ฐานเจดีย์แปดเหลี่ยมรองรับองค์ระฆังกลม รอบบริเวณก็ยังมีเจดีย์ธาตุต่างๆอีก 4 องค์ ผมแหงนคอมองปลายยอดแล้วยกมือไหว้ ก่อนเดินอ้อมผ่านซุ้มก่อนออกจากวัด พลางคิดถึงหนังสือ Temple and Elephents ของCarl Bock (หนังสือเล่มนี่ได้รับการยกย่องจากษมาคม Geographicical Socity of Lisbon มอบเหรียญทองให้และ Geographical Societies of Rome and Samarang กับ Anthropologicical of Florence ก็เชิญเป็นษมาชิกกิตมาศักดิ์ ตลอดจนได้รับเหรียญตราเกียรติยศจากกษัตริย์ Franz Bock ของ Austria ด้วยอีกทั้งยังอ้างอิงในการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เอเชียของมหาวิทยาลัย Standford ทั้งยังเป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวของชาติไทยที่ผิดเพี้ยนบิดเบือนน้อยที่สุดในสมัยรัชกาลพระพุทธเจ้าหลวง และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้กำกับและผู้สร้างภาพยนต์หลายเรื่องใน Holywood เอาไปสร้างภาพอดีตในฉากภาพยนตร์หลายตอนที่กล่าวถึงประเทศไทยในยุคนั้นอย่าง เรื่อง Ana and The King Aiexander
ส่วนนี่เป็นแผนที่ของ จ.เชียงรายน่ะครับ
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:04:04 น.
ภูชี้ฟ้า เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,628 เมตร (5,426 ฟุต) ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อแนวตะเข็บของเส้นแบ่งพรหมแดนของประเทศไทยและบ้านเชียงตองแขวงไชยบุรี สปป.ลาว บนเทือกเขาผาหม่น ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างให้ชื่อของภูชี้ฟ้า ตามก้อนหินขนาดมหึมา ทรงเหลี่ยม แหลม ปลายยอดชี้ขึ้นไปบนฟ้าว่า หลังคาแห่งสยาม
ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นสลายหมอกอีกแห่งหนึ่ง ช่วงที่สวยงามมากคือเดือนพฤศจิกายน-มกราคม เวลา 6.30-7.30 น. อยู่ห่างจากดอยผาตั้ง 25 กม. มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชึ้นขึ้นไปบนฟ้า โดยมีหน้าผายื่นเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว บนยอดภูชี้ฟ้าเป็นทุ่งหญ้ากว้าง แซมด้วยทุ่งโคลงเคลงมีมีดอกสีชมพูอมม่วง ซึ่งจะบานระหว่างเดือน กรกฏาคม-มกราคม
* ก่อนถึงภูชี้ฟ้า 50 เมตรด้านขวามือเป็นดอยหลังเต๋า
* เขตแดนแนวสันเขาของภูชี้ฟ้าเป็นเส้นแนวแบ่งเขตไทยลาว
* ระยะทางจากจุดลานจอดรถขึ้นภูชี้ฟ้า 700 เมตร เดินทางเท้า
* มีแม่คะนิ้ง ตลอดทางเดิน
* มีดอกไม้ป่าขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ดอกโคร่งเครา ดอกหญ้า ต้นแอบเปิ้ลป่า ผักกูดป่า(กินไม่ได้) ต้นไม้ที่ใช้ทำไม้กวาด(ต้นกก หรือต้นก๋ง) สตอร์ป่าออกตอนหน้าแล้ง องุ่นป่า
เส้นทางที่สามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวมี 3 ทาง คือ
1. ทางบ้านร่มฟ้าไทย หมู่ที่ 24 ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง ทางเดินรถถนนลาดยางผ่านวนอุทยานภูชี้ฟ้า ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 700 กว่าเมตร
2. ทางบ้านร่มฟ้าไทย ทางเดินเท้าจากหมู่บ้านขึ้นไประยะทาง 1,800 เมตร สำหรับหนุ่ม สาว และนักเดินทางทางธรรมชาติ
3. ทางบ้านร่มฟ้าทอง ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น ถนนคอนกรีต ถึงหน่วยจัดการต้นน้ำ หงาว งาว 2042 แล้วเดินต่อด้วยเท้าประมาณ 800 เมตร
การเดินทางไปภูชี้ฟ้า (แผนที่)
จากจังหวัดเชียงราย สามารถเดินทางไปยังภูชี้ฟ้า ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดประมาณ 113 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ตามเส้นทางหมายเลข1021 (เชียงราย อำเภอเทิง) ถึงอำเภอเทิง ระยะทาง 64 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางจากอำเภอเทิงสามารถเดินทางขึ้นไปยังภูชี้ฟ้าได้ 3 เส้นทาง คือ
1. เส้นทางอำเภอเทิง บ้านปางค่า โดยใช้เส้นทางหมายเลข 1021 และ 1155 ผ่านบ้านราษฎร์ภักดี ถนนสาย 1093 แยกไปทางขวาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงบ้านร่มฟ้าไทย ถ้าแยกไปทางซ้ายระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงบ้านร่มฟ้าทอง ระยะทางประมาณ 49 กิโลเมตร
2. เส้นทางอำเภอเทิง บ้านปางค่า โดยใช้เส้นทางหมายเลข 1021 และ 1155 ระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตร เป็นทางลาดยาง จากบ้านปางค่าเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหมาเลข 1093 บ้านปางค่า บ้านร่มโพธิ์ไทย (เล่าอู่) บ้านร่มฟ้าไทย ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร สภาพเป็นดินลูกรัง ขึ้นเขาและมีสภาพชันเป็นบางช่วง เหมาะสำหรับขับเคลื่อน 4 ล้อ
3. เส้นทางอำเภอเทิง บ้านสบบง (อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา) บ้านฮวก โดยเส้นทางหมายเลข 1021 และทาง รพช. หมายเลข 11022 ระยะทางประมาณ 49 กิโลเมตร และจากบ้านฮวก ถึงบ้านร่มฟ้าไทย (ภูชี้ฟ้า) ใช้เส้นทางหมายเลข 1093 ระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางขึ้นเขาและเลียบริมเขาตลอดจนถึงบ้านร่มฟ้าไทย (ภูชี้ฟ้า) รวมระยะทางประมาณ 85 กิโลเมตร
ดินแดนมิคสัญญีสู่..."ภูชี้ฟ้า" ... หลังคาแห่งสยาม
ภูชี้ฟ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีมนต์เสน่ห์ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชื่นชมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูปลายฝน ต้นหนาว ความโด่งดังของแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ น้อยคนนักจะรู้ซึ่งความเป็นมาในอดีต โดยมีผลสืบเนื่องมาจากคำเล่าขานของกลุ่มผู้นำชาวเขา (เผ่าม้ง) ได้ให้ข้อมูลแก่ทีมงานผู้สำรวจว่าในอดีตสถานที่แห่งนี้เป็นสมรภูมิรบระว่างรัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เพื่อเป็นการแย่งชิงมวลชนและพื้นที่ แต่เมื่อ พคท. ล่มสลาย กลุ่มชาวเขาที่เคยเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) เดิมทีเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงก็เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2532 ได้มี นายนิพนธ์ ขันธปราบ นายอำเภอเทิง นายสมพร ใจเถิง กำนัลตำบลตับเต่า พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่นของตำบลตับเต่า พากันมาเดินทางสำรวจตามคำแนะนำของกลุ่มผู้นำชาวม้ง เมื่อคณะสำรวจได้มาสัมผัสด้วยสายตาของตนเองแล้วต่างลงความคิดเห็นว่า สถานที่แห่งนี้หากได้รับการพัฒนา ปรับปรุง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และมีศักยภาพสูงในอนาคตแน่นอน ต่อมาจึงมีการแผ้วถาง และปรับปรุงเส้นทางให้เป็นเส้นทางเดินเท้า ทางอำเภอเทิงได้ตั้งฐานปฏิบัติการ อส. ระวังเหตุไว้ที่บ้านร่มฟ้าไทย เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานแก่เจ้าหน้าที่ คณะทำงานและอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว จากนั้นได้นำสื่อมวลชนทั้งของท้องถิ่นและส่วนกลางมาทำข่าว ทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชื่นชมและสัมผัสธรรมชาติที่ภูชี้ฟ้า
นอกจากนั้น ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีดอกเสี้ยวหรือชงโคป่า จะออกดอกสีขาวอมชมพูบานสะพรั่งบริเวณเชิงภูชี้ฟ้า ทางอำเภอเทิงซึ่งนำโดยนายนิพนธ์ ขันธปราบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานของอำเภอเทิง กลุ่มผู้นำท้องถิ่นในตำบลตับเต่า และกลุ่มผู้นำและพี่น้องชาวไทยภูเขาจึงได้จัดงาน ดอกเสี้ยวบาน ณ ภูชี้ฟ้า ขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2534 โดยขอความร่วมมือจากนายช่างจรวย สงวนแก้ว นายช่างโครงการอาสา ผู้รับผิดชอบการก่อสร้างเส้นทางสาย บ้านฮวก ผาตั้ง มาทำการปรับปรุงเส้นทางในบริเวณบ้านร่มฟ้าไทยและบริเวณงานเชิงภูชี้ฟ้า โดยได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้นำชาวม้งได้จัดชุดการแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น การละเล่น การแข่งขันกีฬาชาวเขา และการประกวดธิดาสายหมอก ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้บรรจุเอา วันที่ 13 15 กุมภาพันธ์ของทุกปีลงในปฏิทินกรท่องเที่ยวว่าจะมีการจัดงาน ดอกเสี้ยวบาน ณ ภูชี้ฟ้า
เบื้องหลังความงดงามและมนต์เสน่ห์ของภูชี้ฟ้า มีอดีตประวัติการสู้รบ บทเรียนความเจ็บปวด ซ่อนเร้นอยู่ แม้ว่าหลายคนจะไม่อยากรื้อฟื้น หากว่าสิ่งที่ตามมามันจะเป็นความขมขื่น ทรมานใจและการสูญเสีย แต่สำหรับที่นี้เวลานี้สมควรที่จะต้องทบทวนเพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง นักเดินทางและผู้แสวงหาได้มีโอกาสรับรู้เข้าใจ ข้อเท็จจริง สถานการณ์ในอดีตไว้เป็นกรณีศึกษา
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 เป็นต้นมาสถานการณ์ก่อการร้ายในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ส่งผู้ปฏิบัติงานจำนวนหนึ่งเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อแสวงหาแนวร่วมพื้นฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไทยภูเขาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนในจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา และจังหวัดน่าน
ในปี พ.ศ. 2500 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ขยายพื้นที่ก่อการร้ายเข้ามาในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา และน่าน เพื่อส่งผู้ปฏิบัติงานเพื่อปลุกระดมและจัดตั้งมวลชนและทำหน้าที่เผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์โดยเป็นพื้นที่ออกเป็น 4 เขตงาน คือ เขตงาน 7 ครอบคลุมพื้นที่ดอยผาจิ , ผาช้าง เขตงาน 8 ครอบคลุมพื้นที่ดอยยาว ดอยผาหม่น เขตงาน 9 ครอบคลุมพื้นที่บ่อเกลือเชียงกลาง ทุ่งช้างและเขตงาน 52 ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอเชียงแสน ในเนื้อที่ของการปลุกระดมได้โฆษณาชวนเชื่อในนโยบายเนื้อหาและแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ปลอดปล่อยประชาชน โดยให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันไม่มีการกดขี่ข่มเหงกันและมีเครื่องสาธารณูปโภคเหมือนกับคนในเมือง ไม่มีการแยกชนชั้น ทุกคนต้องได้รับความเท่าเทียมกันในด้านการศึกษา พยาบาล และการรับราชการ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างชนเผ่าและคนพื้นราบ ซึ่งถือได้ว่าเป็นนโยบายขั้นที่ 1 (ขั้นพื้นฐาน) ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานจนประสบผลสำเร็จ เพราะทุกคนเห็นข้อแตกต่างระหว่างชนเผ่ากับคนในเมืองสามารถปฏิบัติงานขั้นที่ 2 ได้ โดยยึดถือว่า คนที่จะได้รับสิทธิเสรีภาพเสมอกันต้องได้มาจากการต่อสู้ด้วยอาวุธโค่นล้มรัฐบาล ในขณะนั้นขับไล่อเมริกาออกจากประเทศไทยและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นรัฐบาลของประชาชน
ในปี พ.ศ. 2507 สมาชิก พคท. สามารถขยายเขตงานได้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง พคท. เปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลในภาคเหนือครั้งแรกที่บ้านน้ำปาม ตำบลไร่หลวง อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 ซึ่งถือว่าเป็น วันเสียงปืนแตก การต่อสู้รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
การต่อสู้ระหว่าง พคท. และเจ้าหน้าที่ของรัฐครั้งแรกในจังหวัดเชียงราย ที่บ้านห้วยชมภู ตำบลยางฮอม อำเภอเทิง (ในขณะนั้น) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2510 ซึ่งเกิดการปะทะกันในเขตพื้นที่ดอยยาว ดอยผาหม่น โดยมีสาเหตุมาจากกลุ่มผู้นำท้องถิ่นที่มาเรียกเก็บภาษีที่ไร่ซ้ำซ้อนและกดขี่ข่มเหงชาวไทยภูเขา สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวเขาเหล่านี้ ประจวบกับช่วงนั้น พคท. ได้มีการเคลื่อนไหวและปลุกระดมชาวบ้านทุกหมู่บ้านก็พร้อมจะต่อสู้ด้วยอาวุธและแข็งข้อโดยไม่ยอมจ่ายภาษีให้ จึงสร้างความไม่พอใจไว้ให้แก่ผู้นำท้องถิ่น ในขณะนั้นเป็นอันมากและขู่ว่า จะจับชาวบ้าน ฆ่าทั้งหมด จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้าน จึงเกิดการสู้รบกันด้วยอาวุธ(พคท. สนับสนุน) ต่อมาเจ้าหน้าที่ของรัฐพร้อมด้วยกำลังทหาร เข้ายิงถล่ม ปะทะกันและเผาหมู่บ้านโดยใช้นโยบายปล้นเรียบ ฆ่าเรียบ เผาเรียบ ทำให้ชาวบ้านพากันอพยพหลบหนีบางส่วนได้เป็นตัวแทนไปเรียนการเมือง การทหาร โดยได้รับการสนับสนุนจากลาว จีน และเวียดนาม แล้วกลับมาปฏิบัติงาน เพื่อยึดฐานที่มั่นในพื้นที่ดอยผาหม่น ทำเกิดการปะทะกันและสูญเสียอยู่เรื่อย ๆๆ
วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2517 ได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจกองพลที่ 4 ให้มีภารกิจป้องกันและปราบปรามผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ในจังหวัดเชียงราย พะเยา โดยยึดถือการเมืองนำการทหาร
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2522 ได้จัดตั้งกองอำนวยการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท. 2324) ขึ้นแทน หน่วยงานเฉพาะกิจ กองพลที่ 4 เพื่อรับผิดชอบป้องกันและปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยรวมพลังเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร เข้าปฏิบัติการร่วมกันอย่างมีเอกภาพ
วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2524 ได้แปรสภาพเป็น พตท. 31 โดยปฏิบัติตาม นโยบาย ตามคำสั่ง นายกรัฐมนตรีที่ 66/23 ลงวันที่ 23 เดือนเมษายน พ.ศ. 2523 และนโยบาย ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 65/24 และดำเนินการรุกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ พัน ร. 473 ภายใต้การนำของ พันโทวิโรจน์ ทองมิตร ผู้บังคับกองพัน ซึ่งจัดกำลังจากกองพันทหารราบที่ 3 กรมผสมที่ 7 ได้ส่งกำลังเข้าปราบปราม ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ในพื้นที่ดอยยาว ดอยผาหม่นหลายยุทธการด้วยกัน จนกระทั่งยุทธการที่สำคัญ คือ ยุทธการเกรียงไกร (วีกรรมเนิน 1188) บนพญาพิภักดิ์ จนกระทั่งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เข้ามอบตัวเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เป็นจำนวนมาก จากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่โปรยใบปลิวชี้แจงข้อเท็จจริง โดยใช้เครื่องบินติดตั้งเครื่องขยายเสียง ประกาศทำความความเข้าใจกับชาวเขา และอดีตผู้นำนักศึกษาที่เคยร่วมขบวนการและปฏิบัติงานในพื้นที่ ได้ขอเชิญชวนมอบตัวเพราะว่าในขณะนั้นรัฐบาลได้มีการเปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ดีกว่าอดีต จึงทำให้สงครามการต่อสู้ด้วยอาวุธได้ยุติลง และเปลี่ยนแปลงการพัฒนาขึ้นแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา
ในช่วงของการต่อสู้กับ ผกค. ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการก่อสร้างทางสายมรณะ (เส้นทางสายยุทธศาสตร์) สายป่าบง ปางค่า (เส้นทางสาย 1155) ได้เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกับ ผกค. รุนแรงมากทำให้มีการสูญเสียชีวิต เครื่องจักรกล และทรัพย์สินเป็นจำนวนมากส่งผลให้ ร้อยโททายาท คล่องตรวจโรค และร้อยโทปิยวิพากษ์ เปี่ยมญาติ ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก จากกองพันทหารราบที่ 3 กรมผสมที่ 7 ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ และเสียสละอย่างสูงสุด ต้องสูญเสียชีวิตพร้อมกันทั้ง 2 ท่าน บริเวณฐานห้วยเมี่ยง
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2527 พตท.31 ได้ลดกำลังและแปรสภาพเป็นชุดควบคุมที่ 31 (ชค.31) ได้ปฏิบัติการพัฒนาเพื่อความมั่นคง และเสริมสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2531 จึงยกเลิกการจัดตั้งหน่วยลง
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2531 โครงการยุทธศาสตร์พัฒนา ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงาน ภายหลังการยกเลิก ชค. 31 ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ดอยยาว ดอยผาหม่น ดอยผาจิ เป็นพื้นที่ ที่มีความสำคัญเนื่องจากเขตงานก่อการร้ายเดิม และมีการเคลื่อนไหวของกำลังทหาร สปป.ลาว (ทปล.) บริเวณชายแดน และบางครั้งก่อล่วงล้ำเข้ามาเขตแดนไทย โครงการยุทธศาสตร์พัฒนาได้ปฏิบัติงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 2532 มีพื้นที่รับผิดชอบ อ. เทิง อ.เวียงแก่น อ.ขุนตาล จ.เชียงราย และ อ.เชียงคำ อ.ปง จ.พะเยา
โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ดอยยาว ดอยผาหม่น ดอยผาจิ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ดำเนินการจัดตั้งหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย สปป. ลาว ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จำนวน 10 หมู่บ้านและพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ในหมู่บ้านที่มีปัญหาด้านความมั่นคง ในชุมชนเดิมของจังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา จำนวน 16 หมู่บ้าน ตั้งแต่ปี 2533 2535 แทนโครงการยุทธศาสตร์พัฒนา ดำเนินงานของโครงการมีปัญหาและอุปสรรคอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ การไม่เข้าใจของการดำเนินงานของส่วนราชการบางหน่วย เป็นผลให้เกิดการจัดสรรงบประมาณล่าช้า จึงทำให้บางแผนงานไม่สำเร็จตามที่กำหนด กองทัพภาคที่ 3 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายวนภาคที่ 3 จึงได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้ขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงต่อไปอีก 2 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 2537 และเข้าสู่ระบบการพัฒนาปกติโดยไม่มีการขยายเวลาอีก และได้โอนมอบพื้นที่ให้อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายปกครอง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2537
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2537 ศูนย์อำนวยการประสานงานโครงการพัฒนาความมั่นคงพื้นที่ ดอยยาว ดอยผาจิ (ศอป. โครงการ พมพ. ดอยยาว ฯ) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นต่อจากโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง พื้นที่ดอยยาว ดอยผาหม่น ดอยผาจิ โดยมีภารกิจในการอำนวยการประสานงานกับส่วนราชการในพื้นที่ หลังจากที่ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นสมรภูมิรบ ระหว่างรัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อีกเสี้ยวหนึ่งใครจะรู้ว่า ยังมีดินแดนที่มีรูปร่างสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง จนมีผู้ขนานนามว่า ภูชี้ฟ้า เนื่องจาก มีลักษณะเป็นยอดเขาแหลมและมีแผ่นผาขนาดใหญ่มหึมาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งบนยอดภูชี้ฟ้าเป็นทุ่งกว้างประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร มีหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว หลายคนมีโอกาสได้ดื่มด่ำธรรมชาติความงดงามของทะเลหมอกยามเช้าบนยอดภูชี้ฟ้า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างดั้นด้น เดินทางเพื่อพิชิตให้ถึงยอดภูชี้ฟ้าเพียงเพื่อชื่นชมและสัมผัสกับความงดงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา จะมีสักกี่คนที่มองเห็นสถูปและแวะเวียนไปสักการะสถานที่แห่งนั้น ซึ่งเป็นที่สถิตของวีรบุรุษผู้กล้า ผู้เสียสละ ผู้สร้างประโยชน์ และรับใช้แผ่นดินอย่างจริงจังและจริงใจ ซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ความกล้าหาญของ พอ. วิโรจน์ ทองมิตร เป็นที่ลือเลื่องไปทั้งกองทัพบกเพราะว่า พอ. วิโรจน์ ทองมิตร สามารถจับคนร้ายได้ด้วยมือเปล่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2523 เมื่อ พอ.วิโรจน์ ทองมิตร นำผู้ใต้บังคับบัญชาอีก 6 คน ออกลาดตระเวน และทราบข่าวว่าจะมี ผกค. ประมาณ 75 คน มารับเสบียงที่หมู่บ้านเย้ายางฮอม และได้เผชิญหน้ากับ พอ.วิโรจน์ ทองมิตร ยิง ผกค. เสียชีวิตจึงมีการยิงปะทะกันในระยะประชิด ผกค. ถูกยิงแต่คณะของ พอ. วิโรจน์ ทองมิตร ไม่มีใครเสียชีวิต ทั้งที่มีกำลังน้อยกว่าและสามารถนำเชลยศึกกลับมาได้ จึงได้รับคำยกย่องชมเชยอยู่มาก
เมื่อสันติภาพและความสงบสุขได้กลับมาสู่พื้นที่ดอยยาว ดอยผาจิ ดอยผาหม่น นับเป็นเกียรติประวัติของพื้นที่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เสด็จพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระราชาธินัดดามาตุ ทรงเสด็จไปเยี่ยมบ้านพญาพิภักดิ์ ณ สันดอยยาว ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 พอ.วิโรจน์ ทองมิตร ได้นำอดีตผู้นำ ผกค. เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อแสดงความจงรักภักดี
ในวันนั้น พอ.วิโรจน์ ทองมิตร กราบบังคมทูลขอพระราชทาน รอยพระบาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ประทับลงบนแบบพิมพ์ปูนปลาสเตอร์ เพื่อขอจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ แห่งชัยชนะเหนือดอยยาว และดอยผาหม่นซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาพระราชทานตามที่ขอและเป็นรอยพระบาทแห่งเดียวในสนามรบของประเทศไทย ที่นักรบขอพระราชทานให้เป็นมิ่งขวัญ
เมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. ของวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 วีรบุรุษผู้กล้าได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับและไม่มีคำร่ำลา เมื่อรถยนต์ของ พอ.วิโรจน์ ทองมิตร เกิดประสบอุบัติเหตุชนต้นไม้ ในขณะที่เดินทางจากค่ายขุนเจืองธรรมมิกราช จังหวัดพะเยาไปยังจังหวัดเชียงใหม่บนถนนสายเชียงใหม่ ดอยสะเก็ด บริเวณหมู่บ้านคุรุสภา ตำบลสันนาเม็ง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเหตุให้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุการณ์จากไปของท่านยังความเศร้าโศกเสียใจแก่ครอบครัว ผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหาย
แม้ตัวจากไปแต่เกียรติยศชื่อเสียงคุณงามความดีของ พอ. วิโรจน์ ทองมิตร ยังคงจารึกและเป็นเกียรติต่อผืนแผ่นดินไทยบนยอดดอยภูชี้ฟ้า ร่องรอยประวัติศาสตร์ กลิ่นคาวเลือดที่มาจากสมรภูมิรบในอดีตที่ควรจดจำบัดนี้กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย หากท่านผู้ใดได้มีโอกาสมาสัมผัสความงดงาม ทัศนียภาพของภูชี้ฟ้า เมื่อหันมองไปทางทิศตะวันตกจะมองเห็นสถูปเล็ก ๆ ของวีรบุรุษผู้กล้า พอ.วิโรจน์ ทองมิตร ผู้ที่พลิกประวัติศาสตร์พื้นดินแห่งนี้จากกลิ่นคาวเลือดและการสู้รบฆ่าฟันกัน ให้กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ทรงคุณค่าและควรค่าแก่การรักษา
ปัจจุบันภูชี้ฟ้าอยู่ในการควบคุมดูแลของวนอุทยานภูชี้ฟ้า แต่การปกป้องรักษาแหล่งท่องเที่ยวนี้จะปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่จำนวนน้อยคงไม่ได้ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสมบัติและทรัพยากรของชาติที่ทุกคนควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ดูแลรักษาและมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรเอกชน องค์กรปกป้องท้องถิ่น องค์กรภาคประชาชน ราษฎรในพื้นที่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนถึงนักท่องเที่ยวทุกคนต้องมีจิตสำนึกรัก และหวงแหน ร่วมกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การจัดระบบการจัดสรรทรัพยากรน้ำ พื้นที่ ป่าไม้ ชุมชนข้างเคียงและแหล่งท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง หรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ สมควรให้เหมาะสมกลมกลืนกับธรรมชาติ เสริมสร้างความมั่นคงต่อชุมชน พื้นที่และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น ให้ควบคู่ไปกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว แล้วจะทำให้เจตนารมณ์และเป้าหมาย ของผู้ที่ร่วมกันคิดเสริมสร้างความมั่นคงที่ผ่านมาในอดีต มีความรู้สึกภาคภูมิใจสมกับเจตนาอันแรงกล้าที่อยากให้ทุกคนประทับใจกับการมาเยือนภูชี้ฟ้าอีกครั้ง แล้วในอนาคตภูชี้ฟ้า ก็คือหลังคาแห่งสยามต่อไป
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:06:33 น.
อยู่บริเวณ กม. ที่ 12 ทางหลวงหมายเลข 1149 เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระ-ตำหนักเป็นอาคารสองชั้น มีรูปทรงผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของสวิส มีการแกะสลักไม้ตามกาแล เชิงชายและขอบหน้าต่างเป็นลวดลายต่าง ๆ ฝีมือช่างชาวเหนือ
การเดินทาง
พระตำหนักดอยตุงอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย 60 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 110 ไป 45 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1149 ไปประมาณ 15 กิโลเมตร สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยรถประจำทางสามารถใช้บริการรถสองแถวสีม่วงบริเวณปากทาง รถออกตั้งแต่ 07.00 น. มีรถออกทุก 20 นาที
พระตำหนักดอยตุง
เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จย่า ปลูกแบบง่ายๆ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระตำหนักสร้างด้วยไม้ทั้งหลังโดยมีโครงเหล็กอยู่ภายใน ไม้ในการสร้างเป็นไม้ลังใส่สินค้าที่การท่าเรือฯ คลองเตย ทูลเกล้าถวายแด่สมเด็จย่า เมื่อสร้างออกมาแล้วสวยงามยิ่งนัก รูปแบบการสร้างเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมล้านนากับบ้านพื้นเมืองสวิตเซอร์แลนด์ ที่เพดานห้องโถงทำเป็นเพดานดาว บริเวณด้านหลังพระตำหนักมีระเบียงยืนออกไป เมื่อยืนที่ระเบียงจะเห็นทัศนียภาพของดอยตุงที่สวยงาม บริเวณขอบระเบียงมีกระบะปลูกไม้ดอกที่มีสีสันสวยงาม พระตำหนักเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยจะต้องมีมัคคุเทศก์ของพระตำหนักเป็นผู้นำเยี่ยมชม
เยี่ยมชมพระตำหนัก พักรีสอร์ท
เยือนหมู่บ้านชาวเขา
เดินเท้าในดงกุหลาบพันปี...
รื่นรมย์ชมไม้เมืองหนาว
ณ สวนแม่ฟ้าหลวง
ละลานตาด้วยแปปลงไม้ดอก และไม้พุ่ม จากทุกมุมโลกหมุนเวียนกันเบ่งบานตลอดปีสวยสดราวผืนพรมธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ชมสวนหิน สวนน้ำพุ น้ำผุด ที่จะปรับเปลี่ยนไปทุกปี ในช่วงงาน ห่มหนาว ราวเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน
ณ หอพระราชประวัติ
เรียนรู้ปรัชญาในการดำรงพระชนม์ชีพ ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ผู้ทรงให้ชีวิตใหม่แกดอยตุง ราษฎรพากันขานพระนามของพระองค์ว่า แม่ฟ้าหลวง
นิทรรศกาวจัดแสดงด้วยเทคนิคทันสมัยน่าตื่นใจ และสะเทือนอารมณ์ นับแต่เสด็จสู่สวรรคาลัย ก่อนจะย้อนกลับไปยังช่วงต้นของพระชนม์ชีพ แรกพบสมเด็จพระบรมราชชนก พระราชพิธีอภิเษกสมรส ทรงร่วมใช้ชีวิตที่ประเทศอังกฤษ เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ทรงงอภิบาลพระประมุขของชาวไทย 2 พระองค์พร้อม เสด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงงานด้านการศึกษา สาธารณสุข สาธารณกุศล และทรงได้รับยกย่องจากยูเนสโกเป็น บุคคลดีเด่นแห่งศตวรรษที่ 20
เชียงราย อารยนครอายุกว่า 700 ปี มีมนต์เสน่ห์ล้ำลึกของวัฒธรรมล้านนา กลมกลืนกันอยู่ในโอบล้อมของผืนป่า ที่เริ่มคืนความเขียวชอุ่ม ภายหลังเกิดโครงการพัฒนาดอยตุงฯ กว่า 30 ปี ที่ผ่านมา ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระศรีนครินทรายรมราชนนี ชาวเขาและชาวพื้นราบในบริเวณรอบดอยตุง ยอดสูงสุดของดอยนางนอน พรมแดนไทย เมียนมาร์ ได้เปลี่ยนวิถีจากการปลูกและเสพฝิ่น ถางป่าตัดป่าและทำไร่เลื่อนลอย หันมาทำการเกษตร ปลูกพืชผักเมืองหนาว ทำไร่กาแฟและแมคคาเดเมีย สร้างผลงานเย็บปักถักร้อย ที่เชือมต่อวัตถุดิบพื้นถิ่น และหัตถศิลป็พื้นเมือง สู่การใช้งานในชีวิตประจำวันแบบสากล ในขณะที่กลุ่มชน 30 ชาติพันธุ์ ที่ยังคงอาศัยอยู่อย่างสงบตามไหล่เขา และบนดอยสูงแนบแน่นอยู่กับแระเพณีดั้งเดิมของตน โดยไม่ถูกวัฒนธรรมเมืองกลืนกิน
วันนี้...ดอยตุงพร้องต้อนรับผู้มาเยือนสู่วิถีชุมชนสัมมาชีพ ในโอบล้อมของสวนป่า และอุทยานที่แลล้วนด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ อันงดงามเกินบรรยาย
เดินชมดงกุหลาบพันปี
ณ สวนรุกขชาติ ดอยช้างมูบ สงบสุขในเส้นทางธรรมชาติที่แวดล้อมด้วยกลิ่นไม้สน เข้าสู่ดงกุหลาบพันปีนานาพันธุ์ แล้วแวะชมธารน้ำพระทัย ธารน้ำผุดที่รินไหลสู่เบื้องล่าง
พักรีสอร์ท
ณ ดอยตุง ลอด์จ
ห่างจากพระตำหนักดอยตุงระยะเดิน 15 นาที สามารถมองเห็นหมู่บ้านชาวเขา ทุ่งนาป่าสน และดอยตุงในมุมกว้าง ท่ามกลางเสียงใบไม้ และนกร้อง
มีห้องพักปรับอากาศเตียงคู่ และเดี่ยว 47 ห้อง พร้อมทีวี ตู้เย็น เครื่องเป่าผม บริการซักรีด ร้านขายของที่ระลึก ห้องประชุม สัมมนา ร้านอาหารครัวตำหนัก บริการอาหารไทยพร้อมผักปลอดสารพิษ เก็บสดจากไร่ในโครงการ
เยือนหมู่บ้านชาวเขา
ชมวิถีชีวิตชาวเขาเผ่าอาข่า (อีก้อ) ลาหู่ (มูเซอ) ไทยใหญ่ (ฉาน) และจีนอพยพ ที่ยังคงรักษาพิธีกรรมเก่าแก่ไว้ได้ ในพื้นที่ร่ำรวยอารยธรรมชนเผ่าซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน
พระตำหนักดอยตุง เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระ-ตำหนักเป็นอาคารสองชั้น มีรูปทรงผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของสวิส มีการแกะสลักไม้ตามกาแล เชิงชายและขอบหน้าต่างเป็นลวดลายต่าง ๆ ฝีมือช่างชาวเหนือ
คำไหว้บูชาพระบรมธาตุ
นโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
พิมพา ธะชัคคะ ปัพพะเต นะจุฬาธาตุ จิรงมะหาคะมานะ มามิหัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา
พระบรมธาตุดอยตุง
พระธาตุประจำผู้เกิดปีกุญ (กุน)
พระบรมธาตุดอยตุง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของเชียงราย ประดิษฐานอยู่บนยอดดอยตุง ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุดอยตุง ต.ห้วยไคร้ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีถนนแยกจากบ้านห้วยไคร้ขึ้นไปจนถึงองค์พระบรมธาตุ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีอยู่ 2 องค์ โดยมีเรื่องเล่าว่าได้มีการนำพระบรมธาตุมาบรรจุที่ดอยตุงถึง 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็จะมีการก่อเจดีย์ขึ้นด้วย แต่มีเพียง 2 องค์เท่านั้นที่ได้รับการบูรณะและอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพระเจดีย์ทั้ง 2
องค์นี้เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมธาตุส่วนไหปลาร้า และพระธาตุย่อย องค์พระธาตุบรมธาตุเจดีย์ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ ๒๐๐๐ เมตร
หลุมตุง อยู่ใกล้ ๆ กับพระธาตุดอยตุงเป็นหลุมสำหรับปักตุงของพระมหากัสสป ปัจจุบันได้รับการดูแลอย่างดี มีการกั้นรั้วล้อมไว้เป็นสัดส่วน
ตามตำนาน มีว่า เดิมสถานที่ตั้งพระบรมธาตุดอยตุง มีชื่อว่า ดอยดินแดง อยู่บน เขาสามเส้น ของพวกลาวจก ต่อมาสมัยพระเจ้าอุชุตะราช รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์สิงหนวัต ผู้ครองนครโยนกนาคนคร เมื่อปี พ.ศ. ๑๔๕๒ พระมหากัสสป ได้นำพระบรมสารีริกธาตุในส่วนของพระรากขวัญเบื้องซ้าย (ไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้ามาถวาย ซึ่งตรงตามคำทำนายของพระพุทธองค์ว่า " ที่ดอยดินแดงแห่งนี้ ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐานพระมหาสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในภายภาคหน้า"
พระเจ้าอุชุตะราช มีพระราชศรัทธา ได้เรียกหัวหน้าลาวจกมาเฝ้า พระราชทานทองคำจำนวนแสนกษาปณ์ ให้เป็นค่าที่ดินบริเวณดอยดินแดงแก่พวกลาวจก แล้วทรงสร้างพระสถูปขึ้น โดยนำธงตะขาบยาว ๓,๐๐๐ วา ไปปักไว้บนดอย เมื่อหางธงปลิวไปไกลเพียงใด้ ให้กำหนดเป็นฐานพระสถูปเพียงนั้น ดอยดินแดงจึงได้ชื่อใหม่ว่า ดอยตุง (คำว่า ตุง แปลว่า ธง) เมื่อสร้างพระสถูปเสร็จ ก็ได้นำพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวบรรจุไว้ให้คนสักการะบูชา
ต่อมาสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช แห่งราชวงศ์ลาวจก พระมหาวชิระโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย จำนวน ๕๐ องค์ พระเจ้าเม็งรายจึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นอีกองค์หนึ่ง เหมือนกับพระสถูปองค์เดิมทุกประการ ตั้งคู่กัน ดังปรากฎอยู่จนถึงทุกวันนี้
ชาวเชียงราย มีประเพณีการเดินขึ้นดอยบูชาพระธาตุ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี
พระธาตุดอยตุง ถูกกำหนดให้เป็นพระธาตุเจดีย์ของผู้ที่เกิดปีกุญ เนื่องเพราะปู่เจ้าลาวจกและพระยามังราย ต้นวงศ์กษัตริย์เชียงใหม่ต่างก็ประสูติใน "ปีกุญ"
องค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีอยู่ 2 องค์ โดยมีเรื่องเล่าว่าได้มีการนำพระบรมธาตุมาบรรจุที่ดอยตุงถึง 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็จะมีการก่อเจดีย์ขึ้นด้วย แต่มีเพียง 2 องค์เท่านั้นที่ได้รับการบูรณะและอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพระเจดีย์ทั้ง 2 องค์นี้เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมธาตุส่วนไหปลาร้า และพระธาตุย่อย
พระบรมธาตุดอยตุง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของเชียงราย ประดิษฐานอยู่บนยอดดอยตุงองค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีอยู่ 2 องค์ โดยมีเรื่องเล่าว่าได้มีการนำพระบรมธาตุมาบรรจุที่ดอยตุงถึง 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็จะมีการก่อเจดีย์ขึ้นด้วย แต่มีเพียง 2 องค์เท่านั้นที่ได้รับการบูรณะและอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพระเจดีย์ทั้ง 2 องค์นี้เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมธาตุส่วนไหปลาร้า และพระธาตุย่อย องค์พระธาตุบรมธาตุเจดีย์ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ ๒๐๐๐ เมตร
สวนแม่ฟ้าหลวง
เป็นแหล่งท่องเที่ยวเด่นของเชียงราย อยู่เหนือจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 45 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ลักษณะเป็นเทือกเขาสูงทอดตัวยาวอยู่ทางด้านซ้ายของเส้นทางที่มุ่งไปอำเภอแม่สาย แต่เดิมเป็นเทือกเขาหัวโล้นที่ถูกชาวเขาตัดทำลายเพื่อใช้พื้นที่ทำการเกษตร จนกระทั่งสมเด็จย่าได้เสด็จมายังดอยตุงและทรงมีพระราชดำรัสว่า ฉันจะปลูกป่าดอยตุง
หลังจากนั้นในปี 2530 รัฐบาลจึงได้เริ่มจัดทำโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นโดยปลูกป่าคืนความสมบูรณ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ ได้ดึงชาวเขาเข้ามาทำงานในโครงการปลูกป่าดอยตุง แต่ก่อนนั้นเส้นทางขึ้นดอยตุงเป็นเส้นทางลอยฟ้า คือเมื่อนั่งรถบนถนนดอยตุงแล้วมองลงมาก็จะเห็นวิวโล่งๆ ไม่มีต้นไม้มาบดบังทัศนียภาพ แต่ในปัจจุบันนี้ดอยตุงกลับคืนสภาพเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งเมื่อนั่งรถไปตามเส้นทางขึ้นดอยตุงจะเห็นแต่ต้นไม้แน่นขนัดนั่นล้วนเป็นป่าปลูกทั้งสิ้น หลังจากโครงการปลูกป่าแล้วเสร็จจึงได้มีการสร้างพระตำหนักดอยตุง และมีโครงการอีกหลายๆ โครงการตามมาเพื่อสร้างอาชีพให้กับคนในท้องถิ่น
จากเทือกเขาหัวโล้นกลับกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของเชียงราย แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวดอยตุงเป็นจำนวนมากแหล่งท่องเที่ยวบนดอยตุงที่นักท่องเที่ยว
ขึ้นไปเยี่ยมชมได้แก่ สวนแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง พระธาตุดอยตุง สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวงดอยช้างมูบ
สวนแม่ฟ้าหลวง หรือสวนดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวบนพื้นที่ 25 ไร่ อยู่ในแอ่งที่ราบด้านทิศเหนือของพระตำหนัก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2534 ภายในสวนถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกดอกตลอดปี กลางสวนมีประติมากรรมเด็กยืนต่อตัว งานประติมากรรมนี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า " ความต่อเนื่อง " นอกจากแปลงไม้ประทับกลางแจ้งแล้วยังมีโรงเรือนไม้ในร่ม จุดเด่นคือกล้วยไม้จำพวกรองเท้านารีชนิดต่างๆ ที่มีดอกสวยงามมาก ความภาพความสวยงามของสวนแม่ฟ้าหลวง
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม ท่านละ 150 บาท รวม 3 สถานที่ ( สวนแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง หอพระราชประวัติ )
การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงรายใช้เส้นทางสาย 110 เป็นเส้นทางที่มุ่งสู่แม่สาย ประมาณ กม. 870-871 เลี้ยวซ้ายขึ้นดอย 17 กม. ถึงพระตำหนักดอยตุง
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:07:31 น.
สัมผัสหมู่บ้านชาวจีน ชิมชารสเลิศ ลิ้มรสอาหารจีน ชมดอกซากุระบานทั่วดอยแม่สลอง
ดอยแม่สลองหรือดอยสันติคีรี เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนจากกองพล 93 ที่อพยพเข้ามาอยู่บนดอยแม่สลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ชุมชนบนดอยแม่สลองจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศชีวิตและวัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบชาวจีนแถบมณฑลยูนนาน ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยปลูกชาและพืชผักเมืองหนาว ท่ามกลางทิวทัศน์ที่งดงามอากาศเย็นสบาย ตลอดจนอาหารการกินอันขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นอาหารจีนแท้ ๆ ตามตำหรับอาหารจีนแถบตอนใต้
บ้านเทอดไทย เดิมเรียกว่า บ้านหินแตก อยู่ห่างจากเชียงราย 66 กิโลเมตร ในปี พ.ศ.2511 ขุนส่าเคยเข้ามาใช้เป็นฐานที่มั่นในฐานะผู้นำกองทัพกู้ชาติไต ขุนเป็นคำที่ประชาชนในรัฐฉานเรียกบุคคลที่ให้ความเคารพนับถือ แต่ชาวโลกรู้จัก ขุนส่า ดีในชื่อ ราชาเฮโรอีน ระหว่างปี พ.ศ. 2519-2525 ขุนส่าได้ใช้บ้านหินแตกเป็นฐานที่มั่นอย่างถาวรและกระทำการผิดกฎหมายจนทางรัฐบาลไทยต้องใช้กำลังผลักดันให้ออกไปจากประเทศไทยคงทิ้งไว้แต่อดีตที่เหลืออยู่ เช่น บ้านพักที่ขุนส่าใช้เป็นศูนย์บัญชาการ นอกจากนี้บ้านเทอดไทยยังเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวเขาหลายเผ่าซึ่งสามารถพบเห็นได้ในตลาดยามเช้า
ที่ตั้ง
ตั้งอยู่ที่ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
การเดินทาง (แผนที่)
รถยนต์ส่วนตัว ไปตาม ถ. พหลโยธิน เลย อ.แม่จันไปประมาณ 1 กม. บริเวณบ้านป่าซางตรงหลัก กม. ที่ 860 มีทางแยกซ้ายมือไป 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 1130 ต่อกับ 1234 ถึงศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเลยจากศูนย์ฯ ไป 11 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านผาเดื่อ ซึ่งเป็นจุดแวะชมและซื้อหัตถกรรมชาวเขา จากนั้นเดินทางจากบ้านเย้าถึงบ้านอีก้อสามแยก ทางขวาไปหมู่บ้านเทอดไทย ส่วนแยกซ้ายไปดอยแม่สลอง ระยะทาง 18 กิโลเมตร รวมระยะทางจากเชียงราย 42 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางตลอดสาย จึงถึงดอยแม่สลอง ส่วนอีกทางหนึ่งก่อนถึง อ.แม่จัน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1089 ไปเรื่อย ๆ จนถึงระหว่างหลัก กม. ที่ 54 และ 55 (กิ่วสะไต) มีแยกทางขวามือไปอีก 13 กม. จึงถึงดอยแม่สลองได้เช่นกัน จากเชียงรายใช้เส้นทางสายแรกสะดวกที่สุด (และจากดอยแม่สลองมีถนนเชื่อมต่อไปถึงบ้านท่าตอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง 45 กิโลเมตร)
รถโดยสารประจำทาง ขึ้นรถโดยสารประจำทางที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.เชียงราย รถโดยสาร สาย เชียงราย-แม่สาย ตรงชานชาลาหมายเลข 5 แล้วลงบริเวณบ้านป่าซาง (ปากทางไปดอยแม่สลอง) อ.แม่จัน จะมีคิวรถสองแถวสีเขียวบริการนักท่องเที่ยว ตั้งแต่เวลา 06.00 - 17.00 น. (รถออกทุก 30 นาที) ราคาเหมา ประมาณ 700-800 บาท/คัน/ 10 คน (คนละ 80 บาท) ** ราคารถอาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาสอบถามล่วงหน้าก่อนการเดินทาง**
ประวัติ
ในอดีตบนดอยแห่งนี้เป็นที่อยู่ของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่ยังชีพด้วยด้วยการทำไร่เลื่อนลอย จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เทือกดอยแถบนี้เตียนโล่งมาจนปัจจุบัน ต่อมาดอยแม่สลองเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปี พ.ศ. 2504 เมื่อทหารจีนกองพลที่ 93 จากมณฑลยูนนานอพยพเข้ามาอาศัยอยู่
เป็นชุมชนของอดีตทหารจีนกองพล 93 สังกัดพรรคก๊กมินตั๋งของนายพลเจียงไคเช็ค ทำการรบอยู่ทางตอนใต้ของจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในจีน เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์นำโดยเหมาเจ๋อตุง ยึดอำนาจสำเร็จ พรรคก๊กมินตั๋งจึงถอยร่นไปปักหลักที่เกาะไต้หวัน กองพล 93 กลายเป็นกองกำลังพลัดถิ่น ถูกกดดันอย่างหนักจนถอยร่นเข้ามาในเขตพม่า แต่ถูกฝ่ายพม่าผลักดัน เกิดการปะทะกันหลายครั้งจนต้องถอยร่นมาจนถึงเทือกดอยตุงชายแดนไทย
ฝ่ายพม่าได้ร้องเรียนไปยังสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2496 และมีมติให้อพยพกองกำลังพลัดถิ่นไปยังประเทศไต้หวัน แต่ทหารสังกัดนายพลหลี่เหวินฝาน และนายพลต้วนซีเหวินราว 3 หมื่นคน ทำเรื่องขอลี้ภัยในประเทศไทย เนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคต เพราะไต้หวันเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ รัฐบาลไทยอนุญาตโดยจัดสรรให้ทหารของนายพลหลี่เหวินฝานไปอยู่ที่ถ้ำง้อบ อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ ส่วนทหารสังกัดนายพลต้วนซีเหวิน 15,000 คน อยู่บนดอยแม่สลอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เพื่อใช้เป็นกันชนกับชนกลุ่มน้อย ทำให้ดอยแม่สลองในยุคแรกเป็นดินแดนลี้ลับต้องห้าม มีปัญหายาเสพติดและกองกำลังติดอาวุธมาตลอด ทางการไทยได้พยายามแก้ปัญหา โอนกองกำลังเหล่านี้มาอยู่ในความดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุด
กระทั่งปี พ.ศ. 2515 ครม. มีมติรับทหารจีนคณะชาติให้อาศัยในแผ่นดินไทยอย่างเป็นทางการ ยุติการค้าฝิ่น ปลดอาวุธ และหันมาทำอาชีพเกษตรกรรม โดย พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ริเริ่มโครงการปลูกชา และปลูกสนสามใบเพื่อทดแทนป่า ชุมชนบนดอยแม่สลองได้ชื่อใหม่เป็นบ้านสันติคีรี มีการออกบัตรประชาชนให้เมื่อปี พ.ศ. 2521 ดอยแม่สลองคืนสู่ความสงบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญนับแต่นั้นมา
สถานที่ท่องเที่ยว
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทร์สถิตมหาสันติคีรี
ตั้งอยู่บนยอดดอยสูงสุดของแม่สลอง ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กม. พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดที่ระดับความสูง 1,500 ม. เหนือหมู่บ้านสันติคีรี ห่างจากหมู่บ้าน 4 กม. มีถนนลาดยางตัดขึ้นไปยังพระบรมธาตุฯ แต่ถนนสูงชัน คดเคี้ยวมาก พระบรมธาตุฯ สร้างแล้วเสร็จเมื่อราวปี พ.ศ. 2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า เป็นเจดีย์แบบล้านนาประยุกต์ บนฐานสี่เหลี่ยมลดชั้น สูงประมาณ 30 ม. ฐานกว้างด้านละประมาณ 15 ม. ประดับกระเบื้องสีเทา มีซุ้มจระนำด้านละสามซุ้ม เรือนธาตุประดับพระพุทธรูปยืนสี่ทิศ องค์ระฆังประดับแผ่นทอง แกะสลักลวดลาย ใกล้กับองค์เจดีย์เป็นวิหารแบบล้านนาประยุกต์ที่ตั้งของพระบรมธาตุฯ เป็นจุดสูงสุดของเทือกดอยแม่สลอง จึงชมทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยเฉพาะในยามเย็น ขณะเดียวกันองค์พระธาตุยังเด่นเป็นสง่า มองเห็นแต่ไกล เป็นสัญลักษณ์อีกอย่าง ของดอยแม่สลอง
สุสานนายพลด้วน
ผู้นำทหารจีนฮ่อแห่งกองพันที่ 5 กองพล 93 เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมขึ้นไปเคารพศพนายพลด้วน ตัวสุสานสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมด แท่นหินอ่อนบรรจุร่างนายพลต้วนซีเหวิน อยู่ภายในศาลาเก๋งจีนขนาดใหญ่ สีขาว พื้นปูหินอ่อน ด้านหลังแท่นบรรจุศพ มีภาพถ่ายเก่าแก่เกี่ยวกับประวัติและผลงาน ด้านหน้าเป็นลาดเนิน มีตัวอักษร "ต้วน" ภาษาจีน สีทองบนพื้นสีฟ้า สุสานนายพลต้วน ตั้งอยู่บนเนินเหนือหมู่บ้าน ระดับความสูงประมาณ 1,300 ม .แยกขึ้นไปทางด้านข้างคุ้มนายพลรีสอร์ต ประมาณ 1 กม. สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2523 บริเวณที่ตั้งสุสานยังเป็นจุดชมทิวทัศน์ของดอยแม่สลองได้อย่างกว้างไกล สามารถมองเห็นบ้านสันติคีรีในหุบต่ำลงไปเบื้องล่าง เป็นจุดชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ดีจุดหนึ่ง ด้านหน้ามีร้านชาสองร้าน ซึ่งจะเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ทดลองชิมชา
ถนนสายดอกซากุระ
มีชื่อเรียกเฉพาะว่านางพญาเสือโคร่ง ซึ่งจะบานทุกปีในฤดูหนาว คือช่วงกลางเดือน ธ.ค.-ก.พ.โดยนักท่องเที่ยวสามารถเห็นดอกซากุระบานอวดดอกสีชมพูสวยเต็มต้นได้ตามริมทางขึ้นดอย ซึ่งถนนสายซากุระบนดอยแม่สลอง เส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านสันติคีรี ทั้งด้านกิ่วสะไต และบ้านอีก้อสามแยก จะปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งเรียงรายสองข้างทาง เป็นระยะทางกว่า 4 กม. ต้นนางพญาเสือโคร่งจะทิ้งใบจนหมด และผลิดอกสีชมพูพราวไปทั้งต้นในหน้าหนาว ดูราวกับดอกซากุระของญี่ปุ่น สวยงามมาก ต้นนางพญาเสือโคร่งเหล่านี้เป็นไม้พื้นถิ่นบนดอยทางภาคเหนือ เป็นไม้โตเร็ว นางพญาเสือโคร่งบนดอยแม่-สลองนำมาปลูกไว้ในช่วงปี พ.ศ. 2525
ซากุระเมืองไทย
นางพญาเสือโคร่ง (Prunus cerasoldes D. Don) จัดอยู่ในวงศ์ Rosaceae ซึ่งเป็นต้นไม้ในสกุลเดียวกับกุหลาบ บ๊วย ท้อ ซากุระ ฯลฯ ดอกของพญาเสือโคร่งมีสีชมพูลักษณะคล้ายกับดอกซากุระ จึงถูกขนานนามว่า ซากุระเมืองไทย
นางพญาเสือโคร่งเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบที่มีลำต้นสูงประมาณ 10 ม. เปลือกเรียบเป็นมัน สีเหลือบน้ำตาล มีใบขนาดเล็กรูปไข่ปลายเรียวแหลม ออกดอกสีชมพูเป็นช่อกระจุก รวมอยู่ใกล้ปลายกิ่งก้าน กลีบดอกมี 5 กลีบ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 2 ซม. แต่หลุดร่วงง่าย
นางพญาเสือโคร่งพบขึ้นอยู่ตามดอยสูงตั้งแต่ 1,000 2,000 ม. จากระดับน้ำทะเลทางภาคเหนือของไทย โดยจะออกดอกเต็มต้นในฤดูหนาว ช่วงเวลานี้บนดอยแม่สลองจึงงดงามไปด้วยสีชมพูของดอกนางพญาเสือโคร่ง
ชมงานมหัศจรรย์ชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง
งานมหัศจรรย์ชาดอยแม่สลอง จัดขึ้นช่วงเดือน ธันวาคม จนถึงเดือน มกราคม ณ บริเวณอนุสรณ์สถานวีรชนอดีตทหารจีนคณะชาติ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว อำเภอแม่ฟ้าหลวงร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก กำหนดจัด "งานมหัศจรรย์ชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง" ประจำปีขึ้น ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม-4 มกราคม ของทุกปี ณ บริเวณอนุสรณ์สถานวีรชนอดีตทหารจีนคณะชาติ บ้านสันติคีรี(ดอยแม่สลอง) ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย มีการจัดนิทรรศการ จำหน่ายใบชารสดี การแสดงวัฒนธรรมชนเผ่า ประกวดอาหารชนเผ่าและอาหารที่ประกอบจากใบชา ประกวดเทพธิดาใบชา ประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง การแสดงแสงสีเสียง(การแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชนเผ่า) บนดอยแม่สลอง 6 ยุคสมัย นอกจากนี้ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ส่งท้ายปีเก่า จะมีการจุดพลุ ปล่อยโคมลอย และเช้าวันที่ 1 มกราคม จะมีการทำบุญตักบาตรใบชาพระสงฆ์ มีขันโตก 9 มงคล
อนุสรณ์สถานอดีตทหารจีนคณะชาติ
ตั้งอยู่ที่ บ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงประวัติศาสตร์ว่า ที่บ้านสันติคีรีเป็นหมู่บ้านของอดีตทหารจีนคณะชาติ (ทจช.ก๊กมินตั๋ง) กองพล 93 ได้ช่วยราชการไทยต่อสู้และปราบปรามคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ดอยหลวง ดอยขาว และดอยผาหม่น จ.เชียงราย
พ.ศ.2514-2528 และพื้นที่เขาย่า จ.เพชรบูรณ์ ในปี 2524 จากการสู้รบดังกล่าวอดีตทหารจีนคณะชาติได้เสียชีวิตและบาดเจ็บทุพพลภาพเป็นจำนวนมากรัฐบาลไทยจึงกำหนดสถานะให้อดีตทหารจีนและคณะชาติเหล่านั้น เป็นผู้ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศไทย และให้แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ ซึ่งทำให้อดีตทหารจีนคณะชาติเหล่านี้ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเป็นอย่างมาก
อนุสรณ์สถานดังกล่าวออกแบก่อสร้างและตกแต่งอย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมจีน ข้างในเป็นที่รวบรวมข้อมูล ประวัติความเป็นมาของชุมชนแม่สลอง ประวัติของคณะทหารจีนคณะชาติ ความเหนื่อยยาก การตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย และมีห้องสมุดที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง มีการจัดแสดงภาพถ่ายประวัติศาสตร์ความเป็นมา รูปภาพ และสิ่งสำคัญต่างๆ บนดอยแม่สลองที่ได้เกิดขึ้นในอดีต โดยนักท่องเที่ยวที่เข้าชมได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00-17.00 น. เสียค่าบำรุงอนุสรณ์สถาน ฯ คนไทย 30 บาท คนต่างชาติ 50 บาท โทร. 053-765114-9
สอบถามรายละเอียดที่ อบต.แม่สลองนอก โทร. 0 5376 5129
สวนชาบ้านสันติคีรี
ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย บ้านสันติคีรีเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่มีการผลิตชากันมาก และได้รับการพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวสวนชา OTOP ผลิตภัณฑ์ชาที่จำหน่ายก็ได้ผ่านการคัดสรรให้เป็นสินค้าสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ชาที่ถูกใจนำไปฝากคนใกล้ ชิดได้เช่นกัน บ้านสันติคีรีนี้มีกลุ่มผลิตชาหลายกลุ่มได้แก่ กลุ่มชาวังพุดตาล บริษัทใบชาโชคจำเริญ จำกัด และกลุ่มสวนชาดอยตุง ซึ่งอยู่ที่ ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
สถานที่ติดต่อและจัดจำหน่าย
บริษัท ใบชาโชคจำเริญ จำกัด
5 หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย 57110
โทร 053-765-114-9,0-1883-4875
แหล่งซื้อของฝาก
สินค้าประเภทพืชไร่เมืองหนาว ชา กาแฟ ลูกท้อ ลูกบ๊วย ไวน์ เครื่องยาและเครื่องปรุงอาหารต่าง ๆ จากเมืองจีน รวมถึงเครื่องประดับจากชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อหาติดไม้ติดมือกลับบ้านไปได้ ราคาสินค้าจัดว่าไม่แพงนักเมื่อเทียบกับคุณภาพ
สำหรับสินค้าที่ขึ้นชื่ออย่างยิ่งของดอยแม่สลอง ได้แก่ ใบชาพันธุ์ต่าง ๆ มีร้านขายใบชาเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชิมอยู่หลายร้าน ร้านชิมชาเหล่านี้ส่วนมากไม่ไร่ชาและโรงอบชาเป็นของตนเอง
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:08:36 น.
ด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย โทร. 053-731008 อำเภอแม่สาย โทร. 053-733233, 053-731396
อำเภอแม่สาย อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย 61 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 110 เป็นอำเภอเหนือสุดของประเทศไทย ติดกับจังหวัดท่าขี้เหล็กของประเทศพม่า โดยมีแม่น้ำแม่สายเป็นพรมแดน มีสะพานเชื่อมเมืองทั้งสองเข้าด้วยกัน ทั้งชาวไทยและชาวพม่าเดินทางไปมาหาสู่ค้าขายกันโดยเสรี นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปยังตลาดแม่สายและท่าขี้เหล็กของพม่า เพื่อซื้อสินค้าพื้นเมืองและสินค้าราคาถูก เช่น สบู่สุมนไพร เครื่องทองเหลือง ตะกร้า การข้ามไปท่าขี้เหล็ก นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าเขตประเทศพม่าได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 06.30 - 18.00 น. โดยใช้บัตรประชาชน หรือบัตรอื่นๆ ที่ทางราชการออกให้ ค่าบริการคนละ 30 บาท ค่าผ่านแดนเข้าพม่า 10 บาท สินค้าที่ไม่อนุญาตให้ซื้อเข้าไทย ได้แก่ สินค้าจากากวัตว์ป่า สุรา บุหรี่ต่างประเทศและซีดีลามกอนาจาร หากซื้อมาเพื่อการค้าต้องเสียภาษีนำเข้าให้ถูกต้องด้วย
พระธาตุดอยเวา
วัดพระธาตุดอยเวา ตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (ตั้งอยู่บนดอยริมฝั่งแม่น้ำสาย) ตามประวัติกล่าวว่า พระองค์เวาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกเป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ.364 นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองลงจากพระบรมธาตุดอยตุง บนพระธาตุดอยเวาได้จัดตกแต่งให้มีความร่มรื่นเป็นอันมาก มีหอชมทิวทัศน์ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ในตัวเมืองแม่สาย และจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนม่าร์ ได้อย่างชัดเจน มีรูปปูนปั้นแมงป่องช้าง (แมงเวา) ตัวขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ บริเวณลานกว้างทางด้านเหนือขององค์พระเจดีย์ มีอนุสาวรีย์ของ พระนเรศวรมหาราช พระสุพรรณกัลยา และพระเอกาทศรสประดิษฐานอยู่เคียงข้างกัน โดยอนุสาวรีย์ทั้ง 3 พระองค์สร้างขึ้นตามความตั้งใจของหลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร รวมทั้งมีปราสาทไพชยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงคุณงามความดี และเพื่อสักการะพระอินทร์ (องค์อัมรินทราธิราช) ซึ่งร่วมสร้างกันหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ และเอกชน คหบดีของอำเภอแม่สาย ฯลฯ
ถ้ำผาจม
ถ้ำผาจม หรือ สำนักวิปัสสนาวัดถ้ำผาจม ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อยู่ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศเหนือประมาณ 1.5 กิโลเมตร ถ้ำผาจมตั้งอยู่บนดอยอีกลูกหนึ่งทางทิศตะวันตกของดอยเวา ติดกับแม่น้ำสาย เคยเป็นสถานที่พระภิกษุสงฆ์นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปัจจุบันมีรูปปั้นของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ประดิษฐานไว้บนดอยด้วย ภายในถ้ำผาจมมีหินงอกหินย้ยอยู่ตามผนังและเพดานถ้ำ สวยงามวิจิตรการตา
ถ้ำปุ่ม-ถ้ำปลา-ถ้ำเสาหินพญานาค
ถ้ำปุ่ม ถ้ำปลา ถ้ำเสาหินพญานาค ตั้งอยู่ที่ดอยจ้อง หมู่ 11 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศใต้ตามทางหลวงหมายเลข 110 ประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางแยกขวาเข้าไปอีกแระมาณ 2 กิโลเมตร ดอยจ้องเป็นภูเขาหินปูน จึงประกอบด้วย ถ้ำหอนงอก หินย้อย และทางน้ำไหลมากมาย ถ้ำปุ่มอยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขา ต้องปีนขึ้นไป ภายในถ้ำมืดมากต้องมีผู้นำทาง
ถ้ำปลา เป็นถ้ำหนึ่งที่มีน้ำไหลภายในถ้ำ เคยมีปลาชนิดต่างๆ ทั้งใหญ่น้อยว่ายออกมาให้เห็นเป็นประจำ ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปศิลปะพม่า สร้างขึ้นโดยภิกษุชาวพม่า ประชาชนทั่วไปเรียกว่า "พระทรงเครื่อง" เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนในแถบนี้
ถ้ำเสาหินพญานาค อยู่บริเวณเดียวกัน เดิมต้องพายเรือข้ามน้ำเข้าไปชม ภายหลังได้สร้างทางเดิน เชื่อมกับถ้ำปลา ระยะทาง 150 เมตร ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อย และยังเป็นที่ปฏิบัติธรรมด้วย
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:09:32 น.
การเดินทาง : ถนนสายเชียงราย - กรุงเทพฯ ถ้ามาจากกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ วัดร่องขุ่นจะอยู่ก่อนถึงตัวเมืองเชียงราย ๑๓ ก.ม ตรงหลัก ก.ม ที่ ๘๑๖ ถนนพลหลโยธิน (หมายเลข ๑ / A๒ ) เลี้ยวเข้าไปประมาณ ๑oo เมตร จะมีป้ายบอกเป็นระยะๆ
วันเวลาที่แนะนำ : สามารถเที่ยวชมได้ตลอดปี (เปิดให้เข้าชม เวลา 06.30-18.00 น.)
ข้อมูลเพิ่มเติม : วัดร่องขุ่น โทรศัพท์ o- ๕๓๖๗ -๓๕๗๙ สำนักงาน ททท. ภาคเหนือเขต ๒ โทรศัพท์ o- ๕๓๗๑- ๗๔๓๓
สถานที่ติดต่อ : บ้านร่องขุ่น ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ๕๗ooo ตั้งอยู่ กม.ที่ ๘๑๗ ก่อนถึงตัวเมือง ๑๓ กม. โทร.๐๕๓-๖๗๓-๕๗๙
เว็บไซต์วัดร่องขุ่น: //www.watrongkhun.com/ ,
//web.chiangrai.net/tourcr/attraction/temple/rongkhun.php
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:10:46 น.
ประวัติเมืองเชียงแสน
ประวัติความเป็นมาของเมืองเชียงแสน มีบรรทึกไว้ในตำนานพงศาวดานหลายฉบับหลายสำนวนแต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นเค้าโครงเดียวกัน การเริ่มเรื่องตำนานจะกล่าวตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาลว่าพระเจ้าสิงหลวัติกุมาร อพยกจากเมืองไทยเทศล่องมาตามลำน้ำโขง และตั้งบ้านแปลงเมืองโดยมีพญานาค ช่วยขุดคูปราการเมือง ปรากฏชื่อเมืองว่า นาคพันธุ์สิงหนวัตินคร
ต่อมาตามตำนานได้กล่าวถึงการรวบรวมดินแดนให้เป้นปึกแผ่นของ พระเจ้าสิงหนวัติ โดยรวมเอาชาวนิวัติขุ และการปราบปรามพวกกล๋อม หรือขอมให้อยู่ใต้อำนาจ หลังจากนั้นเมืองโยนกนาคพันธุ์ได้มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาหลายพระองค์ แต่ละพระองค์ต่างก็เน้นในการทำนุบำรุงศาสนาเป็นกลัก
ต่อมาในรัฐสมัยของพระเจ้าอังคราชอำนาจของขอม เมืองอุโมงคเสลา มีมากขึ้น สามารถรบชนะพระเจ้ามังคราชและขับไล่ให้ไปอยู่ที่เมองสีทอง โอรสพระเจ้ามังคราชคือ พระเจ้าพรหม สามารถปราบปรามพวกขอมลงได้สำเร็จจึงอัยเชิญพระเจ้าอังคราช กลับเข้าไปครองราชสมบัติที่ เมืองนาคพันธุ์ฯ ตามเดิม อานาเขตของเมืองนาคพันธุ์สมัยพระเจ้าพรมได้ขยายกว้างขึ้นไปอีกโดยไปสร้าง เวียงไชยปราการ และครองราชอยู่ที่นั้น ในรัชกาลของ พระเจ้าชัยศิริ เวียงไชยปราการก็ถูกรุกรามโดย กษัตริย์จากเมืองสะเทิม พระเจ้าชัยศิริเห็นว่าสู้ไม่ได้ จึงเสด้จไปที่เวียงกำแพงเพชร สำหรับทางเมืองนาคพันธุ์ก็มีกษัทตริย์ปกครองมาจนถึงรัชกาลของ พระเช้ามาชัยชนะ ก็เกิดเหตุการณ์อาเพสจนเมืองล่มกลายเป็นหนองน้ำ มืองเชียงแสนตั้งแต่สมัยพระนาราย เป็นต้นมา อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเริ่มประวัติศาสตร์เมืองเชียงแสนอย่างแท้จริง เพราะกาตริย์ที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ เมืองเชียงแสน ปัจจุบันสร้างขึ้นด้วยพระเจ้าแสนภู บริเวณเมืองเก่าแม่น้ำโขงราว พ.ศ. 1871 แต่มีบางท่านที่มีความเข้าใจว่าเมืองเชียงแสนอาจมีอายุแก่กว่านี้ได้
อานาเขตของเมืองเชียงแสนเมือแรกตั้ง ทิศเหนือติดต่อกับเมืองเชียงตุง ที่เมืองก่ายตัดไปหาบ้านท่าสามท้าว, ทิศตะวันออกเชียงเหนือ ติดแดนเมืองเชียงตุง ที่ดอยหลวงเมืองภูคา, สตะวันออกติดแดนหลวางพระบาน ที่ดอยเชียงคี ทิศตะวันออกเฉลียงใต้ ติดกับเขตแดนเมืองเชียงของ , ทิศใต้ติดกับเมืองเชียงราย บริเวณแม่น้ำยม, ทิศตะวันตกเเฉลียงใต้ ติดแดนเมืองฝาง ที่ดอยกิ่วคอหมา, ทิศตะวันตกติดกับเมืองลาด บริเวณดอยผาตาแหลว และ
ทิศตะวันตกเฉลียงเหนือ ติดกับดอยเชียงตุงบริเวรดอยผาช้างหลังจากสร้างเมืองแล้ว พระเจ้าแสนภูประทับอยู่ที่เมืองเชียงแสนจนสวณณรคต พ.ศ. 1877 เมืองเชียงแสน คงเป็นเมืองที่มีความสำคัญในขระนั้น เพราะกษัตริย์องค์ต่อมา คือพระเจ้าคำฟูทรงย้ายจากเชียงใหม่มาประทับที่เชียงแสนโดยตลอดรัชกาล แต่หลังจากสมัยพระเจ้าคำฟูแล้วเมืองเชียงแสนคงลดฐานะลงกลายเป็นเมืองลูกหลวางเท่านั้น เพราะพระเจ้าผายู โปรดให้พระเจ้ากือนาราชโอรสมาปกครองเมืองเชียงแสนแทน จากนั้นตั้งแต่รัชกาลกือนาเป็นต้นมา เมืองเชียงแสนถูกลดบทบาทลงไปอีก เพราะมหากษัทริย์รัชกาลต่อๆมา
ได้โปรดแต่งตั้งเพียงพระราชวงศ์หรือขุนนางที่มีความดีความชอบ ขึ้นมาปกครองในบานะเจ้าเมืองแทน ทำให้เมืองเชียงแสนคงอยู่ใรฐานะหัวเมืองหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม่จะลดบานะเป็นเพียงหัวเมือง แต่ผู้ปกครองเมืองเชียงแสนทุกคนต่างก็ทำนุบำรุงบ้านเมืองและมีการสร้างวัดวาอารามอยู่เสมอ จนกระทั้ง พ.ศ. 2100 เมืองเชียงแสนก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า พร้อมกับเมืองเชียงใหม่และอีกหลายๆเมืองในล้านนา
ต่อมาราวปีพ.ศ. 2153 ในรัชกาลของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มังนธาช่อเจ้าเมืองเชียงใหม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรโปรดจัดการปกครองเชียงใหม่และให้ออกรามเดโชไปครองเชียงแสน เมืองเชียงแสนอยู่ภายใต้ขัณฑสีมาของกรุงศรีอยุธยาได้ไม่นาน ก็ต้องยอมต่อพม่าอีกคั้งหนึ่ง จากนั้นพม่าก็แต่งตั้งขุนนางมาโดยตลอด บางครั้งก็มีกระแสพยายามจะปลดแยกอำนาจของพม่าของชาวพื้นเมือง เช่นกรณีของเทพสิงค์ และน้อยวิสุทิ์ แห่งลำพูนวึ่งสามารถตีเมืองเชียงแสนคืนได้ ในราวปี พ.ศ.2300 แต่ไม่นานพม่าก็กลับมาปกครองได้อีก จนกระทั้ง พ.ศ.2347 พระบาทสมเด็จพระยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดฯให้เจ้าฟ้าหลวง เทพหริรักษ์ และเจ้าพยายมราชยกทัพขึ้นไปสมทบกับทัพจากเวียงจันทนื น่าน ลำปาง และเชียงใหม่ รวมกำลังขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนเป็นผลสำเร็จและกวดต้อนผู้คนลงไปไว้ตามเมืองทั้งห้าการสึกครั้งนี้ทำให้เมืองเชียงแสนถูกเผาทำลายจนหมดความสำคัญทางยุทธศาสตร์ไปมากในรัชการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราว พ.ศ.2413 มีชาวพม่า ลื้อ เขิน จากเมืองเชียงตุง และชาวไทยใหญ่จากเมืองหมอกใหม่ ได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงแสนเจ้าอุปราชวงค์เมืองเชียงใหม่ จึงมีหนังสือแจ้งไปยังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯให้อุปราชเมืองเชียงใหม่ และโปรดฯเกล้าให้เจ้าอินต๊ะ นำราษฏรจากเมืองลำพูน ลำปาง และเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปตั้ง
ถิ่นฐานที่เมืองเชียงใหม่แทน แล้ว ยก เจ้าอินต๊ะ ให้เป็น พระยาราชเดชดำรง เจ้เมืองเชียงแสน ปี พ.ศ.2438 เมืองเชียงแสนหลวง ในปี พ.ศ.2472 ต่อมาถูกยุบบานะกลับเป็นอำเภอเชียงแสน ภายใต้การปกครองของจังหวัดเชียงรายอีกครั้งเมือ วันที่ 9 เมษายน 2500 จนถึงปัจจุบันศิลปะวัตถุเมืองเชียงแสนที่มีชื่อเสียงได้แก่ พระพุทธรูปที่ทำจากเนื้อสำริด มีทั้ง พระเชียงแสนสิงห์หนึ่ง วึ่งอยู่ใน ยุคของแสนแว้ว เป็นพระที่มีอายุเลิศล้ำทางศิลปะ และพระสกุลเชียงแสนสิงห์ต่างๆทั้งพระศิลปะลังกา สุดขทัย ตลอดถึงสมัยอยุธยาก็มี พระเครื่องส่วนใหญ่จะมีเนื้อตะกั่วสนิมแดง และเนื้อตะกั่วแซมไข ส่วนประเภทพระเนื้อดินนั้นมีน้อย
ข้อมูล: //www.phrachiangsan.com/
แหล่งท่องเที่ยว
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย หรือ ทะเลสาบเชียงแสน (Nong bong khai non-hunting area)
ตั้งอยู่ในเขตท้องที่ตำบลโยนก หมู่ 3 ตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน และตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์หนองบงคาย มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหนองน้ำ มีส่วนของพื้นที่ดินมีลักษณะเป็นป่าแนวแคบๆ อยู่รอบหนองและบนเกาะกลางน้ำเท่านั้น พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่จึงเป็นสังคมพืชน้ำซึ่งค้นพบ จำนวนทั้งสิ้น 185 ชนิด เช่น ผักบุ้ง , บอน , หญ้าไซ , บัวหลวง และ กก เป็นต้น เป็นพืชต่างถิ่น 15 ชนิด เช่น กระถินยักษ์ , หญ้าชน
พื้นที่แห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติทั้งด้านแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร จึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย สำหรับสัตว์ป่าจำพวกนกน้ำ ซึ่งพบทั้งสิ้น 156 ชนิด เป็นนกประจำถิ่น จำนวน 66 ชนิด , นกอพยพ จำนวน 64 ชนิด , นกประจำถิ่นและนกอพยพ จำนวน 16 ชนิด และนกไม่ทราบสถานภาพ จำนวน 10 ชนิด นกอพยพบางชนิดเป็นนกที่หายาก เช่น เป็ดเปียหน้าเขียว , เป็ดแมนดาริน , เป็ดผีใหญ่ เป็นต้น ส่วนนกประถิ่นได้แก่ นกเป็ดแดง , นกอีโก้ง , นกอีล้ำ เป็นต้น และบริเวณพื้นที่ ยังมีศาลานั่งพักผ่อน และบ้านพักสำหรับผู้ที่มาเยี่ยมชมและต้องการพักผ่อนหย่อนใจในธรรมชาติ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: โทร. 08-5716-6549 (ท่านหัวหน้าเขตฯ วชิรายุ เกียรติบุตร) , //web.chiangrai.net/tourcr/sport/bridwatching.php
วัดพระธาตุเจดีย์หลวง
วัดพระธาตุเจดีย์หลวง อำเภอเชียงแสน เป็นวัดที่เก่าแก่ของเมืองเชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนาไท เมื่อ พ.ศ. 1887 หลังจากนั้นพระเจ้าแสนภูได้เสด็จไปครองเมืองเชียงใหม่แทนพระราชบิดา คือ พระเจ้าชัยสงครามซึ่งเสด็จมาประทับยังเมืองเชียงราย พร้อมทั้งนำอัฐของพระราชบิดา คือพ่อขุนเม็งรายมหาราชที่เสด็จสวรรคตที่เชียงใหม่กลับมายังเมืองเชียงรายด้วย
พระธาตุเจดีย์หลวงได้ชื่อมาจากพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดซึ่งสูงถึง 88 เมตร มีฐานกว้าง 24 เมตร เป็นพระเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเชียงแสน ภายในวัดนอกจากพระเจดีย์หลวงแล้วยังมีพระวิหารซึ่งเก่าแก่มากพังทลายเกือบหมดแล้วและเจดีย์ธาตุแบบต่างๆ อีก 4 องค์ โบราณสถานแห่งนี้แม้ว่าจะปรักหักพังไปมากแล้วแต่ได้รับการบูรณะอย่างดีให้สมกับเป็นวัดที่สำคัญของเมืองหิรัญนครเงินยางภายในสมัยอาณาจักรล้านนาไท
วัดพระธาตุผาเงา
วัดพระธาตุผาเงา ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตก ตรงกันข้ามกับประเทศลาว อยู่ในหมู่บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน อยู่ทางทิศใต้ของตัวอำเภอเชียงแสนประมาณ 3 กม. หรืออยู่ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำประมาณ 15 กม. มีพื้นที่ทั้งหมด 743 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินเขาเล็กๆ ทอดยาวลงมาตั้งแต่บ้านจำปี ผ่านบ้านดอยจันและ มาสิ้นสุดที่บ้านสบคำ แต่ก่อนเขาเรียกดอยลูกนี้ว่า ดอยคำ แต่มาภายหลังชาวบ้านเรียกว่า ดอยจัน ชื่อของวัดนี้มาจากชื่อของพระธาตุผาเงาที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ คำว่าผาเงาก็คือ เงาของก้อนผา (ก้อนหิน) หินก้อนนี้มีลักษณะสูงใหญ่คล้ายรูปทรงเจดีย์และทำให้ร่มเงาได้ดีมาก ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า พระธาตุผาเงา ความจริงก่อนที่จะย้ายวัดมาที่นี่ เดิมมีชื่อว่า วัดสบคำ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขง ฝั่งน้ำได้พังทลายลง ทำให้บริเวณ ของวัดพัดพังลงใต้น้ำโขงเกือบหมดวัด คณะศรัทธาจึงได้ย้ายวัดไปอยู่ที่ใหม่บนเนินเขา ซึ่งไม่ไกลจากวัดเดิม
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดพระธาตุผาเงา โทร. 0-5377-7154-2 , องค์การบริหารส่วนตำบลเวียง โทร. 053-650803
สถานที่ติดต่อ :วัดพระธาตุผาเงา บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โทรศัพท์. 0-5377-7154-2
เว็บไซต์ : //www.watphradhatphangao.org/
เมืองโบราณเชียงแสน
เมืองเชียงแสนเป็นเมืองเล็กๆๆ ในจังหวัดเชียงรายและเป็นหนึ่งในเมืองโบราณเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่เลียบน้ำโขง แม่น้ำสายนานาชาติไหลผ่านประเทศมากกว่า 6 ประเทศ ให้ผู้คนมากมายได้อาศัย ชาวเชียงแสนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขท่ามกลางโบราณสถานมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งอำเภอ ....อาณาจักเชียงแสน พื้นที่ราบริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงถูกกล่าวขวัญผ่านตำนานประวัติศาสตร์เรื่องราวผูกโยงก่อนอาณาจักรล้านนาจะมีตัวตนเสียอีก เพียงแค่การยืนยันจากหลักฐานทางโบราณสถานที่หลงเหลือไม่อาจรองรับความเก่าแก่ระดับตำนานได้ เวียงหนองหล่ม จึงดำดิ่งไปกับตำนานสถาปัตยกรรมโบราณ เล่าความกลับไปไม่มากนัก ทว่าบ่งบอกเรื่องราวเติมเต็มให้กับล้านนาได้มากมาย
* พื้นที่ราบริมฝั่งตะวันตกแม่น้ำโขง
- เจดีย์วัดป่าสัก
- แนวกำแพงเมือง
- พระธาตุเจดีย์หลวง
- วัดมุงเมือง
- วัดพระบวช
- วัดพระเจ้าล้านทอง
* วัดบนเนินเขา และวิวเมืองเชียงแสนเขตปันแดนธรรมชาติแม่น้ำโขง
- วัดพระธาตุผาเงา
- วัดพระธาตุจอมกิตติ
* พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เชียงแสน
ข้อมูลเพิ่มเติม : //web.chiangrai.net/tourcr/Trip/Ancient-Chiangsaen/AncientCHIANGSAEN.html
สามเหลี่ยมทองคำ
อยู่ห่างจากเชียงราย 60 กม. เป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกมาบรรจบกัน หรือที่เรียกว่า สบรวก เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว พม่า บริเวณนี้เคยมีการค้าฝิ่น โดยแลกเปลี่ยนกับทองคำ ทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงบริเวณนี้มีความงดงามโดยเฉพาะยามเช้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางสายหมอกด้านฝั่งพม่า และลาว นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือเที่ยวชมทิวทัศน์จุดบรรจบของพรมแดนไทย ลาว และพม่า ค่าเช่าเรือประมาณ 400-600 บาท นั่งได้ 6 คน ถ้าต้องการนั่งชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำโขงไปไกลถึงเชียงแสนและเชียงของ ก็สามารถหาเช่าเรือได้ แต่ค่าเรือขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกล นักท่องเที่ยวที่สนใจล่องแม่น้ำโขงไปเที่ยวทางตอนใต้ของประเทศจีน เช่น สิบสองปันนา คุนหมิง สามารถติดต่อกับบริษัทนำเที่ยวในจังหวัดเชียงรายได้ หากต้องการจะชมทิวทัศน์มุมกว้างของสามเหลี่ยมทองคำบริเวณสบรวกและเพื่อนบ้าน ต้องขึ้นไปบนดอยเชียงเมี่ยง หรือจุดชมวิวบนวัดพระธาตุดอยปูเข้า
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:11:46 น.
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:12:52 น.
เริ่มจากสถานการณ์ก่อการร้ายในจังหวัดเชียงราย ในปี 2497 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ส่งผู้ปฏิบัติงานจำนวนหนึ่งเดินทางเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อแสวงหาแนวร่วมพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวเขาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน จ.เชียงราย และ จ.น่าน รวมทั้งพื้นที่ชายแดนด้าน จ.พะเยา ในปัจจุบันบางส่วน
ภายหลังจากสามารถปลุกระดมชาวเขาได้บางพื้นที่จนสำเร็จในปี พ.ศ. 2507 ได้คัดเลือกส่งไปอบรมวิชาการเมืองการทหารรุ่นแรกที่เมืองฮัวมินห์ ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเพื่อกลับมาเตรียมงานในพื้นที่ไว้รอรับสมาชิก
เริ่มจากสถานการณ์ก่อการร้ายในจังหวัดเชียงราย ในปี 2497 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ส่งผู้ปฏิบัติงานจำนวนหนึ่งเดินทางเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อแสวงหาแนวร่วมพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวเขาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน จ.เชียงราย และ จ.น่าน รวมทั้งพื้นที่ชายแดนด้าน จ.พะเยา ในปัจจุบันบางส่วน
ภายหลังจากสามารถปลุกระดมชาวเขาได้บางพื้นที่จนสำเร็จในปี พ.ศ. 2507 ได้คัดเลือกส่งไปอบรมวิชาการเมืองการทหารรุ่นแรกที่เมืองฮัวมินห์ ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเพื่อกลับมาเตรียมงานในพื้นที่ไว้รอรับสมาชิก
พคท.ซึ่งได้เดินทางเข้าสู่พื้นที่ จ.เชียงราย ในปี พ.ศ. 2509 เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการชี้นำด้านการเมือง และการทหาร
เมื่อสามารถขยายเขตงานได้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง พคท.จึงเปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธกับเจ้าหน้าที่ในภาคเหนือขึ้นเป็นครั้งแรกที่บ้านน้ำปาน ต.นาไร่หลวง อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน
เมื่อ 26 ก.พ. 2510 ซึ่งถือว่าเป็นวัน "เสียงปืนแตก" ของ พคท.ในเขตภาคเหนือ จากนั้นได้ขยายการต่อสู้เรื่อยมา โดย ในวันที่ 9 พ.ค. 2510 ได้มีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่านรัฐบาลที่บ้านห้วยชมภู ต.ยยางฮอม อ.เทิง จ.เชียงราย (เป็นครั้งแรกในเขตพื้นที่ดอยยาว-ดอยผาหม่น)
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 พคท.สามารถจัดตั้งฐานที่มั่นในภาคเหนือได้ถึง 9 แห่ง และแห่งที่สำคัญแห่งหนึ่ง คือฐานที่มั่น ดอยยาว-ดอยผาหม่น จ.เชียงราย พคท.ได้จัดตั้งคณะทำงานในรูป "คณะกรรมการจังหวัดเชียงราย" แบ่งพื้นที่ปฏิบัติการออกเป็น 4 เขตงาน คือ เขตงาน 52, เขตงาน 9, เขตงาน 7 และเขตงาน 8
สำหรับพื้นที่ ดอยยาว-ดอยผาหม่น เป็นพื้นที่ควบคุมของเขตงาน 8 ในเขต อ.เทิง และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย รวมพื้นที่ อ.เวียงแก่น และ อ.ขุนตาล ในปัจจุบันนี้ ด้วยกองกำลังติดอาวุธของ พคท. ขณะนั้นมีประมาณ 600 คน มีมวลชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าม้ง อีกประมาณ 2,300 คน
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญ คือ ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการสร้างทาง และการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคง การสู้รบ ณ สมรภูมินี้เหิกขึ้นหลายยุทธการ เช่น ยุทธการอิทธิชัย (วีรกรรมดอยม่อนเคอ) ยุทธการขุนห้วยโป่ง และยุทธการเกรียงไกร (วีรกรรมที่เนิน 1188 พญาพิภักดิ์) โดยใช้กำลังทหารในพื้นที่ จ.เชียงราย เข้าปฏิบัติการกวาดล้าง และปราบปราม ผกค.ตามคำสั่ง ทภ.3/กอ.รมน. ภาค 3 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511- พ.ศ. 2525 จึงสามารถกำชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือ พคท.
ในปี พ.ศ. 2524 พัน.ร.473 ซึ่งมี พ.ท.วิโรจน์ ทองมิตร เป็น ผบ.พัน (ตำแหน่ง ผบ.ร.17 พัน.3) เข้าปฏิบัติการในพื้นที่ดอยยาว-ดอยผาหม่น ตามแผนการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์จนเกิดยุทธการยึดเนิน 1188 บนยอดดอยพญาพิภักดิ์ได้ ยังผลให้ พคท.ล่มสลายในที่สุด
ในวันที่ 27 ก.พ. 2525 ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช องค์จอมทัพไทย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวรี พระวรราชาธินัดดามาตุเพื่อทรงเยี่ยมทหารหาญและราษฎร ณ ฐานปฏิบัติการดอยพญาพิภักดิ์ บนสันดอยยาว อ.เทิง จ.เชียงราย และได้ทรงพระ กรุณาพระราชทานประทับรอยพระบาทของพระองค์ ลงบนแผ่นปูนปลาสเตอร์ ที่ทางฝ่ายทหารได้จัดเตรียมไว้เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นมิ่งขวัญแก่ทหารหาญทั้งปวง ซึ่งปัจจุบัน รอยพระยาท คู่หนึ่งได้ประดิษฐานอยู่ ณ ศาลารอยพระบาทของ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน คู่กับอนุสาวรีย์ผู้เสียสละ และรอรับการมาเยือนจากนักท่องเที่ยวอยู่ตลอดเวลา
ขอเป็นฐาน รองบาท ราชวงศ์ ด้วยจำนง จงรัก และภักดี
นี่คือข้อความที่เขียนไว้ที่ฐานของรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของคนไทย แห่งค่ายเม็งรายมหาราช ซึ่งถือเป็นรอยพระบาทในหลวงหนึ่งเดียวในเมืองไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชมหาราช
เนื่องในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชมหาราช ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา นั้นเป็นวโรกาสมิ่งมหามงคลอันพิเศษยิ่งที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าจักได้แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อพสกนิกร ด้วยการร่วมมือร่วมใจสร้างหอพิพิธภัณฑ์ รอยพระบาท ร.9 ไว้เป็นการถาวรวัตถุที่ทรงคุณค่าและเป็นสมบัติส่วนรวมของชาติสืบไป
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 คณะกรรมการธิการจัดงานนิทรรศการ "พระก่อพระเกื้อหล้า" ได้ทราบความเรื่องรอยพระบาท ฯ และเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์นี้ จึงได้ขอความร่วมมือมายัง กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่ออัญเชิญ รอยพระบาทฯ ไปร่วมจัดนิทรรศการ ฯ อาคารใหม่สวนอัมพร ตั้งแต่วันที่ 1-7 ธันวาคม 2542 และได้อัฐเชิญกลับมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2542 ในงานครั้งนี้มีประชาชนให้ความสนใจเข้าชมจำนวนมาก อีกทั้งมีการแพร่ภาพทางรายการโทรทัศน์หลายช่อง คำถามส่วนใหญ่ คือ รอยพระบาทเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้สร้างมีแรงดลใจอย่างไร มีจุดมุ่งหมายทำเพื่ออะไร ไม่เกรงกลัวบารมีบ้างหรืออย่างไร ฯลฯ ซึ่งความสนใจเหล่านี้คงเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความในใจใคร่รู้ของประชาชนส่วนใหญ่
ดังนั้น หากได้มีการก่อสร้างหอพิพิธภัณฑ์รอยพระบาท ร.9 ปละจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ส่วนนี้ไว้ให้ประชาชนได้ทราบความเป็นมา และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนความทรงจำ ความยากลพบากของการแย่งชิงอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งนี้ก็จะเป็นส่วนทำให้เกิดความรักชาติ หวงแหนแผ่นดินและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
การก่อสร้างหอพิพิธภัณฑ์รอยพระบาท ร.9
:: เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาคเอกชน ประชาชนทุกคน หมู่เหล่าทั่วประเทศ และทหารหาญกองทัพไทย ได้พร้อมเพรียงใจถวายความจงรักภักดี และแสดงความกตัญญูกตเวทีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2550 ด้วยการระดมทุนสร้างปราสาทประดิษฐานรอยพระบาท ร.9 เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานที่ถาวร และทูลเกล้าถวายเป็นราชสักการะในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา
:: เพื่อประดิษฐานรอยพระบาทอันเป็นมหามงคลซึ่งมิ่งขวัญของประชาชนจังหวัดเชียงราย และเป็นที่เคารพเทอทูนของประชาชนทั่วไป รวมทั้งเป็นสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเชียงรายต่อไป
:: เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์บนเส้นทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตัริย์เป็นประมุข
:: เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และทัศนศึกษาของประชาชน และนักท่องเที่ยวทั่วไป
:: ดำเนินการประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ปนะชาชนทุกหมู่เหล่า หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนในจังหวัดเชียงราย และประชาชนทั่วไป รวมทั้งเหล่าทหารหาญแห่งกองทัพภาคที่ 3 ได้มีโอกาสพร่อมเพรียงกันร่วมสร้างหอพิพิธภัณฑ์รอยพระบาท ร.9 และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหาร จำนวน 1 หลัง อันเป็นถาวรสถาน
:: เพื่อพร้อมใจกันถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 ปี
รอยพระบาท ร.9
:: เป็นสถาปัตยกรรมของภาคเหนือแบบล้านนา
:: เป็นที่ประดิษฐานรอยพระบาทได้อย่างสมพระเกียรติ
:: ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้รับความสะดวกในการเข้าชมพระบารมีและถวายสักการะ
:: นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมและทัศนศึกษาได้โดยสะดวก
:: งบประมาณ 20 ล้านบาท ในการสร้าง
บริเวณค่ายเม็งรายมหาราชในส่วนของ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อ.เมือง จ.เชียงราย
:: ฯพณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างศาลารอยพระบาท
:: กองทัพบก
:: กองทัพภาคที่ 3
:: กองพลทหารราบที่ 4
:: กรมทหารราบที่ 17
:: กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองคสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จังหวัดทหารบกเชียงราย
:: ส.ว. และ ส.ส. จังหวัดเชียงราย ร่วมเป็นที่ปรึกษา โครงการก่อสร้างศาลารอยพระบาท
โครงการสร้างปราสาทประดิษฐานรอยพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ณ ค่ายเม็งรายมหาราชในส่วนของ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ผู้มีความประสงค์ร่วมบริจาคได้ที่
ธนาคารทหารไทย สาขากองบัญชาการ
กองทัพบก บ/ช โครงการก่อสร้างศาลาฯ
หมายเลข 077-216381-2
และ บ/ช ออมทรัพย์ สาขา เชียงราย
315-2-49067-2
และร่วมบูชาพระกริ่งพ่อหลวงเพื่อระดมทุนก่อสร้างได้ที่
วัดศรีสุดารามวรวิหาร โทร. 02-4332229
ฝ่ายกิจการพลเรือน จังหวัดทหารบกเชียงราย โทร. 053-600902, 053-711200-1 ต่อ 3807
กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
โทร. 053-711205
โทรทหาร. 3032378
แผนที่ ปราสาทประดิษฐานรอยพระบาท
สถานที่ติดต่อ :: ค่ายเม็งรายมหาราชในส่วนของ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 โทร. 053-711205 , โทรทหาร. 3032378
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:16:08 น.
หมู่บ้านหัตถกรรมและท่องเที่ยว OTOP ประจำปี 2549
บ้านรวมมิตร หมู่บ้านริมแม่น้ำกก ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 19 กิโลเมตร มีธรรมชาติที่สวยงาม ชีวิตความเป็นอยู่สงบและเรียบง่าย ประกอบด้วยชนเผ่าอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรหลากลายอันเป็นที่มาของชื่อ หมู่บ้าน รวมมิตร ไม่ว่าจะเป็น กะเหรี่ยง อาข่า ม้ง เย้า ลีซอ และคนเมือง
ความหลากหลายของชนเผ่าจึงมีผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละชนเผ่า โดยเฉพาะผ้าทอต่างๆ อันสวยงาม สามารถซื้อหาไปตกแต่งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรือเป็นของฝากของที่ระลึก ก็ดูมีค่า ประกอบกับกิจกรรมท่องเที่ยวทางธรรมชาติด้วยพาหนะ ช้าง หรือ เกวียน ทำให้บ้านรวมมิตรเป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวต่างประเทศ จังหวัดจึงคัดเลือกให้เป็น หมู่บ้านหัตถกรรมและท่องเที่ยว OTOP ประจำปี 2549
บ้านรวมมิตร ตั้งอยู่หมู่ที่ 2ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย มี 184 ครัวเรือน จำนวนประชากร 841 คน ชาย 420 คน หญิง 421 คน (ปี 2549) ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตรและจำหน่ายสินค้าแก่นักท่องเที่ยว และที่รู้จักกันมากคือ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในรูปของทัวร์ช้างหรือนั่งหลังช้าง ทัวร์เกวียน หรือการนั่งเกวียนเที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงามและวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ เนื่องจากบ้านรวมมิตรเป็นหมู่บ้านที่ติดลำน้ำกกและมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ในหมู่บ้านรวมมิตรมีช้างจำนวน 30 เชือก เกวียนจำนวน 10 เล่ม ไว้บริการนักท่องเที่ยว
การเดินทางไปบ้านรวมมิตรมีความสะดวกสบาย สามารถเดินทางไปได้ 2 ทาง คือ
1. ทางบก มีถนนลาดยางสามารถใช้ได้ทุกฤดูกาล ระยะทางจากตัวเมืองเชียงราย ประมาณ 19 กม.
2. ทางน้ำ คือ โดยเรือหางยาว (8-10 คน) จากท่าเรือเชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ทวนน้ำขึ้นไปตามลำน้ำแม่กก ผ่านทัศนียภาพที่สวยงาม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที (ค่าโดยสารประมาณลำละ 700 บาท)
สถานที่ติดต่อ :: สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ยาว โทร. 053-737359-11 สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเมืองเชียงราย โทร. 053-717445, 053-717257 สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย โทร. 053-711602, 053-744044 //www.maeyaomail.com/
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:17:57 น.
ทะเลหมอกภูผาตั้ง..มหัศจรรย์ช่องเขาขาด..
ลมเย็นแห่งเหมันตฤดูพัดเอื่อยโชยมายามเช้าตรู่ ท้องฟ้าสีฟ้าอมชมพูแกมแสดที่เห็นอยู่สุดริมขอบฟ้าเบื้องหน้าทำให้นึกถึงการชมทะเลหมอกบนภูชี้ฟ้ามาทันที มาปีนี้อยากเปลี่ยนที่ชมทะเลหมอกไปอีกฝากฝั่งหนึ่งที่ภูผาตั้ง เคยได้ยินคำกล่าวว่าที่นี้ก็มีทะเลหมอกที่สวยงามกว้างไกลสุดสายตา บรรยากาศก็เย็นสบาย และมีอะไรให้ค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ อีกมาก
จากจังหวัดเชียงรายเราใช้เส้นทางสายเชียงราย เทิง ( ทางหลวงหมายเลข 1020 ) เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางปางค่า ภูชี้ฟ้า ( ทางหลวงหมายเลข 1021 ) ที่แยกบ้านปี้ ราว 21 กิโลเมตร ถึงแยกบ้านร่มฟ้าไทย ( เลี้ยวขวาไปทางภูชี้ฟ้า ) เลี้ยวซ้ายตรงไปอีก 20 กิโลเมตร ถึงบ้านร่มฟ้าสยาม เป็นจุดนัดพบกับคุณอนันต์ บรรลุศักดิ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลปอ อ.เวียงแก่นเพื่อเข้าที่พักที่ร่มฟ้าสยามฮิลล์รีสอร์ท ก่อนจะไปชมพระอาทิตย์ตกดินบนภูผาตั้ง
ภูผาตั้งหรือดอยผาตั้ง ตั้งอยู่ที่บ้านผาตั้ง หมู่ที่ 14 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย เดิมเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลจัดสรรให้ทหารจีนสังกัดกองพล 93 มาตั้งถิ่นฐาน เช่นเดียวกับที่ดอยแม่สลอง ลักษณะเป็นสันเขาคดเคี้ยว มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามจับตาน่าชมยิ่ง โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์อัศดงยามเย็น ท้องฟ้าสดใสประดับทิวเมฆปุยยาวเรียงขนานไปตามแนวพื้นเหนือเนินเทือกเขา ประดับสีสันสีชมพูอมแสด มองเห็นดวงตะวันกลมโตสีส้มฉูดฉาดค่อยๆ ลับทิวเมฆกลืนลงไปตามแนวสันเขายิ่งงดงาม ประทับใจ
จากบ้านร่มฟ้าสยามเดินทางขึ้นมาทางเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร จะถึงทางแยกขึ้นไปภูผาตั้งระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร ถึงปากทางขึ้นภูผาตั้งซึ่งเป็นฐาน ตชด.เดิม มีลานจอดรถกว้างใหญ่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านค้าอาหารและของที่ระลึก และห้องน้ำสะอาดไว้รองรับนักท่องเที่ยว ทางขึ้นภูผาตั้งได้มีการจัดทำบันไดหินคอนกรีตทำให้สะดวกสบายต่อการเดินขึ้นภูมากขึ้น จากปากทางขึ้นไปประมาณ 20 เมตร จะได้พบกับช่อง ผาบ่อง ประตูสยาม อันเปรียบเสมือนประตูจากประเทศไทยสู่ประเทศลาวที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าและสายน้ำโขงที่พาดผ่านเป็นเส้นยาวผ่านแนวป่าอย่างชัดเจน
ถัดจากช่องผาบ่องขึ้นไปอีกราว 15 เมตร จะเป็นเนินที่ประดิษฐานพระพุทธมังคลานุภาพลาภสุขสันติและศาลาทรงเก๋งจีน อนุสรณ์สถานของนายพลหลี่ ผู้นำ ทจช. ในอดีต จากเนินตรงนี้เดินลงไปอีก 30 เมตร ก็จะพบทางขึ้นไปชม ป่าหินยูนนาน ซึ่งเป็นหินรูปทรงลักษณะคล้ายภูเขาในประเทศจีนที่มีรูปทรงสูงๆ หลายแหลมขึ้นสลับทับซ้อนสวยงามมาก ก่อนจะไปถึง ช่องเขาขาด ที่ห่างออกไปราว 30 เมตร ช่องเขามีลักษณะเป็นกินผาที่ขาดแยกจากกันเป็นช่องมองลงไปเห็นทิวทัศน์ประเทศลาวและสายแม่น้ำโขงได้ชัดเจนเช่นกันเพียงแต่เป็นหน้าผาสูงชัน ไม่มีเส้นทางเดินเลาะสันเขาเหมือนช่องผาบ่อง
จากจุดผาขาดเดินขึ้นดอยต่อไปยัง เนิน102 ระยะทางกว่า 300 เมตร จะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินทางฝั่งประเทศไทย และจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามกว้างไกลสุดสายตาทางฝั่งประเทศลาว ซึ่งตามจริงไม่เพียงชมทะเลหมอกทางฝั่งลาวได้ทางเดียวเท่านั้นทางฝั่งไทยก็สามารถชมได้ เห็นเป็นทิวหมอกละลอกคลื่นอยู่ไกลๆ หากขึ้นไปสำนักสงฆ์บ้านผาตั้ง ซึ่งห่างจาก เนิน102 ไปทางทิศตะวันตกราว 2 กิโลเมตร ก็จะเห็นทะเลหมอกบนทิวเขาฝั่งประเทศไทยได้สวยงามเช่นกัน
จากเนิน 102 ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 500 เมตร ก็จะเป็น จุดชมทะเลหมอก ที่กล่าวได้ว่าสวยงามที่สุดกว่าทุกยอดบนดอยผาตั้ง เรียกว่า เนิน103 เพราะจะชมทะเลหมอกได้กว้างไกลแบบพานอรามาถัดออกไปอีก 700 เมตร ก็จะเป็น ภูผาหม่น จุดผจญภัยเดินป่าที่น่าตื่นเต้นและเป็นทางออกของ ถ้ำเพชร ที่มีจุดเริ่มต้นที่บ้านร่มฟ้าสยาม ตลอดความยาวในถ้ำกว่า 200 เมตร ที่มีหินงอกหินย้อยที่เป็นหินทราย เมื่อต้องแสงไฟจะทำให้ปรากฏประกายระยิบระยับสวยงาม
ค่ำคืนที่ผาตั้งช่างเงียบสงบ ท้องฟ้ามีเพียงเดือนกับดาว ราวไพรที่มีเสียงจักจั่นร้องกับกลิ่นหอมของ ดอกลำโพง ช่างเป็นค่ำคืนที่มีความสุขจริงๆ ใน ทริปการเดินทางนี้ เขาว่าที่นี่มีเสน่ห์ให้ชวนหลงไหลทั้ง ดอกซากุระ ที่จะบานพร้อมกันราวเดือนพฤศจิกายน อาหาร จีนยูนนาน และอาหารปลอดสารพิษ ได้จิบไวน์ผลไม้เมืองหนาวหรือชาจีนอุ่นๆ และการชมไร่กาแฟ อาราบีก้ากับเวลาที่เหลืออยู่ นับเป็นเวลาที่คุ้มค่าอะไรเช่นนี้
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:20:06 น.
จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการส่งเสริมการปลูกชาพันธุ์ดี เป็นนโยบายสำคัญของจังหวัด และได้มีการพัฒนาสวนชาให้เป็นแหล่งเที่ยวในลักษณะ OTOP Tourism Village เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับฐานเศรษฐกิจเดิม โดยจัดให้พื้นที่หมู่บ้านที่ปลูกชาได้พัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชา ซึ่งเป็นสินค้า OTOP ของจังหวัดอีกด้วย
หมู่บ้านที่ปลูกชา และกำลังพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP ในจังหวัดเชียงราย 4 หมู่บ้านคือ
1. สวนชาแม่ผง
2.สวนชาสันติคีรี
3.สวนชาบ้านวาวี
4.บ้านห้วยส้านพลับพลา
1.สวนชาแม่ผง
ตั้งอยู่ที่ หมู่ 5 ต.ป่าก่อดำ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย บ้านแม่ผงเป็นหมู่บ้านผลิตชาที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งผลิตชาที่มีคุณภาพ ที่ได้รับการคัดสรรให้เป็นสินค้า สุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แล้วสวนชาเหล่านั้นยังได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว OTOP ที่น่าในใจอีกด้วย เพราะนอกจาก จะได้ชมทิวทัศน์อันสวยงามของสวนชาแล้ว ยังสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ OTOP จากชาของห้างหุ้นส่วนสุวิรุฬห์ชาไทย เป็นของขวัญของฝากติดไม้ติดมือไปฝากคนใกล้ชิดได้อีกด้วย
ถานที่ติดต่อและจัดจำหน่าย
ไร่ชา สุวิรุฬห์ ชาไทย
126 หมู่ 5 ต.ป่าก่อดำ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย 57250
โทร 053-712-007,053-864-5,01-883-9640
*******************
2. สวนชาบ้านสันติคีรี
ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย บ้านสันติคีรีเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่มีการผลิตชากันมาก และได้รับการพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวสวนชา OTOP ผลิตภัณฑ์ชาที่จำหน่ายก็ได้ผ่านการคัดสรรให้เป็นสินค้าสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ชาที่ถูกใจนำไปฝากคนใกล้ ชิดได้เช่นกัน บ้านสันติคีรีนี้มีกลุ่มผลิตชาหลายกลุ่มได้แก่ กลุ่มชาวังพุดตาล บริษัทใบชาโชคจำเริญ จำกัด และกลุ่มสวนชาดอยตุง ซึ่งอยู่ที่ ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
สถานที่ติดต่อและจัดจำหน่าย
บริษัท ใบชาโชคจำเริญ จำกัด
5 หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย 57110
โทร 053-765-114-9,0-1883-4875
***************************
3.สวนชาบ้านห้วยส้านพลับพลา
ตั้งอยู่ที่ หมู่ 5 ต.โป่งแพร่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ตำบลโป่งแพร่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับ พื้นที่ราบ ระหว่างภูเขาและพื้นที่ส่วนใหญ่อยุ่ในเขตป่าสงวน ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ เช่น ลำน้ำห้วยส้านพลับพลา ลำห้วยชมภู ลำห้วยแม่มอญ
อาชีพส่วนใหญ่ของคนตำบลโป่งแพร่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร โดยเฉพาะบ้านห้วยส้านพลับพลามีการปลูกชาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชา จำนวนมากและปัจจุบัน กำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวสวนชา หรือ OTOP Toursim Village
สถานที่ติดต่อ :
องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งแพร่
หมู่ที่ 2 ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย
โทรศัพท์ : 0-5360-7174,0-5360-0870 โทรสาร : 0-5360-7174
***************************
4.สวนชาบ้านวาวี
ตั้งอยู่ หมู่ 1 ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เดิมพื้นที่ ต.วาวี ทั้งหมดนี้เป็นหมู่บ้านหนึ่ง คือ หมู่ที่ 15 อยู่ในเขตปกครองของตำบลแม่สรวย อ.แม่สรวย จ.เขียงราย ต่อมาได้แยกเป็น ต.วาวี แต่ก่อนคำว่า วาวี นั้น ชื่อ วะวี ซึ่งต่ออาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นชื่อเมืองหนึ่ง อยู่ในเขตประเทศพม่า และราษฏรในเมืองนั้นได้เดินทางมาติดต่อค้าขายและอพ ยพมาตั้งหลักแหล่งเป็นกลุ่มแรกจึงตั้งชื่อเหมือนกับเมืองที่อพยพมาผสมกับชนเผ่าที่ตั้งหลักฐานอยู่ก่อนแล้วคือ เผ่ามูเซอ ต่อมามีพ่อค้าชาวจึนฮ่อ มาติดต่อค้าขายด้วยกัน พบว่าพื้นที่ บริเวณนี้มีทำเลที่ดี เนื่องจากมีผลผลิตทางการเกาตรและชาเป็นจำนวนมาก จึงคิดที่จะบุกเบิกและขยายชุมชน จัดตั้งเป็นหย่อมหมู่บ้านชาวจึนฮ่อ หรือจีนยูนนาน (บริเวณบ้านเลาลี) และคนจึนเหล่านั้นได้นำวิธีการผลิตชาหอมเพื่อจำหน่ายเป็นการค้าขายด้วย ชุมชนเล็กๆ ที่ประกอบด้วยหลายชนเผ่าเริ่มขยายใหญ่ขึ้นและคำว่า วะวี ก็แผลมาเป็น วาวี เพราะพูดง่ายกว่า นับจากวันนั้นถึงวันนี้ วาวีก็ยังมี ผลผลิตจากใบชาเป็นผลิตผลที่ออกสู่ตลาดและมีชื่อเสียง
ชาวาวีส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ดังนี้
1.ชาหลากพันธุ์มีทั้งพันธุ์ดั้งเดิม คือพันธุ์อัสสัมและชาพันธุ์ปรับปรุงใหม่ เช่น อูหลง ชิง ชิง ปลูกมาก ณ บ้านวาวี หมู่ที่ 1 บ้านปางกิ่ว หมู่ที่ 2 บ้านเลาลี หมู่ที่ 20 บ้านแม่โมงเย้า หมู่ที่ 15 บ้านมังกาล่า หมู่ที่ 22 บ้านปางกู่เส็ง หมู่ที่ 23 บ้านปางกลาง หมู่ที่ 24 รวมพื้นที่ปลูกประมาณ 17,000 ไร่ ปัจจุบันเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและมีชื่อเสียง องค์การบริหารส่วนตำบลวาวี ได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้เป็นผลผลิตหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
2.กาแฟและมะคาเดเมีย ปลูกมากบ้านดอยช้าง หมู่ที่ 3 บ้านดอยล้าน หมู่ที่ 4 บ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 ไม้ผลทั้งสองชนิดได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและบริษัท ซีพี ให้การรับซื้อผล ผลิตรวมพื้นที่ปลูกประมาณ 5,000 ไร่ เป็นสิ้นค้าหนึ่งตำบนหนึ่งผลิตภัณฑ์
3.พืชเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ลิ้นจี่ ข้าวโพด ถั่วต่างๆ มะเขือเทศ จะปลูกทั่วไปทุกหมู่บ้าน
สถานที่ติดต่อและจัดจำหน่าย
บริษัท ดอยช้างเฟรชโรสเต็ด คอฟฟี่ จำกัด
เลขที่ 787 หมู่ 3 ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย 57180
สถานที่ติดต่อ :: ข้อมูลเพิ่มเติม : //www.tourismchiangrai.com/cr/tea/
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:21:23 น.
เมืองเชียงแสนเป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดเชียงรายและเป็นหนึ่งในเมืองโบราณเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่เลียบน้ำโขง แม่น้ำสายนานาชาติไหลผ่านประเทศมากกว่า 6 ประเทศ ให้ผู้คนมากมายได้อาศัย ชาวเชียงแสนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขท่ามกลางโบราณสถานมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆทั่วทั้งอำเภอ
หนึ่งเรื่องราวบนพื้นที่ราบริมฝั่งตะวันตกแม่น้ำโขง
ล้านนาสั่งสมเวลามายาวนาน จากแผ่นดินสู่อีกแผ่นดินหนึ่ง ก่อนเรื่องราวของอาณาจักรล้านนาจะเริ่มขึ้นมีอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่ถือเป็นต้นกำเนิดแห่งอาณาจักรทางตอนเหนือของไทยคือ อาณาจักเชียงแสน พื้นที่ราบริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงถูกกล่าวขวัญผ่านตำนานประวัติศาสตร์เรื่องราวผูกโยงก่อนอาณาจักรล้านนาจะมีตัวตนเสียอีก เพียงแค่การยืนยันจากหลักฐานทางโบราณสถานที่หลงเหลือไม่อาจรองรับความเก่าแก่ระดับตำนานได้ เวียงหนองหล่ม จึงดำดิ่งไปกับตำนานสถาปัตยกรรมโบราณ เล่าความกลับไปไม่มากนัก ทว่าบ่งบอกเรื่องราวเติมเต็มให้กับล้านนาได้มากมาย
เจดีย์วัดป่าสัก (เป็นวัดร้าง) แต่ครึ้มไปด้วยต้นไม้ องค์เจดีย์ป่าสักค่อนข้างสมบูรณ์แบบ(ผ่านการบูรณะพองาม) ฐานเจดีย์มณฑปยอดระฆัง 5 ยอด รูปแบบสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลมาจากหิริภุญไชย ฐานเจดีย์เป็นซุ้มพระ 12 ซุ้ม รูปแบบฐานคล้ายกับองค์เจดีย์กู่กุดจังหวัดลำพูน ส่วนมณฑปถึงยอดรับอิทธิพลมาจากเชียงยัน ด้านศิลปกรรมได้รับอิทธิพลมาจาก พุกาม ขอม สุโขทัย รวมๆกันแล้วเจดีย์วัดป่าสักค่อนข้างพิเศษ ดูแปลกตานักวิชาการหลายสาขากำหนดให้เป็นเจดีย์แบบพิเศษ (แบบเชียงแสน-เชียงใหม่)
แนวกำแพงเมือง เรียงตัวไว้รายล้อม ชวนให้นึกถึงพญาแสนภู (กษัตริย์ราชวงค์มังรายลำดับที่3) พระราชนัดดาของพญามังราย (ปฐมกษัตริย์ล้านา) ทรงสถาปนาเมืองเชียงแสนแห่งนี้ขึ้นในปี พ.ศ. 1871 หลังจากถูกทิ้งร้างด้วยความรุ่งเรืองใหม่ของอาณาจักรล้านาที่มีเวียงพิงค์ (เชียงใหม่) เป็นราชธานี โดยมีขนาดกว้าง 700วา ยาว 1,500 วา มีป้อม 8 แห่ง เมืองเชียงแสนถูกสร้างขึ้นบนเมืองเก่าที่ร้างไปแล้ว คาดว่าเป็นการสร้างทับ เมืองเงินยางในอดีตทำให้บางครั้งเราได้ยินคนพูดถึงเมืองว่า เมืองเงินยางเชียงแสน บ้าง หรือ หิรัญนครเงินยาง บ้าง ทั้งนี้ก็หมายถึง เมืองเชียงแสน อีกเช่นกัน เมื่อสร้างเมืองเสร็จ พญาแสนภูก็ประทับที่เชียงแสนตลอดพระชนม์ชีพ เป้าหมายที่แท้จริงของการสร้างเมืองเชียงแสนคือการวางยุทธศาสตร์ให้เป็นศูนย์กลางเมืองตอนบนและป้องกันข้าศึกทางด้านทิศเหนือ ช่วงหนึ่งเชียงแสนถึงถูกยกระดับให้มีความสำคัญเหนือเมืองเชียงใหม่ ด้วยซ้ำไป
พระธาตุเจดีย์หลวง แม้เจดีย์องค์ไม่ใหญ่ที่สุดในล้านนา แต่ในเชียงแสนนี้ไม่มีเจดีย์ใดองค์ใหญ่กว่านี้อีกแล้ว ทางเข้าเป็นประตูซุ้มเก่าแก่ ผมนึกเล่นๆๆว่าถ้าซุ้มประตูนี้ในอดีตเป็นซุ้มประตูโขงอย่างวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ หรือวัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง คงเข้าทีลวดลายคงพิถีพิถันไม่น้อย
.แต่โบราณสถานจะเป็นเช่นไรหลงเหลือเช่นไรยอดหัก หรือเหลือเพียงเสา . โบราณสถานเหล่านั้นก็ยังคงความงดงามในตัวเอง ภาพซุ้มประตูที่ผมนึกถึงก้อดี หรือภาพซุ้มที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ก็ดี ถ้ามันไม่ถูกต้องในรูปแบบของซุ้มเดิม ไปกันคนละทิศละทาง ต่อให้สร้างสวยงามยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็เป็นแค่เงาเบลอเบือนบนใบหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้นเองแต่หลายอย่างก็เป็นข้อจำกัดบางทีจึงต้องยอมให้เกิดเงาดีกว่าปล่อยให้รากเหง้าของตัวเองสูญหายใช่หรือไม่???
ฐานเจดีย์แปดเหลี่ยมรองรับองค์ระฆังกลม รอบบริเวณก็ยังมีเจดีย์ธาตุต่างๆอีก 4 องค์ ผมแหงนคอมองปลายยอดแล้วยกมือไหว้ ก่อนเดินอ้อมผ่านซุ้มก่อนออกจากวัด พลางคิดถึงหนังสือ Temple and Elephents ของCarl Bock (หนังสือเล่มนี่ได้รับการยกย่องจากษมาคม Geographicical Socity of Lisbon มอบเหรียญทองให้และ Geographical Societies of Rome and Samarang กับ Anthropologicical of Florence ก็เชิญเป็นษมาชิกกิตมาศักดิ์ ตลอดจนได้รับเหรียญตราเกียรติยศจากกษัตริย์ Franz Bock ของ Austria ด้วยอีกทั้งยังอ้างอิงในการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เอเชียของมหาวิทยาลัย Standford ทั้งยังเป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวของชาติไทยที่ผิดเพี้ยนบิดเบือนน้อยที่สุดในสมัยรัชกาลพระพุทธเจ้าหลวง และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้กำกับและผู้สร้างภาพยนต์หลายเรื่องใน Holywood เอาไปสร้างภาพอดีตในฉากภาพยนตร์หลายตอนที่กล่าวถึงประเทศไทยในยุคนั้นอย่าง
เรื่อง Ana and The King Aiexander
มีตอนหนึ่งจากบันทึกของ Carl Bock กล่าวว่า ตามที่พื้นดินมีระพุทะรูปสำฤทธิ์กองอยู่เกลื่อนกลาดบางองค์มีขนาดใหญ่โตมาก ข้าพเจ้าไปดูตามซากพระเจดีย์หลายแห่ง และไปพบพระพุทธรูปแบบประทับนั่งอยู่ใต้เศียรพญานาค 5 หัว ซึ่งขดอยู่รอบองค์พระในเจดีย์องค์หนึ่งในการเข้าไปหาพระพุทธรูปองค์นี้ ข้าพเจ้าแทบสำลัก
เพราะอากาศในองค์พระเจดีย์เหม็นอับจนต้องโผล่ออกมาหายใจข้างนอก ตั้งสองหรือสามครั้ง..ข้าพเจ้าพักอยู่ที่เชียงแสนไม่นานก็กลับไปเชียงรายและไปอยู่ที่บ้านพักของเจ้าราชสีห์อีก เมื่อเจ้าราชสีห์เห็นพระพุทธรูปที่ข้าพเจ้าเอามาก็ห้ามข้าพเจ้าเอาเข้าบ้านหรือในบริเวณบ้าน อ้างว่าจะทำให้ผีป่าเข้าบ้านและสั่งให้นำพระพุทธรูปเอาไปไว้ที่วัดตรงข้ามบ้านและทิ้งไว้ที่นั้นจนกว่าข้าพเจ้าจะกลับ .เมื่อมาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็อยากจะกลับเชียงใหม่เหลือเกินจึงไปหาเจ้าหลวง(เชียงราย)เพื่อขอให้ช่วยส่งคน 30 คนไปยังเมืองฝางเพื่อขนข้าวของและพระพุทธรูปที่ข้าพเจ้าสะสมเอาไว้ที่นั่นกลับมา ผมเข้าใจว่าแต่ก่อนนั้นคนไทยยังเห็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์น้อยมากแต่ที่ดูเหมือนหวงนั้นเพราะกลัวเสียมากกว่านี้คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขตซากเมืองเก่าเชียงแสนทุกวันนี้มีบ้านเรือนแทรกอยู่ทุกมุมทุกจุด สถูปโบราณอายุกว่า 1000 ปี อยู่ติดกับบ้านราวกับเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนั้น น่าใจหายจริงๆน่ะครับ
เลยผ่านไปทางที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขเชียงแสนผมมองเห็นวัดร้างเก่าแก่แห่งหนึ่งชื่อ วัดมุงเมือง ภายในวัดมีพระเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน 4 ชั้นรองรับฐานปัทม์ย่อมุมมีเรือนธาตุและซุ้มทิศทั้ง 4 ด้านส่วนยอดเป็นองค์ระฆังเจดีย์เล็กๆๆประดับอยู่ที่มุมวัดนี้ไม่ปรากฏการสร้างจากรูปทรงและสถาปัตยกรรมพระพุทธรูปประทับยืนปูนปั้นที่ประดิษฐานในซุ้มทิศพอจะอนุมานได้ว่าคงสร้างขึ้นภายหลังวัดป่าสักเราะมีวิวัฒนาการรูปแบบเพิ่มมากขึ้นคงมีอายุอยู่ราวครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 20
เดินข้ามฟากถนนตรงข้ามวัดมุงเมืองเข้าสู่ วัดพระบวช ตามตำนานกว่าว่าพระเจ้ากือนา ทรงสร้างขึ้นในปี พ.ศ .1889 เมื่อพระองค์ยังดำรงตำแหน่งรัชทายาทเมืองเชียงแสนอย่างไรก็ดีรูปทรงสถาปัตยกรรมขององค์พระเจดีย์ตามการขุดค้นบูรณะของกรมศิปากร เมื่อปี พ. ศ 2514 พบหลักฐานว่ามีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21
กลับสู่กลางซากเมืองเก่าอีกครั้งเพื่อนมัสการพระพุทธรูปที่เคารพของชาวเชียงแสนเป็นอย่างมากพระพุทธรูปที่กล่าวคือ พระเจ้าล้านทอง (พระพุทธรูปปางมารวิชัยสำริด)ในวัดพระเจ้าล้านทอง นี้มีพระเจดย์ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมขนาดใหญ่ มีพระเจดีย์ทรงระฆังแปดเหลี่ยมขนาดเล็กตั้งอยู่ตอนบนเจดีย์องค์นี้คาดว่าสร้างขึ้นภายหลังเพราะขนาดไม่ได้สัดส่วนกับฐาน ตามตำนานกล่าวว่าพระยารัชฎเงินกอง โอรสพระเจ้าโลกราชสร้างขึ้นในปี พ. ศ 2030
เช้าอีกวันหนึ่ง พระอาทิตย์ดวงกลมโผล่ขึ้นน่านฟ้าเราต้องหาวัดที่อยู่ริมแม่น้ำโขงเพื่อถ่ายภาพเจดีย์เก่าตัดกับแสงสีแดงกลมโตของดวงอาทิตย์พระอาทิตย์ก็ขึ้นไป ผมก็เก็บภาพไปด้วย ภาพผู้คน วิถีชีวิต อดีตกับปัจจุบันอยู่ใกล้กันราวกับเป็นสิ่งสิ่งเดียวกันภาพหญิงแก่ถือสลุง(ขันเงิน)ไปวัด ภาพซากวัดซากเมืองเก่าภาพรถราดุดันวิ่งผ่านไป งานก่อสร้างสมัยใหม่ตึกรามบ้านช่องผุดขึ้นท่ามกลางซากเมืองเก่า..แสงแดดเริ่มแรงมากขึ้นแล้วทักทายผู้คนไต่ถามถึงวัดริมฝั่งโขงผู้ชายท่าทางแข็งแรง(คนแบกผลไม้จากเรือสินค้าจีน)ผมบอกเขาว้าไปวัดผ้าขาวป้านสิ..อยู่ติดกับริมฝั่งโขงเลย
ภายในวัดผ้าขาวป้านมีพระเจดีย์ฐานสูง มีเรือนธาตุและซุ้มทิศประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนแสดงปางประทานอภัย และพระพุทธรูปปางลีลา ส่วนยอดเจดีย์ทรงกลม ประวัติวัดผ้าขาวป้านตามตำนานกล่าวว่าพญาลาวแก้วมาเมืองโอรสพระลวะจักรราชสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1304 แต่หลักฐานทางสถาปัตยกรรมคาดว่าองค์พระเจดีย์น่าจามีอายุและการสร้างขึ้นภายหลังพระธาตุจอมกิติและเจดีพระเจ้าล้านทองคือราวพุทธศตวรรษมที่ 21
วัดบนเนินเขา และวิวเมืองเชียงแสนเขตปันแดนธรรมชาติแม่น้ำโขง
วัดในเชียงแสนที่อยู่บนเนิน ก็เห็นจะมีอยู่ 2 วัด ที่มีชัยภูมิดีคือ วัดพระธาตุจอมกิติ กับ วัดพระธาตุผาเงา
วัดพระธาตุผาเงา อยู่ทาวทิศใต้ของเมืองตรงบริเวณพระธาตุผาเงาด้านบนเป็นจุดชมวิวริมโขงอย่างชัดเจนและกว้างไกลมากหากท่านที่ต้องการภาพลำน้ำโขงโดยมีแผ่นดินทั้ง 3 ชาติด้วยแล้วนั้นไม่น่าพลาดที่นี่ทีเดียวเพราะสวยงามมากฝั่งไทยมองออกไปมีป่าไม้บางๆปนอยู่กับบ้านเรือน แม่น้ำกก แม่น้ำคำ และยอดดอยเชียงรายฝั่งลาวมองเห็นผืนป่า(ต้นงิ้วป่าขึ้นอย่างแน่นหนา)อุดมสมบูรณ์ คนลาวเค้ารักธรรมชาติมากกว่าบ้านเราเสียอีกฝั่งพม่าอยู่ไกลลิบไปทางตะ วันตก หากขึ้นมาในวันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจคงไม่เห็นส่วนแม่น้ำโขงทอดสายยาวไหลเชียวดุดันสีของสายน้ำขุ่นคล้ายเป็นสีโอวัลติน สานน้ำโขงทรงพลังทำหน้าที่เป็นปราการธรรมชาติกั้นแนวเขตระดับชาติได้เป็นอย่างดีช่วงหน้าแล้งอย่างนี้น้ำโขงบางจุดเผยทรายกลางน้ำกว้างๆบางครั้งก็นึกสนุกอยากไปวิ่งเล่นดูสักครั้งเหมือนกัน
วัดพระธาตุจอมกิติ วิวจากดอยจอมกิตอนี้มองไม่เห็นเมืองเชียงแสนได้กว้างไกลมากนักเท่ากับดอยวัดพระธาตุผาเงาเพราะทางด้านซ้ายติดป่าส่วนแม่น้ำโขงก็มองเห็นไกลออกไปตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าพังคราชกษัตริย์แห่งราชวงค์โยนกองค์ที่ 24 และพระเจ้าพรหมมหาราช ราชโอรส ทรงสร้างขึ้นราว พ. ศ .1483 เพื่อบรรจุเอาพระบรมสารีริกธาตุ 11 องค์จากทั้งหมด 16 องค์ เอาไว้ภายใน(พระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่นๆๆก็กระจัดกระจายตามองค์เจดีย์พระธาตุอื่นๆในจังหวัดเชียงราย เช่น พระธาตุดอยจอมทอง จอมจ้อ จอมสัก จอมแว่ จอมแจ้ง และพระธาตุดอยตุง เป็นต้น)
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เชียงแสน
ผมถือโอกาสแวะเป็นจุดสุดท้ายไม่ใช่ว่าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เชียงแสน ไม่มีอะไรน่าสนใจน่ะครับเป็นสถานที่ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาลทีเดียวเลยถือเอาสถานที่แห่งนี้เป็นจุดสุดท้ายเสมือนปิดสรุปเรื่องเมืองเชียงแสน
ภายในพิพิธภัณฑ์รวบรวมเอาศิลปโบราณที่ได้จากการขุดค้นในเขตซากเมืองเชียงแสนและโบราณสถานใกล้เคียงการเข้าชมจัดไว้เป็นอย่างดีง่ายต่อความสนใจแต่ล่ะอย่างโดยแบ่งออกเป็นโซน เราสามารถเลือกชมไหนก่อนหลังก็ได้ถ้าสนใจลวดลายปูนปั้นวัดป่าสัก อาคารจัดแสดงหลักชั้นล่าง หรือถ้าสนใจโบราณสถานที่สำคัญของเมืองเชียงแสน ก็ต้องอาคารจัดแสดงหลักชั้นลอยหรือถ้าชอบเรื่องวิถีชีวิต ศาสนา ความเชื่อ ต้องไปดูที่อาคารส่วนขยายและมุมด้านซ้ายจากประตูทางเข้า เดินเลยบันไดไปนิดเดียวมีห้องจำหน่ายสินค้าที่ระลึก และหนังสื่อต่างๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ล้านนา เชียงราย เชียงแสน
อันที่จริงแล้วซากอดีตเชียงแสนนี้ทีอยู่มากมายหลายจุดตามทุ่งนา ไร่สวน หรือบนภู บนดอย ก็มีอยู่กระจัดกระจายไปหมด หากจะกล่าวถึงทั้งหมดนั้นคงเป็นไปไม่ได้ด้วยความจำกัดในรูปเล่มของไกด์บุ๊ค วัดสำคัญๆต่างๆที่อยู่ในเขตเวียงเก่าที่ไม่ได้กล่าวถึงก็มีวัดพระเจ้าล้านตื้อ วัดร้อยข้อ วัดมหาธาตุ วัดเสาเคียน วัดสังฆาแก้วดอกทัน(ดอกตันในภาษาเหนือหมายถึงต้นดอกพุทรา) วัดสวัสดี และจุดเล็ก จุดน้อยอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
คำว่ามรดกนั้นสูงค่าเพียงใด ขึ้นอยู่กับเรามองเห็นค่าของมันเท่านั้น เชียงแสนวันนี้ ยังรุดหน้าไปตามกระแสโลก ลูกหลานยังคงค่านิยมสมัยใหม่เพียงใด มรดกโลกก็ลดค่าลงเท่านั้น
ย้อนรอยอดีตโยนกเชียงแสนและล้านนา
ในพุทธศตวรรษที่ 18-19 นั้นได้มีการกล่าวไว้ในพงสาวดารโยนกว่าได้เกิดชุมชนนครโคมคำ เมืองโยนก นาคนครเชียงแสน และอาณาจักรล้านนาไทยขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก แม่น้ำอิง แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน ตั้งแต่สิบสองปันนาลงมา จนถึงเมืองหริภุญชัย(ลำพูน)นั้นได้มีเจ้าครองนครสำคัญคือ พญาสิงหนวัติ พระเจ้าพังคราช พระเจ้าพรหมหมาราช และ พญามังราย (ครองราชย์ที่เมืองเงินยาง เมื่อราว พ.ศ. 1804
พญาสิงหนวัติ ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้สถาปนาเมืองโยนกนาคพันธุสิงหนวัติขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ดินแดนที่ราบในเมืองเชียงราย เมื่อ พ. ศ .1117 โดยทำการแย่งชิงที่ดินจากพวกขอมดำ หรือ กล๋อม ที่มีอิทธิพลอยู่ในแถบนั้น ทำให้ต้องพากันหนีไปตั้งหลักแหล่งอยู่ทางใต้ บริเวณถ้ำอุโมงค์เสรานครครั้งนั้นพญาสิงหนวัติ ได้รวบรวมเอาพวกมิลักขุหรือ คนป่าคนดอยเข้ามาอยู่ในอำนาจของเมืองโยกนาคนครทำให้มีอาณาเขตทิศเหนือติดเมืองน่าน ทิศใต้จรดปากน้ำโพ ทิศตะวันออกจรดแม้น้ำดำ ในตังเกี๋ย ทิศตะวันตกจรดแม่น้ำสาละวินโดยมีเมืองสำคัญคือ เมืองไชยปราการ บริเวณแม่น้ำฝาง และแม่น้ำกก ดินแดนทางใต้สุด คือเมืองกำแพงเพชร
อาณาจักรโยนกนาคนครแห่งนี้มีพระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ เช่น พญาพังคราช พระเจ้าพรมหมราช พระเจ้าไชยสิริ ต่อมาในสมัยพระเจ้ามหาชัยชนะ พ.ศ.1552 อาณาจักร โยกนกนาคนคร ได้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน เนื่องมาจากพนังกั้นน้ำ หรือเขื่อนเหนือน้ำพังทลายลง ทำให้ที่ตั้งของเมืองกลายเป็นแหล่งน้ำใหญ่ (เข้าใจเป็นบริเวณที่เรียกว่า เวียงหนองหล่ม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากทะเลสาบ เชียงแสนและบริเวณแม่น้ำกก ต่อกับแม่น้ำโขงใกล้วัดพระธาตุผาเงา) จนเป็นเหตุให้บรรดาราชวงค์กษัตริย์ และขุนนางของโยนกนาคนครเสียชีวิตด้วยเหตุน้ำท่วมเมืองทั้งหมดส่วนชาวบ้านที่รอดชีวิตได้ประชุมปรึกษากันเลือกตั้งคนกลุ่มหนึ่งมิใช่เชื้อสายราชวงค์ขึ้นดูแลพวกตน เรียกว่า ขุนแต่งเมืองจึงเป็นเหตุของชื่อ "เวียงปรึกษา" ขึ้น อีก 98 ปี อาณาจักร โยนกนาคนครจึงสิ้นสุดลง
ต่อมา พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากผู้เมืองเงินยางเมืองเชียงแสน ได้ทรงทำการรวบรวมอาณาจักรล้านนาไทยที่กระจัดกระจายให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมาใหม่และทำการสร้างเมืองเชียงรายขึ้นเมื่อ พ.ศ.1805 ครั้งนั้นพระองค์ทรงยกทัพเข้ายึดอาณาหริภุญชัยจากพวกมอญเชื้อสายของพระนางจามเทวี ได้ใน พ.ศ. 1835 แล้วทำการตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้น เรียกว่า อาณาจักรล้านนา โดยระยะแรกมี เวียงกุมกาม เป็นราชธานี แต่เวียงกุมกามเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง จนพญามังรายต้องขอคำปรึกษา จากพระสหายคือพญางำเมือง เจ้าผู้ครองนครภูกามยาว (พะเยาแคว้นอิสระ แค้วนเดียวในล้านนาขณะนั้น) และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช(กษัตริย์สุโขทัย)เพื่อหาชัยภูมิที่ดีเหมาะแก่การสร้างเมืองจึงพบกับที่ข้างแม่น้ำปิงและได้สร้างเมืองชื่อ "นพบุรีศรีนครพิงเชียงใหม่" หรือตัวเมืองเชียงใหม่ ณ ทุกวันนี้
การเดินทาง
เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองเชียงรายแล้วให้เดินทางโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1 เข้าสู่ทางหมายเลข 110 ถึงอำเภอแม่จันเลี้ยวขวาที่เส้นทางหมายเลข 1016 ไปทางทะเลสาบเชียงแสน เข้าสู่ตัวเมืองเชียงแสนท่านจะพบกับเขตซากเมืองทันทีส่วนพระธาตุผาเงาให้ไปทางหลวงหมายเลข 1129 หากเลี้ยวไปอีกทางเป็นที่ตั้งของหอฝิ่นฯ พระพุทธนวล้านตื้อ และสามเหลี่ยมทองคำอยู่บนถนนหมายเลข 1290
สถานที่ติดต่อ :: สำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โทรศัพท์ 053-777081 โทรสาร 053-777081 053-777002 พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เชียงแสน 702 พหลโยธิน อำเภอเชียงแสนจังหวัดเชียงราย 57150 โทรศัพท์ 0 5377 7128 (เวลาทำการ วันพุธ-อาทิตย์ เวลา9.00-16.00น. ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 30บาทสำหรับคนไทย 10 บาท)
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:23:41 น.
สถานีวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าดอยตุงเป็นสถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งสัตว์มากมายหลายชนิด รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ โดยสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า เข้าตรงทางแยกหมู่ที่ 10 บ้านหนองผักเฮือด ต.จอมหมอกแก้ว อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 20 กิโลเมตร
ปัจจุบันสถานีวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าดอยตุง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งสถานที่พักผ่อนใจและเป็นแหล่งศึกาหาความรู้ โดยไม่เสียค่าเข้าชม
ประวัติความเป็นมา
การอนุรักษ์สัตว์ป่าของไทยแม้ว่าประเทศไทยจะได้มีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ป่ามาเป็นเวลานานแล้วเป็นต้นว่า พระราชบัญญัติการรักษาช้าง ร.ศ. 119 ( พ.ศ. 2443 ) แต่ก็เป็นการคุ้มครองช้างเพียงอย่างเดียว ส่วนสัตว์ป่าอื่น ไม่มีการคุ้มครองอย่างแท้จริง จนต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาวุธต่าง ๆ สำหรับการล่าสัตว์ป่าได้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นประกอบกับพลเมืองของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงมีการทำลายป่าและล่าสัตว์ป่าเพิ่มมากขึ้นเป็นผลทำให้แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ถูกทำลายและสัตว์ป่าจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ขึ้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชธานี ในการสมัยที่ทรงดำรงพระยศสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงลงพระนามในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง สัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ซึ่งต่อมากำหนดให้วันที่ 26 ธันวาคมของทุกปีเป็น วันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ สถานีวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าดอยตุง จังหวัดเชียงราย ได้ดำเนินการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าหายากหลายชนิด เช่น ละออง ละมั่ง เก้ง กวาง หมี ไก่ฟ้า และสัตว์ป่า ชนิดอื่น ๆ อีกหลายชนิดในพื้นที่ 149 ไร่ พื้นที่เดิมมีอยู่จำกัดไม่สามารถขยายไปในพื้นที่ใกล้เคียงเนื่องจาก มีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน ประกอบกับไม่มี พื้นที่ราบพอที่จะทำแปลงหญ้าพืชอาหารสัตว์ สำหรับสัตว์ตระกูลกวาง จากการประชุมสัมมนาฝ่ายเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ณ กรมป่าไม้ระหว่างวันที่ 20 24 กันยายน 2538 สถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยตุงได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่าให้ดำเนินการจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดส่วนแยกเพื่อรองรับจำนวนสัตว์ป่าที่เพิ่มมากขึ้น และการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าตระกูลกวางจำเป็นต้องใช้พื้นที่ราบและกว้างขวางที่จะจัดทำทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำให้กับสัตว์ป่า สถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยตุงเห็นว่าพื้นที่ของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ส้านมีสภาพป่าและ พื้นที่เหมาะสมในการจัดตั้งส่วนแยกได้มีพื้นที่ราบกว้างขวางมีแหล่งน้ำธรรมชาติเพียงพอต่อการดำเนินการเพาะเลี้ยงสัตว์ไม่รบกวนประชาชนหรือสัตว์อื่น ๆ
ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขามีความราดชัน 35 องศา อยู่สูงจากน้ำทะเลปานกลาง 520 - 680 เมตร ชนิดเป็นดินร่วนปนทราย พื้นที่เป็นหุบเขารูปเกือกม้าเป็นแนวปะทะรับน้ำฝน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดอ่างเก็บน้ำและถนน
อาณาเขต
ทิศเหนือ - จดดอยแม่กรณ์ อ. เมือง จ. เชียงราย
ทิศใต้ - จดตำบลดงมะดะ อ. แม่ลาว จ. เชียงราย
ทิศตะวันออก - จดเขตตำบลโป่งแพร่ อ. แม่ลาว จ. เชียงราย
ทิศตะวันตก - จดสันดอยช้าง และพื้นที่เกษตรที่สูงวาวี
ที่ตั้ง
มีเนื้อที่ 1093 ไร่ พื้นที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ส้าน ต.จอมหมอกแก้ว อ.แม่ลาว จ.เชียงราย อยู่ในเขตพื้นที่ป่าโซน (ป่าอนุรักษ์)
วัตถุประสงค์ของสถานี
1. เพื่อศึกษาค้นคว้าและทดลองเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าที่มีค่าทางเศรษฐกิจและสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์ให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับอาหารและโรคสัตว์ป่าการอนุรักษ์และการบำรุงพันธุ์สัตว์ป่าตามหลักพันธุกรรม การปล่อยสัตว์ป่าสู่ธรรมชาติ การศึกษาวิจัยเทคนิคการควบคุมและเคลื่อนย้ายสัตว์ป่า การทำเครื่องหมายสัตว์ป่า การดูแลสัตว์ป่าของกลางในคดี เพื่อเพิ่มปริมาณของสัตว์ป่าที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมให้มากยิ่งขึ้น
2.เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าที่เสื่อมโทรมให้มีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่เหมาะสำหรับเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าและความสวยงามตาม ธรรมชาติที่ดี
3. เพื่อเป็นศูนย์อบรมสาธิตแนะนำทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และศึกษาค้นคว้าวิจัยทดลองเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าที่มีค่าทางเศรษฐกิจและ สัตว์ป่าที่หายากใกล้สูญพันธุ์
4. เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ อันเป็นผลเนื่องจากเพิ่มคุณค่าทางสุนทรียภาพต่อธรรมชาติ
5. เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงรายมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร
กิจกรรมของสถานี
ขณะนี้ทางสถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่าแม่ลาว มีสัตว์ป่าเพาะเลี้ยงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น กวางป่า อีเก้ง เสือลายเมฆ เสือปลา หมีความ หมีขอ อีเห็น ชะนีธรรมดา ลิง ค่างแว่นถิ่นเหนือ เม่นใหญ่ ฯลฯ
2. ประเภทสัตว์ป่า เช่น นกยูง ไก่ฟ้า นกเป็ดแดง นกกาฮัง นกแก็ก นกแก้ว ฯลฯ
3. ประเภทสัตว์เลื้อยคลาน เช่น งูเหลือม งูหลาม เต่าเหลือง ฯลฯ
- ปลูกพืชสำหรับเป็นอาหารสัตว์ เช่น กล้วย มะละกอ ฟักทอง ผักต่างๆ ข้าวโพด ฯลฯ
- ทำความสะอาดบริเวณรอบๆสถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่าแม่ลาว และตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม
- เพาะเลี้ยงแมลงปีกแข็ง เพื่อเป็นอาหารเสริมสัตว์ปีก
- ป้องกันไฟป่า ทำแนวกันไฟในพื้นที่ 1,093 ไร่ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนช่วยกันอนุรักษ์ สัตว์ป่า และป่าไม้ให้คงอยู่เป็นมรดกของชาติสืบต่อไป
ข้อปฏิบัติในการเข้าชม
1. ห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิด เข้าไปในบริเวณกรงหรือคอกสัตว์ป่า
2. ไม่กระทำการใด ๆ ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าและธรรมชาติในบริเวณนี้
3. โปรดอย่าได้แหย่ และควรงดสิ่งที่ไม่ใช่อาหารให้แก่สัตว์ป่า
4. ในบางฤดูสัตว์อาจดุร้าย โปรดอย่าเข้าใกล้
5. ไม่ส่งเสียงดังหรือกระทำการใด ๆ ซึ่งเป็นการรบกวนคนและสัตว์
6. ห้ามพกพาอาวุธเข้ามาในบริเวณสถานีเพาะพันธุ์สัตว์ป่าแม่ลาว
7. เดินทางไปในที่ๆกำหนดและให้ทิ้งขยะในที่ๆจัดให้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- องค์การบริหารส่วนตำบลจอมหมอกแก้ว โทร. 053-600758
- คุณชาติชาย คำมูล (เจ้าหน้าที่ สภต.) โทร. 08-6587-4607
- คุณตุ๊ (เจ้าหน้าที่สถานีฯ) โทร. 08-9999-8816
- หัวหน้ากลิ่นศักดิ์ กิตติวงศ์ (หัวหน้าสถานีฯ) โทร. 08-9755-2027
สถานที่ติดต่อ :: ข้อมูลเพิ่มเติม : //www.myzoo.th.gs/
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:24:25 น.
ขึ้น ดอยวาวี รักกาแฟเสียดายชา ต้องเสน่ห์มนต์ตรา...ซากุระบาน
กลางฤดูเหมันต์ สายลมหนาวพัดยะเยือก.. มีบ้างบางคนเมื่อลมหนาวมาเยือน จิตใจมักอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ส่วนบางคนกลับรู้สึกหัวใจอบอุ่นพร้อมทั้งอยากเดินทางไปสัมผัสกับธรรมชาติอันหนาวเหน็บตามดอยสูง ภูสวย ....แม้จะยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาวถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ แม้จะยิ่งสูงยิ่งท้าทาย แต่ความท้าทายในหลายพื้นที่มีความงดงามปรากฏอยู่
เฉกเช่นดัง ดอยวาวี ใน อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ที่นับเป็นหนึ่งในดอยที่มีบรรยากาศโรแมนติกไม่ใช่น้อย เพราะดอยแห่งนี้ยามหน้าหนาว ดอกซากุระจะพากันผลิดอกบานย้อมบริเวณที่ปลูกเป็นสีชมพูสดใส ดูเพลินใจ เพลินตา
ดอกซากุระที่นี่ไม่ใช่ดอกซากุระจากแดนอาทิตย์อุทัยหากแต่เป็นซากุระเมืองไทยหรือต้นนางพญาเสือโคร่งที่ยามคลี่กลีบแย้มบานพร่างพราวเต็มต้น ความงดงามไม่ได้เป็นรองซากุระจากแดนอาทิตย์อุทัยแต่อย่างใด
ซากุระเมืองไทยเป็นพันธุ์ไม้ป่าตระกูลเดียวกับบ๊วย ท้อ พลัม เชอรี่ หรือ ซากุระ พบในที่สูง อากาศหนาวเย็นตามยอดดอยในภาคเหนืออย่าง เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และน่าน ซึ่งปัจจุบันตามสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งจะมีซากุระจะมีซากุระเป็นนางเอกชูโรงในหน้าหนาว อาทิ ดอยอ่างขาง ดอยแม่สลอง ดอยอินทนนท์ ขุนวาง แม่จอนหลวง
ตระการตา ซากุระบาน
ว่ากันว่าดอยวาวีที่ตั้งอยู่บนทิวเขาอันสลับวับซ้อนแห่งเทือกเขาผีปันน้ำตะวันตกเป็นอาณาจักรแห่งซากุระ (ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย) เพราะมีการปลูกซากุระมากถึง 400,000 ต้นเลยทีเดียว สำหรับจุดชมความงามของซากุระที่ดอยวาวีนั้นอยู่ที่ศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิตเชียงราย 2 (สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี) บน ดอยช้าง เขาลูกหนึ่งแห่งดอยวาวี ที่มีรูปร่างเหมือนช้างสองแม่ลูก
สถานีฯ วาวีแห่งนี้ถึงแม้จะเดินทางขึ้นลำบากเพราะต้องนั่งรถขับเคลื่อน 4 ล้อขึ้นไป แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าต่อการเดินทางยิ่งนัก เพราะในสถานีแห่งนี้ครบเครื่องทั้งเรื่อง ชม เรื่อง ชิม และเรื่อง ช้อป (เล็กๆ) ด้วย แถมยังเป็นแหล่งศึกษาดูงานท่องเที่ยวเชิงเกษตรอันสวยงามแห่งหนึ่งของเชียงราย ซึ่งก่อนที่จะไปชมสิ่งที่น่าสนใจภายในสถานีฯ แห่งนี้ ผู้จัดการท่องเที่ยว ขอเติมพลังด้วยการจิบกาแฟสดดอยช้าง (ฟรี) ซึ่งนี่คือ สุดยอดกาแฟคุณภาพ ของเมืองไทย เป็นกาแฟพันธุ์อาราบริก้าที่ให้กลิ่นหอมกรุ่นพร้อมด้วยรสชาติอันเข้มข้นถึงใจ
ใครที่เป็นคอกาแฟรสเข้มไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ส่วนใครที่ชิมกาแฟดอยช้างแล้วติดใจจะซื้อมาชงดื่มต่อที่บ้านก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะดื่มกาแฟขับรถ ตำรวจไม่จับแต่อย่างใด
ผู้จัดการท่องเที่ยว หลังจุใจกับการเติมพลังกาแฟไล่ความง่วงแล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นการเดินทอดน่องชมสิ่งสวยๆ งามๆ ในสถานีฯ วาวี ที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200-1,500 เมตร มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี อบอวลไปด้วยบรรยากาศอันสวยงามของแปลงไม้เมืองหนาว อาทิ ดอกกระดาษ ป๊อปปี้ พิทูเนีย ซัลเซีย บิโกเนีย ลำโพงขาว กุหลาบพันปี ฯลฯ อีกทั้งยังมีว่านสี่ทิศหลายสายพันธุ์ ทั้งสีแดง ชมพู ที่ออกดอกชูช่อไปทั่วทั้งแปลง
ส่วนที่ถือเป็นไฮไลต์หรือนางเอกแห่งวาวีดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งหนึ่งปีบานเพียงครั้งเดียวในช่วงหน้านาวระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. ก็คือ ซากุระเมืองไทย ที่หากไปถูกช่วงถูกเวลาแล้วเราจะพบดอกซากุระออกดอกชมพูสดใสบานสวยงามเต็มทั่วสถานีฯ ไปหมด ไม่เพียงแต่ดอกซากุระสีชมพูเท่านั้นแต่บนดอยช้างมีดอกซากุระสีขาวให้ชมอีกด้วย
และถ้าใครไปถูกจังหวะเวลาก็จะได้ชิมและช้อปผลไม้เมืองหนาวอย่าง สตรอเบอร์รี่ ท้อ บ๊วย สาลี่ พลัม สดๆ ใหม่ๆ ที่เพิ่งเก็บจากต้น สำหรับบ๊วยนั้นถึงแม้จะเป็นผลไม้ชื่อไม่เพราะแต่ว่าไม่เพียงมีรสชาติยอดเยี่ยมเท่านั้น ดอกบ๊วยสีขาวที่บานสะพรั่งเต็มต้นช่วงหน้าหนาวนั้นก็สวยงามไม่เบา แถมยามมองไกลๆ ดอกบ๊วยจะดูคล้ายดอกซากุระขาวไม่น้อย (เป็นพืชตระกูลเดียวกัน) จนหลายๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าดอกบ๊วยเป็นดอกซากุระขาวไป
นอกจากไม้เมืองหนาวสวยๆ งามๆ แล้วในสถานีฯ วาวี ยังมีพุทธอุทยาน อันเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสมเด็จพระพุทธสิกชี สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่สถานีฯ ท่ามกลางสวนไผ่และพันธุ์ไม้ป่าที่ร่มรื่นแต่แฝงไว้ด้วยความขรึมขลังเปี่ยมศรัทธา กลางพุทธอุทยานมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 9 แห่ง ที่นำไปทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาฯ ซึ่งมีน้ำใสสะอาดไหลเย็นฉ่ำทั้งปีไม่เคยเหือดแห้ง หลายๆคนนิยมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์มาล้างหน้าล้างตาดื่มกินเพื่อเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต
จุดน่าสนใจบนดอยช้างยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะจากพุทธอุทยานขึ้นเขาไปอีกราว 2 กม. ก็จะเป็นจุดชมวิวบนยอดดอยช้างบนระดับความสูงประมาณ 1,700 เมตร ผู้จัดการท่องเที่ยว เมื่อขึ้นมาพานพบก็รู้สึกผูกพันทันทีเพราะเสน่ห์ของภูมิทัศน์บนจุดชมวิวดอยช้างช่างสวยงามนัก งามทั้งสวนประดับที่มีไม้เมืองหนาวขึ้นเรียงรายเสริมแต่งองค์ประกอบให้กันอย่างลงตัว งามทั้งทิวทัศน์ของทะเลภูเขาอันสลับซับซ้อนมองเห็นทั้งเชียงราย เชียงใหม่ และเมืองยอนของพม่า ยิ่งยามที่อาทิตย์อัศดง (ในวันที่ท้องฟ้าเป็นใจ) บนดอยช้างนี่ยิ่งดูงดงามจับใจ เพราะมีทั้งมุมกว้างของทะเลภูเขาหรือมุมที่มีฉากหน้าของต้นไม้สวยๆ งามๆ ให้เลือกถ่ายรูปกันเต็มใจชอบ
....ดวงตะวันแม้จะจับไม่ได้ไปไม่ถึง แต่ก็สามารถเก็บไว้ในภาพถ่าย ภาพเขียน และเก็บไว้ในความทรงจำได้...
ยลวิถีชนเผ่าเคล้าชารสเลิศ
บนดอยวาวียังมีความเป็นเอกอุอีกอย่างหนึ่งที่ชวนให้ ผู้จัดการท่องเที่ยว หลงใหล หลงรส นั่นก็คือ เสน่ห์แห่ง ชา ที่ชาวบ้านบนดอยวาวีปลูกกันเป็นอาชีพหลักอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพราะที่มีมีชาวจีนฮ่อหรือจีนยูนนานมาอาศัยอยู่ยุคเดียวกันกับกองพล 93 ที่ดอยแม่สลอง (ที่ขึ้นชื่อเรื่องชาเช่นกัน) ส่งผลให้ดอยวาวีนิยมปลูกชากันมาก
ชาบนดอยวาวีมีทั้งชาพันธุ์พื้นเมืองสายพันธุ์ อัสสัม ชาสายพันธุ์ไต้หวันอย่างชิงชิง เบอร์ 12, 13 และ ชา อู่หลง ที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะดอยวาวีถือเป็นแหล่งปลูกชาอู่หลงแห่งแรกของเมืองไทย
เครดิตนี้ ผู้จัดการท่องเที่ยว ขอยกให้กับ ลุงพังโก : พินิจ พิทักษ์วารี ชายอายุ 60 กว่าๆ ผู้ที่ติดใจในรสชาติชาอู่หลงจนถึงขนาดแอบลักลอบนำต้นชาอู่พันธุ์ดีหลงเข้ามาปลูกในเมืองไทย เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว และลองผิดลองถูกอยู่ 8 ปี จนปัจจุบันได้พัฒนาเป็นชาอู่หลงแบบไทยๆ ที่รสชาติยอดเยี่ยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอู่หลงของไต้หวันแถมยังส่งไปตีตลาดที่ไต้หวันอีกด้วย
แม้ไม่ใช่ผู้พิศมัยชาในระดับแฟนพันธุ์แท้ แต่เมื่อเราได้ลิ้มลองชาอู่หลงก้านอ่อนบนดอยวาวีแล้ว บอกได้คำเดียวว่า ยอดเยี่ยมนัก เพราะกลิ่นชาหอมกรุ่น ส่วนรสชาติก็กลมกล่อมละมุนละไม แถมยังได้สาวๆ ชาวจีนฮ่อหน้าตาจิ้มลิ้มมาชงชาและสอนวิธีดื่มชาให้อีก ก็ยิ่งให้ชาที่ดื่มมีรสหวานหอมเป็นพิเศษ จนเราอดไม่ได้ต้องซื้อติดมือกลับมาชงดื่มต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่เป็นคนพิศมัยการดื่มสุรามากกว่าการดื่มชา
นอกจากจะมีชาให้ชิมให้ช้อป (หาซื้อหาชิมได้ตามร้านขายชาทั่วไป) แล้วดอยวาวียังมีชาให้ชมอีกด้วยซึ่งนอกจากไร่ชาที่ชาวบ้านปลูกเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขาแล้ว ดอยวาวี ยังมีต้น ชาพันปี ที่บ้านใหม่พัฒนาเป็นหนึ่งในจุดสนใจทางการท่องเที่ยว ชาพันปีต้นนี้วัดเส้นรอบวงบริเวณโคนต้นได้ 150 ซม. สูงถึง 20 เมตร เป็นชาสายพันธุ์อัสสัมที่ขึ้นเองตามธรรมชาติบนดอยวาวีมาช้านานแล้ว ชาวบ้านนิยมนำใบมาทำ เมี่ยง กินให้ความกระชุ่มกระชวย
บนดอยวาวียังไม่หมดของดีเพียงเท่านี้ เพราะการที่ดอยแห่งนี้มีชนเผ่าอาศัยอยู่ถึง 13 เผ่า อาทิ อาข่า (มีอยู่เอยะที่สุด) มูเซอ ลีซอ เย้า กะเหรี่ยง จีนฮ่อ และเผ่าอื่นๆ ก็ทำให้ดอยแห่งนี้มีวัฒนธรรมและประเพณีการแต่งกาย บ้านเรือน และภาษา ของแต่ละชนเผ่าที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป แต่ว่าทุกคนบนดอยวาวีต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติที่โอบล้อม
สำหรับหาวนี้ หนาวหน้า หรือช่วงเวลาไหนๆ อยากไปเที่ยวชมดอยวาวีก็สามารถหาเวลาเดินทางไปกันได้แม้ดอยวาวีจะอยู่บนพื้นที่ยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่ว่าก็เป็นความสูงและความหนาวที่มากไปด้วยเสน่ห์อันชวนหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
ดอยวาวี ตั้งอยู่ใน อ.แม่สรวย จ.เชียงราย จากตัวเมืองเชียงราย ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (เชียงราย-พะเยา) ประมาณ 22 กม. จะถึงทางแยกไปอำเภอแม่สรวย ให้เลี้ยวขวาและเดินทางต่อไปตามถนนหมายเลข 118 (เชียงราย-เชียงใหม่) อีกประมาณ 30 กม. ก็จะถึงสามแยกบ้านตีนดอย ที่เป็นเส้นทางขึ้นไปเที่ยวตามจุดต่างๆ บนดอยวาวี ซึ่งเส้นทางท่องเที่ยวบางแห่งเป็นถนนลูกรัง คดเคี้ยวและสูงชัน ต้องนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นไป (ควรสอบถามเส้นทางก่อน) หน้าหนาวนี้ (2550)
เจ้าหน้าที่สถานีฯ วาวี บอกว่าดอกซากุระจะบานระหว่างวันที่ 15 ม.ค. 15 ก.พ. (บวก-ลบ 1 สัปดาห์)
แหล่งข่าว: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ประจำวันศุกร์ ที่ 12 มกราคม 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 5023 (5021) หน้า 38 คอลัมน์ ผู้จัดการท่องเที่ยว
สถานที่ติดต่อ :: อบต.วาวี โทร. 053-605950, สมาคมท่องเที่ยวเชียงราย โทร. 053-601299, 053-715690 และสถานีฯ เกษตรวาวี โทร. 053-605932, 053-605934
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:25:30 น.
ขอต้อนรับเข้าสู่ลานทองอุทยานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง อุทยานแห่งศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาลุ่มน้ำโขง 6 ชาติ ชื่นชมความงามตามธรรมชาติและย้อนอดีตเพื่อสัมผัสความเป็นอยู่และวัฒนธรรมประเพณีของชุมชนภาคเหนือ ชาวไทยภูเขา และชนเผ่าต่างๆแห่งลุ่มแม่น้ำโขง
ครัวลานทองฯขอต้อนรับทุกท่านด้วยอาหารไทย อาหารนานาชาติและการบริการในระดับมาตรฐานอย่างเป็นกันเองท่ามกลางบรรยากาศขุนเขาที่เขียวขจีของอาณาจักรล้านนา
ความภูมิใจของถิ่นไทยงาม ลานทองฯแห่งแรกของไทย และภูมิภาคอาณาจักรแห่งขุนเขาเขียวชอุ่ม และสายน้ำแม่จันใสสะอาดรายล้อมด้วยหมู่พฤษานาพันธุ์
ตระการตากับการแสดงความเป็นอยู่และศิลปวัฒนธรรมจากแคว้นสิบสองปันนา โดยคณะนักแสดงจากประเทศจีน และรำลึกอดีตสัมผัสกับความงามของธรรมชาติรายรอบอุทยาน
ฆ้องชัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ฆ้องชัยลานทองฯ หนักประมาณ 3 ตัน เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร ประติมากรรมร่วมสมัยแกะสลักเป็นรูปนักษัตร 12 ราศี และรูปหล่อสำริดสิงห์ 4 ทิศ จาก 4 ประเทศได้แก่ น พม่า ลาว และไทย สะท้อนถึงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง
บ้านพักของลานทองฯ ที่รายล้อมด้วยแม่น้ำจันและธรรมชาติที่สามารถรองรับทุกท่านที่มาเป็นส่วยตัวหรือหมู่คณะได้อย่างเพียบพร้อม สมบูรณ์แบบด้วยห้องประชุมขนาดใหญ่และลานอเนกประสงค์ที่กว้างขวางสำหรับทำกิจกรรมกระชับไมตรีหน้าน้ำตก ซึ่งกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างสวยงาม และอากาศบริสุทธิ์ เย็นสดชื่นตลอดปี
ลานฆ้องชัย
ฆ้องชัย ตั้งตระหง่าน ณ ลานทองอุทยานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง เชียงราย หรือจังหวัดเชียงราย ในภาษาราชการ เป็นดินแดนซึ่งพญามังราย ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1805 นับได้ 740ปี จังหวัดเชียงรายถือว่า เป็นจังหวัดที่มีน้ำโขงไหลผ่าน ดังนั้นลานทองอุทยานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงจึงได้รวบรวมเอาวัฒนธรรม ของประเทศลุ่มน้ำโขงอันได้แก่ประเทศจีนตอนใต้ เมียนมาร์ ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม เข้ามารวบไว้ เพื่อจรรโลงและรักษาวัฒนธรรมที่ดีสืบต่อไป
นอกเหนือจากวัฒนธรรมที่ดีงามแล้ว ลานทองอุทยานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงได้ถ่ายทอดมาในรูปแบบการแสดงแล้ว ยังได้สร้างฆ้องชัยขึ้น ถือว่าฆ้องชัยเป็นตัวเชื่อมอย่างดีของวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงจะเห็นว่าในทุกประเทศของลุ่มน้ำโขงนั้นใช้ฆ้องในพธีงานบุญหรือในงานพิธีการต่างๆและแม่น้ำโขงยังถือเป็นอีกหนึ่งตัวเชื่อมของ 6 ประเทศในลุ่มน้ำโขงอย่างแนบแน่นและกลมกลืน
ลานฆ้องชัยมีลักษณะเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 80 เมตร ตรงจุดศูนย์กลางมีฆ้องชัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งเด่นเป็นสง่าตัวฆ้องมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร หนักประมาณ 3 ตัน มีโลหะผสมระหว่างทองแดงและดีบุก ด้านหน้าแกะสลักเป็นรูปนักษัตร 12ราศี และด้านหลังเป็นรูปแผนที่ของ 6 ประเทศมีลักษณะเด่นของแต่ละประเทศมาผสมผสานกันด้านล่างบริเวณพื้นรอบลานฆ้องปูด้วยอิฐดินเผาสีแดง และยังมรใบกาสะลองแกะลงบนพื้นอิฐทุกก้อน (ต้นกาสะลองถือว่าเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย)เปรียบเสมือนว่าใบกาสะลองร่วงหล่นบนแผ่นดินเชียงราย
รายล้อมรอบฆ้อง มีรูปหล่อสิงห์เป็นงานประติมากรรม จากประเทศจีน ประเทศเมียนมาร์ ประเทศลาว และ ประเทศไทย ประเทศละ 1 คู่ ยืนเด่นเป็นสง่าเฝ้าฆ้องทั้ง 4 ทิศประกอบไปด้วย
รูปหล่อสิงห์
ประติมากรรมลานฆ้องรูปหล่อสิงห์ 4 ประเทศ เป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรม
สิงห์ไทย ได้นำอิทธิพลของศิลปะเชียงแสนและล้านนามาสร้างเป็นผลงานประติมากรรมก่อให้เกิดรูปแบบสิงห์ที่มีลักษณะและรูปทรงและรายละเอียดขอองงานในรูปแบบร่วมสมัย โดยส่วนฐานได้จำลองสถานที่สำคัญของประเทศไทย อันได้แก่ พระปรางวัดอรุณราชวราราม ยักษ์วัดโพธิ์ ยักษ์วัดแจ้ง และแม่น้ำเจ้าพระยา
สิงห์จีน ได้นำเอารูปสิงห์ด้านหน้าพระราชวัง ณ กรุงปักกิ่งมาสร้างสรรค์เป็นผลงานประติมากรรมซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบสิงห์ที่มีลักษณะและรูปทรงและรายละเอียดของงานในรูปแบบร่วมสมัยโดยส่วนฐานได้จำลองสถานที่สำคัญของประเทศจีน เช่นป่าหินแห่งคุณหมิง และกำแพงเมืองจีน
สิงห์เมียนมาร์ ได้นำเอารูปแบบสิงห์มาจากประตูทางเข้าวัดชะเวดากอง นครแห่งจักรวาล ได้นำมาสร้างสรรค์ โดยเป็นผลงานประติมากรรมก่อให้เกิดรูปแบบสิงห์ที่มีลักษณะรูปทรงและรายละเอียดของงานในรูปแบบร่วมสมัยโดยส่วนฐานได้จำลองสถานที่สำคัญของประเทศเมียนมารือันได้แก่เจดีย์ชะเวดากอง
สิงห์ลาว ได้นำรูปแบบสิงห์ที่ใช้ในการประกอบพิธีแห่มหาสงกรานต์ในเมืองหลวงพระบาง มาสร้างสรรค์เป็นผลงานประติมากรรมก่อให้เกิดรูปแบบสิงห์ที่มีลักษณะรูปทรงและรายละเอียดของผลงานในรูปแบบร่วมสมัยโดยส่วนฐานได้จำลองสถานที่สำคัญของประเทศลาว คือวัดเชียงทอง เมืองหลวงพระบาง ปู่เย ย่าเย สิงห์ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวลาวว่าเป็นผู้ที่นำสิ่งที่ดีงามมาจากสวรรค์มาอวยพรในวันสงกรานต์
เบอร์โทรศัพท์ที่ทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใหม่
เบอร์โทรศัพท์ 053-710881-8
เบอร์แฟกซ์ 053- 710889
**บริการห้องพัก อาหาร ห้องประชุมสัมมนา การแสดงต่างๆ**
สถานที่ติดต่อ :: ลานทองอุทยานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง 99 ม. 13 ถ.แม่จัน-ท่าตอน กม.ที่ 12 ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย 57110 โทร. 053-710881-8 โทรสาร. 053-710889
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:26:23 น.
"อุทยานแห่งความสงบ งามอย่างล้านนา"
ไร่แม่ฟ้าหลวงตั้งอยู่บริเวณพื้นราบทางตะวันตกของตัวเมืองเชียงราย ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ฝึกอบรมเยาวชนชาวเขาจากหมู่บ้านต่างๆ ในภาคเหนือ ปัจจุบันเป็นอุทยานศิลปะและวัฒนธรรมอันรื่นรมณ์ด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์ เหมาะสำหรับผู้แสวงหาความสงบเงียบและแรงบันดาลใจอันเกิดจากธรรมชาติ และสิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น
บริเณ 150 ไร่ของไร่แม่ฟ้าหลวงเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี ละคร ทั้งยังเหมาะสำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองรูปแบบต่างๆ การประชุมสัมนาหรือการประกอบพิธีกรรมพื้นเมืองเหนือในท่ามกลางบรรยากศอันสงบและศักดิ์สิทธิ์
ความเป็นมาของคำว่า "ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง"
ความเป็นมาของคำว่าไหว้สาแม่ฟ้าหลวง
ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง เป็นภาษาเนหือโบราณแปลว่า การน้อมคารวะ
แม่ฟ้าหลวงเป้นคำที่ชาวไทยในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทบ ใช้แทนพระนามของสมเด็ขพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีผู้สันนิษฐานว่าชาวไทยภูเขาได้คำนี้มาจากชาวไทยใหญ่ในตอนใต้ของประเทศจีนที่เรียกเจ้านายของตนเองว่า เจ้าฟ้า บางท่านสันนิษฐานว่า พระนามนี้ได้มาจากกาเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรชาวไทยภุเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เฮลิปคอบเตอร์เป็นพระราชพาหนะ เปรียบเสมือนมารดาจากฟากฟ้ามาดูแลบุตร แต่ไม่ว่าคำคำนี้จะมีที่มาจากเหตุใด ก็เป็นพระสัญญานามที่ถวายแด่พระองค์ ท่านด้วยความรัก บูชา และซาบซึ้งในพระเมตตาที่ทรงมีต่อราษฎรในพื้นที่ทรุกันดารเหล่านั้น ประดุจความรักและเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่มารดาพึงมีต่อบุตร
งานไหว้สาแม่ฟ้าหลวง
จัดขึ้นครั้งแรก ตรงกับวันที่ 9 ธันวาคม 2527 ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง เนื่องจากในวโรกาสเจริญพระชนมา ยุครบ 7 รอบ
ครั้งที่ 2 จัดเมื่อวันที่ 11-12 มกราคม 2529 ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง การแสดงเรื่อง ขุนหลวงวิรังคะ และเอื้องแซะ ซึ่งเป็นเรื่องราวความเกี่ยวกับพันระหว่างชาวเขาเผ่าลั่วะซึ่งเป็นชาวเขา ที่มีผู้สัมผัสน้อยที่สุดกับคนพื้นราบ
ครั้งที่ 3 จัดเมื่อวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2530 การแสดงเรื่อง ศิขรินทร์รัญจวน ณ ไร่แม่ฟ้า หลวงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเมตตาของสมเด็จย่าที่มีต่อตำรวจตระเวนชายแดน และ ครูชนบทที่ไกลคมนาคม
ครั้งที่ 4 จัดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2533 การแสดงชุด คำหยาดฟ้า ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง เพื่อ เฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จฯทรงเจริญพระชนมายุ 90 พรรษาในปี 2533
ครั้งที่ 5 จัดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 พิธีไหว้สาแม่ฟ้าหลวง ณ พระตำหนักดอยตุง ในครั้งนี้ เป็นการนำโบราณราชประเพณีของล้านนาที่มีการจดจำบันทึกไว้มาใช้ โดยอาศัยความ จงรักภักดีและความสามัคคีของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า
โครงการศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้าน
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงและธานาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ได้ริเริ่มโครงการศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านขึ้นมาเพื่อเป็นการปลูกฝังค่านิยมของคนในสังคมปัจจุบัน จะร่วมในการผลักดันให้มรดกทางวัฒนธรรมเหล่านั้นดำรงอยู่สืบไป ธนาคารและมูลนิธิฯ ได้จัดงานศิลปะดนตรีวัฒนธรรมพื้นบ้าน มีจุดหมายที่จะยกย่องและเผยแพร่วัฒนธรรมพื้นบ้าน ไม่ว่าเป็นเรื่องการสันทนาการ อาหาร ภาษาวรรณคดี ความเชื่อถือ ยารักษาโรค ฯลฯ ที่เกิดขึ้นแลสืบเนื่องต่อกันมาหลายชั่วอายุคน งานนี้จะโยกย้ายไปจัดในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นเสมือนเครื่องมือเผยแพร่วัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างหนึ่ง โดยต้องการให้เห็นความงดงามในความหลากหลายของวัฒนธรรมในประเทศของเรา อันเป็นทางหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีและสามัคคีเป็นอันเดียวกันของคนภายในประเทศ ที่สำคัญคือต้องการให้เห็นถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของคนไทยในภาคต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องลอกเลียนวัฒนธรรมและความคิดของชาติอื่นเสมอไป
ครั้งแรก จัดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2531 ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง คอนเสิร์ตสุนทรีย์ ดอกไม้บานหวานเพลงเหนือโดยศิลปินพื้นบ้าน 7 จังหวัดของภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แพร่ นาน และพิษณุโลก จะได้ร่วมกันแสดงดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นในจังหวัดของตน นำรายได้ขึ้นทูลเกล้าถวายสมเด็ดพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการจัดหาศิลปวัตถุและโบราณวัตถุของภาคเหนือ เพื่อรวบรวมจัดแสดงที่ หอคำหลวง
ครั้งที่ 2 จัดเมื่อวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2532 ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ศิลปดนตรีวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน เรื่องอาสาบารถ นำรายได้มอบมูลนิธิ ฯ เพื่อสมทบทุนสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของภาคอีสานและสนันสนุนโครงการอีสานเขียว
ครั้งที่ 3 จัดเมือวันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2534 ณ เกาะยอ จังหวัดสงขลา งานศิลปะวัฒนธรรมและดนตรีพื้นบ้านเรื่องทะเลทิพย์ แสดงที่ศูนย์ทักษิณคดีศึกษาเกาะยอ เป็นการแสดงเกี่ยวตำนานโนราของปักษ์ใต้ ในการแสดงครั้งนี้จะแสดงให้เป็นโนราอย่างโบราณ และอย่างที่ปรับปรุงมีวัฒนาการแล้ว
ครั้งที่ 4 จัดเมือวันที่ 5-8 มกราคม 2535 ณ ศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย งานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านแม่ฟ้าหลวง
หอคำ
เป็นสถานปัตยกรรมล้านนาซึ่งมีหลังคามุงด้วยแผ่นไม้สัก ชาวเชียงรายร่วมกันสร้างเพื่อ "ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง" ถวายเนื่องในวโรกาที่สมเด็จพระศรีนครินทรืบรมราชชนนีเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2527 อันเป็นฝีมือช่างไม้พื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายและแพร่ ภายในหอคำเป็นที่เก็บรวบรวมศิลปวัตถุและงานพุทธศิลป์ มีทั้งพระพุทธรูปแบบล้านนา และเครื่องไม้แกะสลักที่ใช้ในพระพุทธศาสนา เช่น สัตภัณฑ์ (เชิงเทียนไม้เก่าแก่) ตุงกระด้าง (ตุงหรือธงไม้) ขันดอก (ภาชนะใส่ดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ) บรรยากาศภายในหอคำศักดิ์และขรึมขลัง ให้ความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก แสงเทียนที่วับแวมอยู่ในความสลัวชวนให้เกิดความปีติจับใจ พระพุทธรูปองค์สำคัญในหอคำ คือ พระพร้าโต้ ซึ่งมีจารึกว่าสร้างในปี พ.ศ. 2236 โดยชาวบ้านซึ่งพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่และยังไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมในการสลักเสลาพระพุทธรูปไม้ให้ประณีตจึงใช้เพียงมีดโต้เป็นเครื่องมือแกะสลัก พระพุทธรูปมีลักษณะแข็งแรง และสง่างาม
รายละเอียดเพิ่มเติม
หอคำแม่ฟ้าหลวง
หอคำแม่ฟ้าหลวง เป็นเครื่องไหว้สาแม่ฟ้าหลวงในวโรกาสที่พระองค์ท่านทรงเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา และได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 หอคำหลวง เป็นผลงานแห่งความรักความศรัทราของบุคคลหลายหน่วยหลายฝ่าย ซึ่พงยายามสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม อันเป็นการเจริญตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน สถาปนิกของหอคำ มีอยู่ คือคุณ ทรงศักดิ์ ทวีเจริญ , คุณครองศักดิ์ จุฬามรกต, คุณเผ่า สุวรรณศักดิ์ศรีและคุณธีรพล นิยม , คุณมนัส รัตนสัจธรรม และคุณจรูย กมลรัตน์ เป็นวิศวกร นายช่างชลประทานเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างโดยใช้ช่างไม้พื่นบ้านจากจัหงวัดเชียงรายและแพร่ เสาไม้ใหญ่และลำไม้สักที่เกิดจากการซอยป่า ได้รับการเอื้อเฟื้อจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ นอกเหนือจากจากไม้ของบ้านเก่า จำนวน 32 หลัง ซึ่งทางมูลนิธิฯ เป็นผู้จัดซื้อ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมช่วยในด้านงานศิลปะตกแต่ง ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านป่างิ้วเป็นเป็นผู้ช่วยดูแลรักษาสาธารณสมบัติอันมีค่าของจังหวัดเชียงรายชิ้นนี้
ศิลปวัตถุชิ้นแรกที่นำมาแสดงในโอกาสอันเป้นมงคลยิ่งนี้คือ การแสดงเครื่องสัตภัณฑ์ และพระพุทธรุปไม้สักล้านนาไทย
ในระวห่างปี พ.ศ. 2529-2530 มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ในภาคเหนือของประเทศไทย มีการปรับปรุงเรื่องการไฟฟ้าและคมนาคม ชาวบ้านมีฐานะดีขึ้นโดยเฉพาะในหมู่บ้านที่มีการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ วัดวาอารามเก่าแก่หลายอห่งถูกรื้อลง เพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ตามแบบฉบับสมัยนิยม สัตภัณฑ์หรือแท่นเชิงเทียนถูกย้ายถ่ายเทไปตามที่ต่างๆ มุลนิธิแม่ฟ้าหลวงเห็นควรจะถนอมรักษาศิลปวัตถุที่งดงามนี้ไว้ จึงได้จัดซื้อเครื่องสัตภัณฑ์เหล่านี้มารวบรวมดูแลรักษาไว้ และในขณะเดียวกันก็มีผู้บริจาคสมทบเป็นจำนวนมาก สัตภัณฑ์เป็นสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์ใช้สอย ช่วยให้เกิดความสว่าง ความสงบ ความสวยงาม และความหวังมาหลายชั่วอายุคนในล้านนา หวังว่าการแสดงสัตภัณฑ์ จะช่วยให้ท่านผู้ชมได้เกิดความรู้สึกที่ดีงามดังกล่าวข้างต้นด้วย
พระพุทธรุปไม้สักทองสำตคัญในหอคำหลวง วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ได้มอบให้เป็นสิริมลคลพระพุทธรุปนี้มีพระนานมว่า พระพร้าใต้ ซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2236 กล่าวกันว่าสร้างในสมัยที่บุกเบิกก่อสร้างบ้านเมือง ชาวบ้านซึ่งอพยพเข้าไปตั้งรากฐาน ณ บริเวณใกล้วัดนี้ยังขาดเครื่องมือใช้อันจะประดิดประดอยพระพุทธรุปให้ละเอียดประณีต จึงจำเป็นต้องสร้างพระพุทธรูปนี้โดยใช้มีดขนาดใหญ่หนา พุทธลักษณะจึงปรากฏในลักษณะที่เข้มแข็ง บึกบึน และสง่างาม หวังว่าพระพุทธรุปลักษณะนี้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของไร่แม่ฟ้าหลวง ที่พึ่งเริ่มบุกเบิกงาน และมีภาระที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรอีกไม่น้อย
คำว่า หอคำ ในภาษาพื้นเมืองของเรานั้นหมายถึงที่อยู่ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คำว่า คำ นอกจากจะแปลว่า ทองคำแล้วยังหมายถึงสิ่งที่ดีสิ่งที่งามอีกด้วย
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีหรือแม่ฟ้าหลวงของพวกเราทั้งหลายนั้นทรงเป็นตัวอย่างในเรื่องการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณชน พระราชกรณียกิจต่างๆหลากหลายและทรงคุณประโยชน์ที่สุดที่จะบรรยาย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงซึ่งอยู่ในพระราชูปถัมภ์ใคร่จะเจริญตามรอยพระบาทองค์ท่าน แทนที่จะสร้างหอคำถวายไว้เป็นของพระองค์ท่านแต่เพียงผู้เดียว แต่กลับได้แบ่งปันให้เป็นประโยชน์ใช้สอยสำหรับมวลชนโดยทั่วไป
หอคำมีโครงสร้างและวัสดุที่ใช้อย่างล้านนาไทย กล่าวคือ แบบหลังค่ได้ความบันดาลในจากวัดในจังหวัดลำปาง ตัวอาหารสอบเข้าเหมือนลักษณะเรือนล้านนาอย่างโบราณ ลวดประดับได้จากจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง วัสดุใช้ไม้จากภาคเหนือทั้งหลังโดยที่มูลนิธิฯซื้อไม้จากไม้เก่าในเขตจังหวัดเชียงราย และพะเยาจำนวน 32 หลัง ไม้เสาใหญ่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากองค์การ อ.อ.ป.หลังคาเป็นหลังคาเก่าของบ้านในชนบท เป็นไม้แผ่นสักกว้างประมาณ 4นิ้ว ซ้อนๆกันซึ่งชาวบ้านเรียกว่า แป้นเกล้ด นายช่างผู้ก่อสร้างเป้นนานช่างจากจังหวัดเชียงรายและจังหวัดแพร่ ช่างแกะสลักได้จากจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน วิศกรโครงสร้างเป็นนายช่างจากกรมชลประทาน
มีไม้แกะสลักรุปสามเหลี่ยมใหญ่อยู่ 5 ชิ้น ในหอคำนี้ซึ่งน่าในใจ ไม้ทั้ง 5 ชิ้นนี้เป็นรูปสัตว์ 5 ชนิด ซึ่งมาจากสัญลักษณ์ปีคล้ายปีประสูติของสมเด็จพระมิคลาธิเบศร อดุลยเดจวิกรม(สมเด็จพระบรมราชนก)และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี,พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมาหาอนันทมหิดล,พระบามสมเด็จพระปรมิรทรหมภูมิพลดอุลยเดช(รัชกาลปัจจุบัน)และสมเด็จพรี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลป์ยานวัฒนาเราได้ประดับไม้แกะสลักทั้ง 5 ชิ้นฝีมือช่างพื้นบ้านนี้ไว้ในที่สูงสุด นอกเหนือไปจาก หอคำหลวงแล้ว ทางมูลนิธิยังใช้เวลาและทุนทรัพย์ในการปรับปรุงบริเวณรอบๆหอคำให้สะอาดและรื่นรมย์ให้มีต้นไม้เป็นที่อาศัยของนกกาและมีความสงบเหมาะสมสำหรับเป็นที่เดินเล่นพักผ่อน เชื่อว่าเมืองเชียงรายซึ่งได้รับความเมตตาปราณีจากชาวบ้านเชียงรายโดยตลอดมา จึงเป็นทีน่ายินดีว่ามีโอกาสสร้าง หอคำหลวง ขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่งของแผ่นดินเชียงราย
หอคำน้อย
การเดินเล่นในอุทยานแห่งนี้เป็นประสบการณ์พิเศษ ภายในอุทยานมีไม้ป่านานาพันธุ์ มีพระรูปปั้นของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอันเป็นผลงานของคุณมีเซียม ยิบอินซอย มีอาคารศิลาแลงหลังคาแป้นเกล็ดไม้สัก ซึ่งเรียกว่า "หอคำน้อย" เป็นที่เก็บภาพจิตกรรมฝาผนัง เขียนด้วยสีฝุ่นบนกระดานไม้สัก สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยช่างเขียนชาวไทลื้อ ภาพแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ การแต่งกาย และวัศนธรรมล้านนาเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว
รายละเอียดเพิ่มเติมหอคำน้อย ซึ่งเป้นที่เก็บจิตรกรรมภาพวาดบนแผ่นไม้สักจากเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่ และวันเฉลิมฉลอง หอคำน้อย ตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม 2535
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงเห็นว่าศสิลปะเหล่านี้เป็ยของแผ่นดิน มมิได้เป็นของผู้ใดผู้หนึ่ง ดดยเฉาะมูลนิฯ มีความภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสเป็นผู้ดูแลรักษาเพื่อสาธารณชน
หอแก้ว
จากหอคำน้อย เมื่อเดินผ่านป่าสมุนไพรไปทางทิศใต้ จะพบอาคารหลังใหญ่ คือ หอแก้ว ซึ่งมีพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่ทำกิจกรรม เช่น การประชุมสัมมนา จัดเลี้ยง ฯลฯ มีระเบียงยื่นลงไปในสระว่ายน้ำกว้างใหญ่ เหมาะแก่การสังสรรค์อันรื่นรมณ์ และปลอดโปร่งใจ อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่จัดนิทรรศการเกี่ยวกับไม้สัก ทั้งในด้านพฤกษศาสตร์ และในด้านเป็นวัสดุอันเลื่องชื่อสำหรับสร้างสรรค์งานศิลปะ
รายละเอียดเพิ่มเติม
หอแก้ว
อาคารสถาปัตนกรรมล้านนาประยุกต์ขนาดใหญ่ สร้างเสร็จเมื่ออปี พ.ศ. 2544 ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่ทำกิจกรรม เช่น การประชุมสัมมนา จัดเลี้ยงฯลฯ มีระเบียงยื่นลงไปสระน้ำกว้างใหญ่เหมาะแก่การสังสรรค์ค์อันเรื่นรมย์แลละปลอดโปร่งใจ อีกส่วนหนึ่งเป้ฯพื้นที่จัดนิทรรศการ ซึ่งขณะนี้ได้จัดนิทรรศกาถาวรเรื่อง ไม้สัก และนิทรรศการเรื่องหมุ่นเวียน หอคำในอาณาจักรล้านนา
นิทรรศการภาพถ่ายหอคำ ประกอบด้วยภาพหอคำและวิถีชีวิตในคุ้มหลวงของล้านนาโบราณซึ่งตามขบนธรรมเนียมในอดีต ถือได้ว่าหอคำเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองที่สำคัญ เป็นไปตามความเชื่อหลักศาสนา โหราศาสตร์ และมีความสำคัญต่อสังคม จากภาพถ่ายที่จัดแสดงจึงได้ปรากฏความเจริญของสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากการเมืองตลอดเวลา นิทรรศการเริ่มต้นด้วยรูปแบบโครงสร้างของหอคำที่ได้รับอิทธิพลศิลปะพม่าซึ่งได้แผ่ขยายไปทั่ว โดยจัดแสดงภาพหมู่พระมหามณเฑียรแห่งเมืองมัณฑเลย์ภาพถ่ายของหอคำในภาคเหนือของไทย อันประกอบไปด้วย หอคำเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน ข้ามแม่น้ำโขงไปยังลาวตอนบน จะพบหอคำหลวงพระบางและเมืองสิง จบลงด้วยภาพหอคำในเชียงตุง ยองห้วย และแสนหวีในรัฐแน ประเทศพม่า
สำนักงานกรุงเทพฯ
โทร. 02-252 7114
โทรสาร. 02-2541665
อีเมล์ tourism@doitung.org
ข้อมูลเพิ่มเติม : //www.maefahluang.org/maefahluang/
สถานที่ติดต่อ :: 313 หมู่ 7 บ้านป่างิ้ว ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย โทร. 053-711968 โทรสาร. 053-712429 เว็บไซต์ //www.maefahluang.org อีเมล์ rmfl@doitung.org ***เปิดทุกวัน เวลา 10.00 18.00 น. (ยกเว้นวันจันทร์)***
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:28:10 น.
มูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณี - กำแพงเมืองจีนจำลอง
พื้นที่การดำเนินการก่อสร้างอาคารต่างๆ ของ มูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณี ซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายมือบนเนินเขาน้อยใหญ่ ในพื้นที่กว่า 119 ไร่ อันสวยงามของบ้านใหม่หนองบัวแดง เลขที่ 171 หมู่ 15 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย
เปิดให้เข้าชม
วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์
เวลา 09.00 17.00 น.
วัตถุประสงค์
1. เฉลิมพระเกียรติต่อราชวงศ์จักรี
2. ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชน
3. ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและวัดวาอาราม
4. เพื่อร่วมมือองค์การการกุศลเพื่อสาธารณประโยชน์และสังคมสงเคราะห์
5. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล
6. ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองประการใด
พื้นที่การดำเนินการก่อสร้างอาคารต่างๆ ของ มูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณี ซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายมือบนเนินเขาน้อยใหญ่ ในพื้นที่กว่า 119 ไร่ อันสวยงามของบ้านใหม่หนองบัวแดง เลขที่ 171 หมู่ 15 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย
ประตูทางเข้าของมูลนิธิฯ มี 2 เส้นทาง ทางด้านทิศตะวันตกเป็นซุ้มประตูทางล้านนา ส่วนประตูทางเข้าทางด้านทิศตะวันออก เป็นซุ้มประตูลักษณะกำแพงดินเมืองโบราณชื่อ ซุ้มประตูวิเศษไชยศรี
เมื่อเดินทางเข้าสู่พื้นที่ของมูลนิธิฯ ภายในบริเวณโดยรอบจะพบกับความอลังการของตัวอาคารต่างๆ ตามเนินเขาน้อยใหญ่ในหลายรูปทรงและวัฒนธรรม กลมกลืนกับสวนไม้ดอกไม้ประดับ สวนไม้เศรษฐกิจนานาพันธุ์ตามแนวพระราชเสาวนีย์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เหมาะแก่การสร้างบุญสร้างกุศลเป็นอย่างยิ่ง
อาคารอเนกกุศลสงเคราะห์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงพระเจริญพระชนมพรราครบ 72 พรรา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2547 โดยได้รับ พระราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ประดิษฐานที่หน้าบันของอาคารทั้งสองด้าน โดยอาคารแห่งนี้ใช้เป็นที่ส่งเสริมกิจกรรมการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชน สงเคาระห์ผู้ด้อยโอกาส และส่งเสริมอาชีพของผู้ยากไร้ด้านเกา๖รกรรม
บริเวณหน้าอาคารอเนกกุศลสงเคราะห์เฉลิมพระเกียรติ เป็นที่สักการะขอพรจากอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ตบแต่งด้วยลวดลายไทยอันสวยงาม โดยมีศาลาแสดงพระบรมฉายาลักษณ์พระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลในพระราชวงศ์จัดตั้งเคียงคู่
เดินไปตามทางภายในโครงการก่อนถึงสระน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 3 บ่อ สามารถแวะสักการะขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายใน เทวาย ก่อนขึ้นชม อาคารจตุรมุข ซึ่งอยู่ยอดเขาลูกขวามือ เป็นอนุสรณ์สถานและเฉลิมพระเกียรติเผยแพร่พระเกียรติคุณของ พระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ของปวงชนชาวไทย ภายในอาคารจตุรมุขประดิษฐานพระพุทธรูปหยก พระพุทธมหามณีรัตนมงคล หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว ไว้ให้กราบไหว้บูชา
ด้านหลังอาคารจตุรมุขมีอาคารบรรจุ พระธาตุจำลอง 12 ราศี เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาและสักการะแก่ประชาชนทั่วไป และถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
อาคารหอเทียนฐานคุณธรรมเทียมฟ้า ซึ่งอยู่ยอดเขาลูกซ้ายมือ ตัวอาคารสร้างเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งมูลนิธิฯ ได้ร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาสร้างขึ้นเพื่อร่วมถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เนื่องในวโรกาสมหามงคล ทรงพระเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งได้รับการวางศิลาฤกษ์ โดย ฯพณฯ องคมนตรี ธานินทร์ กรัยวิเชียร ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม2547 ผู้ริเริ่มการก่อสร้างโดย อ.เกรียงไกร ชำนิการโกศล เพื่อทดแทนแผ่นดินและเฉลิมพระเกียรติราชวงศ์จักรี และได้รับการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2548 โดยมี พล.อ.นิพนธ์ ภารัญนิตย์ ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ เป็นประธานในพิธี
นอกจากนั้นในยอดเขาหอเทียนฐานฯ สามารถชมทิวทัศน์และสัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ได้ไม่แพ้กันกับบนยอดเขาที่ตั้งศาลาจตุรมุขฯ
มูลนิธิฯ ได้จัดสร้าง กำแพงเมืองจีนจำลอง ล้อมรอบพื้นที่ของมูลนิธิฯ จากซุ้มประตูทางด้านทิศตะวันตกถึงซุ้มประตูทางด้านทิศตะวันออก รวมระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ที่ทอดตัวขึ้นลงไปตามเนินเขาสวยงามเหมือนสัมผัสบรรยากาศของประเทศจีนและเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน และสามารถออกกำลังกายโดยการเดินชมบรรยากาศของสวนดอกไม้นานาพรรณภายในโครงการไปตามกำแพงเมืองจีนจำลองแห่งนี้ด้วย
นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังมีโครงการก่อสร้างอีกมากมาย เช่น
- ซุ้มประตูจีนเฉลิมพระเกียรติพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร
- อาคารที่ประทับพระโพธิสัตว์ (กวนอิม 84 ปาง)
- อาคารหอสมุดเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสมหามงคล ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 50 พรรษา
อ.เกรียงไกร ชำนิการโกศล (ประธานอำนวยการก่อสร้าง)ได้รับเงินสนับสนุนการก่อสร้างโดย
1. มูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณี
2. มูลนิธิปอเต๊กตึ้ง
3. ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาโดยทั่วไป
สถานที่ติดต่อ :: มูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณี เลขที่ 171 หมู่ 15 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย โทร. 0-5373-5388, 0-2441-9926, 0-2441-9842
โดย: jackiechan 15 กันยายน 2550 12:28:54 น.
โดย: mam (mamminnie ) 15 กันยายน 2550 13:18:27 น.
โดย: boatboat 15 กันยายน 2550 13:51:03 น.
ไม่ค่อยได้เที่ยวในเชียงราย แต่เกิดและโตที่นั่น อุ๊ย อาย
โดย: sailamon 15 กันยายน 2550 15:08:44 น.
หรือ ใครเบื่อเชียงใหม่ก้เลยไปเชียงรายเลยก้มี
..........
สำหรับผมไปหมดแล้วเชียงราย เลยเสาะแสวงหาที่ไกลๆออกไปครับ
โดย: -*-Superbaker 15 กันยายน 2550 15:19:37 น.
โดย: Zorakun 15 กันยายน 2550 21:27:47 น.
โดย: Nobody know me 23 พฤศจิกายน 2550 18:10:28 น.
โดย: vichien in IP: 124.120.243.17 24 พฤศจิกายน 2550 16:47:36 น.
โดย: wetrip 7 มกราคม 2551 21:14:17 น.
โดย: หมูเทพ IP: 124.121.122.20 15 เมษายน 2551 10:58:13 น.
โดย: mimja IP: 117.47.0.93 1 พฤษภาคม 2551 21:19:05 น.
โดย: นาฏนภา ไชยโช IP: 117.47.122.124 29 สิงหาคม 2551 14:48:20 น.
โดย: สาวเจียงฮาย IP: 222.123.29.82 7 กุมภาพันธ์ 2552 7:53:27 น.
โดย: เธกเธฒเธขเธกเธดเธเธเน IP: 222.123.87.139 28 มีนาคม 2552 15:13:43 น.
โดย: เธกเธฒเธขเธกเธดเธเธเน IP: 222.123.87.139 28 มีนาคม 2552 15:14:31 น.
โดย: ฟีล์ม IP: 118.175.60.55 14 กันยายน 2552 16:26:45 น.
โดย: บิว คนใต้ IP: 118.173.36.222 27 กรกฎาคม 2553 9:51:43 น.
โดย: Royter 8 มกราคม 2554 8:36:14 น.
โดย: Num IP: 223.204.126.143 14 กันยายน 2555 20:11:36 น.
โดย: แมวเหมียว IP: 119.160.218.194 29 พฤศจิกายน 2555 11:33:43 น.