ต้นสาละ ต้นสาละ ที่หลังบ้านเมื่อปลายหนาว ลมเหนือเยือน เหมือนทุกครั้งฟ้าก็ยัง สีฟ้า น่าสดใสต้นสาละ ยืนสูงจริง ทอดทิ้งใบคนอยู่ไกล ทอดทิ้งกัน วันเวลานกตัวน้อย ร้อยเรียง เสียงขับร้องจิ๊บ-จิ๊บ ก้อง กังวาลแว่ว แผ่ว-แผ่ว พร่าเหมือนไม่มี ความเชื่อมั่น หวั่นศรัทธาวันที่มา สาละใบ ไร้ร่มเงารังนกเก่า บนยอดไม้ ขาดใบปรกลมหนาววก พัดโชย วน ปรนเหงา-เหงาความคิดถึง ความหวัง ยังคล้ายเงาติดตามเรา ทุกเวลา ทุกนาทียอดสวยใส ใบอ่อน อ้อนแสงแดดตะวันแผด แสงส่องไป ให้ทุกที่เพื่อรับขวัญ นกน้อย ร้อยไมตรีอบอุ่นมี น้ำใจ มอบให้กันไม่เคยปลูกต้นสาละมาก่อน ที่เห็นหน้าโบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้าที่กรุงเทพฯหรือตามวัด เห็นแต่ออกดอกที่โคนต้น แต่ต้นสาละ ต้นนี้ออกดอกที่ปลายกิ่งได้เห็นสาละ ออกช่อดอกมา4ช่อ ตรงปลายกิ่งต้นสูงประมาณ11เมตร ______________________________________________________ฉลองวันตรุษจีน 25 มกราคม 2552ดอกสาละ บานแล้วดอกแรก สวยมากปีนบันได ขึ้นไปถ่ายรูปดอกไม้บนยอด ด้วยความสูง ใจหวิว หวิว ๕๕๕ดอกสาละ ที่บานบนยอดปลายกิ่ง ดูดอกจะเล็กกว่าที่เคยเห็นออกดอกตามต้นที่ตามวัด หรือว่าออกดอกครั้งแรกก็เลยยังไม่เติบโตเต็มที่____________________________________________________ภาพเมื่อ...วันที่ 19 กค 52ต้นสาละ เป็นต้นไม้หลายอารมณ์สวย สง่างาม ยามต้นไม้ผลัดใบ ใบล่วงหมดต้น ก็งดงามยามแตกยอดใหม่พร้อมกันทั้งต้น ก็แลดูสดชื่นดอกบานต่อเนื่องตลอดปี อมตะแห่งต้นไม้ดอกสาละ บานตั้งแต่ปลายกิ่ง ช่อดอกบานตามลำต้น ถึงโคนต้น มองแล้วชวนหลงไหล ไม่เบื่อเลยคิดไม่ผิดครับ ที่ปลูกต้นสาละมีผลัดใบ มีแตกยอดใหม่ มีดอกตั้งแต่ตามกิ่งก้านถึงลำต้น สวย_______________________________________________________ปี 2553 ต้นสาละมีลูกแล้ว Create Date :11 มกราคม 2552 Last Update :8 มีนาคม 2553 8:31:46 น. Counter : Pageviews. Comments :2 twitter google ต้นสาละอินเดียชื่อพื้นเมือง สาละ (กรุงเทพ)ชื่อวิทยาศาสตร์ Shorea robusta C.F.Gaertn.ชื่อสามัญ , Shal, Sakhuwa, Sal Tree, Sal of India, Religiosaวงศ์ Dipterocarpaceaeถิ่นกำเนิด ทางเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศเนปาล มักขึ้นเป็นกลุ่มๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น เป็นไม้พันธุ์ที่อยู่ในตระกูลยาง มีมากในแถบแคว้นเบงกอล อัสสัม ลุ่มน้ำยมุนาลักษณะพืช เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ ลำต้น เปลาตรง เปลือกสีเทาแตกเป็นร่อง เป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ปลายกิ่งมักจะลู่ลง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ใบ เดี่ยว ดกหนาทึบ รูปไข่กว้าง โคนใบเว้าเข้า ปลายใบเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเป็นมันขอบใบเป็นคลื่น ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ ๕ กลีบ กลีบดอกสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม ผล เป็นผลชนิดแห้ง แข็ง มีปีก ๕ ปีก ปีกยาว ๓ ปีก ปีกสั้น ๒ ปีก บนแต่ละปีกมีเส้นตามความยาวของปีก ๑๐ - ๑๕ เส้นสาละเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีประโยชน์มาก ชาวอินเดียมักนำมาสร้างบ้านเรือน ต่อเรือ ทำเกวียน ทำไม้หมอนรถไฟ ทำสะพาน รวมถึงทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ต่างๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ส่วนเมล็ดนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ และน้ำมันที่ได้จากเมล็ดนำมาทำอาหาร เช่น ทำเนย และใช้เป็นน้ำมันตะเกียง รวมทั้งใช้ทำสบู่ด้วยนอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณด้านพืชสมุนไพรด้วย คือ ยาง ใช้เป็นยาสมานแผล ยาห้ามเลือด ใช้แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบ เป็นต้น ผล ใช้แก้โรคท้องเสีย ท้องร่วง เป็นต้นความเกี่ยวข้องกันของต้นสาละอินเดียกับพุทธศาสนาสาละ เป็นคำสันสกฤต อินเดียเรียกต้นสาละว่า "Sal" เป็นไม้ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ทั้งตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน มีความสำคัญในพุทธประวัติดังนี้ตอนพระพุทธเจ้าประสูติก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายาทรงครรภ์ใกล้ครบกำหนดพระสูติการ จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อไปมีพระสูติการที่กรุงเทพวทหะ อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมประเพณีพราหมณ์ เมื่อขบวนเสด็จมาถึงครึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ณ ที่ตรงนั้นเป็นสวนมีชื่อว่า "สวนลุมพินีวัน" เป็นสวนป่าไม้ "สาละ" พระนางได้ทรงหยุดพักอิริยาบท (ปัจจุบันคือตำบล "รุมมินเด" แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล) พระนางประทับยืนชูพระหัตถ์ขึ้นเหนี่ยวกิ่งสาละ และขณะนั้นเองก็รู้สึกประชวรพระครรภ์ และได้ประสูติพระสิทธัตถะกุมาร ซึ่งตรงกับวันศุกร์เพ็ญเดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี คำว่าสิทธัตถะแปลว่า "สมปรารถนา"ตอนก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่บรรจะอยู่ในถาดทองคำของนางสุชาดาแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์ได้สำเร็จพระโพธิญาณ ขอให้การลอยถาดทองคำนี้สามารถทวนกระแสน้ำแห่งแม่น้ำเนรัญชลาได้ เมื่อทรงอธิษฐานแล้วได้ทรงลอยถาด ปรากฎว่าถาดทองคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ จากนั้นพระองค์เสด็จไปประทับยังควงไม้สาละ ตลอดเวลากลางวัน ครั้นเวลาเย็นก็เสด็จไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ประทับนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลารุ่งอรุณ ณ วันเพ็ญเดือน 6ตอนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก เสด็จถึงเขตเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญวดี พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดพระที่บรรทม โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ แล้วพระองค์ก็ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ โดยพระปรัศว์เบื้องขวา (นอนตะแคงขวาพระบาทซ้ายซ้อนทับพระบาทขวา) และแล้วเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน โดย: P_ปรัชญา 22 มกราคม 2552 21:46:47 น.ต้นสาละ (Shorea robusta Roxb.)สาละ ชาวอินเดียเรียกว่า ซาล (Sal) เป็นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน โดยที่พุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา เมื่อใกล้กำหนดจะให้พระสูติการก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไป ยังกรุงเทวทหนคร อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมพราหมณ์ (ที่การคลอดบุตรฝ่ายหญิง จะต้องกลับไปคลอดที่บ้าน พ่อ-แม่ ของฝ่ายหญิง) ในระหว่างทางพระนางได้ทรงหยุดพักบริเวณป่าแห่งหนึ่ง ใต้ร่มต้นสาละ เขตตำบลลุมพินีสถาน คงจะเป็นด้วยทรงถูกกระทบกระเทือนจากการเดินทางไกล หรือจะ เป็นด้วยอำนาจบุญญาธิการของพระราชโอรส (คือพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา) พระนางทรงเจ็บพระครรภ์ ผู้ตามเสด็จก็คงจัดเตรียมกั้นเป็นฉากห้อง เพื่อใช้เป็นสถานที่พระสูติการภายใต้ร่มของต้นสาละนั้น สำหรับในช่วงสุดท้ายที่ต้นสาละเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัตินั้น ก็โดยที่พระพุทธองค์ได้เสด็จ ไปถึงยังเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน ภายใต้ร่มต้นสาละคู่หนึ่ง ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก จึงรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดที่บรรทมเอนพระวรกาย ลงโดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละนั่นเองที่กล่าวมาแล้วเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ แต่ สาละ โดยตัวเองแล้วเป็นต้นไม้ขนาดกลางถึง ใหญ่ไม่ผลัดใบ อยู่ในสกุล (Genus) ไม้สยา (Shorea) วงศ์ (Family) ไม้ยาง (Dipterocarpaceae) ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีเทา แตกเป็นร่องเป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปเจดีย์หรือรูปไข่ เรือนพุ่มประมาณ 2/3 ของ ความสูงของต้น ปลายกิ่งห้อยลู่ลง ใบดกหนา กิ่งอ่อนเกลี้ยง ไม่มีขน ใบรูปไข่กว้าง โคนใบหยักเว้าเข้า ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลมสั้น ๆผิวใบเป็นมันเกลี้ยง พื้นใบมักเป็นคลื่น รูปทรงทั่ว ๆ ไป คล้ายใบรังของไทย ดอกสีเหลืองอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลแข็ง มีปีก 5 ปีก ในจำนวนนี้จะยาว 3 ปีก และสั้น 2 ปีก แต่ละปีกมีเส้นตามยาวปีก 10 15เส้น สาละเป็นไม้พื้นเดิมของอินเดีย มักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น การขยายพันธุ์นิยมใช้เมล็ด เพาะหรือจะใช้การตอนกิ่งหรือทาบกิ่งก็ได้ แต่วิธีหลังเปอร์เซ็นต์การติดน้อยมาก ในประเทศไทยได้มีการ นำเอาต้นสาละหรือต้นซาลเข้ามาปลูกหลายครั้ง เท่าที่ทราบก็มีหลวงบุเรศบำรุงการนำมาถวายสมเด็จ พระมหาวีรวงษ์ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยทรงปลูกไว้ที่หน้าพระอุโบสถ 2 ต้น กับได้น้อมเกล้าถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2510 อีก 2 ต้น ในจำนวนนี้ได้ทรงปลูกไว้ในพระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน 1 ต้ กับทรงมอบให้วิทยาลัยการเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีอีก 1 ต้น อาจารย์เคี้ยน เอียดแก้ว และอาจารย์เฉลิม มหิทธิกุล ก็ได้นำต้นสาละมาปลูกไว้ในบริเวณคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ที่ค่ายพักนิสิตวนศาสตร์ สวนสักแม่หวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง พระพุทธทาสภิกขุ ก็ได้ปลูกไว้ที่สวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และนายสวัสดิ์ นิชรัตน์ ผู้อำนวยการกองบำรุง ก็ได้นำปลูกไว้ในสวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งต่างก็มีความเจริญงอกงามดี และคาดว่าคงจะให้ผล เพื่อขยายพันธุ์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นในเวลาอันควรเดิมทีความเข้าใจเกี่ยวกับต้นสาละหรือต้นซาล ของชาวไทยยังค่อนข้างสับสนกันอยู่ เช่นเข้าใจว่าต้นสาละ เป็นต้นเดียวกันกับต้นรัง ที่มีชื่อทางพฤกษศาตร์ว่า Shorea siamensis Miq. เพราะรูปร่างและขนาด ของใบคล้ายคลึงกันมาก ประกอบกับต่างก็ชอบขึ้นเป็นหมู่ด้วยเช่นกัน แต่รังของไทยผิวใบไม่เป็นมัน พื้นผิว ค่อนข้างเรียบ บางสายพันธุ์ยังมีขนตามผิวใบ กับพอใบแก่จัดก่อนร่วงยังกลายเป็นสีแดงอิฐเสียอีกด้วย บางทีก็เข้าใจว่าต้นลูกปืนใหญ่หรือแคนนอลบอล ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Couroupita guianensis Aubl. เพราะมีผู้นำต้นไม้ชนิดนี้มาจากประเทศลังกา และได้รับการบอกเล่าจากทางลังกาว่าเป็นต้นสาละผู้นำเข้ามาส่วนใหญ่จะปลูกไว้ตามวัดต่าง ๆ เช่น วัดพระเชตุพนฯ วัดบวรนิเวศน์ฯ และที่สวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี เป็นต้น พันธุ์ไม้ดังกล่าวจะมีช่อดอกออกตามลำต้น ดอกโตขนาดถ้วยแกง และมีผลกลม โต ขนาดผลส้มโอย่อม ๆข้อมูลที่มา...//www.dnp.go.th/nursery/pud/sala.htm โดย: P_ปรัชญา 25 มกราคม 2552 11:12:48 น.
ชื่อพื้นเมือง สาละ (กรุงเทพ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Shorea robusta C.F.Gaertn.
ชื่อสามัญ , Shal, Sakhuwa, Sal Tree, Sal of India, Religiosa
วงศ์ Dipterocarpaceae
ถิ่นกำเนิด ทางเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศเนปาล
มักขึ้นเป็นกลุ่มๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น เป็นไม้พันธุ์ที่อยู่ใน
ตระกูลยาง มีมากในแถบแคว้นเบงกอล อัสสัม ลุ่มน้ำยมุนา
ลักษณะพืช เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ
ลำต้น เปลาตรง เปลือกสีเทาแตกเป็นร่อง เป็นสะเก็ดทั่วไป
เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ปลายกิ่งมักจะลู่ลง กิ่งอ่อนเกลี้ยง
ใบ เดี่ยว ดกหนาทึบ รูปไข่กว้าง โคนใบเว้าเข้า
ปลายใบเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเป็นมันขอบใบเป็นคลื่น
ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ
กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ ๕ กลีบ กลีบดอกสีขาวอมเหลือง
มีกลิ่นหอม ผล เป็นผลชนิดแห้ง แข็ง มีปีก ๕ ปีก ปีกยาว ๓ ปีก
ปีกสั้น ๒ ปีก บนแต่ละปีกมีเส้นตามความยาวของปีก ๑๐ - ๑๕ เส้น
สาละเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีประโยชน์มาก
ชาวอินเดียมักนำมาสร้างบ้านเรือน ต่อเรือ ทำเกวียน
ทำไม้หมอนรถไฟ ทำสะพาน รวมถึงทำเฟอร์นิเจอร์
เครื่องใช้ต่างๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ส่วนเมล็ดนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์
และน้ำมันที่ได้จากเมล็ดนำมาทำอาหาร
เช่น ทำเนย และใช้เป็นน้ำมันตะเกียง รวมทั้งใช้ทำสบู่ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณด้านพืชสมุนไพรด้วย คือ ยาง
ใช้เป็นยาสมานแผล ยาห้ามเลือด ใช้แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง
โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบ เป็นต้น
ผล ใช้แก้โรคท้องเสีย ท้องร่วง เป็นต้น
ความเกี่ยวข้องกันของต้นสาละอินเดียกับพุทธศาสนา
สาละ เป็นคำสันสกฤต อินเดียเรียกต้นสาละว่า "Sal"
เป็นไม้ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง
ทั้งตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน มีความสำคัญในพุทธประวัติดังนี้
ตอนพระพุทธเจ้าประสูติก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระพุทธมารดาคือ
พระนางสิริมหามายาทรงครรภ์ใกล้ครบกำหนดพระสูติการ
จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อไปมีพระสูติการที่กรุงเทพวทหะ
อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมประเพณีพราหมณ์
เมื่อขบวนเสด็จมาถึงครึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ
ณ ที่ตรงนั้นเป็นสวนมีชื่อว่า "สวนลุมพินีวัน" เป็นสวนป่าไม้ "สาละ"
พระนางได้ทรงหยุดพักอิริยาบท
(ปัจจุบันคือตำบล "รุมมินเด" แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล)
พระนางประทับยืนชูพระหัตถ์ขึ้นเหนี่ยวกิ่งสาละ และขณะนั้นเองก็รู้สึก
ประชวรพระครรภ์ และได้ประสูติพระสิทธัตถะกุมาร
ซึ่งตรงกับวันศุกร์เพ็ญเดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
คำว่าสิทธัตถะแปลว่า "สมปรารถนา"
ตอนก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้
เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่บรรจะอยู่ในถาดทองคำ
ของนางสุชาดาแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์ได้สำเร็จ
พระโพธิญาณ ขอให้การลอยถาดทองคำนี้สามารถทวนกระแสน้ำ
แห่งแม่น้ำเนรัญชลาได้ เมื่อทรงอธิษฐานแล้วได้ทรงลอยถาด
ปรากฎว่าถาดทองคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ จากนั้นพระองค์เสด็จไป
ประทับยังควงไม้สาละ ตลอดเวลากลางวัน ครั้นเวลาเย็นก็เสด็จไปยัง
ต้นพระศรีมหาโพธิ ประทับนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ
และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลารุ่งอรุณ ณ วันเพ็ญเดือน 6
ตอนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก
เสด็จถึงเขตเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์
ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญวดี พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก
จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดพระที่บรรทม
โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ระหว่างต้นสาละทั้งคู่
แล้วพระองค์ก็ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ โดยพระปรัศว์เบื้องขวา
(นอนตะแคงขวาพระบาทซ้ายซ้อนทับพระบาทขวา)
และแล้วเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน
โดย: P_ปรัชญา 22 มกราคม 2552 21:46:47 น.
ต้นสาละ (Shorea robusta Roxb.)
สาละ ชาวอินเดียเรียกว่า ซาล (Sal)
เป็นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์
ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน โดยที่พุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา
เมื่อใกล้กำหนดจะให้พระสูติการก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไป
ยังกรุงเทวทหนคร อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง
ตามธรรมเนียมพราหมณ์
(ที่การคลอดบุตรฝ่ายหญิง จะต้องกลับไปคลอด
ที่บ้าน พ่อ-แม่ ของฝ่ายหญิง)
ในระหว่างทางพระนางได้ทรงหยุดพัก
บริเวณป่าแห่งหนึ่ง ใต้ร่มต้นสาละ เขตตำบลลุมพินีสถาน คงจะเป็นด้วย
ทรงถูกกระทบกระเทือนจากการเดินทางไกล หรือจะ เป็นด้วยอำนาจ
บุญญาธิการของพระราชโอรส (คือพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา)
พระนางทรงเจ็บพระครรภ์ ผู้ตามเสด็จก็คงจัดเตรียมกั้นเป็นฉากห้อง
เพื่อใช้เป็นสถานที่พระสูติการภายใต้ร่มของต้นสาละนั้น
สำหรับในช่วงสุดท้ายที่ต้นสาละเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัตินั้น
ก็โดยที่พระพุทธองค์ได้เสด็จ ไปถึงยังเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์
ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน ภายใต้ร่มต้นสาละคู่หนึ่ง
ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก จึงรับสั่งให้พระอานนท์
ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดที่บรรทมเอนพระวรกาย ลงโดยหันพระเศียร
ไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละนั่นเอง
ที่กล่าวมาแล้วเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์
แต่ สาละ โดยตัวเองแล้วเป็นต้นไม้ขนาดกลางถึง ใหญ่ไม่ผลัดใบ
อยู่ในสกุล (Genus) ไม้สยา (Shorea) วงศ์ (Family) ไม้ยาง
(Dipterocarpaceae) ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีเทา
แตกเป็นร่องเป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปเจดีย์หรือรูปไข่
เรือนพุ่มประมาณ 2/3 ของ ความสูงของต้น ปลายกิ่งห้อยลู่ลง
ใบดกหนา กิ่งอ่อนเกลี้ยง ไม่มีขน ใบรูปไข่กว้าง โคนใบหยักเว้าเข้า
ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลมสั้น ๆผิวใบเป็นมันเกลี้ยง พื้นใบมักเป็นคลื่น
รูปทรงทั่ว ๆ ไป คล้ายใบรังของไทย ดอกสีเหลืองอ่อน
ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบดอกและ
กลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลแข็ง มีปีก 5 ปีก
ในจำนวนนี้จะยาว 3 ปีก และสั้น 2 ปีก แต่ละปีกมีเส้นตามยาวปีก
10 15เส้น สาละเป็นไม้พื้นเดิมของอินเดีย มักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ
ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น การขยายพันธุ์นิยมใช้เมล็ด
เพาะหรือจะใช้การตอนกิ่งหรือทาบกิ่งก็ได้
แต่วิธีหลังเปอร์เซ็นต์การติดน้อยมาก ในประเทศไทยได้มีการ
นำเอาต้นสาละหรือต้นซาลเข้ามาปลูกหลายครั้ง
เท่าที่ทราบก็มีหลวงบุเรศบำรุงการนำมาถวายสมเด็จ พระมหาวีรวงษ์
วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
โดยทรงปลูกไว้ที่หน้าพระอุโบสถ 2 ต้น กับได้น้อมเกล้าถวาย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2510 อีก 2 ต้น
ในจำนวนนี้ได้ทรงปลูกไว้ในพระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน 1 ต้
กับทรงมอบให้วิทยาลัยการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีอีก 1 ต้น อาจารย์เคี้ยน เอียดแก้ว
และอาจารย์เฉลิม มหิทธิกุล ก็ได้นำต้นสาละมาปลูกไว้ในบริเวณ
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ที่ค่ายพักนิสิต
วนศาสตร์ สวนสักแม่หวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง พระพุทธทาสภิกขุ
ก็ได้ปลูกไว้ที่สวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
และนายสวัสดิ์ นิชรัตน์ ผู้อำนวยการกองบำรุง ก็ได้นำปลูกไว้ใน
สวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งต่างก็มีความเจริญงอกงามดี
และคาดว่าคงจะให้ผล เพื่อขยายพันธุ์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ
ได้เพิ่มขึ้นในเวลาอันควร
เดิมทีความเข้าใจเกี่ยวกับต้นสาละหรือต้นซาล ของชาวไทยยังค่อนข้าง
สับสนกันอยู่ เช่นเข้าใจว่าต้นสาละ เป็นต้นเดียวกันกับต้นรัง
ที่มีชื่อทางพฤกษศาตร์ว่า Shorea siamensis Miq. เพราะรูปร่าง
และขนาด ของใบคล้ายคลึงกันมาก ประกอบกับต่างก็ชอบขึ้น
เป็นหมู่ด้วยเช่นกัน แต่รังของไทยผิวใบไม่เป็นมัน พื้นผิว ค่อนข้างเรียบ
บางสายพันธุ์ยังมีขนตามผิวใบ กับพอใบแก่จัดก่อนร่วงยังกลาย
เป็นสีแดงอิฐเสียอีกด้วย บางทีก็เข้าใจว่าต้นลูกปืนใหญ่
หรือแคนนอลบอล ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า
Couroupita guianensis Aubl. เพราะมีผู้นำต้นไม้ชนิดนี้มา
จากประเทศลังกา และได้รับการบอกเล่าจากทางลังกา
ว่าเป็นต้นสาละผู้นำเข้ามาส่วนใหญ่จะปลูกไว้ตามวัดต่าง ๆ เช่น
วัดพระเชตุพนฯ วัดบวรนิเวศน์ฯ
และที่สวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี เป็นต้น
พันธุ์ไม้ดังกล่าวจะมีช่อดอกออกตามลำต้น
ดอกโตขนาดถ้วยแกง และมีผลกลม โต ขนาดผลส้มโอย่อม ๆ
ข้อมูลที่มา...//www.dnp.go.th/nursery/pud/sala.htm
โดย: P_ปรัชญา 25 มกราคม 2552 11:12:48 น.