ผ้าจกเมืองลอง
ประวัติ
เมืองลอง เป็นชุมชนโบราณ เป็นเมืองหน้าด่านสําคัญเมืองหนึ่งทาง ทิศใต้ของอาณาจักรล้านนา ในยุคนั้นมีชื่อเรียก ว่า เมืองเชียงชื่น ภายหลัง อาณาจักรล้านนาตก เป็นประเทศราชของอยุธยา พระบรม ไตรโลกนาถกษัตริย์อยุธยา ในสมัยสมเด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว เมือง ลอง ขึ้นอยู่กับนครลําปาง จนกระทั่งปี พุทธศักราช 2474 จึงได้ โอนเป็นอําเภอหนึ่งใน จังหวัด
แพร่
เมืองลองในอดีตเป็นเมืองของชาวไทยยวนหรือชาวไทยโยนก ที่มี วัฒนธรรมการแต่งกายและศิลปะในการทอผ้าในรูปแบบของตนเอง ผู้หญิง ไทยวนนิยมแต่งกายด้วยผ้าซิ่น โดยวัสดุที่ใช้ในการทอมีทั้งที่เป็นฝ้าย ไหม ดิ้นเงิน และดิ้นทองผ้าจกเมืองลอง เป็นผ้าทอที่มีลวดลายและสีที่งดงาม ผ้าจกเมือง ลองในอดีตส่วนใหญ่เป็นการทอเพื่อนำมาต่อกับผ้าถุงหรือที่ชาวบ้านภาค เหนือ เรียกว่า “ซิ่น” ทำเป็นเชิงผ้าถุงหรือตีนซิ่น ผ้าซิ่นที่ต่อเชิงด้วยผ้าทอ ตีนจก จึงมีชื่อเรียกว่า “ซิ่นตีนจก” ซึ่งมีความสวยงามแสดงถึงฐานะทาง เศรษฐกิจและสังคมของผู้สวมใส่ หลักฐานการใช้ผ้าทอตีนจกเมืองลอง ในการแต่งกายของชาว เมืองลองปรากฏมานานนับร้อยปี จากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ วัดเวียงต้า ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง เป็นภาพวิถีชีวิตความเชื่อการแต่งกายของ ชาวบ้านเวียงต้า ซึ่งเป็นคนเมืองลองในยุคนั้น พบภาพสตรีนุ่งซิ่นตีนจก ลวดลายโบราณ
ลวดลายและกรรมวิธีการทอ
จก หมายถึง การควัก ขุด คุ้ย ลักษณะการทอผ้าจกจึงเป็นลักษณะ ของการทอที่ผู้ทอต้องใช้วิธีล้วงดึงเส้นด้ายพุ่งพิเศษขึ้นลงเพื่อสร้างลวดลาย จกเป็นเทคนิคการทำลวดลายบนผืนผ้า คล้ายการปักด้วยวิธีการเพิ่มด้าย พุ่งพิเศษเข้าไปเป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้า โดยใช้ไม้หรือ ขนเม่น หรือนิ้วมือจกเส้นด้ายเส้นยืนยกหรือจกเส้นด้ายเส้นยืนขึ้น แล้ว สอดใส่ด้ายพุ่งพิเศษเข้าไปเป็นช่วงๆ สลับสีตามต้องการคล้ายกับการปักไป ในขณะทอ ซึ่งสามารถออกแบบลวดลายและสีสันของผ้าได้ซับซ้อนและหลากสีสัน ซึ่งแตกต่างจากผ้าขิดที่มีการใช้เส้นพุ่งพิเศษสีเดียวตลอดหน้ากว้างของผืนผ้า การทอผ้าจกในอดีตนิยมทอเพียงไม่กี่ลายในผืนผ้าจกผืนเดียวกัน อย่างมากก็เพียง 4 แถว โดยลวดลายได้ถูกจัดไว้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ลายหลักและลายประกอบลายหลักของผ้าจกเมืองลอง มีทั้งลักษณะลายดอก และลักษณะที่ เป็นลายต่อเนื่อง ลักษณะลายดอกของผ้าจกเมืองลอง มีลายที่เป็นลวดลาย โบราณได้แก่ ลายนกคู่กินน้ำร่วมต้น ลายสำเภาลอยน้ำ ลายนกแยงเงา (นกส่องกระจก) ลายขามดแดง ลายขากำปุ้ง ลายขอไล่ ลายหม่าขนัด (สับปะรด) ลายจันแปดกลีบ ลายดอกจัน ลายขอดาว ลายขอผักกูด และ ลายดอกขอ ลักษณะลวดลายหลักที่เป็นลายต่อเนื่องของผ้าจกเมืองลอง มีลายที่เป็น ลายโบราณได้แก่ ลายใบผักแว่น ลายแมงโป้งเล็น ลายโคมช่อน้อยตุงชัย ลายขอน้ำคุจันแปดกลีบ ลายเครือกาบหมาก ลายโก้งเก้งซ้อนนก และ ลายพุ่มดอกนกกินน้ำร่วมต้น
ลายประกอบเป็นลายขนาดเล็ก หรือลายย่อยอื่นๆ เป็นองค์ประกอบ สำคัญที่ทำให้ผ้าตีนจกมีความสมบูรณ์ รูปแบบลวดลายมาจากพืช สัตว์ และประยุกต์จากรูปทรงเรขาคณิต เช่น ลายกาบหมาก ลายสร้อยพร้าว ลายบัวคว่ำบัวหงาย ลายดอกพิกุลจัน ลายนกคุ้ม ลายขามด ลายฟันปลา ลายขอไล่ ลายเครือขอ ลายมะลิเลื้อย ลายเถาไม้เลื้อย ลายผีเสื้อ เป็นต้น
ลักษณะผ้าซิ่นตีนจก
ซิ่นตีนจกเมืองลองมีลักษณะเด่นแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ หัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่นหัวซิ่น ใช้ผ้าขาวและแดงต่อกัน ตัวซิ่น เป็นการสร้างลาย โดยเส้นยืน ทำให้เกิดลายทางขวาง ตัวซิ่น ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมจะเป็นซิ่นลายขวางบนพื้นสีเหลือง เรียกซิ่นตามะนาว ตัวซิ่นหรือตีนจก ใช้การทอโดยเทคนิคจก เส้นยืนสีดำและแดง ส่วน ลายดอกใช้สีตัดกันในกลุ่มสีแบบโบราณตามเอกลักษณ์ดั้งเดิม ผ้าตีนจก ไทยวนเมืองลองนิยมใช้เส้นใยฝ้ายไหมสีเหลืองเป็นสีหลักในการจกตกแต่ง ลวดลาย เน้นจังหวะลวดลายไม่ให้ถี่แน่นจนเกินไป จบลายด้วยหางสะเปา ซึ่งเป็นแถบเส้นสี และนิยมจกลวดลายเฉพาะส่วนครึ่งบนของตีนซิ่นโดย เว้นพื้นสีแดงส่วนล่างไว้
กรรมวิธีการทอผ้าตีนจกเมืองลอง
ในวัฒนธรรมของกลุ่มไทยวน “จก” เป็นคำกิริยาใน ภาษาพื้นเมืองภาคเหนือหรือ ภาษาไทยวน ซึ่งหมายถึง การล้วง และในการทอผ้าชนิดนี้ของชาวไทยวนจะมี ลักษณะการทอลวดลายบนผืนผ้าโดยใช้ขนเม่นหรือ ไม้แหลมจกหรือล้วงเส้นด้ายยืนสีต่างๆ ให้เป็นลวดลายตาม ที่กำหนดไว้ ผ้าที่ทอจึงมีชื่อว่า ผ้าจก ส่วนใหญ่ทอเพื่อไป ต่อเป็นเชิงผ้าซิ่น จึงเรียกผ้าซิ่นที่ต่อด้วยผ้าจก ว่า ผ้าซิ่น ตีนจกการทอผ้าจกของอำเภอลอง จังหวัดแพร่ นิยมใช้ฝ้ายสีเหลืองเป็น สีหลักในการจกลวดลาย ขณะจกด้านหลังของลายผ้าจะอยู่ด้านบนของฟืม การทอผ้าตีนจกของช่างทอผ้าชาวเมืองลองในอดีตเป็นการทอผ้า ด้วยกี่หรือหูกทอผ้าแบบพื้นเมือง โดยหลังจากกระบวนการเตรียมเส้นไหม พุ่ง เส้นไหมยืน และสืบเครือหูกเรียบร้อยแล้ว การจกทำลวดลายบนผืนผ้า จะใช้ขนเม่นหรือไม้ไผ่ปลายมนเหลาให้แบนๆ จกล้วงด้ายเส้นยืนจากด้านหลัง ของผ้า แล้วใช้นิ้วมือสอดสลับเส้นไหมผูกเป็นลวดลายตามที่ต้องการ โดยลายหลักจะสอดเส้นไหม 4-6 เส้น และลายประกอบจะสอดเส้นไหม 2 เส้น การทอด้วยวิธีดังกล่าวจะต้องอาศัยฝีมือและความชำนาญและความ อดทนของช่างทอผ้าจึงจะได้ผ้าที่สวยงามรวมทั้งต้องใช้เวลานานกว่าที่จะ ทอได้แต่ละผืนในปัจจุบันช่างทอผ้าจกชาวเมืองลองส่วนใหญ่ได้ใช้อุปกรณ์ที่ ช่วยให้การทอลวดลายทำได้รวดเร็วขึ้น โดยวิธีที่เรียกว่า “มัดเขา” เพื่อใช้ ในการเก็บลวดลายของผ้าทอตีนจกที่ต้องการจะนำไปทอ ซึ่งเป็นส่วน ช่วยให้การทอผ้าจกสะดวกขึ้นจากการเหยียบตะกอเพื่อ ยกเขาเพียง ครั้งเดียวจะเป็นการยกเส้นยืนตลอดพร้อมกันทั้งแนว ทำให้สะดวกและ รวดเร็วในการสอดเส้นไหมสีตามลวดลายที่มัดเขาไว้ นอกจากนี้“เขาฟืม”ที่มัดเก็บลวดลายไว้แล้ว สามารถนำมา ประกอบบนกี่เพื่อต่อเส้นด้ายยืนใหม่สำหรับทอเป็นผืนผ้าตามลวดลายเดิม
การนำไปใช้ประโยชน์
ในอดีตช่างทอผ้าชาวเมืองลองนอกจากจะทอผ้าจกเพื่อใช้เองใน ครอบครัว เช่น ทอเป็นผ้าพาดไหล่ ย่าม และทอเพื่อต่อเชิงซิ่นเป็น ซิ่นตีนจก ใช้สำหรับสวมใส่ในโอกาสสำคัญ แล้วยังใช้การทอผ้าจกเพื่อใช้ใน พิธีกรรมทางศาสนา งานบุญต่างๆ เช่น ผ้าอาสนะ ผ้าคลุมศีรษะนาค ผ้าห่อคัมภีร์แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบของผ้าจกหลายรูปแบบมาก ขึ้นตามประโยชน์ใช้สอย ได้แก่
ตีนจก เพื่อใช้ต่อกับเชิงผ้าถุงเป็นตีนซิ่น ส่วนใหญ่จะทอเป็นผ้าความ กว้างประมาณ 10 นิ้ว ยาวประมาณ 70 นิ้ว ปัจจุบันมีการทอโดยเพิ่ม ขนาดฟืมให้ผ้ามีขนาดกว้างขึ้นจนถึงทอจกตลอดทั้งผืน
ผ้าสไบหรือผ้าสะหว้านบ่า เป็นผ้าหน้าแคบมีความกว้าง
ประมาณ 7 นิ้ว ความยาวประมาณ 60 นิ้ว ส่วนกลางของผ้าเป็นลวดลายจก บริเวณ ชายผ้าทั้งสองด้านทำเป็นชายรุย
ผ้าสะไบนี้นิยมใช้ประกอบในการแต่งกาย แบบพื้นเมืองภาคเหนือ
ผ้าคลุมไหล่ ขนาดของผ้ามีความกว้างประมาณ 18 นิ้ว ความยาว ประมาณ 60 นิ้ว เป็นผ้าจกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นห่มคลุมไหล่ ปัจจุบัน นิยมใช้กับการแต่งกายแบบพื้นเมืองภาคเหนือ ผ้าชนิดนี้ผู้ใช้บางคนนิยม นำไปตกแต่งประดับบ้านเพื่อความสวยงาม
ผ้าเทป เป็นผ้าที่มีความกว้างประมาณ 14 นิ้ว ยาวประมาณ 100 นิ้ว ทอเป็นชิ้น ลักษณะลวดลายน้อยกว่าตีนซิ่น เป็นผ้าที่ทอขึ้นเพื่อนำไป ตัดตกแต่งกับผ้าพื้น ให้เกิดความสวยงามเมื่อตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ หรือ นำไปประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ