วัดพระธาตุจอมปิง ตั้งอยู่ที่หมู่ 5 บ้านจอมปิง ตำบลนาแก้ว อำเภอเกาะคา อยู่ห่างจากอำเภอเมืองลำปางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 26 กิโลเมตร ตามตำนานกล่าวว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนาไทย วัดพระธาตุจอมปิงเป็นวัดโบราณ วัดนี้มีความมหัศจรรย์ของการเกิดเงาสะท้อนเป็นภาพสีธรรมชาติขององค์พระธาตุ ผ่านรูเล็กบนหน้าต่างมาปรากฏบนพื้นภายในพระอุโบสถตลอดเวลาที่มีแสงสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
ทางวัดยังจัดที่สำหรับแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่ขุดพบในบริเวณนี้ด้วย และภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุจอมปิง จัดแสดงเศียรพระพุทธรูป กำไลลูกปั้นหิน ชามตราไก่ ถ้วยที่ทำจากกระดูกสัตว์ การเดินทาง นั้นใช้เส้นทางเดียวกันกับวัดพระธาตุลำปางหลวง แต่แยกซ้ายตรงที่ว่าการอำเภอไปอีก 17 กิโลเมตร ติดต่อสอบถาม ศูนย์การท่องเที่ยวจังหวัดลำปาง โทร. 0 5421 6919, 0 5431 2254 http://www.tourismthailand.org/chiangmai
ประวัติของวัดแห่งนี้ หาอ่านจากหลายๆ ที่ก็มีเนื้อหาที่ต่างกันไปบ้าง ส่วนที่ทางวัดยึดเป็นข้อมูลประวัติของวัด กล่าวว่า พระนางจามเทวี ขณะมาสร้างวัดพระธาตุลำปางหลวง เสร็จแล้วก็ได้มาสร้างวัดพระธาตุจอมปิงอีกวัด จากนั้นวัดก็ร้างไป ต่อมาท่านนันทปัญญา พี่เลี้ยงของพระเจ้าลกคำ (เจ้าติโลกราช เจ้าเมืองเชียงใหม่) ได้มาทำการบูรณะซึ่งเมืองนี้มีชื่อว่า เมืองจุมภิตาราม ท่านนันทปัญญามีเพื่อนชื่ออ้ายจอมแพร่ ทั้งสองได้สร้างวัดคนละวัดวัดที่อ้านจอมแพร่สร้างคือวัดจอมปิงลุ่มปัจจุบัน วัดที่ท่านนันทปัญญาสร้างชื่อวัดจอมพี่เลี้ยง (วัดพระธาตุจอมปิง)
ถึง พ.ศ. 2000 ได้เกิดศึพระยาใต้ยกทัพมาประชิดเมืองลำปาง (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา) เจ้าหมื่นด้งนครไม่อยู่ไปราชการที่เชียงใหม่ เหลือแต่พระนางราชเทวีกำลังตั้งครรภ์เจ้าหาญแต่ท้อง ได้แต่งกายเป็นชายออกไปสู้รบจนกองทัพพระยาใต้พ่ายไป เมื่อเจ้าหมื่นด้งนครและเจ้าติโลกราชทราบก็ยกกองทัพจากเมืองเชียงใหม่มาช่วย สถานที่รบเรียกว่า “มหาสนุก” และได้ฉลองชัยชนะที่วัดนี้ พระนางได้สร้างเจดีย์ไว้องค์หนึ่ง ส่วนสัณฐานดังกองข้าวเปลือกได้ตั้งชื่อวัดเสียใหม่ว่า “วัดจอมพิงค์ชัยมงคล” จนเพี้ยนมาเป็นจอมปิงในปัจจุบัน
วิหารหลวงวัดพระธาตุจอมปิง เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูโขงหน้าวัดเข้ามาก็จะเห็นวิหารหลังใหญ่อยู่ตรงหน้า มองไม่เห็นเลยว่ามีพระธาตุอยู่ด้านหลัง พระวิหารหลวงวัดพระธาตุจอมปิงมีขนาดกว้าง 14.5 เมตร ยาว 29 เมตร ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันครูบาศรีวิชัยบูรณะ เมื่อปี พ.ศ. 2470 นอกจากนั้นยังมีธรรมาสน์โบราณภาพพุทธประวัติ ด้านรอบนอกมีรูปปั้นยักษ์ เสือ ช้าง พญานาค อยู่ตามประตูเข้าด้านต่างๆ
พระธาตุจอมปิง เป็นองค์พระธาตุขนาดกว้าง 18 เมตร สูง 34 เมตร เคยถูกฟ้าผ่าในปี พ.ศ.2500 ทำการบูรณะใหม่อีกหลายครั้ง ปรากฏตามตำนานกล่าวว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (กระดูกซี่โครงด้านซ้าย)
พระประธานวัดพระธาตุจอมปิง ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นประธาน หน้าตักกว้าง 2.2 เมตร สูง 7.30 เมตร ไม่ปรากฏพระนามขององค์พระ แต่เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่วัดพระธาตุจอมปิง พระวิหารหลวงจะปิดเวลาประมาณ 5โมงเย็น หรือเลยไปนิดหน่อย ระวังการเดินทางให้มาถึง
พระอุโบสถวัดพระธาตุจอมปิง จากองค์พระธาตุจะมองเห็นอุโบสถหลังนี้อยู่ใกล้ๆ กัน ขนาดของอุโบสถนั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับพระวิหารหลวง คือมีขนาดกว้าง 6.6 เมตร ยาว 11.2 เมตร บูรณะเมื่อปี 2501 ภายในมีพระประธานปางมารวิชัย ฐานกว้าง 1.1 เมตร สูง 1.7 เมตร มีตู้ใส่พระธรรมโบราณ 2 ใบ มีเงาพระบรมธาตุเป็นภาพสะท้อนสีธรรมชาติที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี พ.ศ. 2513 ตอนที่เด็กวัดมาเล่นซ่อนหาแล้วปิดประตูโบสถ์จนเห็นเงาพระธาตุที่พื้นโบสถ์ลอดช่องเล็กๆ ที่บานหน้าต่างเข้ามา เกิดเป็นความอัศจรรย์แก่ผู้ที่ได้พบเห็น หลังจากนั้นข่าวการพบเงาพระธาตุก็แพร่ไปทั่ว ชาวบ้านต่างเดินทางกันมาชมปรากฏการณ์นี้ จนมีชื่อเรียกกันมากมาย เช่น วัดพระธาตุเงาทอง วัดพระธาตุสองเงา วัดพระธาตุมหัศจรรย์ วัดพระธาตุเงาสี เป็นต้น
เงาพระธาตุจอมปิง หลังจากที่ได้ค้นพบเงาพระธาตุ ทางวัดจึงได้จัดทำฉากรับภาพเงาพระธาตุใกล้ๆ กับบานหน้าต่าง เงาของพระธาตุเป็นภาพสีและเป็นเงากลับหัว การเกิดเงาของพระธาตุเกิดได้ทั้งกลางวัน กลางคืน ขอเพียงมีแสงส่องไปที่องค์พระธาตุ หรือแสงจันทร์ ก็เกิดเงาขึ้นในตำแหน่งเดิมตลอดเวลา ความมหัศจรรย์นี้พบอยู่เพียงในวัด 4 แห่งของจังหวัดลำปาง คือ วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดพระธาตุจอมปิง (อำเภอเกาะคา) วัดอักโขชัยคีรี และวัดผาแดงหลวง (อำเภอแจ้ห่ม)
ยามเย็น ภาพช่วงท้ายของการเดินทางในวันนี้ผมใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดก่อนที่พระอาทิตย์จะตกไปกับการเก็บภาพมุมต่างๆ ในวัดพระธาตุจอมปิง คืนนี้จะเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติดอยจงซึ่งอยู่อำเภอสบปราบก่อนถึงจังหวัดตากเป็นสถานที่ต่อไปในการเก็บภาพที่เที่ยวจังหวัดลำปาง