ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงรองเท้านารีมาด้วยกันหลายปี เคยแต่ซื้อรองเท้านารีเป็นต้นเป็นกระถาง เป็นตระกร้าๆ หรือมาเป็นขวดก็แล้วแต่ เลยยังไม่เคยลองปลูกไม้กำเลย เพราะเป็นไม้ที่ผู้เลี้ยงต้องเสี่ยงเอาว่าดอกจะสวยหรือเปล่า และมักจะมีเชื้อโรคติดมา ใบมักจะถูกกัดกิน มีรอยช้ำเน่าแห้งบ้าง แต่แล้วก็มาถึงวาระที่ต้องปลูกเนื่องจากได้รองเท้านารีคางกบคอแดงมาหนึ่งกำจากการสนับสนุนโดยเจ้แดงติดมือมาฝาก แกะออกมาดูลายแทงบนใบสวยมาก คอแดงสวย หลังใบเวลาจับแดดเหมือนมีแสงเงินๆเทาสะท้อนด้วย ไม่รู้อยู่ป่ากินอะไรมา
พอทราบว่าเป็นรองเท้านารีคางกบคอแดง ก็จึงทำการค้นคว้าข้อมูลดูและพบว่า
รองเท้านารีคางกบคอแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Paphiopedilum appletonianum (Gower) Rolfe 1896
ชื่อภาษาอังกฤษมาจากนาย W.M. Appleton ซึ่งเป็นบุคคลแรกในยุโรปที่สามารถเลี้ยงคางกบคอแดงออกจนดอกได้
ลักษณะ กล้วยไม้ดิน ลำต้นสั้น และแตกกอ
ใบ ใบมีจำนวนมาก รูปขอบขนานเรียงสลับระนาบเดียว ด้านบนของใบ มีลายคล้ายหินอ่อน
ดอก ออกดอกเดี่ยว สีแดงอมชมพู ส่วนโคนกลีบสีเขียว ใบประดับรูปหอก ดอกกว้าง 6 ซม. กลีบเลี้ยงบนรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน กลีบเลี้ยง คู่ข้างเชื่อมกัน กลีบดอกรูปแถบแกมรูปไข่กลับ ปลายกลีบบางครั้งมี แฉกขนาดเล็กสองแฉก กลีบขนานกับพื้น กลีบปากเป็นถุงลึก ขอบ กลีบด้านบนเรียบไม่ม้วนเข้า
ฤดูออกดอก มีนาคม – พฤษภาคม
ในประเทศไทยพบที่ตราด ระยอง และจันทบุรี
อีกแหล่งข้อมูลให้ใว้ว่า รองเท้านารีคางกบคอแดงในธรรมชาติจะพบขึ้นอยู่ตามพื้นดิน ดินปนกรวดหิน โขดหินที่ปกคลุมด้วยมอสและใบไม้ผุ มักพบอยู่บนพื้นใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในป่าดิบชื้น และพบในป่าที่มีความสูง 700 – 2000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
อืม ค่อนข้างสูงทีเดียว แปลว่าชอบชื้นๆ เย็นๆ แสงน้อยๆ หน้าร้อนแล้งๆ หน้าฝนฉ่ำๆ หน้าหนาวแล้งๆแดดแรงๆ เหรอ เดาไปก่อน ต้องลองดู
ย้อนไปในช่วงระหว่างที่ค้นคว้าข้อมูลเรื่องเครื่องปลูกรองเท้านารีมาหลายปี ก็ได้พบกับสูตรเครื่องปลูกต่างๆมากมายทั้งของไทยของนอกที่เป็นที่นิยมกัน เราเองก็มีความคิดอยากทดลองเครื่องปลูกสูตรต่างๆดู บวกกับได้ไม้กำนี้มาเลยเอามาลองสักหน่อยละกัน
รองเท้านารีคางกบคอแดง
Paph. appletonianum
รากอยู่ในสภาพดี แห้งสะอาด ตัดแต่งมาอย่างดีเลย
ลายใบสวยงาม สีใบสวยถูกใจ
คอแดงสวย สภาพโดยรวมดีมาก แกะออกแล้วผึ่งใว้ให้เขาคลายตัวสบายๆ ได้สัมผัสกับอากาศที่บ้านใหม่ของเขาก่อน ถ้าเขาแห้งมากๆ จะเอาละอองน้ำฉีดพรมบางๆให้ทั่วก่อนก็ได้
หลังจากผึ่งใว้หนึ่งคืนนอกบ้าน เช้ามาชื้นๆน้ำค้างนิดหน่อย เราก็นำมาล้างพอประมาณ ระวังอย่าให้รากช้ำ มีสาปป่าติดนิดหน่อยไม่เป็นไร ผึ่งให้แห้งหมาดๆ แล้วนำลงแช่ในน้ำผสมน้ำยาเร่งราก ฮอร์โมนเร่งราก แล้วแต่ชอบกัน ใส่ยากันเชื้อราลงไปด้วยเลย แช่ใว้สักสิบถึงสิบห้านาที หลังจากนั้นก็นำออกมาผึ่งให้แห้งหมาดๆก่อนนำลงปลูกต่อไป
ด้วยความอยากทดลองก็เลือกต้นโทรมที่สุดออกมาสี่ต้น แต่ละต้นปลูกด้วยเครื่องปลูกที่แตกต่างกันโดยใช้สูตรที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ
ต้นที่หนึ่ง เครื่องปลูกคือ เศษกิ่งไม้ขนาดเล็ก เศษใบก้ามปูหมักและดินที่ติดมา หินกรวด เพอร์ไลท์
ต้นที่สอง เครื่องปลูกคือ เปลือกสนนิวซีแลนด์ ผสมเพอร์ไลท์นิดหน่อย รองก้นถ้วยด้วยหินกรวด
ต้นที่สาม เครื่องปลูกคือ กาบมะพร้าวสับคลุกกับเพอร์ไลท์ รองก้นกระถางด้วยหินกรวด โปรดสังเกตุว่าต้นนี้ใบจะโทรมเหี่ยวกว่าต้นอื่น เลือกมาปลูกกับกาบมะพร้าวสับ เนื่องจากศึกษาข้อมูลจากเวปของ Antec ในอดีตเขาปลูกด้วยเปลือกสนเป็นหลัก แต่ที่สุดได้เลิกใช้แล้วหันมาใช้กาบมะพร้าวสับเป็นเครื่องปลูกหลักในการปลูกรองเท้านารี
ต้นที่สี่ ปลูกด้วยนิวซีแลนด์สแปคนั่มมอส ดลุกกับหินกรวดและเพอร์ไลท์นิดหน่อยให้พอไม่แน่นมาก
หลังจากนี้ก็นำไปใว้ในที่แสงน้อยๆ สักสองถึงสามวันก็มาตรวจดู รดน้ำเท่าที่จำเป็น ปุ๋ยใบยังไม่ต้องให้ รอให้รากเดินก่อน น้ำก็ยังไม่รดมาก ปล่อยให้แห้งหมาดๆบ้าง อ่านมาว่ามันจะช่วยกระตุ้นให้เกิดรากใหม่เพื่อเสาะหาอาหาร ถ้าได้รับน้ำตลอดเวลามันก็สบายเกินไม่ต้องทำอะไร หลังจากนั้นทุกอาทิตย์ก็รดน้ำผสมน้ำยาฮอร์โมนเร่งราก ผ่านไปหนึ่งเดือนดูเหมือนยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ณ วันที่เขียนเป็นเวลาห้าสัปดาห์พอดี ต้นและใบโดยรวมก็ดูดีขึ้น ใบที่พับอ่อนก็เริ่มตั้งตัวได้พอควร แต่สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือรากใหม่ซึ่งต้องนำออกมาดู
กระถางแรกปลูกด้วยเศษไม้ เศษดินหลวมๆ รากดูคล้ายเดิมมาก แต่สีออกดำและมีเศษดินจับ ไม่มีรากใหม่งอกออกมา
กระถางที่สองปลูกด้วยเปลือกสนผสมเพอร์ไลท์ มีรากใหม่แทงออกมาบริเวณโคนต้น รากเดิมมีสีเข้มขึ้น
รากใหม่แทงออกมาบริเวณโคนต้นสองรากเล็กๆ มีขนอุยออกที่รากเดิม
กระถางที่สาม ปลูกด้วยกาบมะพร้าวสับคลุกกรวดและเพอร์ไลท์ มีรากใหม่แทงออกมาอย่างชัดเจน
รากใหม่แทงออกมาสองราก ยาวกว่าต้นก่อนหน้าอย่างชัดเจน
กระถางที่สี่ ปลูกด้วยสแปคนั่มมอสคลุกเพอร์ไลท์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีของรากดูอ่อนสุด ส่วนต้นก็ดูสดชื่นดีเหมือนทุกๆต้น
ข้อสันนิษฐานเท่าที่สังเกตุเห็นได้ในตอนนี้คือ กระถางแรกเครื่องปลูกแห้งเร็วมาก ไม่เก็บความชื้นเลย ส่วนกระถางที่สี่ สแปคนั่มมอส อันนี้คาดว่ารากได้ความความชื้นมากๆ เลยกลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยไม่ยอมแตกรากใหม่ และการใช้มอสเป็นส่วนใหญ่นั้นอากาศเปลี่ยนถ่ายได้ยาก หลายท่านคงจะเคยอ่านพบข้อมูลว่าเวลาเรียกรากให้ใช้สแปคนั่มมอส ลองดูไปอีกสักพักก็แล้วกัน
ตอนนี้ไม้ทั้งสี่ต้นได้ถูกปลูกกลับไปในกระถางเดิม โดยที่กระถางที่หนึ่ง เนื่องจากเครื่องปลูกมีความแห้งมาก และยุบหายไปจึงเสริมด้วยกาบมะพร้าวสับลงไปพอควร เพื่อพิสูจน์มนต์ขลังของเครื่องปลูกพื้นบ้านที่หาง่ายราคาถูกและฟรีในหลายๆพื้นที่เสียด้วยซ้ำ
อีกสักหนึ่งเดือนเรามาดูกันว่าจะมีความคืบหน้าอะไรบ้างนะครับ ขอบคุณที่ติดตามการทดลองแบบบ้านๆ