ศาสนาพุทธไม่มีคำว่า "ดลบันดาล"

Share

การปฏิบัติตนนั่นแหละเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการปฏิบัตินี้เราถือว่าเป็นการกระทำ การกระทำนั้นถ้าเรียกตามภาษาพระศาสนาก็เรียกว่ากรรม พระพุทธศาสนานี่ถือหลักกรรมเป็นใหญ่ เรียกว่ากรรมวาที กรรมวาทีก็หมายความว่ามีปกติ ถือว่ากรรมเป็นใหญ่ เป็นประธานในชีวิต อะไรๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่ได้เกิดมาจากอะไรๆ ดลบันดาลให้เป็นไป

คำว่าดลบันดาลนั้น เราไม่ใช้ในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรได้ ที่เราพูดกันอยู่บ้างนั้น เป็นการพูดตามเขา พูดตามความไม่รู้ ไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของธรรมะในทางพระพุทธศาสนา แล้วก็พูดกันไปตามเรื่องตามราว ไม่เฉพาะแต่ชาวบ้าน แม้พระสงฆ์องค์เจ้าเราก็พูดตามๆ เขาไป เช่นพูดว่า ขอสิ่งนั้น สิ่งนี้ จงดลบันดาลให้ท่าน เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือพูดว่าขอพระรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นคำพูดที่ไม่เป็นสัจจะ ไม่เป็นหลักตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพราะว่าพระรัตนตรัยจะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรหาได้ไม่ แต่ว่าทุกคนจะต้องทำเอาเอง ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าที่ท่านชี้ไว้ให้ปฏิบัติ

พระผู้มีพระภาคท่านตรัสไว้ตอนหนึ่งว่า “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลายเอง” อันนี้เป็นคำสำคัญมาก คือตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ เพราะฉะนั้นใครจะมาพูดว่า ขอให้พระพุทธเจ้าดลบันดาลให้ท่านเป็นสุข ดลบันดาลให้ท่านมั่งมี ดลบันดาลให้ท่านอ้วนพี หรือว่าดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเป็นอย่างนี้นั้น ขัดกับหลักความจริงในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเราไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่เรามีเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เท่านั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามแล้ว เราจะไม่ได้อะไรจากสิ่งที่เราหวังเป็นอันขาด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยแก้ความหลงใหล ความเข้าใจผิดในเรื่องอะไรต่างๆ ในการปฏิบัติให้หายไป

ทีนี้ทีหลังมาเรามีวัตถุเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว คือ พระพุทธรูป อันเป็นรูปที่เขาทำขึ้น คนก็ไปติดอยู่ในวัตถุนั้น ไปขอร้องวิงวอนพระพุทธรูปให้ดลบันดาล ให้ตนเป็นอย่างนั้น ตนเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าหลวงพ่อ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อชินราช หลวงพ่อมงคลบพิตร หลวงพ่อแก้ว หลวงพ่ออะไรต่างๆ ไปตั้งชื่อเข้า ความจริงนั้นไม่ต้องตั้งชื่อก็ได้ เพราะว่าพระพุทธรูปก็เป็นรูปเปรียบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่รูปเปรียบแทนรูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้า เพราะว่ารูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้านั้น ในสมัยที่ตั้งพระพุทธรูป คนก็ไม่รู้จักแล้ว จำกันไม่ได้แล้วว่ารูปร่างหน้าตาของท่านเป็นอย่างไร เป็นภาพสร้างขึ้นด้วยการนึกเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าเป็นมโนภาพ เป็นภาพที่คิดกันขึ้นว่าควรจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำเป็นแบบฉบับขึ้น

พระพุทธรูปที่ทำขึ้นนั้น ไม่ใช่รูปแทนพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่ว่าแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า แทนคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เขาปั้นไว้ให้เราเห็นด้วยตา เพื่อจะได้นึกถึงพระคุณของท่านด้วยใจต่อไป ไม่ใช่ปั้นไว้ในฐานะให้เราไปกราบไหว้วิงวอน บนบานศาลกล่าว สั่นติ้ว สั่นกระบอกอะไรต่างๆ ดังที่คนเขาไปทำกันอยู่ทั่วๆ ไปนั้น การกระทำเช่นนั้นไม่เข้าถึงธรรมะของพระศาสนา เป็นการกระทำของเด็กอมมือ ไม่ใช่การกระทำของผู้รู้ ผู้ฉลาด ในการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาของพระพุทธเจ้า และเมื่อเราไปกระทำอย่างนั้น ก็เป็นที่เย้ยหยันของศาสนิกในศาสนาอื่น ใครเขามาเห็นเข้าเขาก็หัวเราะให้ หัวเราะว่าพุทธบริษัทมีความเป็นอยู่เหมือนกับเด็กอมมือ เพราะไปนั่งเล่นกระบอกกันอยู่ในโบสถ์ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือว่าไปเสี่ยงทายในรูปใดๆ ก็ตาม

เป็นการน่าละอายที่เรากระทำกันในรูปเช่นนั้น แล้วก็เป็นการน่าละอายที่เรามีสิ่งเช่นนั้นไว้ในโบสถ์ของพระพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นสถานที่สำหรับให้คนเข้าไปเรียน ไปรู้ ไปศึกษา ไปค้นหาอะไรด้วยปัญญา ไม่ใช่เข้าไปทำเป็นเด็กเล่นอย่างนั้น แต่ว่าที่เข้ามาอยู่ได้นั้น เพราะว่าอามิสปิดหูปิดตา ทำให้เรามองอะไรไม่เห็น เห็นแก่สตางค์เล็กๆ น้อยๆ ที่จะได้จากความโง่ของประชาชน แล้วก็ยังอยู่กันในโบสถ์ต่อไป อันนี้ไม่ถูกต้อง แต่ว่ามันถูกต้องเรื่องสตางค์ มันไม่ถูกต้องตามธรรมะ แต่เรื่องสตางค์มันถูก แต่นี่อยากได้สตางค์ก็เลยเอาไว้ คนเข้าไปไหว้พระก็เลยไม่ถึงพระ แต่ไปถึงกระบอกเท่านั้นเอง ไปถึงกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขาพิมพ์ออกขาย ไม่ถึงคุณของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ว่าเราเข้าไปเกาะ ไปจับกันอยู่

คอร์รัปชัน ติดสินบน เริ่มจากความเขลาในโบสถ์

เราช่วยกันรักษาโรคเนื้อร้ายที่เจริญงอกงามอยู่ในวงการพระศาสนา ให้ออกไปจากจิตใจของพุทธบริษัท ให้พุทธบริษัทเป็นพุทธบริษัทที่แท้ เป็นผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปแวดล้อมสิ่งซึ่งโง่เขลาเบาปัญญา ดังที่กระทำอยู่ทั่วๆ ไป ในเมืองไทยเรานี้ เรามักจะพูดกันว่า เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น วิทยุ โทรทัศน์ก็ประกาศทุกคืน ช่วยกันกำจัดคอร์รัปชั่นให้สิ้น เพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด ก็ประกาศอย่างนั้น

คอร์รัปชันน่ะมั่นเริ่มต้นที่ตรงไหน ติดสินบนน่ะมันเริ่มต้นที่ตรงไหน ก็เริ่มต้นจากความเขลาที่ในโบสถ์นั่นเอง คือในโบสถ์นั้นยังมีการติดสินบนกันอยู่ ยังมีคอร์รัปชันกันอยู่ ติดสินบนอย่างไร คือการไปบนบานศาลกล่าวนั่นเอง บนบานศาลกล่าวต่อพระพุทธรูปว่าถ้าสำเร็จแล้ว จะเอาทองไปปิดที่หน้าผาก หน้าแข้ง ปิดแขน ปิดขา เท่านั้นแผ่น หายแล้วก็จะเอาหัวหมูมาถวาย หายแล้วก็จะเอาละครชาตรีมารำให้หลวงพ่อดู อันนี้ก็คือการคอรัปชั่น เรียกว่ารากฐานของการคอรัปชั่นในประเทศไทย คอรัปชั่นมาตั้งแต่เริ่มต้นกันเลยทีเดียว แล้วก็งอกงามเจริญมาจนคอรัปชั่นในหมู่มนุษย์ทั่วๆ ไป ดังที่เป็นกันอยู่ในสมัยนี้

ทีนี้ในวงการพระศาสนาเรานี้ ถ้าจะแก้ไขเรื่องคอร์รัปชันทางจิตใจคน เราก็ต้องทำลายพระพุทธศาสนาแบบคอรัปชั่นเสีย คือไม่ให้คนไปนั่งบนบานศาลกล่าวอย่างนั้น ไม่ให้ไปติดสินบนพระพุทธรูปอย่างนั้น หรือไม่ให้ทำอะไรในรูปอย่างนั้น อย่าเห็นแก่สตางค์เล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะได้จากความเขลาของประชาชน แต่ให้เรามองเห็นว่าปัญญาความฉลาดของคนสำคัญกว่าสตางค์ที่เราจะมีจะได้ เพราะว่าสตางค์ที่เราได้มานั้น ไม่สามารถจะรักษาสัจธรรมไว้ได้ แต่มันทำลายสัจธรรมของพระพุทธศาสนาให้หมดไป สิ้นไป


ถ้าเรารักพระพุทธศาสนา เราจะเอาเงินไว้ทำลายศาสนาดีรึ หรือว่าเราจะไม่เอาเงินนั้น เพื่อรักษาศาสนาไว้ดีกว่า อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ที่เราควรคิดกันแล้วในสมัยนี้แต่ว่าคนเขาไม่ค่อยจะคิดกัน ไม่คิดก็เพราะว่าเห็นแก่ปัจจัยเท่านั้นเอง แต่อาตมานี่มองแล้วรู้สึกรำคาญใจ จึงได้พูดออกไปในรูปอย่างนี้ ก็เพื่อให้เราได้ช่วยกันทำลายสิ่งที่เรียกว่าเนื้อร้ายในวงการพระศาสนา การคอรัปชั่นในวงการพระพุทธศาสนาให้หายไป ให้เราไปวัดเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อปฏิบัติธรรมะ เพื่อขูดเกลาจิตใจของเราให้สะอาด  เข้าไปในโบสถ์ก็เข้าไปเพื่อศึกษา เข้าไปเพื่อปฏิบัติกันอย่างแท้จริง สถานที่ในโบสถ์ ในวิหาร ในวัดวาอารามนั้น ต้องมีเฉพาะสิ่งเกื้อกูลแก่ปัญญา ไม่มีสิ่งที่เกื้อกูลแก่ความหลง ความเขลาของประชาชน ถ้ามีอยู่ก็ต้องเอาออกกันเท่านั้นเอง 

ทีนี้มาในยุคนี้ สมัยนี้ ก็ควรจะได้มีการสังคายนากันเสียบ้าง แต่ว่าไม่มีใครคิดจะทำอย่างนั้น คือสังคายนาจัดการเอาคนที่ไม่เข้าใจพุทธศาสนาถูกต้อง ทำอะไรนอกรีต นอกรอยจากหลักการแห่งพระพุทธศาสนา สิ่งใดที่ไม่ใช่เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีการปฏิบัติอยู่ก็ประกาศออกไปเลยว่า นั่นไม่ใช่พระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติไม่ถูก ไม่ถูก คนก็จะได้รู้กันว่านั่นไม่ใช่พุทธศาสนา

เวลานี้คนไม่รู้ เพราะว่านึกว่าเป็นพระ นุ่งเหลือง ห่มเหลือง ครองชีวิตอย่างนักบวช แต่ว่าไปทำเรื่องที่ไม่ใช่พุทธศาสนาก็มีถมไป เช่นเป็นหมอดูบ้าง นั่งทางในหลับหูหลับตา ดูอะไรต่ออะไรบ้าง นี่คฤหัสถ์ที่นั่งหลับหูหลับตาคนหนึ่งตายแล้วเวลานี้ ศพอยู่วัดอะไรเมื่อวานซืนนี้หนังสือพิมพ์ประกาศ ชอบนั่งหลับตา นั่งหลับตาจนตาบอดไปเลย คือหลับตาดู ใครไปหาแล้ว โอ้ ใต้ถุนบ้านมีอะไรอยู่ ต้องไปขุดไปรื้อกันฉิบหายเข้าไปเท่าไหร่ก็ตามใจเหอะ เสียหายกันเยอะแยะ

เบิกตาพระหรือเบิกตาเรา

ในฐานะว่าเป็นสิ่งที่เราเคารพบูชา เคารพบูชาว่าเป็นสิ่งแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า แทนคุณงามความดี ให้เราได้มองได้ระลึกถึง แต่ว่าอย่าไปยึดติด แล้วก็อย่าไปคิดว่าจะต้องมีพระเชียงแสน สุโขทัย ศรีวิชัย ทวาราวดี ลพบุรี อย่าให้มันยุ่งไปถึงขนาดนั้นเลย เอาแต่เพียงว่าเป็นพระก็แล้วกัน หล่อมาเป็นพระใช้ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปเบิกตาท่านหรอก เราไม่ต้องทำไปเบิกตาท่าน เบิกตาเราให้มันกว้างๆ ก็แล้วกัน

นี่ต้องไปทำพิธี เอ้าเบิกพระเนตรหน่อย พระเนตรพระพุทธรูปไม่ต้องเบิกแล้ว เรียบร้อยแล้ว เขาหล่อเป็นรูปตาเสร็จแล้ว เรามาเบิกตาเราให้มันสว่างไง เบิกตาเราให้สว่างด้วยปัญญา ให้มองเห็นองค์พระที่แท้ อย่าไปเห็นทองเหลือง อย่าไปเห็นอิฐ เห็นปูน หรืออย่าไปติดชื่อว่า นี่หลวงพ่อชินราชนะ นี่หลวงพ่อโสธรนะ นี่หลวงพ่อนั่น หลวงพ่อนี่ อย่าไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เราไปติดในสิ่งอื่นดีกว่า  คือว่าเนื้อแท้ของสิ่งนั้นคืออะไร มองให้ลึกเข้าไป ให้ทะลุทองเหลืองเข้าไป ให้ทะลุอิฐ ทะลุปูนเข้าไป ให้เห็นอะไร ให้เห็นพระคุณของพระพุทธเจ้า ให้เห็นความกรุณาของพระพุทธเจ้า ให้เห็นปัญญาของพระพุทธเจ้า ให้เห็นความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเรามองทะลุสิ่งนั้น

เมื่อทะลุสิ่งนั้นเข้าไปเราก็ถึงเนื้อแท้คือพระธรรม แล้วเราก็หันมามองมองดูตัวเรา ว่าเรานี่นับถือพระพุทธเจ้า เรามีพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราหรือเปล่า มองดูที่ใจของเรา ว่าเรามีพระพุทธเจ้าในใจเราไหม

เราอยู่ด้วยความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ไหม

เราอยู่ด้วยปัญญาไหม

เราอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจไหม

มองอย่างนั้น เรียกว่าเห็นสิ่งข้างนอก มองทะลุวัตถุข้างนอก เห็นเนื้อแท้ เมื่อเห็นเนื้อแท้แล้ว มามองดูตัวเรา ว่าเรามีสิ่งนั้นอยู่หรือเปล่า เรามีพระข้างในอยู่หรือเปล่า

พระข้างในใจ

พระข้างในนี่แหละสำคัญนักหนา ถ้าเรามีพระกรุณาประจำใจ มีพระปัญญาประจำใจ มีความบริสุทธิ์เป็นอุดมการณ์ประจำจิตใจ เรียกว่าเรามีพระแท้อยู่ในใจของเรา เมื่อเรามีพระแท้อยู่ในใจอย่างนี้ เราจะปลอดภัยขึ้น โยมลองพิจารณาว่าปลอดภัยอย่างไร เราไปไหนเราไปด้วยความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ฐานที่เราตั้งไว้ในใจ เหมือนที่พูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ตั้งฐานไว้ในใจว่า สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ฐานที่เราตั้งไว้ในใจ เราไปไหนเราไปด้วยความกรุณา คนที่ไปด้วยความกรุณานั้นไม่มีศัตรู ไม่มีศัตรู เพราะว่าเราเห็นใครนี่ สายตาเรามันไม่เป็นศัตรูกับเขา คนที่มีใจเหี้ยมโหดดุร้าย ตามันบอก หน้ามันบอกนะ เช่นเราไปเจอใคร คนดุๆ นี่ตามันเหี้ยมๆ นะ หน้าก็เหี้ยมๆ นะ ท่าทางมันก็ดูๆ เหมือนกับว่าเสือนะ เสือนี่มันดุคน สุนัขมันดุ ถ้าเราเห็นสุนัขดุ ตามันเขม็งนะ หูมันชันขึ้น หางมันตั้งขึ้น ขนมันลุกขึ้น เห็นไหม ดูแล้ว ในใจมันดุแล้ว มันเตรียมแล้ว เตรียมจะเล่นงานแล้ว ถ้าเราเข้าไปใกล้มันก็งับเราเท่านั้นเอง

คนก็เหมือนกัน ถ้าว่าเราเห็นใครหน้าตาเหี้ยมนี่ แสดงว่าเขาไม่มีความกรุณา ตาเขาแสดงอาการให้เราเห็น มือไม้แสดงอาการ ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะชกจะต่อย อย่างนั้นขาดความกรุณาในใจ ทีนี้เราเห็นอย่างนั้น อ้อนี่ไม่ดี มันเป็นภาพที่ไม่ดี เราไปไหนเราไม่มีภาพนั้น แต่เรามีการแสดงออกความกรุณาปราณี เราไปด้วยใจคิดว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเป็นสุข เห็นใครเราก็นึกว่าขอให้เป็นสุข ส่งกระแสจิตไปก่อน ให้ไปกระทบบุคคลนั้น นัยน์ตาเราก็มีความอ่อนโยน หน้าตาก็เบิกบานแจ่มใส มือไม้ก็อยู่ในสภาพปกติ คนใดเห็นเราจะไม่เป็นศัตรูกับเรา คนที่มันเป็นศัตรูกันนั้น เพราะว่าจิตมันคิดเป็นศัตรูกัน พอจิตคิดเป็นศัตรูกันก็เกิดความไม่ไว้วางใจกัน พอไม่ไว้วางใจก็ขยับนะ ถือมีดก็ขยับมีดนะ ถือพร้าขยับพร้านะ ถ้ามีปืนก็ขยับแล้วนะ ทำท่าแล้วนะ มันทำท่าอย่างนั้น

จิตไม่มีกรุณา ไม่มีคุณธรรม ไม่มีพระประจำอยู่ในจิต ก็เลยห้ำหั่นกัน ฆ่ากันตายเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามีความกรุณาปราณีอยู่ในใจนั้น เราไปไหนนี่ คนอื่นเขาก็เห็น เขารู้ว่าเป็นคนอย่างไร แล้วการพูดจา การแสดงออกของเรา มันเป็นความกรุณาทั้งหมด คนที่มีความกรุณาอยู่ในใจนั้น ร่วมแบ่งปัน ส่วนที่เรามีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนอื่น ถ้าอย่างนี้ใครจะมาทำร้ายเรา

พระกรุณา

อยู่กันด้วยน้ำใจ มีอะไรก็เอ้าแบ่งกัน พบใครก็ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบด้วยน้ำใจเมตตา มีอะไรก็แบ่ง มีหยูกมียา ให้เขากินเขาใช้ มีอะไรขาดแคลน เราไปไหนก็มีน้ำใจ คิดอยู่เสมอนี่ คนมีกรุณา คิดอยู่ว่า มีอะไรที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้บ้าง มีสิ่งไรที่เราจะให้แก่ใครได้บ้าง ถ้าเราพบใครก็นึกว่า เราจะช่วยคนนี้ได้โดยวิธีใด ด้วยวัตถุ ด้วยคำพูด ด้วยการแนะนำพร่ำเตือน ในเรื่องการดำเนินชีวิต หรือว่าด้วยการโอภาปราศรัย หรือแม้แต่ด้วยการยิ้มกับเขา เพียงเท่านี้ เขาจะรู้สึกว่าได้รับไมตรีตอบแล้ว คนเราถ้าเรายิ้มกับเขานี่ เขาคงไม่หน้าบึ้งกับเราหรอก เขาต้องยิ้มตอบเราเหมือนกัน เข้าใกล้ด้วยอารมณ์ยิ้ม

คนยิ้มไม่เป็นถ้าหากว่าใจไม่มีกรุณา แต่ถ้ามีฐานอยู่ในใจแล้ว มันก็ยิ้มกันได้ พูดจากันได้ เราไม่มีศัตรู ไปไหนมีแต่มิตร อยู่ด้วยความสุขความสบาย นี่แหละเขาเรียกว่าอยู่ยงคงกระพัน พระองค์นี้แหละช่วยให้เราอยู่ยงคงกระพัน เพราะไม่มีศัตรูผู้มุ่งร้ายเรา เรามีแต่พระกรุณาประจำใจ ลองเอาไปใช้เถอะ โยมเอาไปใช้เถอะ จะปลอดภัย ใช้กับคนใกล้ๆ ก่อน เช่นว่าคนบ้านใกล้เรือนเคียง เรารู้จักมักจี่กันไว้ เอื้อเฟื้อต่อกัน แบ่งสันปันส่วนสิ่งที่เรามีเราได้ แบ่งกันกินกันใช้ ว่างๆ ก็เชิญมากินอาหารร่วมกัน อะไรต่ออะไรกันตามเรื่องตามราว พบปะสมาคมกัน

เรามีรถยนต์ คนบ้านใกล้ออกมายืนอยู่ อ้าว จะไปไหน ไปทางไหน เราจะไปทางนั้น อ้าวเชิญๆ ไปด้วยกัน เดี๋ยวมันก็เป็นมิตรกัน คุ้นเคยกัน เขาก็ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลบ้านช่องให้แก่เรา เราผูกมิตรกันไว้ พาเขาไป แม้ไม่ถึงปลายทางก็ เอ้าไปส่งเท่าที่เราจะไปได้ ปล่อยลงตรงนี้นะ ขึ้นรถเมล์ต่อไป แต่ถ้าทางที่เขาจะไปนั้น ถ้าเราไปผ่านตรงนั้นพอดี เอ้าก็พาเขาไปลงตรงนั้น เราเอื้อเฟื้อเขา เรียกว่าเราให้ การให้นี่เป็นการผูกมิตรกันได้ การให้มันไม่มีถ้าหากว่าน้ำใจไม่มี ต้องเกิดจากความกรุณาก่อน ใจมีความกรุณาก็เกิดให้กันในหมู่นั้น

แม้คนเราอยู่ด้วยกัน เช่นว่า ทำงานอยู่ด้วยกัน อย่านึกแต่เพียงว่าเขาเป็นลูกจ้างเรา ให้เงินเขาใช้ทุกเดือน เบิกทุกเดือนอยู่ก็พอแล้ว ไม่ได้ ต้องมีน้ำใจ โอภาปราศรัยไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ว่างๆ ก็เอา คุยกัน มาเรียกมา เป็นยังไง มีอะไรเดือดร้อนไหม มีปัญหาอะไรไหม ไถ่ถามไปตามเรื่องตามราว เขาเรียกว่ามีน้ำใจ น้ำใจนี่แหละคือความกรุณา คนเราถ้ามีน้ำใจต่อกันแล้ว มันเกิดรักกัน เอ็นดูต่อกัน มีปัญหาอะไรก็พูดกันง่าย แต่ถ้าไม่รักไม่ชอบกันแล้ว มันพูดกันยาก ไม่รู้เรื่องอะไรกันเลย

มีปัญหาที่ไหนก็ไปจัดไปพูดกันให้เรียบร้อย เพราะว่าใช้นโยบายนี้ มีน้ำใจเมตตาต่อเขา กรุณาต่อเขา ไม่ได้ไปเป็นผู้มุ่งร้าย ไปอย่างผู้มีใจดีต่อผู้นั้น เรียกว่าด้วยความบริสุทธิ์ใจน่ะ ที่เราพูดกันว่าไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มุ่งหมายอะไร เพื่อทำความเข้าใจกัน พูดจากัน เห็นอกเห็นใจกัน หรือบางทีก็ต้องพาไปกินเลี้ยงกันเสียก่อน กินอาหารกัน แต่ว่าไม่เลี้ยงเหล้า กินอาหารให้มันสบาย คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกัน นี่ มีไมตรีจิต อย่างนี้มันเอาตัวรอด ชีวิตก็ไม่ลำบาก อย่างนี้ดีกว่าอย่างอื่น เราใช้อันนี้ ใช้พระอันนี้ คือพระกรุณานี่ ใช้ไป ไปไหนก็ปลอดภัย ไม่มีอันตราย เราสร้างพระอย่างนี้ไว้ในใจ

ปัญญานันทภิกขุ
พระพรหมมังคลาจารย์