รอยตีนสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ เป็นหนึ่งในมหัศจรรย์ธรรมชาติของเพชรบูรณ์ เป็นร่องรอยตีนสัตว์ที่เก่าแก่มาก เกิดขึ้นก่อนยุคที่จะมีไดโนเสาร์เสียอีก .. พบที่ หุบเขาในป่า บ้านนาพอสอง ต.น้ำหนาว อ.น้ำหนาว ทางไปน้ำตกพรานบ่า ห่างตัวอำเภอไปประมาณ 4 กม.
การเดินทางไปชมรอยตีนมหัศจรรย์นี้ จะต้องไปรถยนต์สูงผ่านถนนลูกรังจนสุดทาง แล้วต้องเดินเท้าลงหุบเขาไปประมาณ 400 เมตร แต่มีทางเดินและราวเหล็กสะดวกพอสมควร .. เมื่อเดินลงไปสุดทาง และเมื่อเริ่มมองหาไปทางพื้นลาดของลานหินนั้น ก็จะปรากฏมีรอยตีนสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งบนหน้าผาหินทรายลาดเอียงมากกว่า 40 องศาและมีขนาดสูงเอียงประมาณ 100 เมตร และยาวประมาณ 300 เมตร กว้างใหญ่มากจนเป็นที่ตะลึงของผู้คนที่มาพบเห็น
รอยตีนสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ พบรอยตีนกว่า 300 รอย ประกอบด้วย 3 แนวทางเดิน สันนิษฐานว่า มีเจ้าของรอยไม่ต่ำกว่า 3 ตัว แนวที่ 1 พบอยู่ทางริมซ้ายสุด มีจำนวนรอยตีนกลุ่มหนึ่ง ส่วนแนวที่ 2 และแนวที่ 3 พบรอยตีนในแต่ละแนวมากกว่า 100 รอย และเป็นแนวทางการเดินที่เกือบขนานกันไปเป็นระยะทางยาวกว่า 100 เมตร ทิศทางการเดินทั้งหมดเป็นการเดินจากยอดผาด้านบนถึงที่จุดชมด้านล่าง เป็นรอยตีนของสัตว์ที่เดินด้วย 4 ตีน ตีนหลังมีขนาดใหญ่กว่าตีนหน้า แนวทางเดินกว้างประมาณ 65 ซม. รอยตีนหลังกว้างประมาณ 19.5 ซม. ยาวประมาณ 33 ซม. ปรากฏรอยนิ้ว 4 นิ้ว รอยตีนหน้ากว้างประมาณ 15.5 ซม. ยาวประมาณ 13.5 ซม. ปรากฏรอยนิ้ว 3-4 นิ้ว รอยตีนลึก 1-3 ซม.
หลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่า รอยตีนอยู่ในหมวดหินห้วยหินลาดมีอายุประมาณ 229-204 ล้านปีหรือในยุคไทรแอสซิค สันนิษฐานว่า เจ้าของรอยน่าจะเป็นสัตว์พวกอาร์โคซอร์ (Archosaurs) ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในยุคไทรแอสซิค มีลักษณะคล้ายจระเข้ตัวใหญ่ ๆ แต่หางสั้น เพราะไม่พบว่ามีรอยลากหาง กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร
อาร์โคซอร์ (Archosaurs มาจากภาษากรีก แปลว่า กิ้งก่าผู้ครองโลก)ในยุคแรกจะมีแผ่นกระดูกเป็นแถวยาวอยู่ที่หลัง ยามที่พักผ่อนขาของมันจะเหยียดออกด้านข้าง อย่างไรก็ตาม อาร์โคซอร์สามารถพับขามาอยู่ใต้ลำตัวของมันเพื่อช่วยให้มันวิ่งเร็วขึ้นได้ สัตว์เหล่านี้บางชนิดมีขนาดใหญ่และเป็นนักล่าที่น่าเกรงขาม อย่างเช่น โพสโตซูคัสซึ่งมีความยาวถึง 10 ฟุต
รอยตีนสัตว์ดึกดำบรรพ์ก่อนยุคได้โนเสาร์ที่เห็นนี้ ไม่ได้อยู่เปิดโล่งแบบนี้มาตั้งแต่ต้นหลายสิบ หลายร้อยล้านปี … สันนิฐานว่า จะเกิดขึ้นเมื่อสัตว์ตัวนั้นไปเดินย่ำในโคลนตะกอนที่เปียกนิ่มอยู่ แล้วต่อมาในเกือบทันทีนั้น ก็มีการพัดพาโคลนดินมาทับปิดไว้ ซึ่งชั้นตะกอนกับโคลนดินนั้นไม่ใช่อย่างเดียวกัน จึงไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน รอยตีนก็เลยยังคงประทับอยู่ในชั้นตะกอนชั้นล่างและเป็นอย่างนี้ต่อมาอีกนับหลายสิบ นับร้อยล้านปี … ตะกอนก็เกิดการแปรเปลี่ยนเป็นชั้นหินซึ่งยังคงมีรอยดังกล่าวเก็บรักษาไว้โดยมีดินปิดทับรักษาไว้ไม่ให้ผุกร่อน…
เวลาผ่านไปอีกนับล้าน ๆ ปี … เปลือกโลกมีการเปลี่ยน มีการทับถมกันไปเรื่อย ๆ จะเมื่อถึงเวลาหนึ่ง แรงดันภายในโลกก็ดันให้แผ่นหินที่มีรอยดังกล่าวยกตัวสูงขึ้น อาจเป็นภูเขาหรือเป็นเนินขึ้นมาก็ได้ … หลังจากนั้น เมื่อชั้นดินที่ปิดทับรอยตีนนั้น เจอลม เจอฝน ก็เกิดการชะล้างพังทะลายเปิดออกมาจนถึงชั้นหินที่มีรอยตีน ปรากฏสู่สายตามมนุษย์ในยุคหลัง ๆ ได้
รอยตีนดังกล่าวมิได้ผุกร่อนไปหมด ทั้งนี้เพราะถูกเก็บรักษาไว้โดยโคลนดินที่ปิดทับมา นับร้อยล้านปี … แต่ความจริง ถ้าไปดูใกล้ ๆ ก็จะเห็นว่า รอยตีนสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้ก็ไม่ได้คมชัดมากมายอะไรนะครับ .. ก็ยังคงมีรอยผุกร่อนไปตามสภาพที่เพิ่งเปิดขึ้นมาสู่ที่โล่งด้วยเหมือนกัน
เมื่อสมัยก่อน สัตว์เหล่านี้ครองโลก เดินย่ำไปทั่วทุกแห่งบนผืนโลกนี้ ก่อนที่จะมีมนุษย์คนแรกเกิดมาในโลกนี้หลายสิบหลายร้อยล้านปี … รอยตีนสัตว์เหล่านี้มีมากมายมหาศาล แต่ได้ถูกลบเลือนไปหมดตามธรรมชาติเหมือนรอยเท้ามนุษย์ในปัจจุบัน … แต่คงมีหลงเหลือมาให้เราได้ค้นพบนั้น มีเพียงแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น มันคงเกิดจากเหตุการณ์ประจวบเหมาะมาก ๆ หรือเรียกว่า มหัศจรรย์ ก็ได้ ก็คงเหมือนกับฟอสซิลกระดูกสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เราขุดค้นพบในปัจจุบันนี้ ว่ามันเกิดจากเหตุการณ์ประจวบเหมาะ จึงหลงเหลือมาให้เราได้สำรวจพบ
รอยเท้าอาร์โคซอร์ที่น้ำหนาว จึงนับว่า เป็นสุดยอดมหัศจจรรย์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเพชรบูรณ์
Leave a comment