปทาน” ซึ่งเป็นเครื่องผูกล่ามสัตว์ให้ติดกับ “ความทุกข์” อุบายวิธีปลดทุกข์นั้นก็ได้แก่ สิ่งที่เรียกว่า “ไตรสิกขา” ได้แก่ “ศีล สมาธิ ปัญญา”

ศีล เป็นเครื่องปรับปรุงเบื้องต้นให้มีความเป็นอยู่ที่ผาสุกเหมาะที่จะมีจิตเป็นสมาธิ “จิต” เป็น “สมาธิ” หมายถึงมีกำลังมีสมรรถนะเพียงพอในการทำงานทางจิต ซึ่งได้แก่ “ปัญญา” ทำการรู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งที่ต้องรู้แจ้ง โดยเฉพาะคือ “ความทุกข์” หรือสิ่งผูกพันมนุษย์ให้ติดอยู่กับความทุกข์ อันได้แก่ “อุปทาน” ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงทำได้ก่อน และได้ทรงสอนไว้เท่านั้น

แต่ที่นี้ในคัมภีร์ทางศาสนา มีอะไรเพิ่มขึ้นทุกคราวที่มีโอกาสที่คนชั้นหลังเขาจะเพิ่มขึ้นได้ด้วยกันทุกศาสนา พระไตรปิฎกของเราก็ตกอยู่ในฐานะอย่างเดียวกัน จึงมีเรื่องอะไรมากไปกว่านี้ ครั้นตกมาถึงขั้นนี้ แม้พิธีรีตองต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น เกี่ยวเนื่องกันกับพระพุทธศาสนาเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกนับเข้าเป็นพุทธศาสนาไปด้วย พิธีรีตองก็เกิดขึ้นอย่างที่เรียกว่าน่าสมเพช เช่น การจัดสำรับคาวหวานทำนอง เซ่นวิญญาณพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า “ถวายข้าวพระพุทธ” อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จะมีไม่ได้ในหลักพระพุทธศาสนา การที่จะเซ่นวิญญาณของพระอรหันต์ให้บริโภคอาหารคาวหวาน ผลหมากรากไม้หรืออะไรทำนองนี้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่พวกที่เป็นพุทธบริษัทบางพวกก็ได้พยายาม จะเข้าใจว่าเป็น “พุทธศาสนา” และก็ได้ถือว่านี่เป็นพระพุทธศาสนากันอยู่อย่างเคร่งครัดในคนบางหมู่บางเหล่า

พิธีรีตองต่างๆ ทำนองนี้ เกิดขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นมากมายจนห่อหุ้มความจริงหรือความหมายเดิมให้สาบสูญไปเลย ยกตัวอย่างเช่น

Advertisement

เรื่องกฐิน : ของเดิมไม่มีความมุ่งหมาย และวิธีการอย่างที่คนสมัยนี้ทำกันอยู่ กฐินนั้นพระพุทธองค์ทรงมีความมุ่งหมายจะให้พระภิกษุทำจีวรใช้เองเป็นด้วยกันทุกรูป และได้พร้อมเพรียงกันทำจีวรใช้เองด้วยมือของตัวเองในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าผ้าที่ช่วยกันทำนั้นมีผืนเดียวก็มอบให้องค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้าอาวาส หรือสมภาร แต่เป็นภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งสงฆ์เห็นว่ามีคุณสมบัติในตัวสมควรจะใช้สอย หรือขาดแคลนผ้าจะใช้สอยให้เป็นผู้ใช้สอยจีวรผืนนั้น แทนในนามสงฆ์ทั้งหมด มีความมุ่งหมายว่าจะให้พระทุกรูปหมดความถือเนื้อถือตัว จะเป็นพระเถระ จะเป็นพระหนุ่ม หรือจะเป็นสมภารเจ้าวัด หรือจะเป็นผู้มีศักดิ์มีเกียรติอะไรก็ตาม ต้องลดตัวเองกลายมาเป็นกุลีกันไปหมดในวันนั้น เพื่อจะมาระดมกันทำการกะผ้า ตัดผ้า เนาผ้า เย็บผ้า ย้อมผ้า ผ่าฝืน ต้มน้ำ ต้มแก่นไม้ทำสีย้อมผ้าและอะไรๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้จีวรนั้นสำเร็จได้ในวันเดียวนั้น มันเป็นการรวบรวมเอาเศษผ้าจากกองขยะมูลฝอยหรือทางใดทางหนึ่งมาปะติดปะต่อกันเข้า หรือเอาเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ช่วยกันสะสมไว้ในระยะเวลาที่ทรงอนุญาตมาทำจีวรใช้ นี่เป็นการแก้กิเลสตัณหา ที่เป็นการถือตัวถือตน ที่ไม่เป็นความพร้อมเพรียง ที่เป็นความโง่เง่าช่วยตนเองไม่ได้ เช่นเย็บจีวรใช้เองไม่เป็นอย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายให้สิ่งที่เรียกว่า กฐิน เป็นอย่างนั้น คือ ไม่ต้องเกี่ยวกับฆราวาสเลยก็ได้ ไม่เกี่ยวกับฆราวาส หมายความว่าไม่ต้องเอาไปจากฆราวาสก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้กฐินกลายเป็นเรื่องมีไว้สำหรับประกอบพิธีหรูหราเอิกเกริกเฮฮาสนุกสนานพักผ่อนหย่อนใจ โดยไม่ได้รับผลสมความมุ่งหมายอันแท้จริง แต่กลับใช้เวลามาก เปลืองมาก ยุ่งยากมาก กระทั่งกลายเป็นเวลาสำหรับสำมะเลเทเมา คือกินเหล้ากินปลากันสนุกสนานไปก็มี เหล่านี้เป็นต้น

พุทธศาสนา “เนื้องอก” ทำนองนี้ มีขึ้นใหม่ๆ มากมายหลายสิบหลายร้อยอย่าง โดยไม่ต้องระบุชื่อ เพราะมากจนระบุไม่ไหว แต่หลวงปู่พุทธทาสภิกษุอยากจะให้ชื่อว่าพุทธศาสนาเนื้องอก คือเป็นเนื้อร้ายชนิดหนึ่งซึ่งงอกขึ้นๆ แต่ก็ยังได้ชื่อว่าพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง เป็นการงอกออกมาปิดบัง ห่อหุ้มเนื้อดีหรือแก่นแท้ของพุทธศาสนาให้ค่อยๆ ลับเลือนไป ด้วยเหตุฉะนี้แหละ สิ่งที่เราเรียกกันว่าพุทธศาสนาๆ จึงมีเพิ่มขึ้นมากมายหลายประเภทจากตัวแท้ของพุทธศาสนาที่มีอยู่เดิม ลักษณะอาการเช่นนี้เป็นที่เชื่อได้ว่ามีกันอยู่ทุกศาสนา จะเป็นศาสนาคริสต์ หรือเป็นศาสนาอิสลามอันเคร่งครัดของพระโมฮัมหมัด หรือศาสนาอื่นๆ ก็ตาม ย่อมถูกสาวก สาวิกาในยุคหลังๆ นี้ ทำให้เกิดเนื้องอกดังที่ว่านี้ขึ้นตามมากตามน้อย แต่สำหรับพุทธศาสนาเรานั้น เรารู้ดีว่ามีอะไรบ้าง เพราะเกี่ยวข้องอยู่ทุกวัน จึงอาจนำมากล่าวให้เป็นเครื่องสังเกต

หลวงปู่พุทธทาสระบุเรื่องทำนองนี้มีเกิดขึ้นใหม่ๆ มากมาย นอกจากพิธีรีตองต่างๆ ที่ผุดขึ้นมามากมาย หลวงปู่ “พุทธทาส” จึงให้ชื่อว่า “พุทธศาสนาเนื้องอก” คือ เป็นเนื้อร้ายชนิดหนึ่งซึ่งงอกเงยขึ้นๆ แต่ก็ยังได้ชื่อว่า “พุทธศาสนา” อยู่นั้น เป็นการงอกเงยออกมาปิดบัง ห่อหุ้มเนื้อดี หรือแก่นแท้พุทธศาสนา ให้ค่อยๆ ลับเลือนหาย มีเพิ่มขึ้นมามากหลายประเภทยกตัวแท้ของพุทธศาสนาที่มีอยู่เดิม ลักษณะนี้ เชื่อได้ว่ามีอยู่กันทุกศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์ หรือเป็นอิสลามอันเคร่งครัดของพระโมฮัมหมัด หรือศาสนาอื่นๆ ก็ตาม ย่อมถูกลูกศิษย์สาวกในยุคหลังๆ ทำให้เกิด “พุทธศาสนาเนื้องอก” เกิดขึ้นมากน้อยตามแต่เหตุการณ์ แต่สำหรับพุทธศาสนาเรานั้น เรารู้ดีว่ามีอะไรบ้าง เพราะเรารู้อยู่และเกี่ยวข้องอยู่ทุกวัน ไงเล่าครับ

Advertisement

ท้ายสุดขอฝากแฟนๆ มติชนทุกท่าน ด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดจากโรคไวรัสโควิด-19 ด้วยหลัก 5 ประการ

1.ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครบ อย่าลืม “3อ” ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อารมณ์ดี 3ลด : ลดอ้วน ลดละเหล้า ลดละบุหรี่

2.ใส่ Mask 100% ทุกที่ทุกเวลา

3.กินร้อนช้อนส่วนตัว อาหารจานเดียว แยกกันทาน

4.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์

5.สังเกตตัวเอง ถ้ามีอาการไข้หวัด ไอ ไข้สูงมากกว่า 37.5 เซลเซียส ไอมากขึ้น หายใจขัด รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ไงเล่าครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image