ทริปนี้ค่อนข้างขลุกขลักกว่าจะได้จัด ตอนแรกมีอันต้องเลื่อนเพราะน้ำท่วมกทม. แล้วเพื่อนบางคนก็ขอแยกไปเที่ยวต่างหาก ทำให้เหลือสมาชิกแค่ 4 คน กับเส้นทางที่ค่อนข้างยาวไกล และต้องเช่ามอเตอร์ไซค์(อีกแล้ว T_T) เส้นทางเดินรถคร่าวๆตามแผนที่นี้เลย
จุดเริ่มต้นของเรา [1] คือ สถานีรถไฟพิษณุโลก วันแรกระยะทาง 139 กม ไปพักที่ อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง หน่วยหนองแม่นา [2] วันรุ่งขึ้นไปต่ออีก 91.4 กม สิ้นสุดที่จุดสูงสุดของจังหวัดเพชรบูรณ์…ภูทับเบิก [3] จากนั้นวันที่สามชิลๆ เดินทางประมาณ 30 กม. ไปจบที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า [4] อีกวันนึงไปอีกแค่ 10 กม. ไปนอนที่รร.ร่องกล้าวิทยา, บ้านร่องกล้า [5] วันรองสุดท้ายตอนเช้าเที่ยวชิลๆ+หลงทางในหมู่บ้าน ก่อนเดินทางอีก 119 กม. ไปที่ลีปันดา รีสอร์ท, เขาค้อ [6] ก่อนจะแว๊นยาว 122 กม. ในวันรุ่งขึ้น สู่จุดหมายปลายทางที่พิษณุโลก [7] Google map คำนวณระยะทางรวมระหว่างแต่ละจุดพักแรมของเส้นทางในทริปนี้ ทั้งหมด 500กม. แต่ถ้ารวมที่อ้อมไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ น่าจะประมาณ 600 กม. ได้ เป็นอีกทริปที่ใช้ชีวิตอยู่บนมอเตอร์ไซค์จนตูดชาเลยทีเดียว
หลังจากได้มอเตอร์ไซค์แล้ว ก็แวะไปไหว้พระพุทธชินราชให้เป็นสิริมงคลของการเดินทางของเราในครั้งนี้ ร้อนมาก คนเยอะมาก แต่ก็โอเค สบายใจละ ได้ไหว้พระเปิดทริปที่ดูจะทรหดและอันตราย(นิดนึง)
จุดหมายแรกของการเดินทางนี้ และเป็นที่ฝากท้องมื้อกลางวันของพวกเราก็คือ น้ำตกแก่งโสภา จากพิษณุโลกยิงยาวไปทางถนนสาย 12 พอเลยทางแยกที่เลี้ยวซ้ายไปนครไทยได้ (เราเราตรงต่อมา) ทางซ้ายมือก็จะเป็นทางเข้าน้ำตก… แอบดูรีวิวมันก็น้ำไหลเป็นสายใหญ่ดีนะ แต่ตอนพวกเราไปมันหน้าแล้งแล้ว น้ำเลยกระหยองกระแหยงอย่างที่เห็น ฮ่าๆ
หลังจากฝากท้องกับอาหารกลางวันที่นั่น ก็ขับปุเลงๆมาเรื่อยๆ จนถึงแยกแคมป์สน ก็เลี้ยวขวาเข้าเส้น 2196 ซึ่งเป็นเส้นเข้าสู่เขาค้อ ขับมาอีกประมาณ 17 กม. จะต้องเลี้ยวขวาแยกเข้าเส้น 2258 มุ่งสู่ทุ่งแสลงหลวง ระหว่างทางก็ซื้ออาหารสดไว้เตรียมทำอาหารตอนเย็น พอเข้าอุทยาน ไปกางเต๊นท์ แล้วก็ออกไปเก็บแสงยามเย็นที่ทุ่งแสลงหลวงกันเลย ที่ๆเราจะไปพักกันคือหน่วยหนองแม่นา จริงๆแล้วตัวอุทยานครอบคลุม 2 จังหวัด คือพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ มีจุดกางเต๊นท์สองที่ คือที่หน่วยหนองแม่นาที่เราจะไปพักกัน เข้ามาจากทางเขาค้อ และอีกจุดเราผ่านมาแล้ว อยู่จังหวัดพิษณุโลก สามารถเข้าไปจากเส้น 12 ได้เลย
ภูมิประเทศแบบนี้จะเห็นได้ตลอดทางเลยนะ เป็นแบบทุ่งหญ้าสาวันนา มีไม้เตี้ยๆดูแห้งๆแล้งๆ สลับกับต้นไม้ใหญ่ประปราย ก็ดูสวยดีไปอีกแบบสำหรับมุมมองของคนที่เที่ยวแต่ภาคเหนือ เห็นแต่ภูเขาสูงๆกับเนินเขาสลับซับซ้อนจนชิน สถานที่แต่ละแห่งก็มีสเน่ห์ต่างกันไปจริงๆ
ถ่ายรูปเล่นไปมาจนไม่มีอะไรทำ (มันมีแค่ทุ่งหญ้าแค่นั้นจริงๆ) ก็แว๊นกลับแคมป์ แก๊งเราไปกางเต๊นท์สุดลานที่เค้าให้กางเลย เปลี่ยวมากน่ากลัวมาก เราต้องหนีไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำพวกผู้ชาย ฮ่าๆ อาบน้งอาบน้ำทำอาหารกิน เป็นอันจบวัน
วันรุ่งขึ้นตื่น(กี่โมงจำไม่ได้ ตีห้าครึ่งมั๊ง)เช้าตรู่ เพื่อจะไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ศาลาดุสิตา ไปถึงแต่หกโมงกว่าได้ ฟ้ายังมืดตื๋อ แต่มีคนรอตั้งขาตั้งกล้องรออยู่เพียบ รอร๊อรอจนฟ้าเริ่มมีสีส้มแซมๆ ก็แชะรูปกันเต็มที่ แล้วก็รอร๊อรอต่อไป เจ้าพระอาทิตย์ก็ยังขี้อายไม่ยอมโผล่หน้าออกมาทักทายชาวเราซักที
รอจนท้องฟ้าสว่างจนอากาศเริ่มร้อน หลายๆคนถอดใจเก็บของกลับ เราก็เริ่มคิดว่าจะไปจุดหมายต่อไปเลยดีเปล่าหว่า
ตอนกำลังเริ่มเก็บขาตั้งกล้องนั่นเอง พระอาทิตย์โผล่มาจ้า ไข่แดงกลมป๊อก น่ารักสมการรอคอยอันยาวนานจริงๆ
นี่ล่ะหนอ ความงามของธรรมชาติ มันทองท๊องทองเจรงๆ ^^
พอเก็บภาพกันจนอิ่มเอง ก็ไปจุดหมายถัดไป…ทุ่งนางพญา
ทุ่งนางพญา มีชื่อเต็มว่า“ทุ่งนางพญาเมืองเลน” อยู่ห่างออกไปประมาณสิบกว่ากิโลเมตร อาจฟังดูเหมือนใกล้ แต่เส้นทางแย่มาก เรียกได้ว่าวิบากเลยล่ะ ถนนหนทางขรุขระเต็มไปด้วยดินแดง
ขับไปขับมาพงหญ้าข้างทางก็สูงขึ้นเรื่อยๆจนสูงท่วมหัว เราเลยเริ่มรู้ตัวกันแล้วว่า สงสัยขับเลยมาแล้ว (เพราะเส้นทางตรงตลอดไม่มีแยกให้หลง) พอวกกลับมาก็เจอจ้า เลยต้องถ่ายรูปเก็บไว้ซักหน่อย
ด้วยความที่เรามากันหน้าแล้ง ต้นหญ้าต่างๆก็แห้งกรอบไปบ้าง มีบางส่วนที่มีรอยไหม้ (ไม่รู้ว่าไหม้เองหรือมีใครเอา)เป็นรอยดำๆ และมีหญ้าเขียวสดเพิ่งแตกยอดมาใหม่ ส่วนต้นสนต้นใหญ่ๆก็เปลี่ยนสีเป็นเหลืองๆส้มๆ ไม่เคยเจอธรรมชาติสีแปลกตาแบบนี้มาก่อนเลย
เสร็จแล้วก็แว๊นมอเตอร์ไซค์วิบากกลับแคมป์ เตรียมตัวเก็บของเพื่อมุ่งสู่จุดหมายถัดไป…ภูทับเบิก