ไปเต๊อะ ไปแอ่ว "น่าน" แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองวัดพระธาตุแช่แห่ง ผู้เขียนจะพาทุกท่านออกไปท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ จุดที่เราคิดว่าพาตัวเองไปแล้วรู้สึกดีและได้พักผ่อนทั้งกายและใจ สบาย ๆ ชิว ๆ วันนี้ตั้งใจพาทุกท่านมาหาความรู้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน แต่มาไม่ถูกวันเรามาวันจันทร์ เขาปิดค่ะ ต้องขออภัยจริง ๆ ค่ะ เนื่องจากไม่ได้ตรวจสอบวันเวลา เปิดทำการ เลยเยี่ยมชมบรรยากาศรอบ ๆ มาที่นี่ทีไรรู้สึกได้ถึงความร่มรื่น ธรรมชาติรอบตัว ความเก่า ความขลังของสถานที่แห่งนี้ รู้สึกรัก ผูกพัน หวงแหน ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน เมื่อครั้นยังยังเด็กได้มีโอกาสมาฝึกงานที่นี่ พี่ ๆ เจ้าหน้าที่ประจำสถานที่แห่งนี้ ได้แนะนำประวัติของหอคำให้ผู้เขียนได้รับฟัง สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ภายในคุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองนครน่าน หรือคนเฒ่าคนแก่เรียกกันว่า (หอคำ) แต่เดิมเป็นที่ประทับของพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 ทรงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2446 ภายหลังเจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนครน่านจึงได้มอบหอคำหลังนี้พร้อมที่ดินให้แก่รัฐบาล เพื่อใช้เป็นอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน ชั่วคราว และหลังจากนั้นได้มอบหอคำแห่งนี้ให้กับกรมศิลปากรเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ลักษณะของอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น มีมุขด้านหน้า หลังคามุงด้วยไม้แป้นเกล็ด มองเห็นแต่ไกลอาคารดูโอ่โถงงดงาม ยิ่งใหญ่ ภายในได้จัดแสดงวัตุถุโบราณต่าง ๆ แต่จุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือ งาช้างดำ ที่เป็นสมบัติคู่บ้าน คู่เมืองน่าน โดยลักษณะของงาช้างดำนั้นมีความแปลกคือ ลักษณะงาช้างที่ตัน ไม่กลวง สีออกน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิท ลักษณะคล้ายงาปลี อวบอ้วน น้ำหนักประมาณ 18 กิโลกรัม ด้านข้างงาช้างมีอักษรล้านนาจารึกน้ำหนักเอาไว้ค่ะ โดยงาช้างวางอยู่บนครุฑตัวสีน้ำเงินปีกสีทอง แบกงาช้างอยู่ด้านบน หากท่านใดอยากมาเห็นงาช้างดำที่มีลักษณะแปลกไม่เหมือนงาช้างทั่วไป เพราะงาช้างทั่วไปจะสีเขียว สามารถมาเยี่ยมชมกันได้ที่นี่นะคะ มาแล้วจะไม่ผิดหวัง น่านมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด ไม่ไป ไม่รู้ ด้านหน้าของอาคารนั้นเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าของหอคำแห่งนี้ งดงามสง่า อยู่ด้านหน้า หากมาเที่ยวที่นี่ต้องมา กราบไหว้สักการะบูชาท่านค่ะ มองเห็นแต่ไกล ๆ อุโมงค์ต้นลีลาวดีมุมชิก ๆ ที่ใครผ่านมาไป ผ่านมาต้องมาแวะ ถ่ายรูปสวย ๆ เก็บไว้ ครั้งหนึ่งได้มาเที่ยวน่าน ต้องตั้งใจมานะคะเมืองนี้ หากไม่ตั้งใจจะมาไม่ถึง คนเหนือเรียกว่า เมืองนาน นั่งรถนานจนไม่ถึงซักที ช่วงเดือนธันวาคมต้นลีลาวดีส่วนใหญ่สลัดใบทิ้งเหลือแต่กิ่งก้านสาขา อุโมงสวย ๆ ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติชอบมาถ่ายรูปกันค่ะ แต่มีบางต้นที่ยังออกดอกชูช่อสวย ๆ ให้หลายท่านได้ชมกันค่ะ ฝั่งตรงข้ามของอุโมงค์ลีลาวดีเป็นวัดพระธาตุช้างค่ำ ช่วงนี้อยู่ระหว่างการปรังปรุง บูรณะองค์เจดีสูงใหญ่เป็นสง่า รายล้อมด้วยช้างโผล่หัวออกมาครึ่งหนึ่ง ห่างออกไปอีกนิด ขอแนะนำให้ท่านได้สักการะบูชาวัดน้อยที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ด้านหน้าของอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน จากคำบอกเล่าเรื่องราวประวัติน้อยหรือวัดเล็กแห่งนี้คือ พระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช ฯ พระเจ้าผู้ครองนครน่าน ได้กราบบังคมทูลถึงจำนวนวัดในเขตเมืองน่านต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกินไปหนึ่งวัด จึงได้สร้างวัดน้อยแห่งนี้ขึ้นมาเพิ่ม ไปแล้วลา มาแล้วไหว้ รับแขกที่มาเที่ยวที่บ้านด้วย "น้ำกิ๋น" เย็น ๆ บ้านเฮา ด้านข้างของอาคารได้ประดับตกแต่งหม้อดิน เมื่อตอนเด็กยังเห็นยายใช้หมอดินแบบนี้เพื่อเก็บน้ำฝนเพื่อใช้ในการดื่ม เพราะหมอดินจะช่วยเก็บความเย็น ไม่ต้องใช้น้ำจากตู้เย็น เพียงเติมน้ำในลงไปในหมอดิน สามารถเก็บความเย็นของน้ำไว้ได้ตลอดทั้งวันค่ะ สภาพอากาศช่วงเดือนธันวาคมเย็นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไป ไม่หนาวเกินไป ประมาณ 20 - 22 องศาเซลเซียส เป็นยังไงกันบ้างค่ะ หลังจากพาเที่ยวสถานที่สำคัญของจังหวัดน่านไปแล้วนั้น หากท่านใดที่มีโอกาสมาเที่ยวจังหวัดน่านเราขอแนะนำท่านมาเยี่ยมชมนะคะ ซึ่งภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านยังมีข้อมูลหลากหลายที่รอหลายท่านมาศึกษาและวัตถุโบราณที่สวยงาม อ่อนช้อย แสดงถึงเอกลักษณ์ของบ้านเมืองเรานั้นอีกมากมายรอท่านอยู่นะคะ เวลาเปิดทำการ วันพุธ - วันอาทิตย์เวลา 09.00 - 16.00 น. ปิดทำการ วันจันทร์ - วันอังคาร อัตราค่าธรรมเนียมเข้าชม คนไทย 20 ชาวต่างชาติ 100 บาท ต่อท่าน การเดินทางไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน 1.โดยรถยนต์ส่วนตัว พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จังหวัดน่าน ตั้งอยู่ในตัวเมือง ตามเส้นทางหลวง หมายเลข 101 ก่อนเข้าตัวเมือง จะมีทางแยกซ้ายมือ ไปสู่พิพิธภัณฑ์ เครดิตรูปภาพ : ผู้เขียนลงมือเองค่ะ