เส้นทางแห่งความสุขสนุกแบบ 3 พ. " ท่องเขาค้อ ภูหินร่องกล้า ภูลมโล ภูทับเบิก บึงสีไฟ "
วันนี้ ArounD มาในแนวที่ไม่ค่อยจะคุ้นตากันซักเท่าไหร่อีกแล้วฮะ ที่ว่าไม่คุ้นเพราะส่วนใหญ่ผมจะพาไปพักตามโรงแรม รีสอร์ทต่างๆกัน ส่วนวันนี้ผมจะพาไปเที่ยวกันในอีกรูปแบบที่นานๆผมจะเอามารีวิวซักทีฮะ
ชื่อรีวิวอ่านแล้วคงงงๆกันพอสมควรว่าอะไรหว่า 3 พ. ที่บิ๊กบอยหมายถึง 3 พ. ที่ผมพูดถึงหมายถึง 3 จังหวัดอันได้แก่ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร ฮะ จังหวัดที่ขึ้นต้นด้วย พ.พาน 3 จังหวัดที่อยู่ส่วนกลางของด้ามขวานทองของไทยเราเป็นจังหวัดที่มีอะไรให้เที่ยวเยอะแยะเลยฮะ ยิ่งช่วงเดือนที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ที่ความเย็นจากจีนแผ่ลงมายังประเทศไทยทำให้อากาศทางตอนเหนือของประเทศกำลังเย็นสบาย นี่เป็นอีกหนึ่งเส้นทางน่าเที่ยวที่ผมอยากแนะนำครับ
มาเรีย ณ ไกลบ้าน เพิ่งจะรีวิวเส้นทางนี้ไปคร่าวๆตามรีวิวป้าเค้าบอกว่าเค้าขับวนขวา .. ถ้าอย่างนั้นรีวิวนี้ของผมก็คงเรียกได้ว่าเป็นการขับวนซ้ายเป็นวงกลมเหมือนกันนะครับ
ทริปของผมเป็นทริปที่ไปมาก่อนปีใหม่ไม่กี่วัน โดยในทริปนอกจากผมและผบ.ทบ.แล้ว ก็มีผู้ร่วมเดินทางรับเชิญอีก 2 คนคือป้ามาเรีย ณ ไกลบ้าน กับน้อง CX gal คนบีพีนี่ล่ะครับ จริงๆทริปนี้แพลนกันมาพักใหญ่แล้วโดนเป้าหมายหลักของทริปคือจะไปตามล่า "ดอกนางพญาเสือโคร่ง" กันที่ภูลมโล ซึ่งเดี๋ยวคงได้เห็นกันในรีวิวต่อไป
ขออนุญาติแอบก๊อปรูปในรีวิวป้ามาเรียมาให้ดูกันด้วยว่าเส้นทางที่เราเดินทางกันไปนี้เดินทางกันประมาณไหน
การเที่ยวใน 3 จังหวัดนี้ถ้าเราจัดเส้นทางดีๆและมีเวลาซัก 5 วันเราจะเที่ยว 3 จังหวัดที่ว่านี้ได้สบายๆเลยฮะ สำหรับผมมีเวลาแค่ 3 วัน 2 คืนก็เลยเที่ยวจริงๆแค่ 2 จังหวัดคือเพชรบูรณ์กับพิษณุโลก ส่วนพิจิตรขออนุญาตเอารูปที่เคยไปเที่ยวเมื่อ 2-3 เดือนก่อนมาใส่เอาไว้ด้วยเพราะตอนแรกไม่ได้กะว่าจะรีวิวครับถือเป็นโอกาสพอดี
จะว่าไปผมก็ขับรถวนซ้ายเป็นวงกลมสลับกับรีวิวป้ามาเรียเค้าจริงๆ จุดหมายแรกของผมคือ เขาค้อ แล้วต่อไปนอนที่ภูหินร่องกล้า เช้าวันต่อมาเที่ยวภูลมโล แล้วไปค้างคืนที่ 2 ที่ภูทับเบิก วันที่ 3 ก็กลับกรุงเทพฯ ไปดูรายละเอียดทริปกันดีกว่าฮะ
ผมเลือกจะเริ่มทริปด้วยการออกจากกรุงเทพฯในช่วงตี 1 เพื่อที่จะได้ไปเช้าที่เขาค้อพอดี ผมเลือกใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-สระบุรี ก่อนถึงสระบุรีจะมีถนนเลี่ยงเมืองเพื่อไปลพบุรี เส้นนี้เราสามารถขับไปออกทางหลวงหมายเลข 21 ที่จะพาเราไปถึงเพชรบูรณ์ได้ สรุปว่าด้วยความที่ถนนโล่งมากเพราะขับช่วงดึกผมเลยไปถึงเขาค้อเอาตอนตี 5 พอดี แต่ก็พอดีกันกับที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็เลยของีบในรถรอเวลาเช้ากันก่อน อากาศในเช้าวันนั้นที่เขาค้อต่ำสุดที่มิเตอร์ในรถผมวัดได้คือ 4 องศาครับ เรียกว่าหนาวจัดเลยทีเดียว
ตั้งปลุกไว้ 6 โมงครึ่งเพื่อมาลุ้นทะเลหมอก ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่ามาช่วงนี้ลุ้นยากเพราะหนาวจัดและมีลมตลอดเวลา สรุปก็ไม่มีทะเลหมอกอย่างที่คิดจริงๆ
ผมจอดรถเอาไว้ตรงจุดชมวิวครับ ผู้คนมากมายทยอยมาชมวิวยามเช้าของเขาค้อกันเต็มไปหมดจนที่จอดรถริมทางแน่นขนัดไปทีเดียว
วิวตรงนี้เราจะเห็นมุมกว้างๆเลยฮะ มีอ่างเก็บน้ำรัตนัยอยู่ด้านล่าง
ด้านล่างมีไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินดูด้วยครับ ลูกกำลังออกเลย
เนื่องจากมาภูมิประเทศเป็นเนิน มีป่าหลายชนิด รวมถึงสัตว์ป่าที่ชุกชุม การเที่ยวชมถ้าแค่มาอยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯไม่ต้องเสียค่าเข้าชมครับ แต่ถ้าจะเข้าไปด้านในก็ต้องเสียค่าเข้าอุทยานฯตามปกติ ผมไม่มีเวลาเที่ยวมากนักก็เลยเลือกที่จะเดินเล่นอยู่แถวๆที่ทำการครับ ส่วนด้านในนั้นถ้าเข้าไปก็จะมีป่าสนให้เที่ยวชมซึ่งต้องขับรถเข้าไปทางถนนลูกรังประมาณเกือบ 20 กิโลได้ฮะ
หลังจากใช้เวลาซักพักก็ขับรถกลับมาตามทางเดิมฮะ จริงๆที่เขาค้อมีร้านกาแฟน่ารักๆอยู่หลายร้าน วันนี้มาแนะนำให้ร้านนึงครับ ร้านนี้ชื่อ"แทนรักทะเลหมอก"ฮะ เป็นร้านกาแฟที่เปิดเป็นที่พักด้วยครับ ร้านใหญ่โตและอยู่ในมุมสูงที่สามารถนั่งชมวิวสวยๆได้
มีสวนดอกไม้ให้เราได้ถ่ายภาพด้วย
อาหารแนะนำของที่นี่ป้ามาเรียบอกว่าเป็นแกงส้มฮะ แต่วันที่ไปปลาช่อนดันหมดเลยได้กินแกงส้มแป๊ะซะปลาคังแทนก็อร่อยจริงๆฮะ
ตามมาด้วยไก่ทอดเกลือ
ยำหมูยอ
และไข่เจียว
เมื่อมาถึงสามแยกแคมป์สนที่จะออกถนนหมายเลข 12 เลี้ยวขวาไปไม่ไกลก็จะถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ
วัดนี้เป็นวัดใหม่ที่สร้างขึ้นใหญ่โตและอลังการมากๆ วัดนี้ยังอยู่ในเขตของอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์นะฮะ
สิ่งที่ทำให้วัดนี้ดูอลังการมากๆคือวัสดุที่ใช้ในการตกแต่ง เท่าที่เห็นก็จะเป็นพวกกระเบื้องสี จานชาม เครื่องสังคโลก
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุด้วยนะครับ
วัดกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างต่อเติมครับ ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ คิดว่าถ้าสร้างเสร็จในทุกส่วนแล้วจะเป็นวัดที่ใหญ่โตแล้วสวยงามมากๆอีกวัดนึงในเมืองไทยเลยฮะ
ไกลออกไปกำลังก่อสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์อยู่ หวังว่าเมื่อเสร็จแล้วจะได้กลับไปเยี่ยมอีกครั้งฮะ
ดูกันใกล้ๆสำหรับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่เราเห็นระยิบระยับเวลาต้องแสงแดด
นับว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่ควรแวะไปเที่ยวมากๆครับ
หลังจากนี้จะขับรถยาวๆกันนิดครับ เราจะเดินทางบนเส้นทางหมายเลข 12 กลับไปทางพิษณุโลก จริงๆผมว่าทางเส้นนี้น่าสนใจมากนะครับ เป็นการขับรถที่ดูมีความสุขมากๆ เพราะว่ารูท 12 นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามของทิวทัศน์ข้างทาง เราสามารถมองเห็นเทือกเขาเพชรบูรณ์สลับซับซ้อนไปได้ตลอดทางที่ขับไปครับ
เสียดายที่ผมเป็นคนขับแล้วผู้โดยสารที่เหลือหลับกันหมด รวมไปถึงทางที่กำลังมีการขยายกันอยู่เลยทำให้ไม่สามารถแวะลงมาถ่ายภาพได้ เสียดายเหมือนกันฮะ
จุดหมายต่อไปคือ "ภูหินร่องกล้า" ฮะ ภูหินร่องกล้าขึ้นกับอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกฮะ ขับรถมาตามรูท 12 จนถึงแยกเลี้ยวขวาไปอำเภอนครไทย ขับตามป้ายภูหินร่องกล้าไปเรื่อยๆพักใหญ่ๆก็ถึงครับ แน่นอนว่าที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติ เพราะฉะนั้นเราต้องแวะตรงด่านตรวจของอุทยานเพื่อจ่ายค่าเข้าอุทยานแห่งชาติกันก่อนด้วย ราคาสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท และรถยนต์คันละ 30 บาทครับ
ขับรถขึ้นเขามาอีกซักพักก็จะถึงที่ทำการอุทยานครับ ช่วงที่ไปคนเริ่มเที่ยวเยอะเพราะอากาศหนาว บ้านพักของอุทยานเต็มตั้งแต่ที่โทรไปสอบถาม เพราะฉะนั้นคืนนี้เราจะนอนเต้นท์ของอุทยานฯกันครับ
เต้นท์ของอุทยานฯ ถูกกางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยใต้ร่มไม้สนครับ ค่าเต้นท์หลังละ 150 บาท ถ้าเอาเต้นท์มาเองก็เอามากางได้ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าเสียค่ากางมั๊ย
เรากลับมาที่ทำการอุทยานฯอีกครั้งเพื่อคืนผ้าห่มที่เช่ามาเพิ่มเพราะเมื่อเช้าเจ้าหน้าที่ยังไม่มา (ต้องเอาบัตรที่แลกไว้คืนด้วย)
ก็เลยทานมื้อกลางวันกันด้วยเลย ร้านอาหารที่นี่มี 2 ร้านฮะ ไม่นับพวกร้านเล็กๆอยู่ในเต้นท์ผ้าใบอีกหลายร้าน ร้านที่กินชื่อร้านรังทอง จริงๆมาฝากท้องกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วฮะ อันนี้ป้ามาเรียก็เป็นคนแนะนำฮะบอกว่าไก่ทอดกรอบอร่อยมากกกก ต้องลองๆ
อาหารวันนี้ได้แก่ อาหารเหลา ... ส้มตำ
ไก่ทอดกรอบอร่อยจริงๆ
กะเพราหมูสับ
กะเพราแหนม
ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ
ที่ขาดไม่ได้ .. กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา
อิ่มแล้วเดี๋ยวเดินทางต่อ ร้านนี้เปิดบริการตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่มตรงฮะ
เราออกเดินทางต่อ โดยไปทางบ้านร่องกล้านั่นล่ะครับ แวะ "โรงเรียนการเมืองการทหาร" กันก่อนเพราะอยู่ริมถนนที่ขับผ่านไปผ่านมาแล้วรอบนึงตอนไปภูลมโล
โรงเรียนแห่งนี้ทางพรรคคอมมิวนิสต์ใช้เป็นที่ให้การศึกษาตามแบบของคอมมิวนิสต์ โดยพื้นที่จะเป็นป่ารกทึบ มีบ้านไม้หลังเล็กๆอยู่ 30 กว่าหลังกระจายอยู่ แต่ละหลังจะมีแคร่ไม้อยู่ข้างในไว้พักผ่อน แต่ละหลังจะแยกเป็นฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายพยาบาล ฝ่ายสรรพาวุธ ฝ่ายสื่อสาร ฯลฯ
กลางลานมีรถแทรคเตอร์ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดมาได้จากบริษัทพิฆเนตร ที่ทำการตัดถนนอยู่บริเวณนี้จอดอยู่
มีร่องรอยการถูกเผาด้วย ซึ่งมีป้ายอธิบายเอาไว้ว่านี่คือเหยื่อของสงครามที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดมาเผา
เดินไปก็รู้สึกถึงความขลังของพื้นที่เหมือนกันนะครับ แต่บ้านแต่ละหลังก็ดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลาอยากให้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเหมือนกัน
เสียดายฮะไม่เจอเมเปิ้ลซักใบ ภาพในหัวที่คิดไว้ว่าที่นี่ต้องสวยมากๆเมื่อเมเปิ้ลแดงก็คงต้องมาซ่อมในครั้งต่อๆไป
สำหรับอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้านอกจากที่ที่พาไปเที่ยวแล้วก็ยังมีสถานที่ที่น่าเที่ยวเช่น สำนักอำนาจรัฐ กังหันน้ำ น้ำตกหมันแดง น้ำตกร่มเกล้า-ภารดร ฯลฯ
หลังจากนั้นเราเดินทางไปจุดหมายต่อไปครับนั่นก็คือ "ภูทับเบิก" ก่อนที่จะเข้าไปบ้านร่องกล้าจะมีทางแยกเลี้ยวขวาไปทางภูทับเบิกครับ ระยะทางน่าจะประมาณเกือบๆ 30 กิโลเมตรได้ ทางเส้นนี้บอกตรงๆว่าไม่ดีนักฮะ เป็นทางขึ้นลงเขาและมีหลุมบ่อเป็นบางช่วงแต่รถเล็กก็ขับผ่านได้สบายครับเพียงแต่ต้องขับระวังหน่อย
ขับมาซักพักพอถึงสุดเขตอุทยานฯที่มีป้อมอยู่ก็ถึงทับเบิกแล้วฮะ
เราไม่ได้จองที่พักไว้ก็ต้อง walk in เอาครับ ที่พักทับเบิกเดี๋ยวนี้ราคาไม่ใช่ถูกนะฮะ บ้านแบบที่เห็นนั่นก็คืนละ 1500 บาทนะฮะ แต่จริงๆนอนได้ถึง 4-5 คนรวมๆกันได้แต่ก็แน่นเลยล่ะ ส่วนเต้นท์นี่ก็คงประมาณ 50-150 บาทไม่เกินนี้ล่ะครับ
ที่พักยังไม่เยอะ แต่เต้นท์อ่ะเยอะครับ เลือกวิวเอาได้ตามสะดวกเลยฮะ
พอได้ที่พักก็ขอนอนอาแรงก่อน เพราะวันนี้ตื่นแต่เช้าไปดูดอกนางพญาเสือโคร่งและแม่คะนิ้งที่ภูลมโล อากาศก็เย็นจัดเลยทีเดียวฮะ เห็นแดดอ่อนๆตอน 5 โมงเย็นดูโทโมมิเตอร์ที่ร้านกาแฟข้างที่พักบอกว่าเย็นถึง 7 องศา .. นี่เราอยู่เมืองไทยใช่มั๊ย ..
ค่ำๆก็ได้เวลาออกไปหาอาหารเย็นทานกัน ป้าแนะนำร้านนี้อีกแล้วฮะ "โรงเตี้ยมภูทับเบิก" ถือเป็นร้านดังของที่นี่ฮะ
คนเพียบเลยทีเดียว เย็นๆนั่งกินอาหารชมวิวไปชิลเลยฮะ
อาหารแนะนำที่ต้องสั่งทานคือ ขาหมูหมั่นโถครับ
ส่วนอาหารอื่นๆถือว่ารสชาติดีและรออาหารไม่นานมากครับ
ปิดท้ายคืนนั้นด้วยดาวเต็มฟ้าที่ภูทับเบิกฮะ
ตื่นเช้ามาแบบปวดกระดูก 555 นอนห่มผ้ากัน 2 ชั้นเลยฮะอากาศหนาวมากๆจริงๆผมว่าเผลอๆนอนเต้นท์อุ่นกว่านะเพราะลมเข้าไม่ได้ แต่บ้านพักมันเป็นปูนเรียกได้ว่าเย็นทุกทิศทางจริงๆ
ตื่นเช้ามารับแสงยามเช้ากันหน่อยกับวิวทับเบิกที่หลายๆคนคุ้นเคย
อากาศเย็นๆแบบนี้ต้องทานข้าวต้มฮะ ที่พักส่วนใหญ่คงจะมีข้าวต้มให้เป็นมื้อเช้า
ที่ทับเบิกนี่มีร้านกาแฟน่ารักๆให้นั่งหลายร้านนะครับ
จริงๆถามว่ามันน่าสนใจมั๊ยแอบบอกว่าเฉยๆฮะ รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้ม 50 บาทที่เข้าไปชมเท่าไหร่
ก่อนกลับก็แวะไปชมวิวที่จุดชมวิวบนยอดสุดของภูทับเบิกกันก่อน วันนั้นตอนเที่ยงอากาศที่บนภูแค่ 14 องศาเองฮะ เย็นมากกกกกก
วิวที่คุ้นเคยอีกแล้ว จุดนี้เราจะเห็นถนนที่คิดเคี้ยวไปตามไหล่เขาและถ้าอากาศเคลียร์ๆก็จะมองเห็นตัวอำเภอหล่มสัก ของจังหวัดเพชรบูรณ์ได้อย่างชัดเจนฮะ เดี๋ยวทางกลับเราก็ต้องขับรถลงไปทางที่เห็นนี่ล่ะครับ
ถือว่านี่เป็นการปิดทริป 3 วัน 2 คืนเที่ยวเพชรบูรณ์ พิษณุโลก บนเส้นทางขับรถทะลุเมฆ (ภูทับเบิก-เขาค้อ เพชรบูรณ์) และเส้นทาง 130 ปี ลานหินปุ่ม (อช.ภูหินร่องกล้า พิษณุโลก) ครับ
เส้นทางที่เราใช้กลับจากภูทับเบิกก็คือเส้น 21 จะผ่านหล่มสัก และตัวเมืองเพชรบูรณ์ย้อนกลับไปเหมือนเดิมเลยฮะ ข้างทางจะมีพวกมะขามหวานของดีของเพชรบูรณ์ขายตลอดทางฮะ
ส่วนใครที่ยังพอมีเวลาเที่ยวอีกซักคืนผมขอแนะนำให้แวะไปเที่ยวเมืองชาละวัน พิจิตรครับ
จังหวัดพิจิตรนี่จะว่าไปน่าสงสารนะฮะ คล้ายๆสิงห์บุรีบ้านเกิดผมเลย คือมักจะเป็นแค่เมืองผ่านคือขับรถผ่านๆไปไม่ค่อยมีคนแวะเที่ยวซึ่งจริงๆแล้วทั้งสองจังหวัดที่ว่ามีที่เที่ยวเยอะเหมือนกันครับ
อย่างที่อำเภอแรกที่เราจะแวะเที่ยวพิจิตรนี่คืออำเภอตะพานหินครับตะพานหินเป็นอำเภอที่อยู่ทางใต้ของอำเภอเมืองครับ ที่แรกแวะวัดก่อนเลยวัดนี้ชื่อว่า "วัดเทวปราสาท" อยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตรงข้ามกับตลาดตะพานหิน
เป็นวัดที่มีพระพุทธเกตุมงคล หรือ หลวงพ่อโตตะพานหิน พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดพิจิตรหน้าตักยาวถึง 20 เมตรประดิษฐานอยู่
ที่ท่าน้ำหน้าวัดมีสะพานแขวนขนาดพอที่รถมอเตอร์ไซค์สามารถข้ามได้อยู่ เราสามารถเดินจากฝั่งนี้ข้ามแม่น้ำน่านไปเที่ยวตลาดตะพานหินได้ครับ
ฝั่งตลาดแน่นอนว่ามีของกินฮะ เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังของตลาดตะพานหินกันก่อน ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ถามคนในตลาดรู้จักหมดครับ
" เซียมชวนชิม " ฉายาบะหมี่ชาละวัน ก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยของเมืองพิจิตร เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูแดงครับ ให้เด็ดต้องสั่งเป็นบะหมี่จะแห้งหรือน้ำก็ตามใจชอบ
เคล็ดลับความอร่อยผมชะโงกหน้าเข้าไปดูหลังร้านมาแล้วฮะ ที่นี่ตีบะหมี่เองครับเลยได้เส้นที่เหนียวนุ่มอร่อยแปลกไม่เหมือนก๋วยเตี๋ยวในกรุงเทพฯ
แน่นอนว่าสองชามนี้ของผมเองฮะ ร้านนี้มาบ่ายๆอาจจะอดกินนะครับเพราะว่าขายดี โต๊ะในร้านก็มีน้อยเพราะเปิดแค่ในห้องแถวห้องเดียวเท่านั้น
อีกร้านที่มาตะพานหินแล้วไม่แวะไม่ได้คือร้าน " กาแฟโกยี " ฮะ ร้านนี้จะอยู่ในซอยเดียวกันกับร้านก๋วยเตี๋ยวแต่อยู่ติดตีนสะพานข้ามแม่น้ำน่านเลย
ด้วยกาแฟรสชาติกลมกล่อมขายมานานหลายสิบปีตั้งแต่รุ่นเตี่ย ร้านนี้เด็ดตรงมีสูตรการคั่วกาแฟเองทำให้หอมและเข้มข้นมากๆฮะ ที่ร้านนี้เรียกว่าเป็นสภากาแฟของชาวตะพานหินเลยก็ว่าได้ฮะ
หลังจากนั้นเราจะขับรถเข้าตัวเมืองพิจิตรกันครับ ถนนสายตะพานหิน-พิจิตรนี้จะผ่านวัดเขารูปช้าง วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา สามารถเข้าไปไหวเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุบนยอดเขาพร้อมทั้งชมทิวทัศน์ของอำเภอตะพานหินและอำเภอเมืองพิจิตรในมุมสูงได้
ผ่านเข้ามาในตัวเมืองเราแวะเที่ยว "วัดท่าหลวง" กันก่อนฮะ วัดนี้จะเรียกเป็นวัดประจำจังหวัดก็ได้ ที่เราคุ้นเคยวัดนี้กันก็คงจะเป็นการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานฯที่แม่น้ำน่านหน้าวัดครับ
ที่สำคัญเลยคือการเข้ามานมัสการหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนที่มีพุทธลักษณะงดงาม และเป็นที่เคารพสักการะของชาวพิจิตรแล้วชาวจังหวัดใกล้เคียงฮะ
ในเมืองพิจิตร เราหาที่พักแถวๆ "บึงสีไฟ" บึงน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย
ริมบึงสีไฟเป็นสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ สวนสาธารณะของชาวเมืองพิจิตร มีจระเข้สัญลักษณ์ประจำจังหวัดตัวใหญ่รอต้อนรับอยู่ด้วยฮะ
เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวพิจิตร
เย็นๆยังมานั่งรับลมหรืออกกำลังกายกันได้อีกด้วย
เช้าวันต่อมาออกไปเที่ยวรอบๆเมืองดีกว่า เห็นบอกว่ามี "ถ้ำชาละวัน" ด้วย
เราจะไปเที่ยว "อุทยานเมืองเก่าพิจิตร" กันฮะ เมืองเก่านี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพิจิตร 7 กิโลเมตรฮะ ตลอดทางขับไปก็ชมทิวทัศน์บึงสีไฟไปเรื่อย มีทุ่งนาที่กำลังแตกยอดข้าวออกมาอวดโฉมก็เยอะ
เมืองเก่าเป็นป่าครึ้มเชียวฮะแต่ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเพราะมีถนนทางเข้าที่ดี ไฮไลท์ของเมืองเก่าคงเป็น "วัดมหาธาตุ" ที่เห็นนี่ล่ะครับ
อีกหนึ่งอย่างที่อยากเห็นมากคือ "ถ้ำชาละวัน" เนี่ยล่ะครับ อยู่ตรงบึงข้างวัดนั่นล่ะฮะ มีการทำรูปปั้นเป็นรูปชาละวันกำลังจะถูกหอกแทงด้วย แต่พอดีมีพราน 2 คน ถ้าคนเดียวผมอาจจะคิดว่าเป็นไกรทองก็เป็นได้
จริงๆน่าจะเป็นกิมมิคที่ทำให้สถานที่ดูน่าสนใจมากกว่าฮะ แอบๆถามคนที่พาไปเที่ยวเค้าบอกว่าถ้ำที่เห็นมีจริง เป็นถ้ำลึกด้วยแต่น่าจะเอาไว้เป็นช่องทางหลบหนีของเจ้าเมืองหรือคนใหญ่คนโตในเมืองเก่านี้ล่ะแต่ไปโผล่ที่ไหนก็ไม่ทราบได้ มีเรื่องเล่ากันว่าเคยมีคนเข้าไปเพราะความอยากรู้สรุปก็ไม่ได้ออกมา ตอนหลังถ้ำนี้เลยถูกปิดปากถ้ำไม่สามารถเข้าไปได้อีก .. ฟังแล้วแอบขนลุก
ในเมืองเก่านี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองพิจิตร ที่แปลกคือเป็นศาลที่มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่ตั้งเสาหลักเมือง แต่ด้านล่างเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของพระยาโคตรตะบอง
ออกจากอุทยานเมืองเก่าเดี๋ยวเราจะไปทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าเด็ดที่ "ตลาดเก่าวังกรด" กัน
"ตลาดวังกรด" เดิมชื่อ "บ้านวังกลม" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน และมีสถานีรถไฟ ตลาดตั้งขึ้นโดย "หลวงประเทืองคดี" เนื่องจากเป็นชุมทางรถไฟตอนนั้นกิจการต่างๆรวมถึงการค้าขายดีมาก กาลเวลาผ่านไปตอนนี้ตลาดนี้กลายเป็นตลาดเก่าที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายความเจริญอยู่ให้เราได้มาเที่ยวแวะชม
บ้านหลวงประเทืองคดี
ศาลเจ้าริมแม่น้ำน่าน
บรรยากาศร้านค้าในตลาด
บ้านเฮียเคนเนดี้ บ้านนี้ต้องแวะครับ เป็นบ้านที่เปิดเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เล็กๆ มีของเก่าเก็บหลายอย่างโชว์ให้เราได้ดู คุณลุงและลูกชายเป็นคนดูแลและคอยเล่าประวัติและให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของตลาดวังกรดให้พวกเราได้รับทราบ
เฮียเคนเนดี้ตอนกำลังเอาเสื่อจีนเก่าแก่ออกมาเล่าเรื่องราวให้เราฟัง
และอาหารเด็ดที่เราต้องแวะมาชิมเลยก็คือ "ก๋วยเตี๋ยวต้ม" ฮะ คุณยายสองคนพี่น้องช่วยกันทำแข่งกับออเดอร์ ที่ตอนเที่ยงๆคนเต็มร้านทุกวัน
ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้แปลกฮะ แค่ฟังชื่อก็อยากรู้แล้วว่ามันเป็นยังไง ก๋วยเตี๋ยวต้มตามนิยามของผมเรียกว่า "ก๋วยเตี๋ยวหมูพริกสด" ฮะ หากินที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ตลาดวังกรดนี่ล่ะครับ
เส้นก๋วยเตี๋ยวเลือกได้ตามใจชอบส่วนเวลาสั่งถ้าอยากได้พริกประมาณไหนบอกได้ตาม "ระดับการศึกษา" ฮะไม่ใช่ระดับการศึกษาของเรานะ แต่คุณยายเค้าเปรียบเทียบความเผ็ดตามระดับการศึกษาฮะไล่ตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เรียกว่าเผ็ดน้อยไปจนเผ็ดจี๊ดเลยล่ะฮะ
รูปร่างของก๋วยเตี๋ยวก็ประมาณนี้เลย ใช้หมูชิ้น ใส่พริกสด เวลาต้มก็ใส่หม้อเล็กๆต้มทีละนิดไม่ได้ใช้หม้อก๋วยเตี๋ยวแบบปกติฮะ จานนี้ระดับเตรียมอนุบาลเลยฮะ (ขอบอกว่ายังเผ็ดเลยยยยย)
ต่อไปเราไปเที่ยวต่อกันที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง ซึ่งที่ที่เราจะไปเที่ยวคือวัดโพธิ์ประทับช้างฮะ ซึ่งทางเส้นนี้เรียกกันว่าเป็นเส้นทางดอกรักฮะ
" วัดโพธิ์ประทับช้าง " วัดเก่าแก่ที่พระเจ้าเสือ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงที่ประสูตรของพระองค์ วัดนี้ห่างจากตัวเมืองพิจิตรออกไปประมาณเกือบๆ 30 กิโลเมตรฮะ
ตอนนี้ทางกรมศิลปากรกำลังทำการบูรณะซ่อมแซมอยู่ครับ
ก่อนกลับมีอีกหนึ่งร้านอาหารที่ถ้ามาถึงพิจิตรแล้วไม่มากินถือว่าผิดฮะ ร้านนี้ชื่อว่า "ร้านปลาใหญ่" ฮะ
ร้านนี้จะอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 117 (นครสวรรค์-พิษณุโลก) เราขับรถออกมาจากวัดโพธิ์ประทับช้างไม่นานก็ถึงแต่พอออกมาถนนใหญ่แล้วต้องกลับรถก็ถึงเลย
ร้านนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของปลาแม่น้ำสารพัดชนิดฮะ
ต้มยำปลาม้าหม้อยักษ์
ปลาเค้าสามรส
นี่น่าจะเป็น ผัดฉ่าปลาคัง
ทอดมันปลากราย
และปลาเนื้ออ่อนทอด
อาหารทั้งหมดจานใหญ่มากกกกกกก ปลาสดและอร่อยฮะแนะนำจริงๆสำหรับร้านบ้านๆร้านนี้ ราคาอาหารก็ไม่ได้แพงเลยครับ
ก่อนจะขับรถยิงยาวกลับทางเส้น 117 แวะทำบุญกันอีกรอบฮะ วัดสุดท้ายที่จะแวะคือ "วัดบางคลาน" ที่อยู่ในเขตอำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตรเนี่ยล่ะฮะ
วัดนี้เป็นวัดดังของจังหวัดอีกวัดครับ เคยเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่อเงิน" เกจิดังของพิจิตร วันนี้เราได้มานมัสการแล้ว
จำได้ว่าผมชอบถนนทางเข้าวัดมากฮะ ชาวบ้านแถวนี้มีรั้วบ้านสีฟ้าสีเดียวกันทั้งถนนเลยยาวหลายกิโลฮะขับรถชมรั้วมีความสุขแปลกๆฮะ 5555
ใช้เวลาเดินชมวัด ดูพิพิธภัณฑ์ของเก่า และให้อาหารปลาแล้วก็ขับรถยิงยาวเข้ากรุงเทพฯ จบทริปแบบมีความสุข
อย่าลืมครับ ..
ถ้าคุณมีเวลาเที่ยวซัก 4-5 วันอยากแนะนำให้ขับรถเที่ยวเส้นทางนี้ เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่น่าขับรถเที่ยวมากโดยเฉพาะคนที่ชอบธรรมชาติป่าเขาวิวทิวทัศน์สวยๆ อาหารอร่อยๆ ร่วมไปถึงอยากเที่ยวชมความเป็นอยู่ของคอมมิวนิสต์ที่หนีเข้าป่า และทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ลองจัดเส้นทางและขับรถเที่ยวดูฮะ นอกจากทริปที่ผมจัดนี้ก็ยังสามารถสลับเส้นทางหรือไปเที่ยวที่อื่นๆเพิ่มเติมถ้ามีเวลาเช่นอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ซึ่งก็อยู่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ แวะกินไก่ย่างวิเชียรบุรี ไปไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกก็ทำได้หมดฮะ
ถ้าสนใจการท่องเที่ยว 3 จังหวัด พ.พาน ที่ผมพาเที่ยวนี้โทรไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ 3 จังหวัด พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์นี้ได้ตลอดเวลาครับ
หรือถ้าอยากติดตามกิจกรรมต่างๆแบบเรียลไทม์ก็เข้าไปดูได้ที่ https://www.facebook.com/GreenSeasonFunAll
ขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาชม หลายๆคนติดตามรีวิวนี้มาแต่ต้น เป็นรีวิวที่ใช้พลังงานมากจริงๆฮะ ตั้งแต่ตั้งกระทู้จนถึงตอนนี้ใช้เวลาไป 30 ชั่วโมงซึ่งผมเองก็ไม่เคยทำรีวิวที่รูปในตอนเดียวเยอะสุดขนาดนี้มาก่อน ขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกๆคน ผบ.ทบ.ที่น่ารักของผม ป้ามาเรีย แพมมี่ ที่ไปเดินเสียเหงื่อกัน ไปหนาวเหน็บด้วยกัน ขอบคุณมากๆสำหรับทริปประทับใจทริปนี้
**** สำคัญเลยครับ ช่วงนี้ที่ภูลมโลดอกพญาเสือโคร่งกำลังบานสะพรั่งทั่วหุบเขา ใครชอบถ่ายรูปอยากเห็นดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือแม้กระทั่งแม่คะนิ้ง รีบไปครับ คุณอาจจะได้เจออากาศหนาวเหน็บแบบไม่คิดว่าทางตอนกลางของประเทศก็มีอากาศแบบนี้ ไม่ต้องขับรถขึ้นเหนือไปเที่ยวให้เหนื่อยเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว เส้นทางนี้คงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่จะมีคนรู้จักมากขึ้นในอนาคตฮะ แล้วอย่าลืม .. รักษ์ป่า รักษ์ธรรมชาติ เราจะได้มีสถานที่สวยๆไว้ให้พวกเราและลูกหลานได้เที่ยวกันต่อไปในอนาคตครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ฝากติดตามแฟนเพจผมได้ที่
https://www.facebook.com/travelholicbigboy นะครับ
โดย: arm IP: 157.7.52.183 17 ตุลาคม 2560 12:43:24 น.