[SR] Pantip.com ร่วมกับ ททท. เที่ยวลำพูนหน้าหนาว ดูทะเลหมอก ณ วัดพระพุทธบาทผาหนาม - น้ำตกก้อหลวง


ในช่วงท้ายปีไปจนถึงต้นปี สายลมหนาวที่พัดโบกโบย มาเป็นระยะพอให้คนเมืองอย่างเรารู้สึกเย็นสบายอยู่บ้าง เป็นสัญญานที่ว่าฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว จึงถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราจะพาเพื่อนๆ ออกไปสัมผัสกับอากาศที่เย็นสบายและชมทะเลหมอกในยามเช้ากัน ซึ่งจังหวัดที่เราเดินทางไปในครั้งนี้ก็คือ จังหวัดลำพูน หลายคงจะมองว่าลำพูนเป็นเพียงเมืองทางผ่าน มีสถานที่น่าสนใจแค่พระธาตุหริภุญชัยเท่านั้น เอาล่ะ! เดี๋ยวเราจะพาไปดูให้รู้ ว่าลำพูนมีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะแยะเลยจ้า พร้อมแล้วก็เตรียมรับชมกันไปยาวๆ แบบไม่มีเบรคเลยจ้าาาา ฟิ้วววววว!

การเดินทางของเรามุ่งหน้าขึ้นสู่ อำเภอลี้ อำเภอที่มีอาณาเขตติดกับอำเภอเถินจังหวัดลำปาง เป็นอำเภอที่อยู่ปลายสุดของจังหวัดลำพูน โดยเรามีปลายทางแห่งศรัทธาอยู่ที่ ชุมชนบ้านห้วยต้ม ชุมชนที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง...อ่อ และภายในหมู่บ้านจะมีป้ายตัวอักษรเขียนว่า “ห้ามนำเนื้อสัตว์เข้ามาในบริเวณนี้” หรือ “ห้ามดื่มสุรา” เพราะผู้คนในชุมชนนี้เป็นมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์นาจาาาา

เมื่อเรามาถึงแล้วเราก็ได้รับการต้อนรับจากพี่ วิมล สุขแดง ชุมชนพระบาทห้วยต้ม
(เผื่อว่าใครสนใจเดินทางมาที่แห่งนี้ แล้วอยากได้ไกด์นำเที่ยว ก็สามารถติดต่อพี่วิมล ได้ที่เบอร์ 06-5734-9427)



ก่อนอื่นเลยเมื่อเราได้เดินทางเข้ามาถึงชุมชนแห่งนี้แล้ว สถานที่แรกที่จะไปกันนั่นก็คือ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในชุมชน ภายในวัดจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่ส่วนใหญ่จะบอกเล่าเรื่องราวของพระนางจามเทวี และเหล่าครูบาที่มีความสำคัญ เช่น ครูบาศรีวิชัย ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา(ครูบาวงศ์) นอกจากนี้ยังมีภาพที่บอกเล่าถึงโครงการในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกด้วย ซึ่งภายทั้งหมดใช้เวลาทั้งสิ้น 7 ปี โดยมีช่างทำเพียง 6 คน และ ผู้ฝึกอีก 1 คน

วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ถือว่าเป็นวัดที่มีความสวยงามทางด้านศิลปกรรมแบบผสมระหว่างล้านนากับพม่า โดยเฉพาะพระธาตุเจดีย์ทรงแหลมเรียวรายล้อมด้วยเจดีย์ขนาดเล็กอีก 16 องค์ ภายในศาลารอบองค์พระธาตุเจดีย์จะมีรูปปั้นของเกจิอาจารย์ชื่อดังของประเทศกว่า 30 องค์ และภายในศาลาหลังใหญ่ยังเป็นที่ตั้งศพของครูบาชัยยะวงศาพัฒนาบรรจุในโลงแก้วให้ศรัทธาประชาชนได้กราบไหว้

ครูบาชัยยะวงศาพัฒนาหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ครูบาวงศ์” ท่านเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีส่วนสำคัญในฐานะที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านห้วยต้ม นอกจากนั้นท่านยังเป็นพระนักพัฒนาและนักก่อสร้างอีกด้วย หลังที่ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านได้บุกเบิกปฏิสังขรณ์และก่อสร้างถาวรวัตถุหลายอย่าง อาทิ วิหารครอบรอยพระพุทธบาท พระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปจำนวนกว่า 8 หมื่น 4 พันองค์ โดยเฉพาะวิหารครอบรอยพระพุทธบาทใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 34 ปี

สำหรับความเป็นมาของวัดพระพุทธบาทห้วยต้มนี้พี่วิมลได้เล่าว่าเมื่อครั้งพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรดเวไนยสัตว์ในที่ต่าง ๆ ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จมาถึงดงไม้ตาลแล้วขึ้นประทับบนจอมดอยแห่งหนึ่ง เรียกว่า ดอยนางพี่ ได้ประทานพระเกศาธาตุ 1 เส้นให้พวกละว้าที่มาเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ต่อมาเรียกว่า “ดอยนางนอนจอมแจ้ง” ต่อมามีพญาเมืองเถิน พ่อฤาษีและหมอพรานอีก 8 คนหาบเนื้อสดเดินมาพบเข้าไม่มีอะไรจะถวายจึงเอาเนื้อมาถวาย พระพุทธองค์ก็ไม่ฉันพวกพรานจึงเอาเนื้อไปกองรวมกันไว้ พวกละว้าที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงไปต้มข้าวมาถวาย

ท่านจึงรับมาฉันและให้ศีลให้พรกับพวกละว้า แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงประทับรอยพระบาทไว้และทรงรับสั่งว่า “ถ้าผู้ใดปฏิบัติได้ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนก็เหมือนอยู่ใกล้ ถ้าไม่ปฏิบัติก็เหมือนอยู่ไกล” จากนั้นจึงทรงประทานนามที่นั่นว่า ห้วยต้มข้าว ต่อมาเรียกเพี้ยนมาเป็น ห้วยต้ม ซึ่งเป็นชื่อวัดพระพุทธบาทห้วยต้มในปัจจุบันนี้ และทำให้ผู้คนภายในหมู่บ้านนี้ไม่มีการกินเนื้อสัตว์นั่นเอง ง่อวววววว ลึกซึ้งมาก

ครูบาวงศ์ได้สร้างรอยพระบาทจำลองครอบของจริงเอาไว้




ศาลาใส่บาตรแห่งนี้ ชาวบ้านจะมาใส่ที่นี่ทุกวันในตอนเช้า
และในวันพระชาวบ้านจะหยุดทำงานเพื่อเดินทางมาทำบุญที่วัดกัน



หากใครได้มาที่นี่ จะมีรูปปั้นหน้าตาแปลกประหลาดตั้งอยู่ มีชื่อว่า สี่หู ห้าตา เป็นความเชื่อของคนที่หมู่บ้านนี้ว่า สี่หู ห้าตา คือพระอิน แปลงกายลงมาสอนให้ชาวบ้านรู้ถึงความมีเมตรตาต่อสัตว์โลก โดยมีตำนานเล่าว่า สี่หู ห้าตา ได้มาทำลายพืชสวนไร่นาของชาวบ้านจนเสียหาย จากนั้นได้ถูกชาวบ้านคนหนึ่งจับได้แต่ว่าเขาไม่ได้ฆ่ามัน แถมยังนำอาหารมาให้อีกแต่ว่ามันก็ไม่กิน พอตกดึกอากาศเริ่มหนาว ชาวบ้านคนนั้นได้ก่อกองไฟให้มัน โดยมันได้กินแท่งฟืนร้อนๆ เป็นอาหาร พอตอนเช้าชาวบ้านได้ตื่นมาพบว่ามันได้หายตัวไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงทองคำหนึ่งแท่ง ซึ่งแท่งฟืนที่มันได้กินเป็นอาหารนั้นได้ถูกถ่ายออกมาเป็นทองคำนั่นเอง...เป็นคติธรรม ที่สอนให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ได้รู้จักมีเมตตาซึ่งกันและกัน และไม่ควรทำร้ายสัตว์

หลังจากที่รับทราบความเป็นมาของ วัดพระบาทห้วยต้ม กันไปแล้วต่อไปก็ขอพาเพื่อนๆ
โยกย้ายไปชมอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของผู้คนในชุมชนที่มีชื่อว่า พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย  


เจดีย์สีทองเหลืองอร่าม โดดเด่นแต่ไกล เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านบ้านในชุมชนพระบาทห้วยต้ม
และผู้คนในอำเภอลี้ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก


ซึ่งจำลองมาจากพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า จึงมีอีกชื่อว่า ชเวดากองเมืองไทย เป็นพระเจดีย์ที่ออกแบบและริเริ่มโดย ครูบาวงศ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันสร้างขึ้น เพื่อน้อมเกล้าน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

ที่สำคัญคำไหว้พระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้จะมีด้วยกัน 3 ภาษา มีภาษาล้านนา ภาษาไทยกลาง และภาษากะเหรี่ยง เดี๋ยวเราขอกราบสักการะขอพรเพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต แล้วเดินวนรอบๆ สักหน่อย แต่ดุจากท้องฟ้าที่สดใส ใสจนไม่มีก้อนเมฆแล้ว เราว่าถ้าเดินแบบ slow life ผิวคงไหม้แน่ๆ บอกเลยว่าแดดฤดูหนาวอาจทำให้ผิวขาวกลายเป็นผิวดำได้ อิอิ

แสงแดดที่ส่องลงมาที่พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย ช่างเหลืองทองอร่ามตามาก


ด้วยความที่ว่าแดดค่อนข้างรุนแรงไปนิด..ก็ไม่นิดนะ เล่นเอาแสบผิวอยู่ ฮ่าๆ
ต่อไปเราจะพาเพื่อนๆ ไปชมสิ่งที่น่าสนใจที่อยู่ภายในชุมชนบ้านห้วยต้ม
จะมีอะไรที่น่าสนใจบ่างตามเราไปกันเล้ยยยย
ชื่อสินค้า:   ลำพูน
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้าหรือบริการมาใช้รีวิวฟรี โดยไม่ต้องคืนสินค้าหรือบริการนั้น
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่