มาตรา 112: พระสงฆ์ไทยขอลี้ภัยในต่างแดน หลังถูกข้อหา "112 จำแลง" เพราะข้อความวิจารณ์กษัตริย์

พระปัญญา สีสัน

ที่มาของภาพ, Phra Panya Seesun

คำบรรยายภาพ, พระปัญญา สีสัน จากวัดในจังหวัดชลบุรี เดินทางออกจากประเทศไทยแล้วกว่า 2 เดือน และกำลังพยายามขอลี้ภัยในต่างประเทศ

"ทราบจากข่าวพระพรหมฯ ที่ไปยื่นขอลี้ภัยในเยอรมนี แล้ว ผบ.ตร. ไปตามตัวด้วยตัวเอง ก็ไม่ได้ตัวกลับมา อันนี้ก็เลยมีภาพจำว่า UNHCR เป็นแบบนี้ แต่ปรากฏว่า มันไม่ใช่ เข้าใจผิด"

พระปัญญา สีสัน เล่าให้บีบีซีไทยฟัง หลังจากเผชิญกับความยุ่งยากเกี่ยวกับกระบวนการยื่นเอกสารขอลี้ภัยกับ UNHCR หรือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ในประเทศหนึ่ง และเข้าใจว่าเมื่อยื่นเอกสารแล้ว กระบวนการคุ้มครองเขาจะเริ่มต้นขึ้นในทันที

ก่อนหน้านี้เคยมีพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ได้ขอลี้ภัยในเยอรมนี หลังจากถูกหมายจับเกี่ยวกับคดีฟอกเงิน นั่นก็คือ อดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม

แต่ในกรณีของพระปัญญาต่างออกไป เขากำลังขอลี้ภัยด้วยเหตุผล "ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง" และเท่าที่ทราบยังไม่มีพระภิกษุรูปใดเคยลี้ภัยด้วยเหตุผลนี้มาก่อน

"คุณอยู่ที่นี่ คุณต้องทำตามกฎหมายของที่นี่ เราไม่ได้คุ้มครองคุณแบบนั้น" นี่คือคำตอบของเจ้าหน้าที่ UNHCR หลังจากอดีตพระลูกวัดของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหารในพระบรมราชูปถัมภ์ โทรศัพท์ไปสอบถามความคืบหน้าในช่วงที่วีซ่า อายุ 1 เดือนกำลังจะหมดอายุลง ทำให้เขาต้องดำเนินการติดต่อขอต่ออายุวีซ่า แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ระหว่างการพยายามขอลี้ภัย

พระปัญญา สีสัน

ที่มาของภาพ, Phra Panya Seesun/Facebook

คำบรรยายภาพ, พระปัญญา บรรยายพระสูตรทางเฟซบุ๊กไลฟ์ หลังเดินทางออกจากประเทศไทย

"เป็นพระเมตตาไม่ให้ใช้ 112"

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 5 เดือนก่อน หมายเรียกผู้ต้องหาลงวันที่ 23 ก.ค. 2563 ส่งไปถึงพระปัญญา สีสัน ที่วัดในจังหวัดชลบุรี โดยบนหน้าซองมีวงเล็บว่า "คดี 112" แต่เนื้อความในหมายระบุว่าตัวเขาถูกกล่าวหาว่า "นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันน่าจะเกิดความเสียหาย ต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ" และให้ไปพบเจ้าหน้าที่สอบสวนที่ สน. บางเขน ในวันที่ 31 ก.ค. 2563

จ่าหน้าซอง

ที่มาของภาพ, Phra Panya Seesun

คำบรรยายภาพ, หมายเรียกผู้ต้องหาลงวันที่ 23 ก.ค. 2563 ส่งไปถึงพระปัญญา สีสัน ที่วัดในจังหวัดชลบุรี โดยบนหน้าซองมีวงเล็บว่า "คดี 112"

ต่อมา 11 ส.ค. 2563 พระปัญญา เดินทางไปพบเจ้าหน้าที่สอบสวนและได้ลงชื่อในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่ระบุว่า มีการกระทำความผิดจากการโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก 6 ครั้งด้วยกัน ระหว่าง 14 ต.ค. - 11 ธ.ค. 2562

"พนักงานสอบสวนเขาก็บอกตรงหน้าว่า 'เป็นพระเมตตาไม่ให้ใช้ 112 เป็นพระเมตตาแล้ว' " พระปัญญาเล่าถึงวันที่ไปรับทราบข้อกล่าวหาในความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 14(2) ซึ่งพระปัญญาเรียกว่า "112 จำแลง"

มาตรา 14 (2) บัญญัติไว้ว่า การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ดังนั้นหากศาลพิพากษาว่าทั้ง 6 โพสต์ผิดจริง พระปัญญาอาจถูกลงโทษจำคุกสูงสุดโพสต์ละ 5 ปี รวมระยะเวลาสูงสุด 30 ปี

ทางด้าน พ.ต.ท. สราวุธ บุตรดี สารวัตร (สอบสวน) สน.บางเขน กล่าวกับบีบีซีไทยว่าหลังจากพระปัญญาเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกแล้ว พนักงานสอบสวนก็ได้นัดหมายนำตัวผู้ต้องหาส่งอัยการพร้อมสำนวนในช่วงเดือน ต.ค.

"แต่หลวงพี่ไม่ได้มา ตำรวจจึงได้ขออำนาจศาลออกหมายจับซึ่งยังคงมีผลอยู่ในขณะนี้ หากได้ตัวผู้ต้องหาเมื่อไหร่ก็จะนำส่งฟ้องทันที" พ.ต.ท. สราวุธกล่าวและให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าหมายจับนี้มีอายุ 15 ปีตามอายุความ

บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา

ที่มาของภาพ, Phra Panya Seesun

คำบรรยายภาพ, หากศาลพิพากษาว่าทั้ง 6 โพสต์ผิดจริง พระปัญญาอาจถูกลงโทษจำคุกสูงสุดโพสต์ละ 5 ปี รวมระยะเวลาสูงสุด 30 ปี

บอก UNHCR "ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง"

โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) เคยเขียนถึงกฎหมายมาตรานี้ว่า "เมื่อมาตรา 14(2) ถูกจงใจเขียนให้ตีความได้กว้างและไม่ชัดเจนเช่นนี้ มาตรา 14(2) จึงกลายเป็นอาวุธของผู้บังคับใช้กฎหมายที่อาจตีความเพื่อข่มขู่ประชาชนไม่ให้พูดถึงบางเรื่อง หรือใช้ดำเนินคดีกับการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ที่ไม่ต้องการอยากจะเห็นได้"

พระปัญญาชี้แจงเหตุผลที่ขอลี้ภัยในการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ UNHCR ทางออนไลน์ว่า "ถูกกลั่นแกล้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐ" มีการอ้างอิงกฎหมายที่ไม่ถูกต้องในการกล่าวหาเขา และข้อความที่เขาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นข้อความเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ไม่มีข้อความประเภทอื่น และเมื่อดูตามลำดับเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้เชื่อได้ว่า "เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง"

ผู้ชุมนุมชู 3 นิ้ว วันที่ 18 ก.ค. 2563

ที่มาของภาพ, ภานุมาศ สงวนวงษ์/THAI NEWS PIX

คำบรรยายภาพ, การชุมนุมประท้วงเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถือเป็นการชุมนุมครั้งแรกหลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เริ่มดีขึ้น

"โพสต์ที่เขาเอามาแจ้งข้อกล่าวหามันเป็นโพสต์ตุลาคมถึงธันวา 62 คุณมาแจ้งอะไรเอาวันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งมันมีการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังโควิดก็คือ 18 กรกฎาคม" พระปัญญากล่าว

เคลื่อนไหวปฏิรูปคณะสงฆ์

ในเดือน มิ.ย. 2561 สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีได้จัดเสวนาโดยเชิญนักการเมืองจากพรรคการเมืองต่าง ๆ มาพูดถึงนโยบายของพรรค พระภิกษุวัย 37 ปี ในขณะนั้นได้เข้าร่วมฟังและตั้งคำถามว่า "อนาคตใหม่ เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ จะปฏิรูปคณะสงฆ์อย่างไร จะปฏิรูปรัฐธรรมนูญศาสนาอย่างไร" นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวของพระปัญญาหลังบวชมานาน 6 พรรษา

ในช่วงเวลาห่างกันประมาณ 1 เดือน ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2561 ซึ่งตามกฎหมายใหม่ได้บัญญัติว่า "พระมหากษัตริย์จึงทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ และแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อทรงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา"

นักบวชในม็อบ

ที่มาของภาพ, ภานุมาศ สงวนวงษ์/Thai News Pix

คำบรรยายภาพ, พระภิกษุและสามเณรที่เข้าร่วมการประท้วงในประเทศไทยได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ขึ้นมาพูด

ประเด็นนี้พระภิกษุและสามเณรที่เข้าร่วมการประท้วงในประเทศไทยได้หยิบยกขึ้นมาพูดช่วงที่ผ่านมาเช่นกัน เช่นเดียวกับพระปัญญาที่เห็นว่า การให้พระมหากษัตริย์มาปกครองคณะสงฆ์เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะในแง่ของพระธรรมวินัยหรือในแง่ของกฎหมายภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ พระปัญญายังพูดถึงรัฐธรรมนูญว่า "มันมีความเป็นรัฐศาสนา มันมีการเลือกปฏิบัติระหว่างพลเมืองที่นับถือศาสนาไม่เหมือนกัน" เขาเห็นว่า การปกครองของคณะสงฆ์ในปัจจุบันยังขาดความเป็นประชาธิปไตย โดยเขาเคยเขียนบทความลงในเว็บไซต์สเปกตรัมเมื่อเดือน ก.ค. 2562 ชื่อว่า "สิทธิการเลือกตั้งที่หายไปของนักบวช - กับความล้มเหลวของประชาธิปไตยไทย"

เผด็จการโดยธรรม

"ด้วยกฎหมายสูงสุด 1 ฉบับและกฎหมายชั้นรองอีก 1 ฉบับ รวมทั้งระเบียบยิบย่อยที่องค์กรตามกฎหมายดังกล่าวทยอยเขียนออกมาเต็มอัตรา ผนวกกับการบังคับใช้ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 8 ทศวรรษ ส่งผลให้ชนชั้นนำอุปโลกน์มายาคติลวงหลอกฝังหัวชาวไทยได้เป็นผลสำเร็จ เป็นต้นว่า พระพุทธศาสนามีการปกครองที่คล้ายกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กล่าวคือ พระสังฆราชมีอำนาจปกครองคณะสงฆ์ทั้งประเทศ พระปกครองผู้มีสมณศักดิ์สูงกว่า ตำแหน่งใหญ่กว่า มีอำนาจเหนือพระผู้มีสมณศักดิ์ต่ำกว่า ตำแหน่งเล็กกว่า เจ้าอาวาสเพียงลำพังผู้เดียวมีอำนาจจนกระทั่งสิ้นชีวิตในการบริหารวัดซึ่งเป็นสาธารณสถานและปกครองคณะสงฆ์ทั้งวัด" พระปัญญาเขียนในบทความดังกล่าว

พระปัญญา(ที่ 2 จากขวา) แสดงธรรมบนรถบรรทุก

ที่มาของภาพ, Thanyaporn Buathong/BBC Thai

คำบรรยายภาพ, พระปัญญา (ที่ 2 จากขวา) แสดงธรรมบนรถบรรทุกในการประท้วง 19 ก.ย. ที่ผ่านมา

พระปัญญาเขียนในบทความชิ้นนั้นด้วยว่า อารามจำนวน 40,000 กว่าแห่งกระจายตัวอยู่ทั่วทุกหมู่บ้าน เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดคติความเชื่อ "เผด็จการโดยธรรม" ไปยังพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่มีอยู่ถึงร้อยละ 94.6 ทำให้แม้แต่ผู้ที่ศรัทธาประชาธิปไตยในปัจจุบันก็ยังมีมุมมองไขว้เขวว่า "ภิกษุสามเณรเป็นผู้อยู่เหนือโลก เพราะฉะนั้นภิกษุสามเณรจึงไม่ควรมีสิทธิเลือกตั้ง, เผด็จการโดยธรรม นั้นมีจริงและเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด เพราะเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า"

กบฏต่อบรรทัดฐานเดิมและเชียร์อนาคตใหม่

แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาคิดว่า ทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายที่ควรถูกกำจัดคือ "อาตมาสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่อย่างเปิดเผย คำว่าเปิดเผยก็คือ ทั้งออนกราวด์ ออนไลน์ เพราะว่าอาตมาชอบนโยบายเชิงก้าวหน้าของเขา เรื่องรัฐสวัสดิการอะไรอย่างนี้"

พระปัญญาเล่าว่า เขาเคลื่อนไหวทั้งการเข้าร่วมเสวนา เป็นวิทยากร และหาทุนจัดงานต่าง ๆ

พระปัญญา กับ รังสิมันต์ โรม ส.ส. ก้าวไกล

ที่มาของภาพ, Phra Panya Seesun

คำบรรยายภาพ, พระปัญญามีรูปถ่ายคู่กับอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่หลายคน หนึ่งในนั้นคือ นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล

"เราควรจะทำลายจารีต ที่ละเมิดสิทธิพลเมือง ถ้าใช้คำพูดแรง ๆ ก็คือ เราควรจะกบฏ แล้วการกบฏอย่างมากก็ถูกด่า คงไม่ถึงกับถูกกำจัด คิดแค่นั้น" พระปัญญากล่าว

จนกระทั่งช่วงธันวาคมปีที่แล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติส่งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่กรณีเงินกู้ และมีการชุมนุมเกิดขึ้นหลังจากนั้น พระปัญญาก็ได้ตกเป็นเป้าโจมตีของเพจฝ่ายอนุรักษนิยมหลายแห่ง

"[เขา]เริ่มโพสต์ภาพของอาตมาคู่กับธนาธร แล้วก็ใส่ข้อความตัดต่อลงไป อนาคตดับ อะไรทำนองนั้น" พระปัญญากล่าว

แคปหน้าจอเพจเฟซบุ๊ก

ที่มาของภาพ, Sermsuk Kasitipradit/FACEBOOK

หนี "ผีซอมบี้" ไปฟิลิปปินส์

การเดินทางไปต่างไปประเทศเพื่อขอลี้ภัยครั้งนี้ ไม่ใช่การหนีภัยการเมืองครั้งแรกของพระปัญญา เพราะหลังจากที่มีการโพสต์ภาพของเขาคู่กับภาพของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เขาต้องหนี "ผีซอมบี้" ไปไกลถึงฟิลิปปินส์

พระปัญญาบอกว่า การทำตัวเป็นกบฏต่อบรรทัดฐานเดิมที่พระต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้เขาถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการยุยงปลุกปั่นฝ่ายอนุรักษนิยม

"เขาก็เลยเอาภาพอาตมาคู่กับธนาธรไปปลุกผีซอมบี้ แล้วมันก็ปลุกได้สำเร็จจริง ๆ"

พระปัญญา กับ ทีมงานพรรคอนาคตใหม่

ที่มาของภาพ, Phra Panya Seesun

คำบรรยายภาพ, พระปัญญากับทีมงานพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น

ในช่วงที่อยู่ฟิลิปปินส์ 5 เดือนนั้น พระปัญญาได้รับการอุปถัมภ์จากญาติโยมที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่ก็มีเหตุให้ต้องกลับไทย หลังจากได้รับการแจ้งข่าวจากพระที่อยู่วัดเดียวกันว่า เจ้าอาวาสจะคัดชื่อพระที่ไม่อยู่วัดนานเกิน 6 เดือนออก นั่นหมายความว่า ตามกฎหมายเขาจะต้องสึกจากการเป็นพระภายในเวลาอันสั้นหากไม่มีสังกัดที่แน่นอน ประกอบกับเมื่อเวลาล่วงเลยไป เขาคิดว่าเรื่องที่เป็นประเด็นให้ถูก "ล่าแม่มด" น่าจะเงียบไป แต่เมื่อเขากลับมาได้เพียง 2 เดือนเศษ ก็ได้รับหมายเรียกตัวในที่สุด

"โบว์ ณัฏฐา" ช่วยเรี่ยไรบริจาค

พระปัญญาตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศ ในช่วงต้นเดือน ก.ย. หลังจากปรึกษากับผู้มีความรู้หลายคนรวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราฎร นักเคลื่อนไหว และผู้ลี้ภัย แน่นอน การเดินทางต้องมีค่าใช้จ่าย

แคปหน้าจอเพจเฟซบุ๊ก

ที่มาของภาพ, Nuttaa Mahattana/FACEBOOK

ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวที่เปิดระดมทุนช่วยเหลือพระปัญญาทั้งที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ล่าสุดเธอได้โพสต์ขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. จนกระทั่งทำให้ "พระสงฆ์ผู้ประสบภัยทางการเมืองจนไปติดค้างอยู่ในต่างประเทศให้ได้เดินทางต่อไปจนถึงที่ปลอดภัยในที่สุด" พร้อมทั้งแจกแจงรายละเอียดการระดมเงินซึ่งได้มาทั้งสิ้น 217,034 บาท และการจัดการเงินก้อนนี้

ขณะที่พระปัญญาหนีคดี "112 จำแลง" รัฐบาลไทยก็เปลี่ยนท่าที หันมาใช่ ม.112 ของประมวลกฎหมายอาญา เล่นงานกับผู้ที่ "ดูหมิ่น" สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงจัง ผ่านไปไม่ถึง 1 เดือน มีผู้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี 112 แล้ว อย่างน้อย 24 คน

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อ 19 พ.ย.ว่า "จะใช้กฎหมายทุกมาตรา" กับผู้ชุมนุมทางการเมือง เปลี่ยนท่าทีจากเดิมที่เคยกล่าวไว้เมื่อช่วง มิ.ย. ว่า "สิ่งที่อยากจะบอกคนไทยทุกคน มาตรา 112 ไม่ได้ใช้เลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงพระเมตตา ไม่ให้ใช้"

"ติดคุกไป ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตอาตมาดีขึ้น"

แม้พระปัญญา ถูกตั้งข้อหาว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) แต่เขาก็เชื่ออย่างสนิทใจว่า มันคือการเลี่ยงคดี 112 เท่านั้น ไม่มีใครรับประกันได้ว่า เขาจะไม่ถูกตั้งข้อหานี้ในเวลาต่อมา เพราะข้อความที่เขาถูกกล่าวหาล้วนเกี่ยวกับการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้น

พระปัญญาบอกว่า เท่าที่ผ่านมาผู้ที่ได้รับข้อกล่าวหาในความผิดเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์ก็ยากที่จะสู้คดี นักการเมืองก็ไม่มีใครกล้าออกหน้าช่วยเหลือ ท้ายที่สุดก็ต้องรับโทษจำคุกโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม

วิวในเมืองลองเยียร์เบียน

ที่มาของภาพ, PA Image

คำบรรยายภาพ, เมืองลองเยียร์เบียน ตั้งอยู่บนเกาะระหว่างแผ่นดินใหญ่ของนอร์เวย์และขั้วโลกเหนือ

"ติดคุกไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตอาตมาดีขึ้น แล้วก็ไม่ได้ทำให้โครงสร้างทางการเมืองมันเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะอาตมาก็ไม่เชื่อว่า การติดคุก 112 มันจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ดูจากเคสคุณสมยศ (สมยศ พฤกษาเกษมสุข) เคสดา ตอร์ปิโด (ดารุณี ชาญเชิงศิลปกุล) เคสอากง (อำพล ตั้งนพคุณ) ที่หลาย ๆ คนไปติดคุก อันนี้พูดถึงหลายคนเลยนะที่ไปติดคุกจริง ๆ มันก็ไม่ได้ทำให้การเมืองไทยดีขึ้น ไม่ได้ทำให้ให้คนส่วนใหญ่ลุกขึ้นมาบอกว่า ถึงเวลาแล้วนะที่ 112 จะต้องเปลี่ยนแปลง"

พระปัญญาเปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า เดินทางถึงประเทศที่สามอย่างปลอดภัยและกระบวนการคุ้มครองตัวเขาเริ่มต้นขึ้นแล้วแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมได้ แต่หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาก็ยังต้องการดำรงสมณเพศและตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น โดยไม่คิดที่จะไปพึ่งใบบุญวัดไทยในต่างประเทศ

หลังเดินทางออกนอกประเทศ พระปัญญาได้แก้ไขเมืองที่อยู่ปัจจุบันในเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็น "ลองเยียร์เบียน" (Longyearbyen) เมืองบนเกาะอันไกลโพ้นในดินแดนอันเหน็บหนาวของนอร์เวย์

"ใครจะไปตามหาก็ไปหาเอา" พระปัญญากล่าวกับบีบีซีไทย

**ปัจจุบัน พระปัญญา แจ้งบีบีซีไทยเมื่อ 5 พ.ค. 2564 ว่า ได้รับใบอนุญาตให้พักอาศัยอยู่ในเยอรมนีนาน 3 ปีแล้ว โดยพระปัญญาได้แจ้งข่าวสารแก่ญาติโยมทางเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า "สถานะผู้ลี้ภัยของอาตมาได้รับการรับรองแล้วอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี" พร้อมกับแสดงใบพำนักถิ่นที่อยู่ที่ได้รับ พระปัญญาระบุว่า แผนการต่อไปคือ การเรียนภาษาเยอรมันและศึกษาต่อปริญญาโทด้านพุทธศาสนาศึกษา