อะไรคือข้อถกเถียงในวงการศิลปะจาก AI หลังกระแส Midjourney
โดย วัชชิรานนท์ ทองเทพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
ปัจจุบันคำว่า "ปัญญาประดิษฐ์" หรือ Artificial Intelligence (AI) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและกำลังก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์ต่าง ๆ การทำงานและธุรกิจ
เมื่อไม่นานมานี้ หลายคนคงเห็นภาพที่แชร์ทางสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กที่พูดคุยถึงเรื่องโปรแกรม Midjourney และภาพที่รังสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI art)ในรูปแบบต่าง ๆ จากการใช้ข้อความหรือคีย์เวิร์ดสำคัญ แล้วระบบจะประมวลผลและสร้างผลงานศิลปะออกมา
ทว่า ยังมีประเด็นข้อถกเถียงหลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในวงการศิลปะเกี่ยวกับการนำปัญญาประดิษฐ์ แม้ว่าโปรแกรมใหม่จะมีความสามารถสร้างผลงานศิลปะจากคำสั่งมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วและสวยงามก็ตาม
บีบีซีไทยประมวลเรื่องที่น่าสนใจบางส่วนจากวงเสวนาทางระบบออนไลน์ในหัวข้อ The Age of A.I. Art ซึ่งจัดโดยคณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุมเมื่อวันที่ 21 ส.ค. มาเล่า ดังนี้
ความเหมือน-ความต่างระหว่างการสร้างงานศิลปะจากมือและ AI
แม้ว่ารูปแบบหรือขั้นตอนการสร้างสรรค์งานศิลปะจากมือของศิลปินและการสั่งให้ AI วาดภาพให้แตกต่างกัน ในมุมมมองของ ผศ.ดร. โกเมศ กาญจนพายัพ อาจารย์จากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้บรรยายในการเสวนาดังกล่าวอธิบายว่า งานศิลปะอย่างไรก็ประกอบด้วยองค์ประกอบไม่ต่างกัน
หากย้อนไปที่หัวใจของในการสร้างงานศิลปะหลัก ๆ แล้วประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ หัวข้อเรื่องหรือสิ่งที่ศิลปินต้องการสร้าง องค์ความรู้ของศิลปินเกี่ยวกับชิ้นงาน รูปแบบสไตล์ และความชำนาญของศิลปิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในงานศิลปะดิจิทัลก็ต้องอาศัยองค์ประกอบเหล่านี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือทางดิจิทัลในการสร้างงานศิลปะ จะทำให้ได้งานรวดเร็วมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Reality-VR) และประติมากรรมดิจิทัล (Digital Sculpting) รายนี้กล่าวว่า อิทธิพลจากปัญญาประดิษฐ์เริ่มเห็นเด่นชัดในงานศิลปะมาตั้งแต่ปี 2015 นับตั้งแต่การเปิดตัวของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชื่อว่า DeepDream คิดค้นขึ้นโดยวิศวกรจากกูเกิล ที่สามารถจดจำโครงร่างของภาพได้ระดับหนึ่ง การประมวลผลจะเกิดขึ้นตามชุดข้อมูล (data set) ที่นำเข้าไปในโปรแกรม ส่วนคุณภาพของภาพที่ได้ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยคือ จำนวนข้อมูลที่ป้อนเข้าไป และระยะเวลาที่กำหนดให้ระบบประมวล
"จริง ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำงานในโลกความเป็นจริง เหมือนคำกล่าวที่ว่า งานศิลปะแต่ละชิ้นของศิลปินจะเสร็จก็ต่อเมื่อ เขาเซ็นชื่อ (ลงบนผลงาน) หากยังไม่เสร็จก็ยังไม่เซ็นชื่อเสียที เช่นเดียวกันกับตัว AI ที่จะให้ระบุเวลาเช่นว่า ประมาณ 60 วินาที ถ้าหากเราใช้เวลาน้อยกว่านั้นคุณภาพก็อาจจะได้น้อยกว่า" ผศ.ดร. โกเมศ กล่าว
การทำงานของ AI ต่างจากโปรแกรมฟิลเตอร์อย่างไร
เมื่อพิจารณารูปแบบการทำงานของโปรแกรมวาดรูปศิลปะโดยปัญญาประดิษฐ์ที่ต้องใช้รูปใด ๆ เป็นส่วนอ้างอิงและป้อนข้อมูลต่าง ๆ ลงไปตามความต้องการของผู้ใช้งานหรือศิลปิน จะแตกต่างอย่างไรกับการใช้ฟิลเตอร์ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือตกแต่งภาพที่พบเห็นแพร่หลายบนแอปพลิเคชันในมือถือและคอมพิวเตอร์
นักวิชาการรายนี้อธิบายว่า ระบบฟิลเตอร์ที่ใช้สร้างภาพใหม่ เวลาที่ผู้ใช้สั่งการให้สร้างภาพ ภาพที่ได้มามักจะเหมือนกันทุก ๆ ครั้ง ทว่า หากเป็นการใช้โปรแกรมที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ทุกครั้งที่สร้างภาพศิลปะมาจะมีความหลากหลายแตกต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน เพราะเป็นการจำลองความเป็นมนุษย์เขาไป ที่ไม่ว่ามนุษย์วาดภาพเดียวกี่ครั้งก็ไม่เหมือนเดิม
บทบาทศิลปินเปลี่ยนไป เมื่อใช้ Al มาช่วยงานศิลปะ
พัฒนาการของการนำ AI เข้ามาในงานศิลปะที่เพิ่มมากขึ้นในช่วยหลังทำให้เริ่มมีการนำสไตล์ของศิลปินดัง ๆ ในอดีตหลายคนมาผสมกัน พร้อมกับป้อนคำสั่งหรือคีย์เวิร์ดเพิ่มเติม ทำให้ได้ผลงานตื่นตาตื่นใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดสัดส่วนของอิทธิพลจากรูปต้นแบบ ให้ประมวลเป็นภาพใหม่ในสไตล์แบบที่ผู้สร้างต้องการได้
ผศ.ดร. โกเมศ กล่าว จากมุมมองนี้ AI ได้เปลี่ยนบทบาทของผู้สร้างงานศิลปะให้เปลี่ยนไปจากเดิมที่มนุษย์เป็นศิลปินผู้ควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การเลือกวัสดุ สีที่ใช้ แต่ต่อไปสิ่งนี้จะไม่ได้เป็นหน้าที่ของศิลปินแล้ว โดยจะเปลี่ยนบทบาทเป็น "ภัณฑารักษ์" แทน ด้วยการเป็นคนที่ช่วยดูว่าผลงานที่ออกมาเป็นไปอย่างที่แนวความคิดที่ต้องการหรือไม่
"สิ่งสำคัญคือการสร้างภาษาให้ AI เข้าใจง่าย จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความใกล้เคียงกับสิ่งที่คาดหมายไว้"
แล้วผลงานที่เกิดขึ้นจาก AI สามารถสะท้อนจิตวิญญาณของศิลปินได้หรือไม่ นักวิชาการรายนี้แนะนำว่า หากมีภาพต้นแบบที่ดีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อนำเข้าไปป้อนในโปรแกรม AI เมื่อระบบจดจำเอกลักษณ์ของภาพได้ก็จะประมวลผลออกมาเป็นไปตามรูปแบบ กลิ่นอาย หรือจิตวิญญาณที่แฝงเร้นในงานได้ด้วย
ข้อถกเถียงเรื่องลิขสิทธิ์ภาพต้นแบบ
ประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงของศิลปินหลายคนที่สะท้อนไปยังแฟลตฟอร์ม หรือ ผู้พัฒนาโปรแกรมไม่ว่าจะเป็น Midjourney หรือ DALL•E คือ การนำภาพที่มีลิขสิทธิ์ไปให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาภาพโดย AI ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่ และมีการดำเนินการอย่างไรต่อในอนาคต
ผศ.ดร. โกเมศยกตัวอย่างกรณีที่มีผู้ใช้งานคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนเกี่ยวกับวิชาศิลปะมาก่อน แต่สามารถวาดงานโดยปัญญาประดิษฐ์แบบเดียวกับกับศิลปินชื่อดังได้ โดยมีกลิ่นอายจากตั้งฉบับถึง 90%
“คำถามคือ ศิลปินควรจะรู้สึกภูมิใจหรือจะรู้สึกว่าถูกละเมิดลิขสิทธิ์” เขาถาม
แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติ แต่มีเจ้าของลิขสิทธิ์หลายรายส่งเรื่องไปยัง Midjourney ไปให้ระบุของสไตล์งานของใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ แต่ผู้พัฒนาจะให้สิทธิเฉพาะผู้ที่เป็นชำระค่าสมาชิกเท่านั้น โดยไม่รวมกับผู้ใช้งานฟรี
อะไรคือ Midjourney
โปรแกรม Midjourney ได้รับการพัฒนาและคิดค้นโดย เดวิด โฮลซ์ ผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจเทคโนโลยีและเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทสตาร์ทอับ ชื่อ Leap Motion ซึ่งสื่อหลายสำนักรายงานว่า โครงการสร้าง Midjourney ให้เป็นโปรแกรมสร้างภาพศิลปะโดยปัญญาประดิษฐจากข้อความของศิลปิน เป็นเพียงโปรเจกต์เพื่อความสนุกโดยมิได้หวังผลกำไรใด ๆ
สาเหตุที่เพิ่งมาเป็นกระแสในไทยและทั่วโลก ก็เนื่องจากโปรแกรมนี้เปิดตัวเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา ทำให้นักสร้างคอนเทนต์ศิลปะทดลองใช้กัน โดยมีชุมชนหลัก ๆ คือ ผู้ที่มีบัญชีดิสคอร์ด (Discord)
อย่างไรก็ตาม Midjourney ก็ไม่ใช่โปรแกรมที่วาดภาพโดยการประมวลผลของปัญญาประดิษฐ์ตัวแรก เพราะในตลาดยังมีอีกหลายตัว เช่น DALL•E ของ OpenAI และ Imagen ของ Google เป็นต้น