เอื้องช้างน้าว Dendrobium pulchellum
ภาพ ช้างน้าว ดอกโทนสีออกแดง ที่สวนชิเนนทร
ช้างน้าว หรือ เอื้องช้างน้าว เป็นกล้วยไม้ทนร้อนกลุ่ม Dendrobium หรือ หวาย ของบ้านเรานี่เองครับ ในพื้นที่ตามชนบทหรือพื้นที่ราบเขา หรือ ป่าแล้ง เรามักพบ ช้างน้าว ขึ้นเกาะอยู่ต้นไม้สูง แต่พิเศษไปกว่ากล้วยไม้สกุลหวายอื่น ๆ เรายังพบว่า ช้างน้าว ยังสามารถขึ้นเกาะบนผาหินสูงชันได้อีกด้วย !
ลักษณะแสนพิเศษของ ช้างน้าว คือมีลำที่ยาวยื่นทอดออกไป ลำของ ช้างน้าว จะไม่ห้อยลงเหมือนกับเอื้องสายชนิดอื่น ๆ กลับกัน ช้างน้าว จะให้ลำที่แข็งทื่อ โน้มเอียงไม่เป็นสายคล้ายกับกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่มีใบทรงรีสลับซ้ายขวาเรียงตัวจนสุดลำ หน่อที่กำลังแตกใหม่ที่เราได้เห็นในปีนี้จะยังไม่ให้ดอกจนกว่าจะถึงปีถัดไป เมื่อหน่อแก่ตัวได้ที่กลายเป็นลำก้านที่ทอดยาวออกไปราวคันเบ็ด ช้างน้าว จะเริ่มทิ้งใบในช่วงต้นปี และอาจพักตัวอยู่ราว ๆ ๑-๒ เดือน หลังจากนั้น ช้างน้าว จะเริ่มแทงตาดอกในราว ๆ ช่วงเดือน กุมภาพันธุ์ – พฤษภาคม ดอกของ ช้างน้าว จะแทงออกในส่วนของปลายยอดสุดของลำลูกกล้วย ใน ๑ ลำ หาก ช้างน้าว มีลำต้นที่สมบูรณ์แล้วละก็มันสามารถให้ดอกได้มากถึง ๔ ช่อ ในขณะที่ปกติจะสามารถให้ดอกได้ราว ๆ ๑ – ๒ ช่อ ดอกของ ช้างน้าว มีลักษณะเป็นสายยาวลงมาจากปลายยอด มองคล้ายกับสายเบ็ดที่ร้อยตัวลงมาจากคานเบ็ดไม่ผิดเพี้ยน ขนาดของดอก ช้างน้าว มีขนาดใหญ่ พื้นดอกมีสีเหลืองอ่อน บางครั้งก็พบว่ามีสีแดงในบางต้น บนปากดอกนั้น ช้างน้าว จะมีตาสีดำที่กลมใหญ่เด่นแปลกตาและสวยงาม
ภาพ ลักษณะการแทงช่อ และช่อดอกของ ช้างน้าว
ในวิทยาศาสตร์ ช้างน้าว มีชื่อว่า Dendrobium pulchellum และมันยังถูกเรียกอีกหลาย ๆ ชื่อในบ้านเราอีกด้วยครับ อาทิเช่น เอื้องคำตาควาย เอื้องตาควาย สบเป็ด และยังมีชื่อพิลึก ๆ ที่เราอาจจะไม่เคยได้ยินอีกเช่น ปะเหน่มีเพ้ย พอมียอเอ้ะ หากให้เดาละก็สองชื่อหลังนี้คงได้รับการแต่งจากชนชาวเขาอย่างแน่นอนเชียวครับ !
ด้วยลักษณะที่ทนร้อนพิเศษนี้ ช้างน้าว ยังได้เป็นกล้วยไม้อีกชนิดที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาเนิ่นนาน หนึ่งในลูกผสมของ ช้างน้าว ที่ได้รับความนิยมก็คือ Dendrobium Gatton Sunray (เดน-โดร-เบียม-แกต-ตัน-ซัน-เรย์) มันเป็นลูกผสมสีเหลืองสดใสตตาดำเด่นและมีดอกขนาดใหญ่ พ่อแม่ของไม้ชนิดนี้มาจาก เอื้องช้างน้าว หรือเอื้องตาควาย (Dendrobium pulchellum) เข้ากับ Dendrobium Illustra ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง เอื้องคำ ผสมเข้ากับ ช้างน้าว(Den. chrysotoxum x Den. pulchellum) นับได้ว่าเป็นไม้ที่ทำซ้อนกันถึง ๒ ชั้นเลยทีเดียวครับ
ภาพดอกของ Dendrobium Gatton Sunray ลูกผสมระหว่าง ช้างน้าว x Dendrobium Illustra
วิธีปลูกเลี้ยง ช้างน้าว
ช้างน้าว เป็นกล้วยไม้เลี้ยงง่ายมากครับ และเป็นกล้วยไม้ที่ทนร้อนเก่งมากซะด้วย เราสามารถเลี้ยงเจ้า ช้างน้าว ให้มีดอกสวยงามได้ดังนี้
๑. นำกาบมะพร้าวที่ผ่านการแช่น้ำไว้แล้วอย่างน้อย ๒-๓ คืน มาเตรียมไว้ครับ ต้องแช่น้ำก่อนนะครับ ถ้าไม่แช่ กล้วยไม้จะโตช้า
๒. ถ้าเป็นไม้ดิบ ให้นำกาบมะพร้าวทุบให้เป็นแผ่น วางรองระหว่างขอนไม้กับ ช้างน้าว ที่เตรียมปลูก กาบมะพร้าวที่ชื้นได้ที่จะช่วยให้รากของช้างน้าวเดินไวขึ้น
๓. นำไปแขวนไว้ในที่ที่มีแสงส่องถึงอย่าร่มรำไรมากเกินไปเพราะอาจจะเน่าตายได้
๔. หากปลูกในกระถาง ให้นำถ่านกลบพื้นกระถางสักครึ่งหนึ่งก่อน แล้วค่อยนำมะพร้าวสับกลบทับลงไป หลังจากนั้นใช้กาบมะพร้าววางล้องรอบขอบกระถาง นำต้น ช้างน้าว ที่เตรียมไว้ ตั้งไว้ตรงกลาง แล้วค่อย ๆ กลบรากด้วยมะพร้าวสับชื้นเล็ก
***ระวัง อย่ากลบจนมิดโคนไม่เช่นนั้น ช้างน้าว จะเน่าได้ เอาพอบาง ๆ และจับช้างน้าวตั้งให้ได้ด้วยการหาไม้มาค้ำหรือลวดพยุง***
๕. หากเป็นไม้เพาะเลี้ยงจากฟาร์ม ให้ใช้มะพร้าวตุ้ม หุ้มราก แล้วใส่กระเช้ากลมได้เลยครับ
ภาพ ช้างน้าว เผือก
เมื่อรากช้างน้าวเริ่มเดินดี ควรเริ่มขยับ ช้างน้าว ให้ได้แสงมากขึ้น แสงจะเป็นปัจจัยช่วยให้ ช้างน้าว มีดอกตามฤดูกาลครับ และเพื่อที่จะได้เห็นดอกของ ช้างน้าว อย่างสมบูรณ์ที่สุด เราควรหมั่นพ่นปุ๋ยเกล็ดอย่างสม่ำเสมอ ทางสวนออร์คิดทรอปิคอล เรามักใช้สูตรปุ๋ยเสมอเช่น ๒๑-๒๑-๒๑ เป้นต้นครับ ระวังอย่ารดน้ำตอนสายมากเพราะน้ำที่ไปขังตามกาบใบอาจทำให้ ช้างน้าว เน่าได้ ยอดใหม่ของช้างน้างค่อนข้างบอบบาง ให้พึงระวังเป็นอย่างยื่งครับ หากรดน้ำสายและน้ำไปขังในยอดใหม่ เมื่อแสงแดดจัด ๆ อาจทำให้ยอดเน่าได้เลยครับ และเมื่อยอดเน่าเราก็จะอดดูดอกในปีต่อไปนั่นเอง !
บทความดีๆจาก http://www.orchidtropical.com/
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
กล้วยไม้สกุลแวนด้า Vanda
หากเอ่ยถึง แวนด้า คงเป็นไปได้ยากที่จะไม่มีใครรู้จัก อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องรู้จักกับเจ้าเอื้องฟ้ามุ่ย กล้วยไม้สกุล แวนด้า ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และกลายเป็นกล้วยไม้ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มากที่สุดก็ว่าได้
แวนด้า (Vanda) เป็นกล้วยไม้ที่อยู่ในประเภท “โมโนโพเดี้ยล” ครับ หมายถึง เป็นกล้วยไม้ที่ ไม่แตกกอ มีการเจริญเติบโตไปทางยอด ลักษณะทั่วไปของ แวนด้า คือ รากเป็นรากอากาศ ใบของ แวนด้า นั้นมีลักษณะกลม แบนหรือร่อง ใบจะเรียงตัวซ้อนสลับกัน ช่อดอกจะออกด้านข้างของลำต้นสลับกับใบ ช่อดอก แวนด้า นั้นยาวและแข็ง กลีบนอกและกลีบในมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน โคนกลีบแคบ และไปรวมกันที่โคนเส้าเกสร กลีบดอกในล่างด้านใต้มีเดือยแหลมยื่นออกมาเป็นส่วนท้ายของปากกระเป๋า ปากกระเป๋าของแวนด้าเป็นแบบธรรมดาแบนเป็นแผ่นหนาแข็ง และพุ่งออกด้านหน้า รูปลักษณะคล้ายช้อน หูกระเป๋าทั้งสองข้างแข็งและตั้งขึ้น สีสั้นของดอก แวนด้า เราอาจพบเห็นได้มากที่สุดคือ สีน้ำเงินเข้ม สีครามอ่อน สีชมพู สีเหลือง หรือแม้กระทั้งสีเขียว หรือ ดำก่ำ และยังมีอีกมากหมายหลายสีขนาดที่ว่าหากเดินหลงเข้าดงของดอก แวนด้า แล้วมันไม่ต่างอะไรจากบ้านขนมหวานของฮันเซลและเกรเทลทีเดียว !
♠ ภาพ ลักษณะใบของ แวนด้า
ในโลกนี้ เราในฐานะชาวเอเชีย อาจเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดก็ว่าได้ เพราะเราพบว่า แวนด้า ได้เติบโตและแพร่กระจายพันธุ์ในธรรมชาติของเอเชียราว ๆ ๔๐ ชนิด หากเราได้มีโอกาสไปยังประเทศ อินเดีย เราอาจจะได้พบกับ แวนด้า เทสเซลาต้า กล้วยไม้ที่ขึ้นชื่อว่าใกล้สูญพันธุ์และกลิ่นหอมแรง หรือ แวนด้า ไตรคัลเลอร์ ที่มีสีสันถึงสามสีบนพื้นดอกเดียว เมื่อลองสำรวจบนผืนเกาะฟิลิปินส์เราก็จะได้พบกับต้นกำเนิด แวนด้า สองสีหรือทูโทนอย่างเจ้า แวนด้าแซนเดอเรียน่า กล้วยไม้ที่ขึ้นชื่อบัญชีว่าเป็นกล้วยไม้ใกล้สูญพันธุ์และเป็นพันธุ์ไม้ที่หวงแหนที่สุดของฟิลิปินส์ และในไทย เราเองก็มี แวนด้าฟ้ามุ่ย กล้วยไม้ที่ได้รับการยอมรับว่าสวยมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก นอกจากนี้ แวนด้ายังกระจายพันธุ์กว้างขวางไปตามประเทศต่าง ๆ อีก เช่น ศรีลังกา พม่า อินโดนีเซีย รวมไปถึง ทวีปออสเตรเลียตอนเหนือ
ในปัจจุบัน แวนด้า ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นอีกหลายพันธุ์ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจำแนกประเภทของ แวนด้า โดยอาศัยรูปร่างลักษณะของใบออกเป็น ๔ ประเภท คือ
◙ แวนด้าใบกลม มีลักษณะของใบกลมยาวทรงกระบอก ต้นสูง ข้อห่าง สังเกตได้ที่ใบติดอยู่ห่างๆ กัน มีดอกช่อละหลายดอก แต่ดอกจะบานติดต้นอยู่คราวละ ๒ – ๓ ดอกเท่านั้น เมื่อดอกข้างบนบานเพิ่มขึ้น ดอกข้างล่างจะโรยไล่กันขึ้นไปเรื่อยๆ การปลูกใช้ดอกจึงนิยมปลิดดอกมากกว่าตัดดอกทั้งช่อ
◙ แวนด้าใบแบน ลักษณะใบแผ่แบนออก เป็น แวนด้า ที่ปลายใบโค้งลงและจักเป็นแฉก ถ้าตัดมาดูหน้าตัดจะเป็นรูปตัววี มีข้อถี่ปล้องสั้น ใบซ้อนชิดกัน
◙ แวนด้าใบร่อง มีรูปทรงของใบและลำต้นคล้ายใบแบนมากกว่าใบกลม แวนด้าประเภทนี้ไม่พบในป่าธรรมชาติ การนำมาปลูกเลี้ยงเป็นพันธุ์ลูกผสมทั้งสิ้น โดยนำแวนด้าใบกลมมาผสมกับแวนด้าใบแบน
◙ แวนด้าก้างปลา มีรูปทรงของใบและลำต้น กิ่งใบกลมกับใบแบน กล้วยไม้กลุ่มนี้พบว่าเป็นหมันเสียส่วนใหญ่ จึงพบว่ามีจำนวนในธรรมชาติน้อยมาก
♠ ภาพ เข็มขาว กล้วยไม้ที่ใคร ๆ ก็เรียกชื่อต้นว่า เข็ม แต่จริง ๆ เป็น แวนด้า (Vanda lilacina) ครับ
แวนด้า ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคงจะหนีไม่พ้น เอื้องฟ้ามุ่ย เนื่องจากเป็นกล้วยไม้ที่มีดอกใหญ่ สีสวย อีกทั้งยังหายากด้วยครับการเลี้ยง แวนด้า ใบแบนนั้นจำเป็นต้องโรงเรือนเพื่อช่วยในการลดทอแสงให้อ่อนลง แวนด้า ที่ดูเหมือนจะเลี้ยงง่ายที่สุดน่าจะเป็น แวนด้าใบกลม เนื่องจากเป็น แวนด้า ที่ทนร้อนเก่งและไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือนก็สามารถเลี้ยงได้โดยง่าย ส่วน แวนด้า ที่มีใบเป็นร่องหรือที่เราเรียกว่า แวนด้าใบร่อง นั้นเกิดจากลูกผสมระหว่าง แวนด้าใบกลม เข้ากับ แวนด้าใบแบนครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่า แวนด้าใบแบนนั้นเลี้ยงค่อนข้างยาก จึงต้องนำมาผสมกับใบกลมเพื่อให้ลูกออกมาสามารถเลี้ยงได้ง่ายขึ้นและมีสีสวยบานทนขึ้นนั่นเองครับ
ลักษณะที่ดีของแวนด้านั้นกล่าวไว้ว่า
• ดอกฟอร์มต้องกลม อย่างฟ้ามุ่ยต้องพัฒนาให้กลม (แต่ปัจจุบัน ฟอร์มแบบบิน ๆ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันนะ)
• จำนวนดอกในก้านช่อ ๑ ก้าน ต้องมีจำนวนมากเข้าไว้ เช่นสามปอยขุนตานควรจะมีราว ๆ ๗ – ๘ ดอกเป็นต้น
• ก้านดอกสั้น หมายถึงเมื่อก้านดอกสั้นดอกจะกระจุกติดกับก้านช่อทำให้ดูเป็นพุ่มดอกสวยงามครับ
• ลวดลายบนดอกชัดเจน เช่น ฟ้ามุ่ยก็ต้องมีลายสมุกที่ชัดถึงจะสวยครับ
• ก้านช่อต้องแข็งและยาว เพื่อที่จะรับน้ำหนักของจำนวนดอกได้นั่นเองครับและยาวมากจำนวนดอกมาด้วยก็จะยิ่งสวยครับ
♠ ภาพ แวนด้า สามปอยขุนตาน เป็นแวนด้าพันธุ์แท้สายคุณชิเนนทร ที่มีจำนวนดอกถึง ๑๐ ดอกและมีคุณสมบัติครบถ้วนของลักษณะแวนด้าที่ดี
ลักษณะการปลูกเลี้ยง แวนด้า
ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่า แวนด้า แต่ละชนิดนั้นชอบสภาวะอากาศแตกต่างกัน ถึงจะมีวิธีปลูกที่เหมือนกันแต่หากสภาวะโรงเรือนไม่เหมาะสมก็เฉาตายได้เหมือนกันครับ ทีนี้มาดูวิธีปลูกกันครับ
• ส่วนใหญ่ แวนด้า เป็นกล้วยไม้รากอากาศครับ ดังนั้น ปลูกแบบใส่กระเช้าไม่ต้องใส่เครื่องปลูกก็ได้
• การปลูก อาจจะใช้ฟิวมัดรากกับกระเช้าให้ไม่ให้ขยับได้ครับ
• หลังจากนั้น นำอนุบาลไว้ในร่มรำไรหรือใต้แสลนอย่าถูกแสงมากจนกว่ารากจะเดินดี
• แวนด้า ที่ออกขวดอาจจะผึ่งในตะกร้าสักระยะให้รากใหม่เดินแล้วค่อยหนีบนิ้วครับ
• การหนีบนิ้วอาจจะใช้สเฟกนั่มมอส หรือ กาบมะพร้าวหนีบ
• ไม้ใหม่รากยังไม่แข็ง อาจจะให้แต่น้ำหรือผสม บี๑ รดครับ
• พอแข็งแรงดีก็ปรับเป็นให้ปุ๋ยสัปดาห์ละครัง เช่น ๒๑-๒๑-๒๑ เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นกล้วยไม้จะสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับความขยันของเราด้วยนะครับ หากขยัน แวนด้า ที่เราเลี้ยงก็จะให้ดอกสวยงามแต่หากไม่ละก็ แวนด้า ก็จะเฉาตายได้ครับ และก่อนจะนำ แวนด้า ชนิดไหนมาเลี้ยงควรจะศึกษาให้ดีก่อนเพราะบางชนิดเลี้ยงยากในพื้นราบเป็นต้นครับ
บทความดีๆจาก http://www.orchidtropical.com/
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
กล้วยไม้สกุลเข็ม Ascocentrum
กล้วยไม้สกุลเข็ม (Ascocentrum) นับได้ว่าเป็นกล้วยไม้อีกชนิดของไทยที่ชอบแสงแดดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข็มแสด ที่สามารถทนสภาพแสงได้ถึง 100% และยังเป็นสกุลเข็มที่ให้ดอกเก่งสีจัดและสวยงามมากชนิดหนึ่งของไทย
ด้วยความทนร้อนที่น่าเหลือเชื่อประกอบกับสีสันที่โดดเด่นสะดุดตามาแต่ไกล กล้วยไม้สกุลเข็ม จึงเป็นที่นิยมในการทำลูกผสมเข้ากับกล้วยไม้สกุลแวนด้าที่ชอบอยู่อากาศเย็น กลายเป็นลูกผสมสีสดชื่อดังมากมายจนลือชา
กล้วยไม้สกุลเข็ม แม้เราจะเรียกชื่อเหมือนกับว่าเป็นอีกหนึ่งสกุลของกล้วยไม้ แต่แท้จริงแล้ว กล้วยไม้สกุลเข็ม เป็นกล้วยไม้ประเภทแวนดา (Vandaceous Orchid) ที่มีขนาดเล็ก เท่านั้นเองครับ
กล้วยไม้สกุลเข็ม มีการเจริญเติบโตแบบฐานเดี่ยว เช่นเดียวกับกล้วยไม้สกุลช้าง สกุลแวนดา สกุลกุหลาบ มีลำต้นสั้น การเรียงตัวของใบเป็นแบบซ้อนทับกัน รูปร่างของใบแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบที่หนึ่งใบแบน ใบค่อนข้างจะอวบน้ำ และแบบที่สองเป็นแบบใบกลม แต่มีร่องลึกทางด้านบนของใบ รากเป็นระบบรากอากาศ ช่อดอกจะออกที่ตาตามข้อของลำต้นระหว่างใบต่อใบ ช่อดอกตั้งตรงเป็นรูปทรงกระบอก มีดอกหลายดอก ดอกมีขนาดเล็ก ดอกหันหน้าออกรอบด้าน กลีบนอกและกลีบในของดอกมีขนาดใกล้เคียงกัน ปากขยับไม่ได้ ใต้ปากมีเดือยเป็นถุงยาว เดือยมีขนาดสั้นกว่ารังไข่และก้านดอก เส้าเกสรอ้วนสั้นไม่มีฐาน กลุ่มเรณูกลมมี 2 ก้อน กล้วยไม้สกุลเข็ม ทุกชนิดดอกมีรูปร่างคล้ายกันแต่แตกต่างกันในเรื่องสี ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสีสดใส เช่น สีแดงอมส้ม สีม่วง สีส้ม หรือสีเหลืองอมส้ม เมื่อต้นกล้วยไม้มีอายุมากขึ้น หรือเมื่อยอดหักหรือยอดเน่าตาที่อยู่ด้านล่าง ๆ ของลำต้นจะแตกหน่อออกมา ทำให้เกิดมีหลาย ๆ ยอดได้ด้วยลักษณะและสีสันที่สดใสของดอกดังกล่าว จึงกล่าวได้ว่า กล้วยไม้สกุลเข็ม เป็นราชินีของกล้วยไม้ประเภทแวนดาแบบกระเป๋า
จากการสำรวจพบว่า กล้วยไม้สกุลเข็ม ที่มีอยู่ในโลกมีถิ่นกำเนิดอยู่ในภาคพื้นทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย เนปาล ศรีลังกา จีน พม่า ไทย ประเทศในแถบอินโดจีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เมื่อได้พิจารณาทางหลักภูมิศาสตราของอาณาบริเวณที่ปรากฏกล้วยไม้เหล่านั้นตามธรรมชาติแล้ว ก็น่าจะกล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของแหล่งกำเนิด กล้วยไม้สกุลเข็ม สำหรับในประเทศไทยนั้นปรากฏว่า กล้วยไม้สกุลเข็ม มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทุกภาคบางภาคอาจมี กล้วยไม้สกุลเข็ม หลายชนิด แต่บางภาคอาจมีเพียงชนิดเดียว
ในประเทศไทยเราพบว่ามี กล้วยไม้สกุลเข็ม ปรากฏตามธรรมชาติอยู่ 4 ชนิด คือ เข็มแดง (Ascocentrum curvifolium) เข็มม่วง (Ascocentrum ampullaceum) เข็มแสด (Ascocentrum miniatum) และแอสโคเซ็นตรัม เซมิเทอเรตติโฟเลียม (Ascocentrum semiteretifolium – ยังไม่มีชื่อภาษาไทย)
เข็มแดง (Ascocentrum curvifolium) ถิ่นกำเนิดของเข็มแดงในประเทศไทย คือบริเวณเริ่มตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ต่ำลงไปถึงจังหวัดตากและกาญจนบุรี พบในป่าที่มีระดับความสูง 100-300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในฤดูฝนความชื้นในอากาศค่อนข้างสูง แต่ในฤดูแล้วความชื้นในอากาศอาจจะลดลงเหลือเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ในต่างประเทศพบว่าเข็มแดงมีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย ผ่านมาทางประเทศพม่าจนถึงประเทศไทย ลำต้นของเข็มแดงเมื่อสูงถึงประมาณ 20 เซนติเมตร มักจะพบว่าโค้งลงเพราะทรงตัวไม่ได้ และจะมีหน่อเกิดขึ้นทางส่วนล่าง ๆ ของลำต้น ใบค่อนข้างแคบ โค้ง เรียว และยาวที่สุดในบรรดา กล้วยไม้สกุลเข็ม ทุกชนิดที่พบในประเทศไทยด้วยกัน ความยาวของใบประมาณ 20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ค่อนข้างจะอวบน้ำ ใบเป็นสีเขียวอ่อน อ่อนกว่าสีของใบเข็มม่วงและเข็มแสดในระหว่างฤดูแล้วขอบของใบจะปรากฏเป็นจุดสีม่วงขึ้นประปราย และเมื่อความแห้งแล้งเพิ่มมากขึ้นจุดสีม่วงบนใบก็จะมีหนาแน่นยิ่งขึ้น ฤดูออกดอกอยู่ในระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ต้นที่กำลังให้ดอกอาจมีดอก 3-4 ช่อในเวลาเดียวกัน ต้นที่โต ๆ จะให้จำนวนช่อดอกมากขึ้น ช่อดอกตั้งตรง แข็ง ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นรูปทรงกระบอก มีดอกแน่นช่อ ดอกโตประมาณ 1.5 เซนติเมตร หรือกว่านั้น กลีบดอกบานเปิดเต็มที่ดอกมีสีแดงอมสีส้มสดใส บานทนนับเป็นสัปดาห์
เข็มม่วง (Ascocentrum ampullaceum) เข็มม่วงปรากฏตามธรรมชาติในประเทศไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และต่ำลงไปถึงจังหวัดกาญจนบุรี พบอยู่ในบริเวณเดียวกันกับเข็มแดง แต่อยู่ในระดับความสูงมากกว่าเข็มแดง ในต่างประเทศพบที่อินเดีย ภูฏาน เนปาล พม่า จีน และลาว ตเข็มม่วงมีทรงต้นตั้งแข็งอาจมีความสูงได้ถึง 25 เซนติเมตร ใบเป็นประเภทใบแบน ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ใบค่อนข้างแข็ง ไม่โค้งมากนัก ปลายใบตัดและเป็นฟันแหลม ๆ ไม่เท่ากันหลายฟัน ใบมีสีเขียวคล้ำ ในช่วงที่สภาพอากาศแห้งแล้งจะปรากฏจุดสีม่วงเล็ก ๆ บนใบโดยทั่วไป โดยเฉพาะใบที่อยู่ใกล้ ๆ ยอด ยิ่งแห้งแล้งมากจุดสีม่วงจะยิ่งเด่นชัดขึ้น ช่อดอกยาวประมาณ 15 เซนติเมตร เป็นช่อตั้งรูปทรงกระบอก มีดอกประดับแน่นช่อ ประมาณช่อละ 30 ดอก ก้านช่อค่อนข้างสั้น
เข็มแสด (Ascocentrum miniatum) เข็มแสดเป็น กล้วยไม้สกุลเข็ม ที่พบว่ามีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติไปทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ทางภาคเหนือพบที่จังหวัดเชียงใหม่ แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบที่จังหวัดนครราชสีมา เลย อุดรธานี ชัยภูมิ มุกดาหาร ต่ำลงไปทางภาคกลางพบที่จังหวัดจันทบุรี ทางภาคใต้พบที่จังหวัดพังงา และสตูล ในลักษณะภูมิประเทศทั้งที่ราบและที่เป็นภูเขา เนื่องจากกล้วยไม้ชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติกว่างขวาง จึงสามารถปลูกเลี้ยงให้เจริญงอกงามและออกดอกได้สม่ำเสมอตามฤดูกาลในทุกภาคของไทย ลำต้นของเข็มแสดสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ต้นที่เจริญเติบโตมาก ๆ อาจสูงถึง 30 เซนติเมตร และมีหน่อที่โคนต้นหลายหน่อ ใบยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1.0-1.5 เซนติเมตร โค้งเล็กน้อย ใบซ้อนชิดกันใบมีสีเขียวแก่ มีลักษณะหนา อวบน้ำ ปลายใบหยักเป็นฟันแหลม ๆ เล็กน้อยอาจจะมีจุดสีม่วงคล้ำบนแผนใบและขอบใบเมื่อกระทบสภาพแห้งแล้งเช่นเดียวกับเข็มแดงและเข็มม่วง ช่อดอกเป็นแบบช่อตั้ง ยาวประมาณ 12-15 เซนติเมตร รูปทรงกระบอก มีดอกแน่นช่อ ประมาณช่อละกว่า 50 ดอก ก้านช่อยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ดอกโตประมาณ 1.5 เซนติเมตร ก้านดอกยาวเรียวมีความยาวประมาณ 1.0 เซนติเมตร กลีบนอกและกลีบในของดอกมีขนาดประมาณ 3 x 6 มิลลิเมตร ปากกระเป๋าและเดือยยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร กลีบดอกค่อนข้างหนา ผิวเนื้อกลีบ (Texture) เป็นมันมีสีส้มสดใส หรือสีเหลืองส้มสะดุดตามาก ฤดูออกดอกประมาณเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ดอกบานทนไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์
เข็มชมพู (Ascocentrum semiteretifolium)เข็มชมพู เป็น กล้วยไม้สกุลเข็ม ชนิดเดียมที่มีใบเป็นแบบใบกลม แต่มีร่องลึกทางด้านบนของใบ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย พบที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ในระดับความสูง 1,800-1,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล ใบกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร ดอกสีม่วงอ่อน
เนื่องจากกล้วยไม้ชนิดนี้มีรูปร่างลักษณะของต้นและสีของดอกไม่เป็นที่สนใจของบรรดานักกล้วยไม้ทั่วๆ ไป ประกอบกับเป็นกล้วยไม้ที่ค่อนข้างจะหายาก ทำให้ไม่มีผู้นิยมปลูกเลี้ยงกันมากนัก
กล้วยไม้สกุลเข็ม ชนิดสุดท้ายนี้ นับได้ว่าเป็นกล้วยไม้หายากมากชนิดหนึ่งของไทย ในอดีตผมเองได้พบกับ กล้วยไม้สกุลเข็ม ชนิดนี้เพียงครั้งเดียวขณะเดินทางอยู่บริเวณทุ่งหญ้าซาวานาที่กิ่วแม่ปานบนยอดดอยอินทนนท์ ขนาดลำต้นนั้นเล็กเกาะบนยอดไม้สูงโปร่ง ต้นตั้งตรงรับแสงแดด 100% เต็ม หากนำเข็มชนิดนี้มาปลูกเลี้ยงในพื้นราบ จะพบว่า กล้วยไม้จะค่อย ๆ ตาย เนื่องจากนิสัยชอบแสงแดดที่จัดแต่ไม่ชอบอากาศร้อน การนำเข็มชนิดนี้มาปลูกบนพื้นราบที่อากาศร้อนและต้องได้รับแสงแดดเต็มที่นั้นเป็นไปไม่ได้ จึงไม่ขอแนะนำให้หามาเลี้ยงครับ
กล้วยไม้ลูกผสมของสกุลเข็ม กล้วยไม้สกุลเข็ม นอกจากดอกจะมีสีสันสดใสสะดุดตามากกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นในประเภทแวนดาด้วยกันแล้ว ยังมีช่อดอกแข็มชูตั้งขึ้นเป็นรูปทรงกระบอก มีดอกประดับแน่นช่ออย่างเป็นระเบียบ ตามปกติในต้นเดียวกันจะให้ดอกพร้อมกันหลาย ๆ ช่อ เป็นกล้วยไม้ที่ปลูกเลี้ยงได้ง่าย นักผสมพันธุ์กล้วยไม้จึงจัดการผสม กล้วยไม้สกุลเข็ม ข้ามสกุลกับกล้วยไม้ในประเภทแวนดา เช่น กล้วยไม้สกุลแวนดา สกุลช้าง สกุลรีแนนเธอราผลปรากฏว่าได้ลูกผสมที่มีสันสวยงามผิดเพี้ยนแตกต่างกันไป ออกดอกยิ่งขึ้น ดอกบานทนยิ่งขึ้น มีดอกตลอดทั้งปีไม่เป็นฤดูกาล และปลูกเลี้ยงง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วยไม้ลูกผสมสกุลแอสโคเซ็นดา ซึ่งมีสายเลือดของสกุลเข็ม
กล้วยไม้สกุลเข็ม ผสมข้ามสกุลกับกล้วยไม้สกุลแวนดา เกิดเป็นกล้วยไม้ลูกผสมสกุลแอสโคเซ็นดา (Ascocenda)
กล้วยไม้สกุลเข็ม ผสมข้ามสกุลกับกล้วยไม้สกุลช้าง เกิดเป็นกล้วยไม้ลูกผสมสกุลรินโคเซ็นตรัม (Rhynchocentrum)
กล้วยไม้สกุลเข็ม ผสมข้ามสกุลกับกล้วยไม้สกุลรีแนนเธอรา เกิดเป็นกล้วยไม้ลูกผสมสกุลแอริโดเซ็นตรัม (Anridocentrum) เป็นต้น
กล้วยไม้สกุลแอสโคเซ็นดาที่ปลูกเลี้ยงกันแพร่หลายมากก็เป็นลูกผสมระหว่างเข็มแดงกับกล้วยไม้สกุลแวนดาประเภทใบแบนเป็นส่วนใหญ่ เช่น กล้วยไม้แอสโคเซ็นดา มีดา อาร์โนลด์ (Ascocenda Meda Arnold) ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างกล้วยไม้แวนดา รอธไชล์เดียนา (Vanda Rothschildiana) กับเข็มแดง แต่ละต้นให้ดอกที่มีสีสันแตกต่างกัน ตั้งแต่สีแดงไปจนถึงสีน้ำเงินและกล้วยไม้ลูกผสมเหล่านี้ได้มีการผสมกลับไปกลับมาอีกหลายระดับ ระหว่างกล้วยไม้สกุลแอสโคเซ็นดากับเข็มแดง หรือระหว่างกล้วยไม้สกุลแอสโคเซ็นดากับกล้วยไม้สกุลแวนดาต้นเดิม หรือต้นอื่น ทั้งนี้เพื่อให้สีของดอกสดใสยิ่งขึ้นหรือดอกมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่อดอกยาวขึ้น หรือมีลักษณะแปลก ๆ ใหม่ ๆ อย่างอื่นมากขึ้นอีก
ยังมีกล้วยไม้อีกหนึ่งชนิดที่เราเรียกกันจนติดปากว่า “เข็มขาว” จริง ๆ แล้วเข็มขาวเป็นกล้วยไม้กลุ่มสกุล แวนดา ครับ ไม่ใช่ เข็ม Ascocentrum
บทความดีๆจาก www.orchidtropical.com
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
ไม้นิ้ว เอื้องจำปาน่าน Dendrobium sulcatum
เอื้องจำปาน่าน เป็น กล้วยไม้ ไทยสกุลหวายพันธุ์แท้ใน กลุ่มเอื้องคำ เอื้องผึ้ง เอื้องมัจณานุ และเอื้องมอนไข่ กล้วยไม้ในกลุ่มนี้มีลักษณะเด่นที่ช่อดอกห้อยย้อย ลงมาเป็นพวงมี ดอกดกและมีกลิ่นหอม เอื้องจำปาน่านเป็นชนิดเดียวในกลุ่มนี้ที่มีลำลูกกล้วย หรือลำต้นต้นมีความสูงปานกลาง มีลักษณะแบน เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกล้วยไม้ หวายไทยในกลุ่มนี้ ชนิดอื่นๆ จำปาน่านมีช่วงฤดูดอกในช่วงเดือนกุมภา-เมษายน ลักษณะช่อดอกมีขนาดประมาณ๓ซม.ช่อดอกแน่น ก้านดอกสั้น ดอกสีเหลืองเรียงชิดกันเป็นกระจุก ที่กลีบปากด้านในมีเส้นแต้มขีดสีน้ำตาลแดงเข้ม หากในต้นที่สมบูรณ์มากๆ สามารถให้ดอกได้๑o-๒o ดอกในช่อ กล้วยไม้ ชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์ ในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาวและจีน และเวียดนาม
การปลูกเลี้ยงเช่นเดียวกับเอื้องมอนไข่ เหมาะสำรับปลูกในภาชนะแขวน ชอบที่ร่มรำไรไม่ควรปลูกในที่แสงจัด เพราะอาจทำให้ใบเหลืองหรือใบไหม้ได้เนื่องจากเป็นกล้วยไม้ที่ใบบาง วัสดุปลูกที่เหมาะสม ควรเก็บความชื้นได้ดีพอควรแต่ไม่แฉะัหรืออุ้มน้ำมากจนเกินไป เพราะเอื้องจำปาน่าน มีรากขนาดเล็ก หากเครื่องปลูกแฉะมากอาจทำให้รากและโคนเน่าได้ ในช่วงฤดูหนาว ควรปรับระยะการรดน้ำให้พอเหมาะเว้นช่วงให้ กล้วยไม้ ได้พักตัว เพราะในธรรมชาติเป็น กล้วยไม้ ชนิดที่มีวงรอบการเจริญเติบโตในหน้าฝน และมีช่วงระยะเวลาที่ต้น กล้วยไม้ชลอการเจริญเติบโต อย่างชัดเจนในฤดูที่อากาศแห้ง และความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศลดต่ำลง การรดน้ำวันละครั้งในช่วงปรกติ และอาจเว้นวัน ในช่วงฤดูหนาว การให้ปุ๋ยสามารถใช้ได้ทั้งปุ๋ยเกร็ดละลายน้ำ ฉีดพ่นอาทิตย์ละครั้ง หรือปุ๋ยเม็ดละลายช้า
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
กล้วยไม้นิ้ว เอื้องจำปาน่าน Dendrobium sulcatum
เอื้องจำปาน่าน เป็น กล้วยไม้ ไทยสกุลหวายพันธุ์แท้ใน กลุ่มเอื้องคำ เอื้องผึ้ง เอื้องมัจณานุ และเอื้องมอนไข่ กล้วยไม้ในกลุ่มนี้มีลักษณะเด่นที่ช่อดอกห้อยย้อย ลงมาเป็นพวงมี ดอกดกและมีกลิ่นหอม เอื้องจำปาน่านเป็นชนิดเดียวในกลุ่มนี้ที่มีลำลูกกล้วย หรือลำต้นต้นมีความสูงปานกลาง มีลักษณะแบน เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกล้วยไม้ หวายไทยในกลุ่มนี้ ชนิดอื่นๆ จำปาน่านมีช่วงฤดูดอกในช่วงเดือนกุมภา-เมษายน ลักษณะช่อดอกมีขนาดประมาณ๓ซม.ช่อดอกแน่น ก้านดอกสั้น ดอกสีเหลืองเรียงชิดกันเป็นกระจุก ที่กลีบปากด้านในมีเส้นแต้มขีดสีน้ำตาลแดงเข้ม หากในต้นที่สมบูรณ์มากๆ สามารถให้ดอกได้๑o-๒o ดอกในช่อ กล้วยไม้ ชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์ ในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาวและจีน และเวียดนาม
การปลูกเลี้ยงเช่นเดียวกับเอื้องมอนไข่ เหมาะสำรับปลูกในภาชนะแขวน ชอบที่ร่มรำไรไม่ควรปลูกในที่แสงจัด เพราะอาจทำให้ใบเหลืองหรือใบไหม้ได้เนื่องจากเป็นกล้วยไม้ที่ใบบาง วัสดุปลูกที่เหมาะสม ควรเก็บความชื้นได้ดีพอควรแต่ไม่แฉะัหรืออุ้มน้ำมากจนเกินไป เพราะเอื้องจำปาน่าน มีรากขนาดเล็ก หากเครื่องปลูกแฉะมากอาจทำให้รากและโคนเน่าได้ ในช่วงฤดูหนาว ควรปรับระยะการรดน้ำให้พอเหมาะเว้นช่วงให้ กล้วยไม้ ได้พักตัว เพราะในธรรมชาติเป็น กล้วยไม้ ชนิดที่มีวงรอบการเจริญเติบโตในหน้าฝน และมีช่วงระยะเวลาที่ต้น กล้วยไม้ชลอการเจริญเติบโต อย่างชัดเจนในฤดูที่อากาศแห้ง และความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศลดต่ำลง การรดน้ำวันละครั้งในช่วงปรกติ และอาจเว้นวัน ในช่วงฤดูหนาว การให้ปุ๋ยสามารถใช้ได้ทั้งปุ๋ยเกร็ดละลายน้ำ ฉีดพ่นอาทิตย์ละครั้ง หรือปุ๋ยเม็ดละลายช้า
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
กล้วยไม้นิ้ว เอื้องนางลม (Dendrobium peguanum)
กล้วยไม้ชนิดนี้เป็นกล้วยไม้สกุลหวายไทยขนาดเล็กแคระ เป็นกล้วยไม้ ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคตะวันตกของไทย ชื่อวิทยศาสตร์ ของเอื้องนางลม นี้ตั้งตาม ชื่อเมืองเปกู (Pegu) ในประเทศพม่า สันนิฐานว่าน่าจะตั้งชื่อตาม สถานที่ค้นพบครั้งแรก
ลักษณะเป็นกล้วยไม้อิงอาัศัย พบอยู่บนคาคบไม้ ในป่าดิบแล้ง ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลื่ยนแปลงของฤดูกาลชัดเจน กล้วยไม้ชนิดนี้ ลักษณะลำลูกกล้วยอ้วนป้อมสูงเพียง๑-๒ นิ้ว เมื่อโตเต็มที่ ก้านดอกออกที่ข้อบนส่วนปลาย ก้านดอกสั้นดอกแน่นเป็นกระจุกสีขาวกลีบปากสีน้ำตาลแดง ดอกมีกลิ่นหอม เอื้องนางลม จะเจริญเติบโตแทงหน่อใหม่และสร้างลำต้นเก็บสะสมอาหารในช่วงร้อน-ฤดูฝน และเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวมักจะทิ้งใบพักตัวและออกดอกตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์ ปัจจุบัน กล้วยไม้ชนิดนี้อยู่ในสถานภาพถูกคุกคาม จนใกล้สูญพันธุ์ จากแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ
การปลูกเลี้ยง มักนิยมปลูกใส่กระถางขนาดเล็ก หรือปลูกติดไม้แขวน ชอบแสงค่อนข้างมาก อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ควรใช้วัสดุปลูกที่อุ้มน้ำมากเกินไป เพราะจะทำให้รากและโคนเน่าง่าย ควรลดความถี่ในการให้น้ำลงเมื่อถึงช่วงพักตัว เนื่องจากเป็นกล้วยไม้ที่ในธรรมชาติเจริญเติบโตและกระจายพันธุ์ในป่าแล้ง กล้วยไม้ชนิดนี้ จึงเป็นชนิดที่ทนต่อสภาพ อากาศร้อนและแห้งแล้งได้ดี อีกชนิดหนึ่ง สามมารถปลูกเลี้ยงได้ง่ายทุกภูมิภาคของไทย
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
กล้วยไม้ขวด กุหลาบแม่เมยxกุหลาบมาลัยแดง (Aer.rosea X Aer. multiflora)
กล้วยไม้ขวดชุดนี้เป็นลูกผสม ชั้นต้นกล้วยไม้ไทยในสกุลเอื้องกุหลาบ ระหว่างเอื้องกุหลาบแม่เมย(กุหลาบน่าน) กับเอื้องกุหลาบมาลัยแดง ทั้งคู่เป็นกล้วยไม้ทีมีกลิ่นหอมดอกขนาดเล็กก้านดอกยาว มีจำนวนดอกในช่อมาก ดอกเป็นช่อห้อยสีพื้นดอกเป็นสีชมพู ต้นพ่อพันธุ์กุหลาบมาลัยแดง มีลักษณะกลีบดอกที่หนา บานทนมากว่าหนึ่งสัปดาห์ขึ้นไป กล้วยไม้ ลูกผสมชุดนี้ น่าจะเป็นกล้วยไม้ที่มีดอกดกเรียงเป็นระเบียบ มีดอกสีโทนชมพูและมีกลิ่นหอมไม่ต่างจากต้นพ่อแม่พันธุ์มากนัก กล้วยไม้ไทยลูกผสมชุดนี้ เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงปลูกเลี้ยงง่าย ทนสภาพอากาศร้อนได้ดี ชอบแสงร่มรำไร ความชื้นปานกลาง อากาศถ่ายเทสะดวก การดูแลเช่นเดียวกับสกุลช้างหรือแวนด้า
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
กล้วยไม้นิ้ว เอื้องสายหลวงฟิลิปปินส์เผือก(โอโน่เผือก) x เอื้องสายน้ำนม(Den.anosnum alba xDen.cretaceum)
การปลูกเลี้ยงใช้หลักการปฏิบัติ แบบ กล้วยไม้สกุลหวายทั่วไป นิยม ปลูกใส่ภาชนะแขวน หรือปลูกติดไม้ ควรใช้วัสดุปลูกที่เก็บความชื้นพอควรและระบายน้ำได้ดี เช่นกาบมะพร้าวสับ หรือแผ่นรากเฟินชายผ้าสีดา กล้วยไม้หวายไทยลูกผสม ชนิดนี้ ปลูกได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับลม แสงรำไรปานกลาง ไปจนถึงสภาพแสงค่อนข้างมาก ลักษณะนิสัยของกล้วยไม้หวายไทย มักจะทิ้งใบและพักตัว หรือชลอ อัตราการเจริญเติบโต ในช่วง ก่อนออกดอก ดังนั้น ในฤดูหนาว ในช่วงเดือน พฤศจิกายน- ปลายเดือนกุมภาพันธ์ แนะนำให้ลดปริมาณการให้น้ำ จากทุกวันตอนเช้าตรู่ หรือตอนค่ำ มาเป็นรดวันเว้นวันก็ได้ครับ
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
กล้วยไม้นิ้ว ช้างสารภี Acampe rigida
ประเภทพันธุ์ไม้ : กล้วยไม้พันธุ์แท้
ช้างสารภี เป็นกล้วยไม้ ขนาดใหญ่ ใบหนา ถึงแม้จะมีชื่อ เหมือนกล้วยไม้สกุลช้าง แต่ กล้วยไม้ชนิดนี้ อยู่ในสกุล อแคมเป (Acampe) ชื่อสกุลตั้งขึ้นจากรากศัพท์ภาษากรีกโบราณ สื่อความหมายถึงลักษณะใบที่หนาแข็ง ของกล้วยไม้ในสกุลนี้ ถิ่นฐานการกระจายพันธุ์ อยู่ในแถบแอฟริกาเขตร้อน แอฟริกาใต้ เกาะมาดากัสก้า และ เอเซีย ในประเทศไทยมีอยู่4-5สายพันธุ์ โดย ช้างสารภีเป็น กล้วยไม้ชนิดที่ต้นและดอกใหญ่ทีสุดในสกุลนี้
ช้างสารภีเป็นกล้วยไม้อิงอาศัย ในป่าระดับต่ำและป่าดิบเขา เป็นกล้วยไม้ที่มีดอกขนาดเล็กเมื่ิเทียบกับขนาดต้น แต่ดอกดก เรียงเป็นชั้น อยู่บนก้านดอกที่ยาวออกมาจากด้านข้างลำต้น ในต้นที่สมบูรณ์ อาจมีช่อดอกได้มากว่าสามช่อขึ้นไป กลีบดอกหนามาก พื้นดอกสีเหลือง มีลายบั้งสีน้ำตาลแดง รูปทรงดอกคล้ายกลีบลำดวน ดอกมีกลิ่นหอมแรง เป็นกล้วยไม้ที่ดอกบานทนนานอีกชนิดหนึ่ง ฤดูดอกบานในช่วงเดือน ตุลาคม-มกราคม
การปลูกเลี้ยงดูแลรักษาง่าย เพราะเป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโต ได้ในที่ที่อากาศร้อน สามารถปลูกเลี้ยงได้ทุกภูมิภาคของไทย การดูแลเช่นเดียวกับกล้วยไม้ ในสกุลแวนด้า หรือสกุลเข็ม ชอบสภาพแสงและความชื้นปานกลาง นิยมปลูกในภาชนะแขวน วัสดุปลูกสามารถใช้ถ่าน กาบมะพร้าว หรือวัสดุที่ปลูกที่โปร่งระบาย น้ำและอากาศได้ดี การให้น้ำ วันละครั้ง ตอนเช้า หรือช่วงค่ำ สถานที่ปลูก ควรมีแสงรำไร อากาศถ่ายเทสะดวก ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ อาจใช้สลับกับปุ๋ยสูตรตัวกลางตัวท้ายสูง ตามอัตราส่วนอาทิตย์ละครั้ง สารเคมีป้องกันเชื้อรา ฉีดพ่นสลับกันเป็นระยะเดือนละ๑-๒ ครั้ง การดูแลที่เหมาะสม จะทำให้กล้วยไม้แข็งแรงสมบูรณ์ และออกดอกสวยงามครับ
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
ช่วงโฆษณา by โครมครับ lol
แรง ไว เร็ว ไม่กินสเปค โครมเท่านั้น โหลดเลยอย่ารอช้า
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »
เนื่องจากบล็อคนี้เป็นบล็อคเพื่อการศึกษาตามหลักสูตรที่คุณอาจารย์สั่งให้ทำ ทั้งนี้ บล็อคนี้จะอธิบายถึงกล้วยไม้สกุลต่างๆที่เจ้าของบล็อคชื่นชอบเป็นที่สุด
เริ่มกันดีกว่ากับดอกกล้วยไม้ที่เจ้าของบล็อคชื่นชอบที่สุด กับกล้วยไม้ตระกูลเดนโดรเบี่ยม (Dendrobium)
GP-03 DENDROBIUM ORCHID !!! ….
เดนโดรเบี่บมออร์ขิดหรือกล้วยไม้สกุลหวาย ที่คอกันดั้มต้องรู้จักชื่อกันอยู่แล้วนั่นเอง
แต่เข้าสาระกันก่อนดีกว่า…..
กล้วยไม้สกุลหวาย Dendrobium
กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) เป็นกล้วยไม้สกุลใหญ่ที่สุด มีการแพร่กระจายพันธุ์ออกไปในบริเวณกว้างทั้งในทวีปเอเชียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นักพฤกษศาสตร์ได้จำแนกออกเป็นหมู่ประมาณ 20 หมู่ และรวบรวมกล้วยไม้ชนิดนี้ที่ค้นพบแล้วได้ประมาณ 1,000 ชนิดพันธุ์
กล้วยไม้สกุลหวาย มีลักษณะการเจริญเติบโตแบบซิมโพเดียล คือ มีลำลูกกล้วย เมื่อลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะแตกหน่อเป็นลำต้นใหม่และเป็นกอ ใบแข็งหนาสีเขียว ดอกมีลักษณะทั่วไปของกลีบชั้นนอกคู่บนและคู่ล่างขนาดยาวพอๆ กันโดยกลีบชั้นนอกบนจะอยู่อย่างอิสระเดี่ยวๆ ส่วนกลีบชั้นนอกคู่ล่างจะมีส่วนโคน ซึ่งมีลักษณะยื่นออกไปทางด้านหลังของส่วนล่างของดอกประสานเชื่อมติดกับฐานหรือสันหลังของเส้าเกสร และส่วนโคนของกลีบชั้นนอกคู่ล่างและส่วนฐานของเส้าเกสรซึ่งประกอบกันจะปูดออกมา มีลักษณะคล้ายเดือยที่เรียกว่า “เดือยดอก” สำหรับกลีบชั้นในทั้งสองกลีบมีลักษณะต่างๆ กันแล้วแต่ชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้นั้นๆ
กล้วยไม้หวายป่าของไทยมีสีสวยงาม ก้านช่อสั้น สำหรับกล้วยไม้สกุลหวายที่เป็นกล้วยไม้อยู่ในป่าของไทย มีหลายชนิดอันได้แก่พวก “เอื้อง” ต่างๆ เช่น
เหลืองจันทบูร Den. friedericksianum
เอื้องเงินแดง Den. cariniferum
เอื้องสายหลวง, เอื้องสาย Den. anosmum
เครดิต : wikipedia, panmai
และอีกมากมาย ซึ่งเจ้าของบล็อคจะอธิบายในภายภาคหน้า….
เขียนใน Orchids | Leave a Comment »