สวนนงนุช พัทยา Nong Nooch Garden & Resort Pattaya


     ถ้าคุณเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ซึ่งนิยมชมชอบการเดินปล่อยอารมณ์สบายๆ ในสวนดอกไม้สวยๆ…..รักการพักผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่น……โปรดปรานการแสดงศิลปวัฒนธรรมแบบไทยๆ…..หรือ…..อยากจะใช้เวลาทำความรู้จักกับเหล่าสัตว์โลกที่แสนน่ารักน่าชังแบบใกล้ชิดแล้วล่ะก็ ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม มั่นใจว่าชื่อของ “สวนนงนุช พัทยา (Nong Nooch Garden & Resort Pattaya)” จะต้องเป็นหนึ่งในชื่อของสถานที่ท่องเที่ยวทางเลือกที่หลายๆ คนนึกถึงอย่างแน่นอน

สวนนงนุช_72 สวนนงนุช_32 สวนนงนุช_420 สวนนงนุช_516
สวนนงนุช พัทยา แหล่งรวมของสวนสวย
ที่รับประกันความงดงามด้วยรางวัลชนะเลิศเหรียญทองจากงานประกวดจัดสวนระดับโลก

 

สวนนงนุช_506
สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) : หนึ่งในสวนโดดเด่นของ สวนนงนุช พัทยา

สวนนงนุช พัทยา คว้ารางวัลเหรียญทองจากงานประกวดจัดสวนระดับโลก

     สวนนงนุช พัทยา (Nong Nooch Garden & Resort Pattaya) คือ สวนไม้ดอกและไม้ประดับขนาดใหญ่มีพื้นที่ทั้งหมดราว 1,500 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 163 ระหว่างพัทยา – สัตหีบ จังหวัดชลบุรี…..ปัจจุบัน…..ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของ “สวนนงนุช พัทยา” ประกอบไปด้วยสวนประเภทต่างๆ รวมกันอยู่มากเกินกว่า 15 รูปแบบ อาทิเช่น สวนตุ๊กตากระถาง สวนเนินลายปีกผีเสื้อ สวนพุทธรักษา สวนฝรั่งเศส สวนบอนไซ สวนกล้วยไม้ สวนสับปะรดสี เป็นต้น…..นอกจากนี้…..สวนนงนุช พัทยา ก็ยังมีพื้นที่ซึ่งจัดแบ่งไว้เป็นภัตตาคาร – ร้านอาหาร…..สวนสัตว์ขนาดเล็ก…..โรงแสดงช้างแสนรู้ และโรงละครที่ใช้แสดงศิลปวัฒนธรรมไทยด้วย

สวนนงนุช_545
……………สวนเรขาคณิตใกล้ๆ กับห้องอาหารพลับพลึง……………

 

สวนนงนุช_533 สวนนงนุช_386 สวนนงนุช_20 สวนนงนุช_115
……….ขี่ช้าง…..เส้นทางของมด…..กระถางทั้งหมด…..เสือโคร่งขดตัวนอน……….

จุดกำเนิดของสวนนงนุช พัทยาเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2497 ภายหลังจากที่ “คุณนงนุชและคุณพิสิฐ ตันสัจจา” ได้ซื้อที่ดินสวนผลไม้จำนวน 1,500 ไร่ในเขตพัทยา – สัตหีบ จ.ชลบุรี มาไว้ในความครอบครอง…..กาลต่อมา…..คุณนงนุชซึ่งมีความชื่นชอบในดอกไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศพร้อมกับเพื่อนๆ และได้พบเห็นสวนไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงามน่าประทับใจ คุณนงนุชจึงเกิดแนวความคิดว่าอยากจะจัดสวนให้คนมาท่องเที่ยว…..หลังจากนั้น…..สวนผลไม้บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ก็ได้ถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ  มีการปลูกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพิ่มเติมขึ้นมา ทั้งบ้านทรงไทย บ้านกระท่อม ห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยงสัมมนา ฯลฯ

สวนนงนุช_611
………………..เรือน้อยในสวนตุ๊กตากระถาง………………..

 

สวนนงนุช_605
…………………….รถตุ๊กตุ๊กก็มี…………………….

สวนนงนุช พัทยา เริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 และภายหลังจากที่ได้สั่งสมประสบการณ์ในการจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ทีมงานของสวนนงนุชจึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันประกวดจัดสวนระดับโลก RHS Chelsea Flower Show2010 (ปี พ.ศ. 2553) ซึ่งจากการเข้าประกวดเพียงแค่ครั้งแรกนี้เอง ทีมงานของสวนนงนุชก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศเหรียญทอง (Gold Medal) มาได้อย่างน่าตื่นตะลึง…..หลังจากนั้น…..สวนนงนุช พัทยาก็ยังคงส่งตัวแทนบุคลากรเข้าร่วมการแข่งขัน RHS Chelsea Flower Show อย่างต่อเนื่องและสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศเหรียญทองมาได้อีกทั้งปี 2011…..2012…..2013 (ปี พ.ศ. 2554…..2555…..2556) ซึ่งรางวัลแห่งความสำเร็จเหล่านี้เองที่เป็นสิ่งรับประกันถึงความสวยงามของพื้นที่ส่วนต่างๆ ภายในสวนนงนุช พัทยาได้เป็นอย่างดี

สวนนงนุช_663 สวนนงนุช_660
…………………….สีสันร่วมประสาน…………………….

 

สวนนงนุช_482 สวนนงนุช_426
……………บางมุมของ สวนนงนุช พัทยา ที่แสนสวยสดใส……………

     RHS Chelsea Flower Show คืออะไร?

     RHS Chelsea Flower Show คือ งานประกวดจัดสวนที่ก่อตั้งขึ้นโดยสมาคมพืชสวนในพระบรมราชูปถัมภ์แห่งราชวงศ์อังกฤษ (Royal Horticultural Society : RHS)…..แรกเริ่มเดิมที…..งานประกวดนี้เคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ RHS Great Spring Show ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1862 (พ.ศ.2405)  ณ แขวง Kensington ประเทศอังกฤษและจัดต่อเนื่องเรื่อยมาจวบจนกระทั่งในปี ค.ศ.1888 (พ.ศ.2431) ทางสมาคมพืชสวนฯ จึงได้ย้ายสถานที่จัดงานดังกล่าวมายังย่านถนน Fleet ใจกลางกรุงลอนดอน…..ต่อมาในปี ค.ศ.1913 (พ.ศ.2456)…..งานประกวดนี้ก็ถูกย้ายสถานที่จัดอีกครั้งมายังบริเวณสนามของโรงพยาบาลในพระบรมราชูปถัมภ์ประจำแขวง Chelsea ประเทศอังกฤษ (Royal Hospital, Chelsea) และเริ่มเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ RHS Chelsea Flower Show นับแต่บัดนั้น

สวนนงนุช_539
……….ใีครที่อยากนั่งช้าง สวนนงนุช พัทยา เขาก็มีให้บริการด้วยนะ……….

…..ปัจจุบัน…..RHS Chelsea Flower Show นับเป็นงานประกวดจัดสวนที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ปกติการประกวดจะใช้ระยะเวลาทั้งหมด 5 วันโดยจะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกๆ ปีและใช้พื้นที่ราว 45,000 ตารางเมตรในบริเวณสนามของ Royal Hospital ,Chelsea เพื่อจัดงาน….. RHS Chelsea Flower Show มีผู้เข้าชมราว 157,000 คน/ครั้ง/ปี (จำนวนผู้เข้าชมจะถูกจำกัดด้วยขนาดพื้นที่จัดงานประกวดครับ) มีการถ่ายทอดงานประกวดทางสถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษ รวมถึงมีการจัดทำ DVD งานประกวดเพื่อเผยแพร่อย่างเป็นทางการ…..นอกจากนั้น…..สมาชิกของราชวงศ์อังกฤษหลายพระองค์ยังจะได้เข้าร่วมชมงานประกวดด้วยอย่างสม่ำเสมอ

     การที่คณะบุคลากรของสวนนงนุชสามารถเดินทางไปคว้ารางวัลเหรียญทองจากงานประกวดจัดสวน RHS Chelsea Flower Show มาได้ถึง 4 สมัย จึงถือเป็นเกียรติและเป็นความน่าภาคภูมิใจของชาวไทยอย่างยิ่ง

สวนนงนุช_409 สวนนงนุช_399
…………………….กาลครั้งหนึ่ง ณ ตึกมด…………………….

 

สวนนงนุช_431 สวนนงนุช_77
……………หอวัตถุโบราณใกล้ๆ สวนช้างแมมมอธ และ ลานโคนม……………

พื้นที่ส่วนต่างๆ ภายในสวนนงนุช พัทยา

     ด้วยขนาดของพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลราว 1,500 ไร่…..สวนสวยที่มีอยู่มากเกินกว่า 15 รูปแบบ…..อีกทั้งยังมีสวนสัตว์ขนาดเล็ก…..โรงละครและโรงแสดงช้าง…..ทำให้นักท่องเที่ยวซึ่งต้องการจะเยี่ยมชมสวนนงนุช พัทยาอย่างถ้วนทั่วจำเป็นจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 วันในการสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวระดับแนวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้…..อย่างไรก็ตาม…..หากคุณไม่ต้องการจะใช้เวลาท่องเที่ยวอย่างรีบเร่งมากจนเกินไป เราแนะนำว่าคุณอาจเลือกเข้าพัก ณ รีสอร์ทภายในสวนนงนุช พัทยาแล้วจึงค่อยๆ เดินทอดน่องปล่อยอารมณ์สบายๆ ชื่นชมความงดงามของสวนสวยแบบข้ามวันข้ามคืนเลยก็ได้ (คุณสามารถตรวจสอบโปรโมชั่นห้องพักสวนนงนุช พัทยา ราคาพิเศษ!ได้จากตารางและหมายเลขโทรศัพท์ในกรอบทางด้านล่างครับ)

สวนนงนุช_461
…………….สถาปัตยกรรมแบบไทยๆ ภายใน สวนนงนุช พัทยา…………….

 

สวนนงนุช_591
…………………….ภาพถ่ายจากสวนกล้วยไม้…………………….

ทีนี้เราลองมาสำรวจกันดูสักหน่อยดีกว่าว่าภายในสวนนงนุช พัทยามีพื้นที่น่าสนใจอะไรตั้งอยู่บ้าง

     1. สวนน้ำพุ (Fountain Garden) : เป็นสวนที่จัดสร้างขึ้นมาตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งสวนนงนุช พัทยาและยังคงรักษาสภาพโครงสร้างดั้งเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง…..สวนแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ “สวนนงนุช”
2. สวนตุ๊กตากระถาง (Pottery Garden) : เป็นสวนที่มีการนำเอากระถางหลากชนิดซึ่งมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันมาเรียงร้อยเป็นรูปทรงต่างๆ ตามแต่จินตนาการของผู้จัดทำ สวนนงนุชได้ใช้กระถางที่ผลิตขึ้นเองกว่า 50,000 ใบในการจัดสร้างสวนแห่งนี้

สวนนงนุช_474 สวนนงนุช_467
กลิ่นอายแบบไทยๆ ที่ผู้จัดสวนนงนุชตั้งใจผสมผสานเอาไว้ภายใน “สวนฝรั่งเศส”

 

สวนนงนุช_478
……….สวนนงนุช พัทยา แหล่งเรียนรู้อันน่าตื่นตาของเหล่าเยาวชน……….

3. สวนหิน (Rock Garden or Blue Garden) : นี่คือสวนสวยที่ประดับประดาด้วยก้อนหินน้อยใหญ่และพืชพรรณไม้จากมลรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังกอปรไปด้วยพันธุ์ไม้สีน้ำเงินชนิดอื่นๆ ซึ่งหาชมได้ยากยิ่ง
4. สวนตะบองเพชรและไม้ใบอวบ (Cactus & Succulent Garden) : แหล่งรวบรวมพันธุ์พืชทะเลทรายทั้งต้นตะบองเพชรและไม้ใบอวบจากทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 300 ชนิด…..ณ สถานที่แห่งนี้…..เราขอรับรองเลยว่าคุณจะได้ค้นพบความงดงามที่แตกต่าง

สวนนงนุช_522
………………..มุมสูงของสวนสโตนเฮนจ์ (Stonehenge)………………..

5. สวนฝรั่งเศส (French Garden) : จากความงดงามของสวนไม้ดอกไม้ประดับภายในพระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส ถูกนำมาจำลองแบบถ่ายทอดลงบนพื้นที่กว่า 10 ไร่ของสวนนงนุช พัทยา…..มีการจัดเรียงก้อนหินนับหมื่นก้อนรายล้อมสวนรูปทรงเรขาคณิต ใช้ต้นเข็มญี่ปุ่นสร้างโครงร่างลายเส้นหลัก ใช้ผักเป็ดแดงขนเป็นสีตัดลาย ใช้ต้นข่อย….ต้นไทร…..ต้นชาฮกเกี้ยนรวมเป็นองค์ประกอบที่ผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว พร้อมจัดวางรูปปั้นจากเรื่องราวในวรรณคดีไทยจำนวน 11 เรื่องไว้ในตำแหน่งซึ่งเหมาะเจาะ รวมทั้งยังมีการจัดสร้างเรือนไทยไว้บนเนินหินใกล้ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถชมทิวทัศน์ของสวนแห่งนี้จากมุมสูงได้

สวนนงนุช_502
……………กิ้งก่าปูนปั้นขนาดยักษ์บนกำแพงกระถางพืชทนแล้ง……………

 

สวนนงนุช_444 สวนนงนุช_453
………………..สิ่งปลูกสร้างกลางสวนปาล์มโลก………………..

6. สวนยุโรป (European Garden) : สวนรูปแบบตะวันตกซึ่งประกอบไปด้วยไม้พุ่มที่ตัดแต่งเป็นรูปทรงต่างๆ ทั้งทรงกรวย ทรงกลม ทรงเหลี่ยม ฯลฯ ผสานเข้ากับการจัดวางชิ้นงานประติมากรรมแบบยุโรปไว้อย่างกลมกลืน…..บางครั้ง…..การเดินเล่นภายในสวนแห่งนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังท่องเที่ยวอยู่ในต่างประเทศก็เป็นได้
7. สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) : นี่คือสวนที่จำลองการจัดเรียงหินมาจาก “สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)” ประติมากรรมโบราณแห่งความลี้ลับในประเทศอังกฤษ แต่ทางสวนนงนุช พัทยาได้มีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลากสีสันเพิ่มเติมเข้าไปโดยรอบแท่งหินยักษ์เหล่านี้ เพื่อให้คุณรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและทำให้ความแข็งกระด้างของหมู่แท่งหินใหญ่ลดทอนลง

สวนนงนุช_446
……………เส้นทางที่รอให้คุณก้าวเท้าเข้ามาศึกษา……………

8. สวนรถไฟจำลอง (Outdoor Railway Garden) : ตื่นตากับสวนรถไฟจำลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียซึ่งประกอบไปด้วยหัวรถจักร 12 ขบวน บังคับการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า
9. สวนกล้วยไม้ (Orchid Garden) : สวนนงนุช พัทยาขอเชิญชวนให้คุณแวะเข้ามาเยี่ยมชมกล้วยไม้นานาพันธุ์ทั้งกล้วยไม้ป่าและกล้วยไม้ลูกผสม อาทิเช่น แคทลียา แวนด้า หวาย ช้าง ฯลฯ สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ กล้วยไม้ซึ่งปลูกอยู่ภายในสวนแห่งนี้บางชนิดยังเป็นกล้วยไม้สายพันธุ์ใหม่ที่บุคลากรของสวนนงนุชผสมขึ้นเองอีกด้วย

สวนนงนุช_628
…………………….สวรรค์ของนกพิราบ…………………….

 

สวนนงนุช_624
………………..แสง – เงา ในสวนนกฟลามิงโก้………………..

10. เนินดอกไม้ (Flower Hill) : เป็นสวนดอกไม้สีสันสดใสหลากหลายชนิด เช่น หงอนไก่ แววมยุรา แพงพวย ฯลฯ จัดวางตำแหน่งของดอกไม้แต่ละชนิดเป็นแนวรูปทรงแบบต่างๆ ทั้งวงกลม…..วงรี เรียงตัวลดหลั่นกันบนเนินดินริมทะเลสาบยาวจรดกับ “ห้องอาหารพลับพลึง” สถานที่แห่งนี้นับเป็นอีกจุดหนึ่งในสวนนงนุช พัทยาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก
11. เนินลายปีกผีเสื้อ (Butterfly Hill) : สวนที่จัดปลูกไม้ประดับบนเนินดินโดยวางรูปแบบสีสันให้มีลักษณะลวดลายคล้ายกับปีกผีเสื้อ เสริมความสวยงามด้านหน้าสวนด้วยน้ำพุที่พวยพุ่งให้ความชุ่มชื่นอยู่ตลอดทั้งวัน

สวนนงนุช_571 สวนนงนุช_415
………………..ต้นสับปะรดสี กับ สาวน้อยประจำศาลา………………..

 

สวนนงนุช_413 สวนนงนุช_423
…………………….สวนน้ำพุ และ สวนบอนไซ…………………….

12. เรือนผีเสื้อ (Butterfly House) : นี่คือโรงเรือนตาข่ายที่นักท่องเที่ยวจะได้เดินสำรวจความงดงามของเหล่าผีเสื้อกว่า 40 สายพันธุ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกันนั้นก็ยังจะมีโอกาสได้เรียนรู้วงจรชีวิตของผีเสื้อระยะต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งกลายเป็นตัวเต็มวัยด้วย
13. สวนปาล์มโลก (Palm Collection Garden) : สวนซึ่งใช้จัดแสดงพันธุ์ปาล์มให้แก่คณะผู้เข้าร่วมประชุมปาล์มโลกเมื่อปี พ.ศ. 2541 รวบรวมพันธุ์ปาล์มจากทั่วทุกมุมโลกไว้เกินกว่า 1,000 ชนิด สวนแห่งนี้นับเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของสวนนุงนุช พัทยาแพร่ขยายขจรขจายไปทั่วโลก

สวนนงนุช_638
………………..นักท่องเที่ยวที่เนินลายปีกผีเสื้อ………………..

14. สวนบอนไซ (Bonsai Garden) : ใครที่ชื่นชอบต้นบอนไซไม่ว่าจะเป็นกระถางขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ลองแวะมาชมกันได้ที่นี่
15. สวนไม้ตัดแต่ง (Topiary Garden) : เป็นสวนไม้ประดับชนิดต่างๆ จัดรวมเป็นกลุ่มๆ เช่น ข่อย โมก ไทร ฯลฯ ตัดแต่งเป็นทรงพุ่มไล่เรียงระดับกัน ดูสวยงามแปลกตา

สวนนงนุช_330 สวนนงนุช_335
คุณเคยทราบไหมว่าที่ สวนนงนุช พัทยา เขามีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยให้ชมด้วย ?

 

สวนนงนุช_318
………………..นาฏศิลป์แห่งสยามประเทศ………………..

16. ทุ่งไม้ดอกไม้ประดับ (Meadow Garden) : ร่มรื่นด้วยทิวต้นลาน…..ตาลโตนด…..ปาล์มน้ำมัน…..อินทผลัมขนาดใหญ่ ตกแต่งสวนด้วยไม้ดอกไม้ประดับและไม้คลุมดินหลากสีสัน ประดับโดยรอบบริเวณด้วยรูปแกะจำลองจำนวนมาก เป็นสถานที่ซึ่งสวนนงนุช พัทยาจัดไว้เพื่อการพักผ่อนปิกนิกสำหรับครอบครัว
17. เรือนสับปะรดสี (Bromiliad House) : สวนนงนุช พัทยาขอเชิญชวนให้คุณแวะเข้ามาชื่นชมความแปลกของสับปะรดสีกว่า 300 สายพันธุ์ภายในโรงเรือนซึ่งจัดสภาพแวดล้อมไว้ให้มีความใกล้เคียงกับธรรมชาติ ดอก – ใบอันสวยงามของสับปะรดสีเหล่านี้มีทั้งที่เพาะขึ้นเองจากสายพันธุ์แท้ในประเทศไทยและบางส่วนก็นำเข้ามาจากต่างประเทศ

สวนนงนุช_327
……………ลีลาการร่ายรำจากดินแดนปราสาทหินถิ่นอีสาน……………

 

สวนนงนุช_309 สวนนงนุช_346
……………โนราห์เมืองใต้ กับ แม่ไม้มวยไทยสมัยก่อนเก่า……………

18. สวนพุทธรักษา (Canna Garden) : ณ สถานที่แห่งนี้…..คุณจะได้พบกับความงดงามของพุทธรักษาหลากสีสันทั้งสายพันธุ์ในประเทศและสายพันธุ์นานาชาติ
19. น้ำตก (Waterfall) : น้ำตกจำลองขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยเสริมความโดดเด่นให้แก่ทัศนียภาพของสวนนงนุช พัทยา

สวนนงนุช_319
นี่คือ…..หนึ่งในความบันเทิงแห่งเมืองพัทยาที่เราไม่อยากให้คุณพลาด

 

สวนนงนุช_339
สงครามยุทธหัตถีที่ถูกจำลองมาไว้บนเวทีการแสดงของ สวนนงนุช พัทยา

20. ทางเดินลอยฟ้า (Skywalk) : นี่คือเส้นทางเดินลอยฟ้าระยะทาง 1,130 เมตร ที่จะช่วยให้คุณสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของสวนนงนุช พัทยาได้จากในมุมสูง ใครอยากจะหามุมถ่ายภาพทำเลใหม่ๆ ที่ยากจะซ้ำแบบใครก็ลองแวะมาเดินทอดน่องกันได้
21. หอวัตถุโบราณ (Antique Hall) : พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมวัตถุโบราณซึ่งมีอายุเกินกว่า 100 ปีเอาไว้หลากหลายชนิด อาทิเช่น พระพุทธรูป เครื่องประดับ เครื่องมือเครื่องใช้สมัยเก่า ฯลฯ

สวนนงนุช_324
……….ติดตราตรึงใจกับเสน่ห์ของศิลปวัฒนธรรมจากแหลมมลายู……….

 

สวนนงนุช_323
…………………….เริงระบำไปในจังหวะดนตรี…………………….

22. สวนสัตว์เล็ก (Mini Zoo) : พบกับความน่ารักของเหล่าบรรดาสัตว์โลกที่พร้อมจะให้คุณได้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นกวาง…..ล่อ…..ลิงอุรังอุตัง หรือแม้กระทั่งเสือโคร่ง…..นอกจากนั้น…..หากคุณเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งชื่นชอบบรรยากาศที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงสัตว์จำนวนมากแล้วล่ะก็…..สวนนงนุช พัทยายังมีกรงนกขนาดใหญ่ที่เปิดให้คุณเข้าไปให้อาหารฝูงนกนานาพันธุ์ด้วย ครอบครัวใครมีลูกเล็กเด็กแดงก็น่าจะสนุกกับกิจกรรมนี้ได้ไม่ยาก

สวนนงนุช_302
……………แสง สี เสียง และ ฉากการแสดงอันงดงาม……………

 

สวนนงนุช_353
…………………….ปลิวตามแรงปะทะ…………………….

23. โรงแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยและลานแสดงช้างแสนรู้ (Thai Cultural Hall & Elephant Playground) : นอกเหนือไปจากสวนสวยๆ ที่มีอยู่มากมายหลายสิบสวนแล้ว…..สวนนงนุช พัทยาก็ยังได้จัดสร้างโรงแสดงศิลปวัฒนธรรมซึ่งมีการแสดงแบบไทยโบราณอันเป็นเอกลักษณ์มากมาย อาทิเช่น รำสี่ภาค รำเทพนฤมิต มหกรรมกลอง แม่ไม้มวยไทย เป็นต้น…..และภายหลังจากที่การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยจบลง คุณยังสามารถเดินไปชมช้างเล่นบาสเกตบอล ช้างถีบสามล้อ ช้างวาดรูป ช้างปาลูกดอก ฯลฯ…..ณ ลานแสดงช้างแสนรู้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยได้ด้วย

สวนนงนุช_380
……………………..นั่งชิงช้างวงช้าง……………………..

การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยและช้างแสนรู้เปิดให้เข้าชมทุกวันในเวลา 10.30, 11.30, 13.30, 14.30, 15.30, 16.30, 17.30 น.ใช้เวลาในการแสดงรอบละประมาณ 50 นาที นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมการแสดงเหล่านี้จำเป็นต้องซื้อบัตรชมการแสดงเพิ่มเติมจากบัตรค่าธรรมเนียมเข้าเยี่ยมชมสวนนงนุชตามปกติ (คุณสามารถตรวจสอบโปรโมชั่น “บัตรสวนนงนุช + บัตรชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยและช้างแสนรู้” ได้จากตารางราคาและหมายเลขโทรศัพท์ในกรอบทางด้านล่างครับ)

สวนนงนุช_371 สวนนงนุช_382
……….อยากจะบอกว่า…..ช้างอย่างพวกผมก็วาดรูปเป็นนะ……….

 

สวนนงนุช_383 สวนนงนุช_377
จะเล่นบาสเก็ตบอล หรือ โชว์ยิมนาสติกลีลา พวกเราก็ทำได้

24. ภัตตาคารและร้านอาหาร (Restaurant & Cafeteria) : สำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมความสวยงามของสวนนงนุช พัทยาแล้วเกิดอาการขาดพลังงานจำเป็นต้องแสวงหาอาหารเติมลงท้อง ก็สามารถเลือกใช้บริการภัตตาคารหรือร้านอาหารซึ่งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ โดยรอบพื้นที่ได้ตามความเหมาะสม…..ในกรณีที่เป็นกลุ่มทัวร์ขนาดใหญ่…..สวนนงนุช พัทยาขอแนะนำ “ห้องอาหารคัทลียา” ห้องอาหารที่สามารถรับรองกลุ่มนักท่องเที่ยวได้สูงสุดถึง 800 คน (กรุณาติดต่อจองห้องอาหารพร้อมทั้งชำระค่าใช้จ่ายมัดจำล่วงหน้าอย่างน้อย 10 – 14 วันครับ)…..ส่วนกรณีที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายย่อย…..สวนนงนุช พัทยาแนะนำว่าท่านสามารถเลือกใช้บริการ “ห้องอาหารพลับพลึง” ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติริมน้ำ หรือ “ครัววิวัฒน์” ห้องอาหารซึ่งมีลักษณะแบบ food center หรือหากต้องการเพียงแค่รับประทานอาหารว่างเบาๆ พร้อมด้วยเครื่องดื่มดับกระหายก็ลองแวะไปที่ “ศาลากาแฟ” ก็ได้

สวนนงนุช_271
………………..บรรยากาศดีๆ ที่ สวนนงนุช รีสอร์ต………………..

 

สวนนงนุช_264 สวนนงนุช_297
……….สระว่ายน้ำเด็ก กับ ถนนคอนกรีตซึ่งมุ่งสู่ริมน้ำวิลล่า……….

25. สวนนงนุชรีสอร์ท (Nong Nooch Garden & Resort) : นอกเหนือไปจากสวนสวยหลายสิบแห่งแล้ว ภายในสวนนงนุช พัทยายังได้มีการจัดแบ่งพื้นที่เป็นส่วนของห้องพักท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นไว้ด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะใช้เวลาสบายๆ เดินเที่ยวสวนนงนุช พัทยาแบบไม่เร่งรีบแนะนำว่าการเลือกเข้าพัก ณ สวนนงนุชรีสอร์ท พัทยาก็ถือเป็นทางเลือกซึ่งเหมาะสมทีเดียว (คุณสามารถตรวจสอบโปรโมชั่น “บัตรสวนนงนุช + ห้องพักสวนนงนุชรีสอร์ท พัทยา ราคาสุดพิเศษ” ได้จากตารางราคาและหมายเลขโทรศัพท์ในกรอบทางด้านล่างครับ)

สวนนงนุช_295 สวนนงนุช_281
…………………….ยามเย็น ณ สวนนงนุช พัทยา…………………….

 

สวนนงนุช_277
ถึงแม้ว่าห้องพักแบบริมน้ำวิลล่าจะอยู่ห่างจากห้องพักแบบอื่นๆ ไกลออกไปมาก
แต่เพียงแค่คุณเดินออกมาจากห้องก็จะมองเห็นทิวทัศน์สวยๆ แบบนี้ได้ทันที

…..ปัจจุบัน…..สวนนงนุชได้มีการขยายกิจการไปยัง จ.ปราจีนบุรีและเริ่มเปิดให้บริการ สวนนงนุช แคมป์ปิ้ง รีสอร์ท ปราจีนบุรี (Nong Nooch Camping Resort , Prachinburi) นับตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ซึ่งหากมีโอกาสที่เหมาะสมทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมจะได้นำข้อมูลรวมถึงภาพถ่ายของรีสอร์ทดังกล่าวมาเปิดเผยให้แก่คุณผู้อ่านทุกๆ ท่านในคราวต่อๆ ไปครับ

สวนนงนุช_283
……….แสงสุดท้ายกลางหมู่แมกไม้ที่ สวนนงนุช พัทยา……….

 

อ้างอิง : http://www.thongteaw.com/Tour/.html

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ

นกเงือก
ช้าง

 

                          เขาใหญ่ เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย มีอาณาเขตรอบคลุม 11 อำเภอ ของ 4 จังหวัด คือ อำเภอมวกเหล็ก อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
อำเภอปากช่อง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา อำเภอนาดี อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี และอำเภอปากพลี อำเภอบ้านนา
อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ได้รับสมญานามว่าเป็นอุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นผืนใหญ่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรัก ในส่วนหนึ่งของดงพญาเย็นหรือ
ดงพญาไฟในอดีตประกอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนหลายลูก เป็นแหล่งกำเนิดของ ต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำนครนายก และแม่น้ำมูล
อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่า กวางป่า เก้ง กระทิง เสือ ตลอดจนมีลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงามมีเนื้อที่ 1,353,471.53 ไร่
หรือ 2,165.55 ตารางกิโลเมตร

ประวัติความเป็นมา

                          เมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ราษฎรบ้านท่าด่านและบ้านท่าชัย จังหวัดนครนายก ได้บุกรุกถางป่าปลูกพริกปลูกข้าวบนเขาใหญ่ และจับจองพื้นที่
สร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่บนเขาใหญ่ ประมาณ 30 หลังคาเรือน ต่อมาได้พัฒนายกฐานะเป็นตำบลเขาใหญ่ ขึ้นอยู่กับอำเภอปากพลี ทำให้เกิดการบุกรุกทำลายป่า
ทำไร่เลื่อนลอยเพิ่มขึ้นเรื่อย ต่อมากลายเป็นที่หลบซ่อนพักพิงของโจรผู้ร้าย และผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีอาญาอยู่เนืองๆ เพราะการคมนาคมยากลำบากห่างไกลแหล่ง
ชุมชนอื่นๆ ยากแก่การตรวจปราบปราม ด้วยเหตุนี้ทางราชการในสมัยนั้นจึงยุบตำบลเขาใหญ่ และให้ราษฎรที่อาศัยอยู่บนเขาใหญ่อพยพลงสู่ที่ราบ หมู่บ้านและไร่ที่
ทำกินบริเวณป่าเขาใหญ่จึงถูกทิ้งร้างกลายสภาพเป็นทุ่งหญ้าคาสลับกับป่าที่อุดมสมบูรณ์

ในปี พ.ศ. 2502 ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจราชการทางภาคเหนือ เล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะคุ้มครองรักษา
ธรรมชาติโดยเฉพาะป่าไม้ จึงได้ให้กระทรวงเกษตร และกระทรวงมหาดไทย ร่วมมือและประสานงานกันเพื่อจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นในประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรี
ได้มีมติการการประชุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ให้กำหนดป่าเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระบุรี และป่าอื่นๆ ในท้องที่จังหวัด
ต่างๆ รวม 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ จากนั้นกรมป่าไม้ได้เริ่มเตรียมการและวางแผนการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้น โดยได้รับความร่วมมือและช่วยเหลือจาก DR.GORE C.RUHLE ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุทยานแห่งชาติของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) จากประเทศสหรัฐอเมริกา

                          เมื่อกรมป่าไม้ได้ดำเนินการสำรวจและวางแผนสำเร็จลงแล้ว จึงดำเนินการประกาศจัดตั้ง อุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกา
กำหนดบริเวณ ที่ดินป่าเขาใหญ่ในท้องที่ตำบลป่าขะ ตำบลบ้านพร้าว อำเภอบ้านนา ตำบลหนองแสง ตำบลนาหินลาด อำเภอปากพลี ตำบลสาริกา ตำบลหินตั้ง ตำบลพรหมณี
อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ตำบลประจันตคาม อำเภอประจันตคาม ตำบลสัมพันตา ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง
จังหวัดนครราชสีมา และตำบลหมวกเหล็ก ตำบลชำผักแพว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 79
ตอนที่ 86 ลงวันที่ 18 กันยายน 2505 รวมเนื้อที่ 1,355,468.75 ไร่ หรือ 2,168.75 ตาราง กิโลเมตร นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย
และได้รับสมญานามว่าเป็น “ อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน ” ตลอดจนเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่สำคัญของโลก

                          ต่อมากองทัพอากาศได้มีหนังสือ ที่ กษ 0379/15739 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2519 ถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอกันพื้นที่ก่อสร้างสถานี
เรดาร์และสถานีถ่ายทดโทรคมนาคม ออกจากพื้นที่ อุทยานแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2520 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ ์
2520 เห็นชอบให้กันพื้นที่ส่วนดังกล่าวได้ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเขาใหญ่บางส่วน ในท้องที่ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก
จังหวัดนครนายก ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 95 ตอนที่ 99 ลงวันที่ 21 กันยายน 2521 เป็นเนื้อที่ประมาณ 71 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา หรือ 0.1149 ตารางกิโลเมตร

                         กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอใช้พื้นที่บางส่วนในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในท้องที่อำเภอปากพลี และอำเภอเมือง จังหวัดนครนายก
เนื้อที่ 1,925 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา หรือ 3.807 ตารางกิโลเมตร เพื่อก่อสร้างโครงการเขื่อนคลองท่าด่านอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประโยชน์ในการจัดแหล่งเก็บ
กักน้ำใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภค ตลอดจนการเพาะปลูกร่วมทั้งช่วยบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขตจังหวัดนครนายก เป็นประจำทุกปี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้
ทำการก่อสร้างโครงการเขื่อนคลองท่าด่านอันเนื่องจากพระราชดำริ กรมป่าไม้ จึงได้มี พระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติ ป่าเขาใหญ่บางส่วนในท้องที่ตำบลหินลาด
อำเภอปากพลี และตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 119ก ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542

ลักษณะภูมิประเทศ

                          สภาพทั่วๆ ไปของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่ด้านตะวันตกของเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งสูงโดดเด่นขึ้นมาจากที่ราบภาคกลาง
แล้วก่อตัวเป็นแนวเขตของที่ราบสูงโคราช มีเขาร่มเป็น ยอดเขาที่สูงที่สุด 1,351 เมตร เขาแหลมสูง 1,326 เมตร เขาเขียวสูง 1,292 เมตร เขาสามยอดสูง 1,142 เมตร
เขาฟ้าผ่าสูง 1,078 เมตร เขาสันกำแพงสูง 875 เมตร เขาสมอปูนสูง 805 เมตร และเขาแก้ว สูง 802 เมตร ซึ่งวัดความสูงจากระดับน้ำทะเลเป็นเกณฑ์ และยังประกอบ
ด้วยทุ่งกว้างสลับกับป่าไม้ ที่อุดมสมบูรณ์ ด้านทิศเหนือและตะวันออกพื้นที่จะลดลงทางทิศใต้และทิศตะวันตกเป็นที่สูงชันไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิด
ต้นน้ำลำธารที่สำคัญถึง 5 สายได้แก่ แม่น้ำปราจีนบุรี และแม่น้ำนครนายก อยู่ในพื้นที่ทางทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเกษตรกรรม
และระบบทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคนี้ แม่น้ำทั้ง 2 สายนี้ มาบรรจบกันที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กลายเป็นแม่น้ำบางปะกงแล้วไหลลงสู่อ่าวไทย ห้วยลำตะคอง
และห้วยลำพระเพลิง อยู่ในพื้นที่ทางทิศเหนือ ไหลไปหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมของที่ราบสูงโคราช ไปบรรจบกับแม่น้ำมูล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของ
ภาคอีสานตอนล่างไหลลงสู่แม่น้ำโขง ห้วยมวกเหล็ก อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีปริมาณน้ำไหลตลอกทั้งปีและให้ประโยชน์ทาง ด้านการเกษตร
โดยเฉพาะการปศุสัตว์ของภูมิภาคนี้ ไหลลงสู่แม่น้ำป่าสัก ที่อำเภอมวกเหล็ก

ลักษณะภูมิอากาศ

                          ด้วยสภาพป่าที่รกทึบและได้รับอิทธิพลจากมรสุม ทำให้เกิดฝนตกชุกตามฤดูกาล อากาศไม่ร้อนจัดและหนาวจัดจนเกินไปจัดอยู่ในประเภทเย็นสบาย
ตลอดทั้งปีเหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวและประกอบกิจกรรมนันทนาการชนิดต่างๆ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 23 C ฤดูร้อน แม้ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าวกว่า
ในที่อื่นแต่ที่เขาสูงบนเขาใหญ่อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การพักผ่อน เล่นน้ำในลำธาร และนำอาหารไปรับประทาน ฤดูฝนเป็นช่วงหนึ่งที่สภาพบนเขาใหญ่ชุ่มฉ่ำ ป่าไม้
ทุ่งหญ้าเขียวขจีสดสวย น้ำตกทุกแห่งไหลแรงส่งเสียงดังก้องป่าให้ชีวิตชีวาแก่ผู้ไปเยือน แม้การเดินทางจะลำบากกว่าปกติแต่จำนวนนักท่องเที่ยวก็ไม่ลดน้อย
ลงเลย ฤดูหนาว ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นฤดูที่นิยมไป เขาใหญ่มากที่สุด ท้องฟ้าสีครามแจ่มใสตัดกับสีเขียวขจีของป่าไม้ พยับหมอกที่ลอย
เอื่อยไปตาม ทิวเขา ดวงอาทิตย์กลมโตอยู่เบื้องหน้าไกลโพ้น อากาศหนาวเย็นในเวลากลางคืน แต่รุ่งเช้าของวันใหม่จะพบกับธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างไป
จากเมื่อวานอีกแบบหนึ่ง

 

พืชพรรณและสัตว์ป่า

                         สภาพป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแบ่งออกๆ ได้เป็น ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขา ทุ้งหญ้า และป่ารุ่นหรือป่าเหล่าซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ป่าเบญจพรรณ ลักษณะของป่าชนิดนี้อยู่ทางด้านทิศเหนือซึ่งมีระดับความสูงระหว่าง 200-600 เมตร จากระดับน้ำทะเลประกอบด้วยไม้ยืนต้นประเภทผลัดใบ เช่น
มะค่าโมง ประดู่ ตะแบก ตะเคียนหนู แดง นนทรี ช้อ ปออีเก้ง สมอพิเภก ตะคล้ำ เป็นต้น พืชชั้นล่างมีไม้ไผ่และหญ้าต่างๆ รวมทั้งกล้วยไม้ด้วย ในฤดูแล้งป่าชนิดนี้จะมีไฟ
ลุกลามเสมอ และตามพื้นป่าจะมีหินปูนผุดขึ้นอยู่ทั่วๆ ไป

ป่าดงดิบแล้ง ลักษณะของป่าชนิดนี้อยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ราบลูกเนินในระดับความสูง 200-600 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ไม้ชั้นบนได้แก่ ยางนา พันจำ
เคี่ยมคะนอง ตะเคียนทอง ตะเคียน หิน ตะแบก สมพง สองสลึง มะค่าโมง ปออีเก้ง สะตอ ๙ก และคอแลน เป็นต้น ไม้ยืนต้นชั้นรองมี กะเบากลัก หลวงขี้อาย และกัดลิ้น
เป็นต้น พืชจำพวกปาล์ม เช่น หมากลิง และ ลานพืชชั้นล่างประกอบด้วยพืชจำพวกมะพร้าว นกคุ้ม พวกขิง ข่า กล้วยป่าและเตย เป็นต้น

ป่าดงดิบชื้น ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นป่าที่อยู่ในระดับความสูง 400-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จะมีชนิดไม้คล้ายคลึงกับป่าดงดิบแล้ง แต่จะมีไม้วงศ์ยางขึ้นอยู่
เป็นจำนวนมาก เช่น ยางกล่อง ยางขน ยางเสี้ยน และกระบาก บริเวณริมลำธารมักจะมีไผ่ลำใหญ่ๆ คือ ไผ่ลำมะลอกขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม ป่าดิบชื้นบนที่สูงขึ้นไปจะมียางปาย
และยางควนนอกจากไม้ยางแล้วไม้ชั้นบนชนิดอื่นๆ ยังมี เคี่ยมคะนอง ปรก บรมือ จำปีป่า พะดง และทะโล้ ไม้ชั้นรอง ได้แก่ ก่อน้ำ ก่อรัก ก่อด่าง และก่อเดือย ขึ้นปะปนกัน

ป่าดิบเขา ป่าชนิดนี้เกิดอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นบนภูเขาสูง ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตรขึ้นไป สภาพป่าแตกต่างไปจากป่าดงดิบชื้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีไม้
วงศ์ยางขึ้นอยู่ขึ้นอยู่เลย พรรณไม้ที่พบเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น พญาไม้ มะขามป้อมดง ขุนไม้ ละสนนามพันปี และก่อชนิดต่างๆ ที่พบขึ้นในป่าดงดิบชื้น นอกจากก่อน้ำและ
ก่อต่าง ๆ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 600-900 เมตรเท่านั้น ตามเขาสูงจะพบต้นกำลังเสือโคร่งขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ไม้ชั้นรอง ได้แก่ เก็ดส้าน ส้มแปะ แกนมอ
เพลาจังหัน และหว้า พืชชั้นล่าง ได้แก่ ต้างผา กำหลังกาสาตัวผู้ กูด และกล้วยไม้ดิน

ทุ่งหญ้าและป่ารุ่นหรือป่าเหล่า ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นผลเสียเนื่องจากการทำไร่ เลื่อนลอยในอดีตก่อนมีการจัดตั้งเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติได้มีราษฎร
อาศัยอยู่และได้แผ้วถางป่าทำไร่ เมื่อมีการอพยพราษฎรลงไปสู่ที่ราบ บริเวณไร่ดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งต่อมามีสภาพเป็นทุ่งหญ้าคา เสียส่วนใหญ่ บางแห่งมีหญ้าแขม
หญ้าขนตาช้าง เลา และตอกง และยังมีกุดชนิดต่างๆ ขึ้นปะปนอยู่ด้วย เช่น โชนใหญ่ กูดปี้ด โชนผี กูดงอดแงด และกูดตีนกวาง

เนื่องจากในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่การป้องกันไฟป่าเป็นอย่างดี พื้นที่ป่าหญ้ามีการป้องกันไฟป่าเป็นอย่างดี พื้นที่ป่าหญ้าหรือป่าเหล่านี้
จึงไม่ถูกรบกวนจากไฟป่าเลย ดังนั้นจึงมีพันธุ์ไม้เบิกนำจำนวนไม่น้อย แพร่พันธุ์กระจัดกระจายทั่วไป เช่น สอยดาว บรมือ ลำพูนป่า เลี่ยน ปอหู ตองแตบ ฯลฯ ปัจจุบันพื้นที่ป่าทุ้งหญ้าบางแห่งได้กลับฟื้นคืนสภาพเป็นป่าละเมาะบ้างแล้ว

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก ในบางโอกาสขณะขับรถยนต์ไป ตามถนน จะสามารถเห็นสัตว์ป่าเดินผ่านหรือออกหากินตาม
ทุ่งหญ้า หรืออาจจะเห็นโขลงช้างออกหากินริมถนน บริเวณตั้งแต่ที่ชมทิวทัศน์กิโลเมตรที่ 30 จนถึงปากทางข้ามสะพานหนองผักชี ตลอดจนโป่งต้นไทร ในปัจจุบัน
ถ้าขับรถยนต์ขึ้นเขาใหญ่ทางด่านตรวจเนินหอมข้ามสะพานคลองสามสิบไปแล้ว สามารถเห็นโขลาช้างได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในตอนกลางคืน จากการศึกษา
ตามโครงการการอนุรักษ์ช้างป่าและการจัดการพื้นที่ป้องกัน( EELEPHANT CONSERVATION AND PROTECTED AREA MANAGEMENT )
โดย MR.ROBERT J. DOBIAS ภายใต้ความร่วมมือของ WWF และ IUCN ในปี พ.ศ.2527-2528 พบว่ามีจำนวนประมาณ 250 เชือก

เสือโคร่ง เลียงผา เสือลายเมฆ
เสือดาว กระทิง เม่น

สัตว์ป่าที่สามรถพบได้บ่อย ๆ และตามโอกาสอำนวย ได้แก่ เก้ง กวางป่า ตามทุ่งหญ้าทั่ว ๆไป นอกจากนี่ยังพบ เสือโคร่ง กระทิง เลียงผา หมี เม่น
ชะนี พญากระรอก หมาไม้ ชะมด อีเห็น กระต่ายป่า นกชนิดต่างๆ จำนวน 250 ชนิด จากจำนวนไม่น้อยกว่า 340 ชนิด ที่สำรวจพบอาศัยอยู่บริเวณป่าเขาใหญ่
ซึ่งเป็นแหล่งหาอาหารและที่อาศัยอย่างถาวร นกที่น่าสนใจและพบเห็นได้บ่อย ได้แก่ นกกก นกเงือกกรามช้าง นกแก๊ก นกเงือกน้ำตาล นกขุนทอง จกขุนแผน นกพญาไฟ
นกแต้วแล้วนกโพระดก นกแซงแซว นกเขา นกกกระปูด ไก่ฟ้า และนกกินแมลงชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังพบแมลงมากกว่า 5,000 ชนิด ที่สวยงามและพบเห็นบ่อยได้แก่
ผีเสื้อมีรายงานพบวา 216 ชนิด

 

แหล่งท่องเที่ยวและจุดเด่นที่น่าสนใจ

จุดชมวิว กม.29

                          เมื่อเดินทางไปถึงอุทยาแห่งชาติเขาใหญ่ ควรติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูล ชมนิทรรศการ เป็นทางเตรียมพร้อมสำหรับการวางแผน เดินทางท่องเที่ยว
ตามสถานที่ต่าง ๆ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญนั้นก็คือ
น้ำตกที่สวยงาม มีน้ำตกน้อยใหญ่เกิดขึ้น หลายแห่งในพื้นที่อุทบยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งสำรวจพบและทำเส้นทางเดินเท้าไปถึงแล้วประมาณ 30 แห่ง
ที่มีความสวยงามแตกต่างกันไป ตามสภาพธรรมชาติของภูมิประเทศ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจ ดังนี้

น้ำตกสาริกา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนครนายก โดยใช้ทางหลวงจังหวัด หมายเลข 3099 จากจังหวัดนครนายก ถึงบริเวณกิโลเมตรที่ 11 มีทางแยก ให้ตรงไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 304 อีกประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกสาริกา น้ำตกสาลิกาไหลตกมาจากหน้าผาสูงชันประมาณ 100 เมตร มีแอ่งน้ำให้เล่นได้ตั้งแต่น้ำตกชั้นล่าง เป็นต้นไป

น้ำตกนางรอง อยู่ถัดจากทางแยกเข้าน้ำตกสาลิกาไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 304 จนถึงทางเข้าน้ำตก แล้วเดินเลียบห้วยนางรองไปอีก 250 เมตร จะมีสะพานข้ามห้วยไปถึงน้ำตกซึ่งไหลหลั่นลงมาตามโขดหินเป็นทางยาวประมาณ 100 เมตร น้ำตกนางรองแต่ละชั้นไม่สูงมากนัก แต่กระแสน้ำไหลแรง

น้ำตกกองแก้ว เป็นน้ำตกเตี้ย ๆ ที่เกิดจากห้วยลำตะคอง ในฤดูฝนจะดูสวยงามมากเหมาะสมสำหรับการเล่นน้ำ ใกล้บริเวณน้ำตกจะมีสะพานแขวนข้ามลำห้วยถึง 2 สะพาน ห้วยลำตะคอง เป็นแนวแบ่งเขต 2 จังหวัด คือ จังหวัดนครนายก และจังหวัดนครราชสีมา น้ำตกแหล่งนี้อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ประมาณ 100 เมตร

น้ำตกผากล้วยไม้ เป็นน้ำตกขนาดกลางที่อยู่ในห้วยลำตะคองเช่นเดียวกัน ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ประมาณ 7 กิโลเมตร สามารถเข้าถึงได้โดยทางรถยนต์และทางเดินเท้า ทางเดินเริ่มจากจุดกางเต็นท์ผากล้วยไม้ไปประมร 1.2 กิโลเมตร โดยเดินเลียบตามห้วยลำตะคองที่เต็มไป ด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่ร่มครึ้ม มีโอกาสพบนกหลายชนิด เช่น นกกางเขนน้ำหลังเทา นกกระรางคอดำ นกปรอดโอ่งเมืองเหนือ ฯลฯ น้ำตกผากกล้วยไม้มีลักษณะเป็นหน้าผาลดหลั่นกันลงมา สูงประมาร 10 เมตร ด้านล่างเป็นแอ่งน้ำกว้างมาก เหมาะสมสำหรับเล่นน้ำ ตามหน้าผาและคบไม้บริเวณน้ำตก พบกล้วยไม้นานาชนิดขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก กล้วยไม้ที่โดดเด่นที่สุด คือ หวายแดง ที่จะออกดอกสีแดงเป็นช่อยาวในช่วงหน้าร้อน

น้ำตกเหวสุวัต เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป น้ำตกเหวสุวัตนี้ อยู่สุด ถนนธนะรัชต์ หรือจะเดินเท้าต่อจากน้ำตกผากกล้วยไม้ไปก็ได้ ประมาณ 3 กิโลเมตร น้ำตกนี้มีลักษณะเป็น สายน้ำตกลงมาจากหน้าผาสูงประมาร 20 เมตรเศษ บริเวณด้านล่างของน้ำตกเป็นแอ่งน้ำและลำธารเหมาะที่จะลงเล่นน้ำ แต่สำรับฤดูฝนน้ำจะมากและไหลแรง น้ำค่อนข้างเย็นจัด

น้ำตกเหวนรก เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสูงที่สุด อยู่ทางทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกสูงประมาร 60 เมตร เมื่อน้ำไหลผ่านหน้าผาชั้นนี้จะพุ่ง
ไหลลงสู่หน้าผาชั้นที่ 2 และ 3 ที่อยู่ถัดลงไปใกล้ ๆ กันในลักษณะการไหลตก 90 ? รวมความสูงไม่ต่ำกว่า 150 เมตร เป็นสายน้ำที่ไหลทะลักไปสู่หุบเหวเบื้องล่าง ในฤดูฝนน้ำ
จะไหลแรงมากจนน่ากลัว ทางเข้าน้ำตกเหวนรกอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 24 บนทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3077 จากนั้นต้องเดินเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร จึงจะถึงน้ำตก เหวนรกชั้นบนสุดและมีบันไดให้ไต่ลงไปประมาณ 100 เมตร เพื่อชมน้ำตกชั้นล่าง

น้ำตกไม้ปล้อง เป็นน้ำตกที่มีทั้งหมด 5 ชั้น ไหลลดหลั่นกันลงมา ชั้นสูงสุกไม่เกิน 12 เมตร มีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำตกเหวสุวัต จะพบความงามตลอดเส้นทางเดินเท้า ประกอบด้วยโขดหินเล็กใหญ่และลำธาร ที่สวยงาม การเดินทางไปยังน้ำตกแห่งนี้เริ่มต้นที่วังตะไคร้ โดยการเดินทางตาเส้นทางเดินเท้าระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร

น้ำตกวังเหว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มีความกว้างประมาณ 40-60 เมตร ในฤดูฝนมีน้ำมาก และไหลแรง อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.9 (ใสใหญ่) ประมาณ 17 กิโลเมตร อยู่ในกลางป่าทางด้านทิศตะวันอกของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ การเดินทางจะต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 วัน เหมาะสมสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยไปพักค้างแรมในป่าเป็นอย่างยิ่ง ตลอดเวลาของการเดินทางจะพบหับพันธุ์ไม้นานาชนิด และแก่งหินที่สวยงามตามธรรมชาติ นับเป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง

น้ำตกตะคร้อ น้ำตกสลัดได น้ำตำส้มป่อย เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่สวยงามอยู่ใกล้กับหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ขญ.10 (ประจันตคาม) เหมาะสมสำหรับพักผ่อนเล่นน้ำ

น้ำตกธารทิพย์ เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ไหลมาตามลานหินกว้างเป็นทางยาว จากนั้นสายน้ำจะไหลผ่านช่องเขาแคบที่ขนาบข้างก่อนตกลงเป็นน้ำตกสูง 5 เมตร จากน้ำตกธารทิพย์มีทางเดินป่าไปอีกื4 กิโลเมตร ถึง น้ำตกเหวอีอ่ำ ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งมีความสูงประมาณ 25 เมตร ผู้สนใจติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.10 (ประจันตคาม)

น้ำตกแก่งกฤษณา และน้ำตกเหวจั๊กจั่น เป็นน้ำตกขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่มีความงดงาม ไม่แพ้แห่งอื่นๆ เหมาะสมสำหรับการพักแรมในป่าและชมทิวทัศน์ธรรมชาติรอบกายอย่างเพลิดเพลินใจ

น้ำตกผากกระชาย น้ำตกผาไทร ผาด่านช้าง และน้ำตกผานะนาวยักษ์ เป็นน้ำตกขนาดกลางที่เกิดจากห้วยโกรกเด้ ลักษณะไหลลาดไปตามผาหินที่สูงขึ้น เหมาะสมสำหรับผู้ชอบผจญภัยค้างแรมในป่า อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.3(ตะเคียนงาม) ประมาณ 5 กิโลเมตร

น้ำตกเหวไทร เป็นน้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางใต้ถัดไปจากน้ำตกเหวสุวัต ห่างจากน้ำตกเหวสุวัตมาประมาณ 700 เมตร น้ำตกนี้มีลักษณะเป็นผากว้างเต็มลำห้วย สูงประมาณ 5 เมตรในฤดูฝนน้ำตกนี้จะไหลแรงเต็มหน้าผาสวยงามน่าชมมาก การเดินทางไปน้ำตกเหวไทรไปได้ 2 เส้นทาง คือ เดินเท้าต่อไปจากเหวสุวัตระยะทางประมาณ 700 เมตร หรือจะเดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ไปตามเส้นทางเดินเท้าเส้นกองแก้ว-เหวสุวัตก็ได้ ระยะทางประมาณ 8.3 กม. ตามสองข้างทางเดินที่ผ่านไปจะมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างอื่นๆ อีกมากมาย เช่น สมุนไพร และเห็ดป่า เป็นต้น

น้ำตกเหวประทุน เป็นน้ำตกที่อยู่ในห้วยลำตะคองอีกแห่งหนึ่งเหมือนกัน อยู่ถัดจากน้ำตกเหวไทรประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ สามารถเดินทางจากน้ำตกเหวสุวัตไปก็ได้ หรือจะเดินทางเส้นกองแก้วเหวสุวัต ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ตามเส้นทางสามารถพบร่องรอยของสัตว์ป่าได้ง่าย เช่น รอยหมูป่า ด่านช้าง น้ำตกนี้มีลักษณะเป็นหน้าผากว้างและสูงสวยวามมาก

น้ำตกตาดตาภู่ น้ำตกนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เกิดจากห้วยระย้าเป็นน้ำตกที่มีลักษณะเป็นโขดหินและลาดหินที่มีน้ำไหลลดหลั่นเป็นทอดลาดเอียงไป
ข้างล่างประมาณ 100 เมตร เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบพักค้างแรมในป่าระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ใกล้ๆ น้ำตกจะมีทุ้งหญ้าสลับกับป่าซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่านานาชนิด ที่เห็นประจำ ได้แก่ เก้ง กวางป่า ช้างป่า กระทิง นกนานาชนิด เป็นต้น

น้ำตกตาดตาคง เป็นน้ำตกที่งดงามและสูงอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่ถัดไปจากน้ำตกตาดตาภู่ประมาณ 4 กิโลเมตรเศษ การเดินทางจะเริ่มต้นที่ด้านหลังจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาการจัดการอุทยานแห่งชาติ ก็ได้ ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร หรือ จะเริ่มที่ กม. 5.5 ถนนเขาใหญ่-ปราจีนบุรีก็ได้ ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร

กลุ่มน้ำตกผาตะแบก น้ำตกกลุ่มนี้เป็นน้ำตกขนาดไม่เล็กมากนัก เกิดบนห้วยน้ำซับลักษณะของน้ำตกเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันลงไป 5 ชั้น จากปากทางเข้าบนถนนสายเขาใหญ่-ปราจีนบุรี ช่วงระหว่าง กม. 6.5-7 จะมีทางเดินเท้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จัดทำเอาไว้ เดินเข้าไปเพียง 500 เมตร ก็จะถึงน้ำตกแห่งแรก คือ น้ำตกผากระจาย และเดินต่อไปอีกจะถึงน้ำตกผาหินขวาง น้ำตก ผารากไทร น้ำตกผาชมพู และน้ำตกผาตะแบก รวมระยะทางในการเดินเท้าทั้งสินประมาณ 3 กิโลเมตรเศษ

แก่งหินเพิง เป็นแก่งหินที่มีความยาวและใหญ่ อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.9 (ใสใหญ่๗ ประมาณ 3 กิโลเมตร แม่น้ำใสใหญ่ในบริเวณนี้เต็มไปด้วยแก่งหินเรียงรายตลอดระยะทาง 2.5 กิโลเมตร สายน้ำไหลลดหลั่นกันคล้ายขั้นบันได เป็นสถานที่ที่เหมาะในการล่องแก่งด้วยเรือยาง

จุดชมทิวทัศน์

ผาเดียวดาย ผากล้วยไม้

จุดชมทิวทัศน์ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่เด่นๆ มีด้วยกัน 3 จุดดังนี้

•  จุดชมทิวทัศน์กิโลเมตรที่ 30 ถนนธนะรัชต์ สามารถชมทิวทัศน์ด้านทิศเหนือของอุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่ได้เป็นบริเวณกว้างและสวยงาม

•  จุดชมทิวทัศน์กิโลเมตรที่ 18 ถนนปราจีนบุรี-เขาใหญ่ เบื้องหลังคือเขาสมอปูน ในมุมที่สูงตระหง่าน เบื้องหน้าคือที่ราบด้านปราจีนบุรี

•  จุดชมทิวทัศน์เขาเขียว (ผาเดียวดาย) นับเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามน่าชม มีลักษณะคล้ายผานกเค้าที่ภูกระดึง จะมองเห็นภูเขาร่มขวางอยู่เป็นแนวยาวและทิวทัศน์ที่สวยงามด้านจังหวัดปราจีนบุรี ตอนเช้าตรู่จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเป็นดวงกลมสีแดงเหนือสันเขาร่มที่สวยงาม เส้นทางถึงยอดเขาเขียวมีระยะประมาณ 14 กิโลเมตร ช่วงกิโลเมตรที่ 9 มีเส้นทางลงสู่จุดชมทิวทัศน์ผาเดียวดาย ผ่านป่าดิบเขาที่ชุ่มชื้นและอากาศเย็นตลอดปีตามต้นไม้และโขดหินมีมอสและตะไคร่ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป บริเวณนี้ จะพบนกบนที่สูงหลายชนิด เช่น นกปรอดดำ นกเปล้าหางพลั่ว นกแซงแซวทางบ่วงเล็ก เป็นต้น

หอดูสัตว์

                         เป็นสถานที่จัดทำขึ้นสำหรับการซุ่มดูสัตว์ป่า ผู้ที่สนใจสามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่เวลา 06.00- 18.00 น. จำนวน 2 แห่ง ได้แก่

•  หอดูสัตว์หนองผักชี อยู่บริเวณหนองผักชี ซึ่งเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่ารอบๆ หนองน้ำ เป็นทุ่งหญ้าคากว้างใหญ่ มีโป่งสัตว์ ปากทางเข้าอยู่บริเวณ กม. 35-36 ถนนธนะรัชต์ เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร

•  หอดูสัตว์มอสิงโต อยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำมอสิงโต รอบๆ มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าโล่งที่เหมาะสมสำหรับซุ่มดูสัตว์ป่าที่มากินดินโป่ง ซึ่งเป็นดินที่มีแร่ธาตุสำคัญของสัตว์กินพืช อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ประมาณ 500 เมตร

นอกจากนี้ในบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.4 (คลองปลากั้ง) ยังได้จัดให้มีหอดูสัตว์ชมกระทิง โดยอยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติประมาณ 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้า ติดชายป่า เชิงสันเขากำแพงมีทิวทัศน์สวยงามมาก ในเวลาเย็นจะมีฝูงกระทิงออกหากินบริเวณใกล้ๆ สามารถชมจากหอดูสัตว์นี้ได้ชัดเจน

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่

สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2505 ตั้งอยู่ กม.24 ถนนธนะรัชต์ เส้นทางขึ้นเขาใหญ่ด้านอำเภอปากช่อง ผู้ที่มาเยือนอุทยานแห่งชาติ และประชาชนทั่วไปมักแวะไปกราบไหว้ขอโชคลาภและขอพรอยู่เสมอ

กิจกรรมท่องเที่ยว

ส่องสัตว์ เป็นกิจกรรมที่ใช้ไฟส่องสัตว์ในเวลากลางคืนไปตามถนนสองข้างทาง จะพบสัตว์ที่เลี่ยงหากินกลางวันมาหากินกลางคืน เช่น เม่น ชะมด ยกฮูก บ่าง หมีขอ ฯลฯ สามารถติดต่อ ขออนุญาตได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่หรือที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ก่อนเวลา 18.00 น. ทุกวัน

เดินป่าศึกษาธรรมชาติ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีเส้นทางเดินป่าระยะสั้นและ เส้นทางเดินป่าประเภทท่องไพร สามารถสอบถามรายละเอียดการเดินป่าและติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แบ่งเป็น

•  ทางเดินศึกษาธรรมชาติ (Nature trail) เส้นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว-น้ำตกกองแก้วระยะทางประมาณ 1,200 เมตร เส้นทางนี้จะปูด้วยอิฐตัวหนอน มีป้ายสื่อความหมายตลอดเส้นทาง สามารถเดินเองได้

•  เส้นทางเดินป่าประเภทไม่พักแรม (Hiking trail) มีอยู่ 6 เส้นทาง อยู่ในบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติ มีระยะทางตั้งแต่ 1-5 ชั่วโมง ได้แก่ เส้นทางดงติ้ว-มอสิงโต ระยะทาง 2 กิโลเมตร ผ่านป่าดงดิบเลียบริมห้วย มีไม้ใหญ่ที่เป็นจุดเด่น คือ ต้นสมพงขนาดยักษ์ มีพูพอนสูงท่วมหัวคน เส้นทางสายดงติ้ว-หนองผักชี ระยะทาง 4 กิโลเมตร ทางช่วงแรกใช้ทางเดียว-กับเส้น มอสิงโต จากนั้นจะผ่านป่าดงดิบที่มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ จนไปถึงหอดูสัตว์ หนองผักชี เส้นผากล้วยไม้-เหวสุวัต ระยะทาง 3 กิโลเมตร ทางเลียบริมห้วย ริมทางมีเห็ดมากมายหลายชนิด อาจได้พบสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ริมน้ำ เช่น กิ้งก่ายักษ์หรือตะกอง นาก

•  เส้นทาง กม.33-หนองผักชี ระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ทางผ่านป่าดงดิบที่มีต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ เช่น ไทร หว้า กะเพราต้น เถาวัลย์ มากมายหลายชนิด เส้นทางวังจำปี-หนองผักชี และเส้นทางกองแก้ว-เหวสุวัต ผู้สนใจต้องติดต่อขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไป

•  เส้นทางเดินป่าระยะไกล (Trekking trail) เป็นเส้นทางที่ต้องมีการพักแรมในป่าโดยมากเป็นเส้นทางที่อยู่รอบอุทยานแห่งชาติ ใช้เวลาค้างคืนตั้งแต่ 1-3 คืน เช่น เส้นทางเขาสมอปูน ซึ่งเป็นภูเขาหินปูนที่สูง 805 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง บนสันเขาเป็นที่ราบสลับกับ ป่าโปร่ง ช่วงปลายฝนต้นหนาว ราวเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ดอกไม้ป่า เช่น หงอนไก่ กระดุมเงิน หญ้าข้าวก่ำ จะพร้อมใจกันบานอวดดอกสวนสะพรั่ง เริ่มต้นที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ชญ.12 (เนินหอม) เดินไต่ระดับความสูงแล้วลัดเลาะไปตามหน้าผา ผ่านลานสุริยัน ทุ่งพรหมจรรย์ น้ำตกหินดาด น้ำตกบังเอิญ น้ำตกเหวอีอ่ำ และสิ้นสุดที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ชญ.10 (ประจันตคาม) ใช้เวลาเดินทาง 4 วัน 3 คืน เส้นทางคลองปลากั้ง-น้ำตกวังเหว-รอยเท้าไดโนเสาร์-แก่งหินเพิง เริ่มต้นที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ชญ.4 (คลองปลากั้ง) ไต่ระดับความสูงขึ้นความสูงขึ้นสันกำแพง จะพบพื้นที่ราบบนหลังแปที่มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่แซมด้วยดอกไม้ป่า กล้วยไม้ป่า ต่อจากนี้ก็จะพบน้ำตกวังเหว ไปตามลำธารประมาณ 2 กิโลเมตร จะพบรอยเท้าไดโนเสาร์พันธุ์กินเนื้อที่ชัดเจนบนโขดหินออกจากป่าดงดิบถึง แก่งหินเพิง ซึ่งสามารถล่องแก่งในระยะ 3 กิโลเมตร มาขึ้นฝั่งที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ ขญ 9 (ใสใหญ่) ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน นอกจากนี้ยังมีเช้าไป-เย็นกลับ หรือพักแรม 1 คืนก็ได้ เส้นทางน้ำตกนางรอง – ศูนย์ฝึกอบรมกรมป่าไม้เขาใหญ่ เส้นทางบ้านคลองเดื่อ – เขาแหลม-เหวสุวัต เส้นทางโป่งตาลอง-น้ำตกผาด่านช้าง น้ำตกผามะนาวยักษ์-น้ำตกไทรคู่-น้ำตกผากกระชาย ระยะทาง 15 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน เส้นทางกลุ่มน้ำตกในตำบลบุฝ้าย อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี ระยะทางประมาร 20 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน เส้นทางซับใต้เหวกระถิน-เขาสามยอด

ดูนก อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นแหล่งที่พบนกมากกว่า 340 ชนิด ทั้งนกอพยพและนกประจำถิ่น เขาใหญ่เป็นแหล่งดูนกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งเส้นทางดูนกจะอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ – ค่ายพักกองแก้ว ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่-ค่ายพักทางถนนบริเวณสนามกอล์ฟ(เดิม) ผากล้วยไม้ – เหวสุวัต – ด่านช้าง-บึงไผ่ และเขาเขียว

ปั่นจักรยานเสือภูเขา จากจุดเริ่มต้นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ไปตามถนนผ่านทุ่งหญ้ามอสิงโต ไปสนามกอล์ฟเก่า หรือไปเที่ยวน้ำตกเหวสุวัต

ล่องแก่ง โดยเริ่มต้นเหนือแก่งหินเพิงลงมาผ่านแก่งวังบอน-ลูกเสือ-วังไทร – งูเห่า เป็นช่วงที่ตื่นเต้นราว 11 ชั่วโมง จากนั้นล่องใสน้ำที่ราบเรียบต่อราว 2 ชั่วโมง ซึ่งช่วงน้ำหลาก ราวเดือน กรกฎาคม – พฤศจิกายน เป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการล่องแก่ง

การเดินทาง

การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นับว่าสะดวกสบาย เพราะมีระบบการคมนาคมอย่างดีติดต่อกับชุมชนอื่น ๆ อย่างทั่วถึง สามารถเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพฯอาจใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง หรือน้อยกว่าโดยเริ่มจาก

•  ถนนพหลโยธินผ่านรังสิตถึงสระบุรี เลี้ยวขวาเข้าถนนมิตรภาพผ่านมวกเหล็กและเลี้ยวขวาอีกครั้งหนึ่งตรงทางแยกก่อนถึงอำเภอปากช่องตรงกิโลเมตรที่ 58 เข้าสู่หลวง จังหวัดหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) ประมาณ 25 กิโลเมตร ถึงด่านตรวจ จากนั้นเส้นทางจะไต่ขึ้นเขาไปอีก 12 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแงชาติ รยางค์รวมทั้งสิ้น 200 กิโลเมตร

•  ถนนพหลโยธินผ่านรังสิต ผ่านหนองแค 305 แล้วเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร) ผ่านตัวเมืองนครนายกถึงสี่แยกเนินหอม หรือวงเวียนนเรศวรก่อนเข้าตัวเมืองปราจีนบุรีเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวง จังหวัดหมายเลข 3077 (ถนนปราจีนบุรี – เขาใหญ่) ถึงด่านตรวจเนินหอม ถนนเริ่มเข้าสู่ป่าและไต่ขึ้นที่สูง รวมระยะทางประมาร 160 กิโลเมตร

•  ถนนพหลโยธิน เลี้ยวขวาบริเวณรังสิตเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 มุ่งสู่ตัวเมืองนครนายก แล้วเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร)ถึงสี่แยกเนินหอมหรือวงเวียนนเรศวร รวมระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร

หรืออาจเดินทางโดยรถประจำทางสายตะวันออกเฉียงเหนือลงที่อำเภอปากช่อง จะมีรถบริการขึ้นเขาใหญ่ออกจากปากช่องในวันธรรมดันละ 2 เที่ยว คือ 12.00 น. และเวลา 17.00 น. หรืออาจจะจ้างเหมารถบรรทุกเล็กรับจ้างขึ้นเขาใหญ่ก็ได้ ด่านตรวจทั้งสองด้านของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จะเปิดเวลา 6.00น. ถึง 21.00 น

ปัญหาสำคัญ

จำนวนนักท่องเที่ยว ขยะล้น สัตว์ป่าได้รับอันตรายจากยานพาหนะ

 

 

 

 

 

อิงอ้าง : http://www.dnp.go.th/mfcd3/kaoyai.htm

 

ประโยชน์ของน้ำ

ประโยชน์ของน้ำ

น้ำเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ตลอดจนพืชถ้าขาดน้ำก็จะต้องแห้งเหี่ยวและเฉาตายในที่สุด มนุษย์ต้องใช้น้ำสัมพันธ์อยู่กับชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด เช่น ใช้น้ำสำหรับดื่ม ใช้หุงต้มอาหาร ใช้ชะล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ ใช้ซักเสื้อผ้า ใช้ในเครื่องทำความร้อน เครื่องลดความร้อน เช่นในโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท และใช้กับเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

ในการเกษตรกรรม การทำเรือกสวนไร่นา ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ก็ต้องใช้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญทั้งสิ้น

แม้แต่ในการอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ในการหล่อเย็น ในพลังไอน้ำก็ดี พลังงานไฟฟ้าก็ดี การกำจัดน้ำทิ้งและขยะก็ดี ตลอดจนถึงการดับไฟเมื่อเกิดไฟไหม้ น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญทั้งนั้น

นอกจากนี้แหล่งน้ำยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สำหรับท่องเที่ยว ตกปลา ว่ายน้ำ ตลอดจนใช้ประกอบอาชีพ เช่นการประมงอีกด้วย

สรุปแล้วน้ำจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับชีวิตอันดับที่สองรองจากอ๊อกซิเจน มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เมื่อขาดอาหารเป็นเดือน ๆ (จากสถิติโลกครั้งสุดท้ายมนุษย์สามารถอดอาหารได้นานถึง 64 วัน จึงตาย) แต่ถ้าขาดน้ำเพียง 2-3 วัน มนุษย์อาจจะตายทันที ทั้งนี้เพราะน้ำเป็นตัวที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมนุษย์มาก กล่าวคือ

1.เซลล์ในร่างกายมนุษย์ ต้องการน้ำไปเพื่อไปทำให้โครงสร้างของเซลล์คงรูปอยู่ได้และสามารถทำงานได้อย่างปกติ

2.น้ำเป็นตัวนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่าง ๆ และในเวลาเดียวกันน้ำก็เป็นตัวนำของเสียออกมาจากกล้ามเนื้อนั้น ๆ ด้วย และขับถ่ายออกมาจากร่างกายมนุษย์ในรูปของเหงื่อและปัสสาวะ เป็นต้น

3.น้ำช่วยในการเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ ช่วยหล่อไขข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้โลหิตไหลวนเวียนทั่วร่างกาย

4.ช่วยรักษาและควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ หากร้อนเกินไปก็จะระบายความร้อนออกมาในรูปของเหงื่อ เป็นต้น

ถึงแม้น้ำจะมีประโยชน์แก่มนุษย์อย่างมหาศาล แต่ก็มีโทษอยู่หลายประการด้วยกัน ตัวอย่างเช่น

1.ในฤดูน้ำหลาก ท่วมไร่นา ชุมชน ถนนหนทาง และบ้านเรือนเสียหายอยู่บ่อย ๆ

2.น้ำยังเป็นพาหนะนำโรคต่าง ๆ เช่น อหิวาตกโรค (Cholera) ไข้รากสาด (Typhoid fever) ไข้รากสาดเทียม (Para-typhoid fever) โรคบิด (Dysentery) และโรคท้องร่วง (Diarrhia) ฯลฯ มาด้วย ซึ่งเราเรียกโรคพวกนี้ว่า โรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อได้

ฉะนั้นจึงควรแสวงหาแหล่งน้ำที่สะอาด ไม่มีสารพิษไม่มีเชื้อโรคไว้สำหรับอุปโภค บริโภค จึงเกิดมะระบบการปรับปรุงคุณภาพน้ำ หรือระบบการประปาเกิดขึ้น ปัจจุบันปัญหาเรื่องน้ำประปาของชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนในชนบทกำลังเป็นปัญหาที่รุนแรงมาก ดังนั้นการสุขาภิบาลน้ำดื่มน้ำใช้ การปรับปรุงคุณภาพน้ำทั้งทางด้านฟิสิกส์ ทางด้านเคมี และทางด้านบักเตรีของน้ำดิบให้มาเป็นน้ำที่ดื่มได้จึงจำเป็นมาก

การสุขาภิบาลน้ำดื่มน้ำใช้ ก็คือการศึกษาถึง

1.ความสำคัญและความจำเป็นของน้ำในด้านการสาธารณสุข การระบาดของโรคต่าง ๆ อันเนื่องจากน้ำเป็นสื่อ

2.คุณสมบัติและมาตรฐานของน้ำดื่มน้ำใช้ แหล่งน้ำ ปริมาณและลักษณะการใช้น้ำของชุมชน

3.วิธีการปรับปรุงคุณภาพน้ำ

4.ระบบการจ่ายน้ำ และ

5.วิธีการควบคุมน้ำใช้ทางด้านการสุขาภิบาลชุมชน

สาเหตุใหญ่ ๆ ที่ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยและตายได้ง่ายมีอยู่ 3 สาเหตุด้วยกัน คือ

1.โรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อ (Water borne diseases)

2.โรคที่เกิดจากอาหารเป็นสื่อ (Food borne diseases)

3.โรคติดต่อต่าง ๆ ที่มีพาหนะนำไป (Vector borne diseases)

ในทั้งสามสาเหตุนี้ โรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อนับว่าเป็นตัวสำคัญมาก เป็นตัวที่อาจทำให้สุขภาพอนามัยของมนุษย์เสียไปอย่างกว้างขวาง บางทีอาจเป็นผู้ไร้สมรรถภาพหรือถึงตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เด็ก ๆ ของประเทศที่ด้อยพัฒนา หรือประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งนี้เพราะน้ำไปปนเปื้อนกับอุจจาระของผู้ป่วยเข้า นอกจากนี้น้ำยังเป็นแหล่งที่ยุงมาเพาะพันธุ์อีกด้วย ยุงเหล่านี้เป็นพาหนะของโรคอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น โรคไข้เลือดออก, ไข้มาเลเรีย และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น ซึ่งทำลายสุขภาพของมนุษย์มากหรือทำให้ตายได้ สำหรับประเทศไทยจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อในปีหนึ่ง ๆ ค่อนข้างจะสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ประชาชนในชนบท

คำนิยามของโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อ ก็คือ โรคที่เกิดโดยการนำของน้ำซึ่งมีสิ่งต่าง ๆ เจือปนอยู่ สิ่งที่เข้าไปเจือปนนี้อาจจะเป็นพวกเชื้อบักเตรี หรือพวกเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายหรือเป็นพวกสารเคมีที่เป็นพิษก็ได้ เข้ามาปนเปื้อนอยู่ในน้ำจำนวนมาก เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ โรคพวกนี้มักจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารทั้งนั้น

โรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อนี้อาจเกิดขึ้นจากตัวเชื้อ หรือสาเหตุต่าง ๆ กันดังนี้

1.เกิดจากบักเตรี (Bacterial infection) ได้แก่ โรคไข้รากสาด (Typhoid fever) โรคบิดไม่มีตัว (Bacillary dysentery) และอหิวาตกโรค (Cholera) เป็นต้น

2.เกิดจากโปรโตชัว (Protozoa infection) เช่น โรคบิดชนิดมีตัว (Amebiasis)

3.เกิดจากวิสา (Virus infection) เช่น โรคตับอักเสบ (infectious hepatitis) และโรคโปลิโอ (Poliomyelitis) เป็นต้น

4.เกิดจากพยาธิต่าง ๆ (Helminth infection) เช่น พยาธิใบไม้ในตับ (Chlornorchiasis) ซึ่งมีหอยเป็นพาหะและมี life cycle เจริญเติบโตอยู่ในน้ำ จึงเป็นโรคที่มากับน้ำ นอกจากนี้ก็มีโรคพยาธิใบไม้ในลำไส้ (Fasciolepsiasis) พยาธิไส้เดือนกลม (Ascariasis) และพยาธิแส้ม้า (Trichuriasis) เป็นต้น พวกนี้มักจะเกิดเพราะเรารับประทานสัตว์น้ำที่เป็นพาหะในวงจรชีวิตของมันเสียมากกว่าการดื่มน้ำโดยตรง

3.โรคที่เกิดจากสารเคมีเป็นพิษ (Chemical poisoning) สารเคมีที่ปนเปื้อนลงไปในน้ำแล้วกลับเข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยเราดื่มน้ำนี้เข้าไป สามารถแบ่งออกเป็นพวกใหญ่ ๆ ได้ 2 พวกด้วยกันคือ

(ก) เกิดจากโลหะหนัก (Heavy metal) ซึ่งส่วนมากจะไปทำลายพวก living organ ต่าง ๆ เช่น

ปรอทเป็นพิษ (Mercury poisoning) ทำให้เกิดเป็นโรคที่เรียกว่า มินามาตะ (Minamata) จะทำให้ประสาทพิการเป็นอัมพาต และอาจถึงตายได้

แคดเมียมเป็นพิษ (Cadmium poisoning) ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า “อิไต-อิไต” (Itai-itai) คือแคดเมียมจะเข้าไปสะสมอยู่ที่กระดูก จะทำให้ปวดตามข้อและในกระดูก กระดูกจะเปราะและมีโครงสร้างเฉเกไป

นอกจากนี้ก็มีโรค

ตะกั่วเป็นพิษ (Lead poisoning)

ทองแดงเป็นพิษ (Cupper poisoning)

สังกะสีเป็นพิษ (Zinc poisoning)

(ข) เกิดจากสารพิษปราบศัตรูพืช (Pesticides) ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปสารพิษตกค้างในน้ำ หรือปนเปื้อนมากับน้ำโดยตรงก็ได้ สารพิษปราบศัตรูพืช เราจะรวมถึงสารพิษฆ่าแมลง (Insecticide) สารพิษฆ่าหญ้า (Herbicide) สารพิษฆ่าสาหร่าย (Algaecide) และอื่น ๆ ฯลฯ ด้วย

แต่ถ้าพูดถึงสารพิษฆ่าแมลง (Insecticide) แล้วต้องเป็นพวกพิษตกค้างได้นาน และปนเปื้อนลงไปในแหล่งน้ำได้มาก ซึ่งจะแบ่งออกเป็นพวกใหญ่ ๆ ได้ 3 พวกด้วยกันคือ

พวก Organochlorine (หรือ Clorinated Hydrocarbon) เป็นสารประกอบที่ในโมเลกุลประกอบด้วยธาตุ C, H, O และ CI เป็นตัวประกอบที่สำคัญได้แก่พวก DDT, Aidrin และ Diedrin เป็นต้น ฯลฯ พวกนี้จะเป็นพวกที่อยู่ตัวมาก และเมื่อปนเปื้อนลงไปในน้ำแล้วจะปนเปื้อนอยู่กับตะกอนใต้น้ำและสะสมอยู่ในตัวของสัตว์น้ำได้เป็นเวลานานนับเป็นสิบปี

พวก Organophosphate ในโมเลกุลจะประกอบไปด้วยธาตุ C, H, O, S และ P เป็นตัวประกอบที่สำคัญ ได้แก่พวก Malathion, Parathion เป็นต้น ฯลฯ พวกนี้เป็นพวกที่สลายตัวได้ง่าย ไม่มีพิษตกค้าง แต่มีพิษรุนแรงมาก เพราะฉะนั้นมันจะปนเปื้อนลงไปในน้ำได้โดยตรง

พวก Carbamate พวกนี้ไม่อยู่ตัวและพิษไม่รุนแรงนัก เราจึงพบในน้ำเฉพาะกรณีที่พึ่งปนเปื้อนลงไปในน้ำใหม่ ๆ เท่านั้น

อาการของโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่ออย่างย่อ ๆ

1.โรคบิดแบซิลลารี หรือบิดไม่มีตัว (Becillary dysentery) โรคนี้เกิดจากเชื้อ Shigella sonner, Shigella flexor และ/หรือ Shigella Shiga ซึ่งมักจะมีระยะฟักตัว 1-12 ชั่วโมง บางทีก็นานถึง 1-5 วัน จะทำให้มีไข้ ท้องเดิน และอุจจาระจะมีกลิ่นคาวจัดบางครั้งอาจจะมีมูกเลือดปนอยู่ด้วย

2.โรคบิดอมีบิค หรือบิดชนิดมีตัว (Amoebic dysentery) ซึ่งเกิดจากเชื้อ Etamoeba histolytica มีระยะฟักตัวประมาณ 2-14 วัน จะมีอาการปวดท้องแบบถ่วง ๆ ลักษณะของอุจจาระมักจะเหลวและมีมูกเลือดปน มีกลิ่นคาว แต่ไม่คาวจัดเหมือนแบซิลลารีและมักไม่มีไข้

3.ไข้รากสาด (Typhoidfever) เกิดจากเชื้อ Typhoid bacillus จะมีระยะการฟักตัวตั้งแต่ 3-38 วัน จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้ติดต่อกันไป อาจจะมีจุดแดง ๆ ขึ้นตามตัวและมีท้องผูกสลับกับท้องเดิน

4.ไข้รากสาดเทียม (Paratyphoid-fever) โรคนี้เกิดจากเชื้อ Salmonella paratyph : A., Salmonella schottmullari B และ/หรือ Salmonella hirschfeldii C จะมีระยะฟักตัว 1-10 วัน และมีอาการเป็นไข้ติดต่อกันไป ท้องจะเดินบางครั้ง จะมีจุดแดง ๆ ขึ้นตามตัวเหมือนไข้รากสาด

5.อหิวาตกโรค (Cholera) เกิดจากเชื้อ Vibrio cholera และ/หรือ Vibrio commar จะมีระยะฟักตัวเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น จะมีอาการท้องเดินอย่างแรง ลักษณะของอุจจาระเหมือนน้ำซาวข้าว อาเจียน หิวน้ำมาก จะกระสับกระส่าย และถึงตายได้ถ้าท้องเดินมาก ๆ ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่มาก

6.โรคพยาธิไส้เดือนกลม (Ascariasis) โรคนี้เกิดจากเชื้อ Ascarislumbricoides ซึ่งจะมีระยะฟักตัวนานถึง 1-2 เดือน โรคนี้จะมีอาการท้องผูกหรือท้องเดินก็ได้ แต่เวลาถ่ายอุจจาระมักจะมีพยาธิออกมาด้วย และถ้าหากมีจำนวนมาก ๆ อาจทำให้เกิด Intestinal obstruction ได้

การป้องกันและควบคุมโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อ

เนื่องจากโรคเหล่านั้นมีแหล่งกำเนิดมาจากอุจจาระของผู้ป่วยทั้งสิ้น และสามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้โดยอาศัยน้ำเป็นสื่อ จึงต้องมีการกำจัดอุจจาระให้ถูกหลักสุขาภิบาล ระวังอย่าให้อาหารและน้ำดื่มใช้ปนเปื้อนด้วยอุจจาระเป็นอันขาด มีการกำจัดน้ำโสโครกให้ถูกวิธีและปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้ให้ถูกลักษณะ เช่นในกิจการประปา เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรให้สุขศึกษาและอนามัยส่วนบุคคลแก่ประชาชนทั่วไปด้วย มีการบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบางโรค เช่น อหิวาตกโรค เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าน้ำสะอาดจำเป็นมากสำหรับผู้อุปโภคบริโภค เพราะถ้าน้ำไม่สะอาดพอมันก็จะบั่นทอนสุขภาพอนามัยของมนุษย์อย่างมาก และชีวิตอาจจะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วได้ เราจึงต้องมีการลงทุนค่าใช้จ่ายในการทำกรรมวิธีต่าง ๆ ที่จะให้ได้น้ำสะอาด โดยดึงเอามวลสารและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เป็นพิษเป็นภัยชีวิตและปะปนอยู่ในน้ำออกจากน้ำให้หมด หรือให้ลดน้อยลงไปให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย

แหล่งน้ำ 

หล่งน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค (The Sources of Water Supply)

ความต้องการใช้น้ำของมนุษย์เรานับวันจะสูงขึ้น มนุษย์ต้องการนำน้ำมาเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และการอุตสาหกรรม

น้ำเป็นสิ่งช่วยในการดำรงชีพแก่ประชากรทั่วโลกในอันที่จะเพิ่มพูนความอยู่ดีกินดี และภาวะเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้มีโครงการต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อสร้างและพัฒนาแหล่งน้ำ เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำ เขื่อน หรือทำนบ เป็นต้น

แต่วิธีการดังกล่าวทำได้ก็เฉพาะในภูมิภาคที่มีหุบเขา มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่านหรือมีสระ ห้วยหนองหรือบึงอยู่แล้วเท่านั้น ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่ไม่มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่านหรือระบบชลประทานยังไปไม่ถึง

เป็นเหตุให้เกิดการขาดแคลนน้ำไม่สามารถทำการเกษตรได้จึงจำเป็นอยู่เองที่มนุษย์จะต้องขวนขวายหาวิธีการนำน้ำมาใช้เพื่อการอุปโภค และประโยชน์อื่น ๆ ดังนั้นในสภาพพื้นที่ที่แห้งแล้งทุรกันดารขาดแคลนน้ำ ปัญหาเรื่องแหล่งน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องการทำ และเพื่อแก้ไขสภาพการเช่นนั้นจึงได้มีการพัฒนานำน้ำใต้ดินมาใช้อย่างเหมาะสมโดยการสูบเอาน้ำใต้ติดหรือน้ำบาดาลขึ้นมาบรรเทาความขาดแคลน

สำหรับน้ำที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำประปาเพื่อบริการแก่ประชาชนนั้น ได้มีการจำแนกชนิดของแหล่งน้ำที่นำมาใช้ตามลักษณะของคุณภาพของแหล่งน้ำออกได้เป็น

(1)น้ำที่ไม่ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพ (Water requiring no treatment) น้ำชนิดนี้เป็นน้ำที่จัดว่าสะอาด ใช้อุปโภคบริโภคได้เลย ได้แก่น้ำบาดาล ซึ่งไม่ถูกปนเปื้อน

(2)น้ำที่ต้องผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น (Water requiring disinfection only) น้ำประเภทนี้จัดว่าเป็นน้ำที่ใส และค่อนข้างจะสะอาด ได้แก่น้ำบาดาล และน้ำผิวดินซึ่งปนเปื้อนเล็กน้อย มีค่า เอ็มพีเอ็น (MPN) ของโคไลฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 50 ต่อน้ำ 100 มิลลิลิตรของแต่ละเดือน

(3)น้ำที่ต้องผ่านระบบการกรองเร็ว และต้องการมีการเติมคลอรีนก่อนและ/หรือเติมคลอรีนภายหลัง (Water requiring complete rapid sand filtration treatment or its equivalent, together with continuous chlorination by pre-and/or postchlorination) ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่เข้าชั้นน้ำในชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ข้างต้น และมีค่าเอ็มพีเอ็น ของโคไลฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 5,000 ต่อน้ำ 100 มิลลิกรัม ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่างที่ตรวจในเดือนใด ๆ น้ำชนิดนี้มักจะขุ่นและถูกปนเปื้อนด้วยมลสาร

(4)น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพเพิ่มนอกเหนือจากต้องผ่านระบบการกรองและเดินคลอรีนภายหลังแล้ว (Water requiring auxiliary treatment in addition to complete filtration treatment and post chlorination) น้ำชนิดนี้ควรต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพขั้นต้น (preliminary treatment) โดยการให้ตกตะกอนก่อนโดยการเก็บกักไว้เป็นเวลา 30 วัน และต้องมีการเติมคลอรีนก่อน (pre-chlorination) น้ำชนิดนี้มีค่าเอ็มพีเอ็น เกินกว่า 5,000 ต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่าง แต่ไม่เกินกว่า 20,000 ต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 5% ของน้ำตัวอย่างที่เก็บมา

(5)น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพพิเศษ (Water requiring unusual treatment measures) ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่จัดอยู่ในประเภททั้ง 4 ข้างต้น และมีค่าเอ็มพีเอ็นเกินกว่า 250,000 ต่อน้ำตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร


ประโยชน์ข้องน้ำ
1. มนุษย์ใช้น้ำดื่ม น้ำชนิดนี้ต้องสะอาดปลอดภัย สิ่งเหล่านี้เริ่มสำคัญและจำเป็นมากขึ้นเมื่อตอนรู้จักว่าน้ำไม่
สะอาดนั้นเปรียบเสมือนยาพิษ
2. มนุษย์ใช้ในบ้านเรือน เช่น ใช้อาบ ใช้ซักฟอก ใช้ปรุงอาหาร ชำระล้าง ถ่ายเทของเสีย กะกันว่าคนหนึ่ง ๆ ถ้าจะใช้น้ำให้พอดี ๆ คนหนึ่ง ๆ จะต้องใช้น้ำ 100 ลิตรต่อวัน
3. ใช้ในด้านอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมทุกชนิดต้องใช้น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการ
ถลุงเหล็ก ต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก คือจะใช้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมแต่ละชนิด บางครั้งถ้าโรงงาน
อุตสาหกรรมขาดแคลนน้ำมากเข้าก็อาจเลิกกิจการการอุตสาหกรรมใช้น้ำดังนี้


3.1 ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
3.2 ใช้เป็นตัวละลายวัตถุที่ใช้ในอุตสาหกรรม
3.3 ใช้เป็นตัวทำความสะอาดล้างวัตถุดิบ
3.4 ใช้กำจัดของเสียของโรงงานอุตสาหกรรม


4. น้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลา และสัตว์น้ำ
5. ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เช่น ว่ายน้ำ พายเรือ และอื่น ๆ
6. ใช้เป็นทางคมนาคม การขนส่งทางน้ำมีความสำคัญมาก เพราะเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
7. น้ำให้พลังงาน อาจจะนำพลังงานไปใช้ในโรงงานโดยตรง หรือนำไปเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า
8. ใช้ในการเกษตรเป็นเรื่องสำคัญ เพราะน้ำจำเป็นสำหรับความเจริญงอกงามของพืชซึ่งหมายถึงพืชที่มนุษย์
เพาะปลูกด้วย น้ำที่ใช้ในการนี้มีมากกว่าการใช้น้ำประเภทอื่น ๆ


สำหรับเรื่องน้ำในประเทศไทยบริเวณที่มีปัญหาเรื่องน้ำมีอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของเนื้อที่ทั้งหมด
ของประเทศ บริเวณนี้อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้กระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณเงาฝน (Rain shadow) ถ้าพิจารณาน้ำฝนเฉลี่ยในประเทศทั่วไปมีไม่ต่ำกว่า 50 นิ้ว ปริมาณฝนนี้มีพอที่จะไม่ทำให้เกิด
ปัญหาเรื่องน้ำ แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาถึงความแห้งแล้งในประเทศไทยอาจพิจารณาได้ดังนี้


1. การกระจายของฝน ส่วนใหญ่ฝนที่ตกในประเทศ มักจะตกอยู่ในช่วงระยะ 6-7 เดือน หลังจากนั้นอาจ
กล่าวได้ว่าไม่มีฝนเลย จึงทำให้เกิดแห้งแล้งได้
2. ความสม่ำเสมอของฝน ส่วนมาก ฝนที่ตกในประเทศไทย มักจะไม่สม่ำเสมอบางทีอาจตกเป็นปริมาณมาก บางทีตกน้อย ขึ้นอยู่กับภาวะของอากาศ


น้ำใต้ดิน
น้ำใต้ดิน ได้แก่ น้ำฝน น้ำซึ่งละลายจากหิมะและก้อนน้ำแข็ง หรือน้ำบนดินเช่น น้ำในลำธาร แม่น้ำหรืออ่างเก็บน้ำ ฯลฯ ที่ซึมลงไปในดินและช่องว่างระหว่างหิน ส่วนที่ซึมลงไปใต้ดินและอยู่ตื้น ๆ ในระดับของหิน เช่น หินทราย
น้ำใต้ดิน มี 2 ประเภท คือ ประเภทน้ำใต้ดิน และน้ำในชั้นดินหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าน้ำบาดาล (Artersian water) ซึ่งน้ำในดินนั้นก็หมายถึงน้ำที่ซึมซับอยู่ในดินเนื่องจากดินอุ้มน้ำจนอิ่มตัว (Saturated) น้ำประเภทนี้ถ้าดื่ม
จะไม่ปลอดภัยนัก เพราะอาจมีสิ่งโสโครกปะปนอยู่และอาจถ่ายเทเข้าหากันได้

ส่วนน้ำในชั้นดินหรือน้ำบาดาลนั้นเป็นน้ำใต้ดินที่ซึมลึกลงไป ในพื้นดินไปรวมอยู่ในชั้นของหิน น้ำพวกนี้ส่วนมาก
สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากเชื้อโรค (ยกเว้นเมื่อตักขึ้นมาหากมีวิธีการไม่ดี อาจมีเชื้อโรคปนได้) จึงนับว่ามีประโยชน์ต่อ
มนุษย์มาก ส่วนมากแล้วน้ำบาดาล จะไม่มีความสัมพันธ์กับน้ำในดินซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ดังนั้น สิ่งสกปรกบนพื้นดิน
จึงไม่ปนกับน้ำบาดาล น้ำบาดาลจะหมดสิ้นได้ง่ายเพราะไม่มีน้ำจากที่อื่นไหลมาทดแทน ดังนั้นต้องใช้อย่างระมัดระวัง

น้ำบนผิวดินและน้ำบนพื้นดิน
ามที่กล่าวเรื่องน้ำฟ้าน้ำฝนมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าการที่จะพึ่งพาเฉพาะน้ำฝน อย่างเดียวนั้นหาได้ไม่ เพราะแต่ละปี
จะมีช่วงแห้งแล้งแทรกคั่นอยู่ เพราะฉะนั้นจะต้องพึ่งพาแหล่งน้ำจากที่อื่นมาใช้ประโยชน์บ้าง เช่น น้ำผิวพื้น และน้ำใต้ดิน
ดังจะได้กล่าวต่อไป


น้ำบนผิวดินหรือน้ำผิวพื้น (Surface water) ก็คือน้ำที่ไหลหรือมีอยู่ตามพื้นผิวดิน อาจจะขังอยู่ตามห้วย หนอง คลอง บึง ทะเล และลุ่มน้ำ หรือทะเลสาบใหม่ ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น


ลักษณะของน้ำผิวพื้นนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับน้ำฝนมาก เพราะน้ำฝนที่ตกลงมานั้นบางส่วนจะไหลซึมลงไป
ใต้ดินกลายเป็นน้ำใต้ดิน และบางทีน้ำส่วนนี้จะไหลออกมาอีกเป็นน้ำซึม น้ำซับ เมื่อมีปริมาณมากเข้าดินจะไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้หมดดังนั้น น้ำส่วนที่เหลือก็จะไหลหรือเอ่อนองอยู่บนผิวดิน หรือไหลไปตามแม่น้ำลำธารและลงสู่ทะเล มหาสมุทร และบางส่วนก็จะระเหยกลับไปในอากาศ

น้ำฝนในประเทศไทยคิดเฉลี่ยปีละประมาณ 770,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จะเป็นน้ำผิวดินประมาณ 200,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเท่ากับร้อยละ 30 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 70 จะระเหยกลับไปในอากาศและไหลลงดิน

แม่น้ำหรือลำธารใดที่ไหลผ่านไปถึงมหาสมุทรเรียกว่า Exterior drainage ซึ่งในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ แต่ในบางแห่ง แม่น้ำหาทางออกสู่มหาสมุทรไม่ได้ก็ไหลลงสู่ทะเลสาบ หรือบึงภายในแผ่นดินหรือมิฉะนั้นก็ไหลไปเหือดแห้งเสียในบริเวณทะเลสาบ ซึ่งแม่น้ำเหล่านี้เรียกว่า Interior drainage

แต่ถ้าพิจารณาแม่น้ำสำคัญในประเทศไทยแล้ว น่าจะแบ่งได้เฉพาะพวกที่ไหลตลอดปี (Permanent stream) และพวกที่ไหลเฉพาะฤดูกาล (Intermittent stream) พวกหลังมักพบในเขตที่แห้งมาก ๆ ในหน้าแล้ง
จะไม่มีน้ำไหลเลย


แหล่งน้ำบนผิวดินอีกอย่างหนึ่งก็คือ ห้วงน้ำใหญ่ ๆที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในประเทศไทยเรามีแหล่งน้ำชนิดนี้
ไม่กี่แห่ง เช่นบึงบรเพ็ด หนองหาน กว๊านพะเยา นอกนั้นเป็นประเภทมนุษย์สร้างขึ้น เพื่อเก็บน้ำไปไว้ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้ (โดยมากเพื่อการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ แต่บางแห่งน้ำที่มักขาดแคลนเสมอในหน้าแล้ง น้ำเหล่านี้ก็จะให้คุณประโยชน์
แก่มนุษย์ในบริเวณนั้นอย่างดียิ่งด้วย) ส่วนใหญ่แล้วมักสร้างขึ้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะภูมิภาคส่วนนี้มี
ความจำเป็นเกี่ยวกับการใช้น้ำ เนื่องจากดินเก็บน้ำไว้ไม่อยู่ แหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นนี้เรียกว่า “อ่างเก็บน้ำ” ซึ่งอ่างเก็บน้ำนี้


บางแห่งก็สร้างจากการใช้ลักษณะภูมิประเทศ บริเวณที่มีน้ำกักขังอยู่จำนวนมาก ๆ และเป็นทางไหลผ่านของน้ำ
เป็นสิ่งช่วยและเลือกทำเลที่ดี แล้วถมคันดินหรือสร้างเขื่อนขวางทางน้ำ ทำให้บริเวณเหนือเขื่อนเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ นำไปใช้ประโยชน์โดยเฉพาะเกี่ยวกับไร่นาได้เป็นบริเวณกว้างขวาง


แหล่งน้ำผิวดินที่ทุกคนไม่ควรมองข้ามก็คือ แม่น้ำ ลำคลองตามธรรมชาติ

ประเทศไทยมีลุ่มน้ำสำคัญอยู่ประมาณ 57 ลุ่มน้ำ

โดยอยู่ทางเหนือ 15 ลุ่มน้ำ

ที่สำคัญคือ ปิง วัง ยม น่าน ยวม กก อิง

ทางภาคกลางมี 19 ลุ่มน้ำ ที่สำคัญก็คือ เจ้าพระยา ป่าสัก นครนายก ปราจีนบุรี

ภาคใต้มี 20 ลุ่มน้ำ ที่สำคัญได้แก่ ชุมพร ตานี ปัตตานี

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 3 ลุ่มน้ำ คือชี มูล สงคราม

 

อ้างอิง : http://www.oocities.org/e21oca/water.html

แฟชั่นตามยุค รัชกาลที่ 5-9

แฟชั่นตามยุค รัชกาลที่ 5-9

รัชกาลที่ 5 ปลายรัชกาลที่ 5 หญิงไทยเลิกนุ่งผ้าจีบ เปลี่ยนมาโจงกระเบนแทน เสื้อเป็นแบบผรั่งคอตั้งสูง แขนยาวมีลูกไม้ตกแต่งเป็นระบายหลายชั้น สวมถุงเท้า รองเท้าส้นสูง ผมยาวประบ่า

รัชกาลที่ 6 ต้นรัชกาลที่ 6 ผู้หญิงยังคงนุ่งโจงกระเบน แต่สวมเสื้อลูกไม้แบบตะวันตก คอเสื้อลึก แขนยาวเสมอข้อศอก มีผ้าแพรบางๆ สะพายทับ ผมนิยมไว้ยาวเสมอต้นคอ

รัชกาลที่ 6 ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อตัวยาวหลวมๆ ส่วนมากใช้ผ้าลูกไม้ฝรั่ง ปักเป็นลวดลายด้วยลูกปัด และไข่มุก ผมเกล้ามวยแบบฝรั่ง หรือดัดเป็นลอน ดัดผมแบบ ทรงซิงเกิ้ล

รัชกาลที่ 7-8 ผู้หญิงเลิกใช้สะไบแพรปัก นิยมนุ่งผ้าซิ่นแค่เข่า เสื้อทรงกระบอกตัวยาว ตัดแบบตะวันตก ไว้ผมบ็อบ ใส่ต่างหูและกำไล สวมสร้อยคอ

รัชกาลที่ 7-8 ผู้หญิงเลิกใช้สะไบแพรปัก นิยมนุ่งซิ่นแค่เข่า เสื้อทรงกระบอกตัวยาว ตัดแบบตะวันตก ไว้ผมบ็อบ ใส่ต่างหูและกำไล สวมสร้อยคอ

รัชกาลที่ 9 ผู้หญิงแต่งแบบไทยพระราชนิยม “ไทยจักรพรรดิ” ใช้ซิ่นไหมข้างหน้า มีชายพกเอวจีบห่มสะไบ ปักงดงาม ใช้แต่งในโอกาสพิเศษ

อ้างอิง : http://www.dek-d.com/board/view/3348032/

อาหาร คาว-หวาน ในอาเซียน

อาหารคาว

การก่อตั้งอาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประเทศสมาชิก คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม พม่า ลาว และกัมพูชา นอกจากเป็นการรวมตัวกันเพื่อช่วยพัฒนาประเทศในภูมิภาคเดียวกันแล้ว ยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอาหารการกิน

เนื่องจากแถบอาเซียนมีทรัพยากรค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีเมนูอาหารที่น่ารับประทาน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพให้เลือกมากมาย  ดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดกับอาหารรสเลิศของประเทศต่าง ๆ ทางกระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวม อาหารอาเซียน กับ 10 เมนูเด็ดของ 10 ประเทศอาเซียน ที่ห้ามพลาดมากฝากกัน ถ้าพร้อมแล้วเชิญชิม..เอ้ย..เชิญชมกันเลยจ้า

1.ประเทศไทย

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
ต้มยำกุ้ง – ประเทศไทย

ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)  แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสำหรับรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยำกุ้ง นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี

และเนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทำให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทำให้ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อยของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน

2.ประเทศกัมพูชา

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
อาม็อก – ประเทศกัมพูชา
            อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย โดยเป็นการนำเนื้อปลาสด ๆ ลวกพริกเครื่องแกง และกะทิ แล้วทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช้เนื้อปลาแล้ว อาจเลือกใช้เนื้อไก่แทนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมรับประทานปลา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของกัมพูชามีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้ปลาเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายนั่นเอง
3.ประเทศบรูไน
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
อัมบูยัต – ประเทศบรูไน
อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารยอดนิยมของบรูไน มีลักษณะเด่นอยู่ที่ตัวแป้งจะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก โดยมีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก ตัวแป้งอัมบูยัตเอง ไม่มีรสชาติ แต่ความอร่อยจะอยู่ที่การจิ้มกับซอสผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น ผักสด เนื้อห่อใบตองย่าง หรือเนื้อทอด  ทั้งนี้ การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องรับประทานตอนร้อน ๆ จึงจะดีที่สุด
4.ประเทศพม่า
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
หล่าเพ็ด – ประเทศพม่า

หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า โดยการนำใบชาหมักมาทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เรียกได้ว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเมี่ยงคำของประเทศไทย ซึ่งหล่าเพ็ดนี้ จะเป็นเมนูอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศพม่า โดยกล่าวกันว่า หากงานเลี้ยง หรืองานเฉลิมฉลองใด ไม่มีหล่าเพ็ด จะถือว่าการนั้นเป็นงานที่ขาดความสมบูรณ์ไปเลยทีเดียว

 
5.ประเทศฟิลิปปินส์

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
อโดโบ้ – ประเทศฟิลิปปินส์

อโดโบ้ (Adobo) เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ ที่ผ่านการหมัก และปรุงรส โดยจะใส่น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยอบในเตาอบ หรือทอด แล้วนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ

ในอดีตอาหารจานนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เนื่องจากส่วนผสมของอโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันอโดโบ้ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่นำมารับประทานกันได้ทุกที่ทุกเวลา

 6.ประเทศสิงคโปร์
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
ลักซา – ประเทศสิงคโปร์

ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า

 7.ประเทศอินโดนีเซีย 
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
กาโด กาโด – ประเทศอินโดนิเซีย

กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยผัก และธัญพืชหลากหลายชนิด  ทั้งแครอท มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ และไข่ต้มสุกด้วย กาโด กาโดจะนำมารับประทานกับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส อาทิ รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไปนั่นเอง

 8. ประเทศลาว
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
สลัดหลวงพระบาง – ประเทศลาว

สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาติกลาง ๆ ทำให้รับประทานได้ทั้งชาวตะวันออก และตะวันตก โดยส่วนประกอบสำคัญคือ ผักน้ำ ซึ่งเป็นผักป่าที่ขึ้นตามริมธารน้ำไหล และยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น  มันแกว แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม ผักกาดหอม และหมูสับลวกสุก ส่วนวิธีปรุงรสคือ ราดด้วยน้ำสลัดชนิดใส คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และถั่วลิสงคั่ว

9.ประเทศมาเลเซีย
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
นาซิ เลอมัก – ประเทศมาเลเซีย

นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย โดยนาซิ เลอมัก จะเป็นข้าวหุงกับกะทิ และใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น  ไข่ต้มสุก และถั่วอบ ซึ่งนาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตอง และมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทยด้วย

10.ประเทศเวียดนาม  

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
ปอเปี้ยะเวียดนาม – ประเทศเวียดนาม

เปาะเปี๊ยะเวียดนาม  (Vietnamese Spring Rolls) ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเวียดนาม ความอร่อยของเปาะเปี๊ยะเวียดนาม อยู่ที่การนำแผ่นแป้งซึ่งทำจากข้าวจ้าวมาห่อไส้ ซึ่งอาจจะเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ โดยนำมารวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม และนำมารับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย ให้เติมตามใจชอบ และบางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอย่างอื่นเพิ่มด้วย

นั่นแน่! ชักรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะคะ นอกจากจะน่ารับประทานแล้ว เมนูเหล่านี้ยังมีคุณค่าทางโภชนาการ และเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพด้วย เพราะมีส่วนผสมของพืชผักสมุนไพรเป็นหลัก แถมยังมีโปรตีนจากเนื้อสัตว์อีกต่างหาก  ถ้าใครที่มีโอกาสได้ไปเยือนประเทศต่าง ๆ ในแถบอาเซียน ก็อย่าลืมแวะเวียนไปลิ้มลองเมนูเด็ดเหล่านี้กันนะจ๊ะ

อาหารหวาน

ของหวาน ที่ใครๆ ต่างรู้จักกันดี ในเรื่องของรสชาติความหวาน มัน ที่อร่อยโดดเด่นเมื่อได้สัมผัสลิ้นนั้น
ช่างเป็นเอกลักษณ์ของของหวาน แต่ทุกคนคงยังไม่ทราบว่าของหวานชนิดใดที่เป็นของหวานประจำชาติอาเซียนแต่ละประเทศ เราจึงของนำเสนอของหวานประจำชาติอาเซียนให้ทุกคนได้รู้จักกัน

1. บัวลอย ของหวานประจำชาติ ไทย (Thailand)

บัวลอย เป็นขนมไทยที่คงไม่มีคนไทยคนไหนที่ยังไม่เคยทาน มีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ แป้ง กะทิ น้ำตาล เป็นส่วนประกอบหลักของขนมไทยแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหน อีกทั้งบัวลอยยังได้ชื่อว่าเป็นตำนานขนมของภรรยาที่รัก สามี ด้วยชีวิต

2. ขนมเบื้องญวน ของหวานประจำชาติ เวียดนาม (Vietnam)

บั๊ญแส่วหรือที่เรียกกันในประเทศไทยว่า ขนมเบื้องญวน เป็นอาหารเวียดนามลักษณะคล้ายแพนเค้กที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า น้ำ และผงขมิ้นหรือกะทิ (ในพื้นที่ภาคใต้) ยัดไส้ด้วยมันหมู กุ้ง และถั่วงอกแล้วนำมาทอดในกระทะ ตามธรรมเนียม บั๊ญแส่วจะห่อด้วยใบมัสตาร์ด ใบผักกาด หอม และยัดด้วยใบสะระแหน่ ใบโหระพา หรือสมุนไพรอื่น ๆ แล้วจิ้มด้วยเนื้อกชั้ม (น้ำปลาของเวียดนามที่มีส่วนผสมของน้ำ และมะนาว) ในภาคกลางจะรับประทานบั๊ญแส่วกับซอสเตืองซึ่งประกอบด้วยตับ ซอสฮอย ซิน และกระเทียม

3. ลอดช่องสิงคโปร์ ของหวานประจำชาติ สิงคโปร์ (Singapore)

ลอดช่องสิงคโปร์ หรือ เชนดอล เป็นขนมพื้นบ้านที่มีจุดกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นที่นิยมในอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า เวียดนาม และสิงคโปร์ผู้คนไปรับประทานจึงมักจะเรียกว่า “ลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์” จนในที่สุดตัดทอนเหลือแต่เพียง “ลอดช่องสิงคโปร์” ร้านสิงคโปร์โภชนาก็ยังขายลอดช่องสิงคโปร์อยู่จนถึงปัจจุบัน

4. เวลลาติ ของหวานประจำชาติ ฟิลิปปินส์ (Philippines)

เวลลาติ เป็นขนมพื้นเมืองของประเทศฟิลิปปินส์ จะทำมาจากมันสำปะหลังกวน ใส่สีผสมอาหารสีต่างๆลงไปเพื่อให้เกิดความสวยงาม มักรับประทานพร้อมกับข้าวเกรียบ

5. ข้าวต้มมัด ของหวานประจำชาติ พม่า (Myanmar)

ข้าวต้มมัด หรือ ข้าวต้มผัด เป็นขนมชนิดหนึ่งที่ทำด้วยข้าวเหนียวผัดกับกะทิ แล้วนำไปห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าวอ่อน ใส่ไส้กล้วย นำไปนึ่งให้สุก ทางภาคใต้ใช้ข้าวเหนียวกับน้ำกะทิ ห่อด้วยใบพ้อ เรียกห่อต้ม ถ้าห่อด้วยใบมะพร้าว และมัดด้วยเชือกเรียกห่อมัด

6. โรตี ของหวานประจำชาติ มาเลเซีย (Malaysia)

โรตี เป็นอาหารชนิดหนึ่ง ทำจากแป้ง นวดแล้วนำไปทอดหรือปิ้งเป็นแผ่นบางๆ รับประทานเป็นของหวาน หรือรับประทานพร้อมอาหารคาวอื่นๆ ก็ได้ ในประเทศไทยมักจะคุ้นกับโรตีที่ทอดเป็นแผ่นนุ่ม ราดด้วยนมข้นและน้ำตาลทราย เป็นของหวาน

7. น้ำตาลอ้อย ของหวานประจำชาติ ลาว ( Lao)

น้ำตาลอ้อย ได้มาจากการเอาน้ำอ้อยมาต้มจนงวดจะเหลือเป็นก้อน น้ำตาลสีน้ำตาลหรือแดงปนดำ มีกลิ่นหอมรสหวาน ที่แปลกไปจากน้ำตาลชนิดอื่นๆ

8. วุ้นมะพร้าว ของหวานประจำชาติ อินโดนีเซีย (Indonesia)

วุ้นน้ำมะพร้าว เป็นสารเซลลูโลส (cellulose) ที่ผลิตโดยแบคทีเรีย อาจเรียกว่า เป็น bacterial cellulose แบคทีเรียที่ใช้คือ Acetobacter xylinum วัตถุดิบหลักของการผลิต NATA decoco คือ น้ำมะพร้าวจากผลมะพร้าวแก่ หรือน้ำผลไม้เป็นวัตถุดิบ น้ำมะพร้าวอาจเป็นผลพลอยได้ (by product) จากการผลิตน้ำกะทิ (coconut milk) หรือน้ำมันมะพร้าว(coconut oil)

9. กระยาสารท ของหวานประจำชาติ กัมพูชา (Cambodia)

กระยาสารท เป็นขนมหวาน ทำจากถั่ว งา ข้าวคั่ว มาผัดกับน้ำตาล มักจะทำกันมากในช่วงสารทไทยแรม 15 ค่ำ เดือน 10 และบางท้องถิ่นนิยมรับประทานกับกล้วยไข่

10. กล้วยแขก ของหวานประจำชาติ บรูไน (Brunei)

กล้วยแขก เป็นขนมชนิดหนึ่งซึ่งปรุงโดยการนำกล้วยตัดเป็นแผ่นหรือหั่นครึ่งแล้วมาชุบน้ำแป้งซึ่งมีส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า มะพร้าวขูด งา (คั่วก่อนเพื่อเพิ่มความหอม) น้ำตาล และกะทิ แล้วจึงนำไปทอดในน้ำมันร้อนในกระทะ ใช้รับประทานเป็นอาหารว่าง ซึ่งตามปกติแล้วไทยเราก็มีกล้วยแขกขายและบริโภคจนอาจคิดว่าเป็นขนมประจำชาติของเรา

อ้างอิง : http://board.postjung.com/734281.html

:http://hilight.kapook.com/view/73514

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2559 “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม”

science-day

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วันที่ 18 สิงหาคม

พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

วันวิทยาศาสตร์ ได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอันเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” เพราะทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ

 

สุริยุปราคา 2411ภาพถ่ายขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอ เมื่อปี พ.ศ. 2411

วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี ได้มีการจัดงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นทั่วประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา โดยมีกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน เป็นหน่วยงานหลักในการจัดร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและเอกชน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 งานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้รับการขยายให้เป็นงานใหญ่ขึ้น เป็นงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โดยจะมีการจัดงานในระหว่างวันที่ 18-24 สิงหาคม
พระราชกรณียกิจทางด้านดาราศาสตร์ของรัชกาลที่ 8

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างหอดูดาวบนเขาวัง ในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ พระราชทานนามว่า “หอชัชวาลเวียงชัย” ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้เคยทอดพระเนตรดาวหาง 3 ดวงคือ

  • ดาวหางฟลูเกอร์กูส (Flaugergues s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่และมีหาง 2 หาง ปรากฏในรัชสมัย พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. 2355 ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกฏมีพระชันษาราว 8 ปี เมื่อทรงเห็นแล้ว คงจะทรงติดตามศึกษาเรื่องดาวหางอยู่เสมอ เพราะว่าก่อนดวงที่ 2 จะมาปรากฏ พระองค์สามารถทรงนิพนธ์ประกาศฉบับแรกชื่อว่า ” ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก” แจ้งแก่ประชาชน”
  • ดาวหางโดนาติ ( Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก นักดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบในคืนวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ 2401 และคืนต่อๆมา จนถึงวันที่ 4มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา ๙ เดือน) ชาวไทยคงจะเห็นด้วยตาเปล่า ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2401 ดาวหางดังกล่าวมีลักษณะเป็น 2 หาง หางหนึ่งเหยียดตรง อีกหางหนึ่งเป็นพู่โค้งสวยงามอยู่ราว 2 เดือน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่า เมื่อประชาชนเห็นดาวหางโดนาติ แล้วจะตื่นเต้นไปตามคำลือต่างๆ จึงทรงออกประกาศเตือนชื่อว่า “ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก” นับเป็นประกาศทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศ มีความว่า “ดาวหางนี้ชาวยุโรปได้เห็นมาแล้วหลายเดือน ดาวหางนี้มีคติแลทางยาวไปในท้องฟ้า แล้วก็กลับมาได้เห็นในประเทศทั้งนี้อีก เพราะเหตุนี้อย่าให้ราษฎรทั้งปวงตื่นกัน และคิดวิตกเล่าลือไปต่างๆ ด้วยว่ามิใช่จะเห็นแต่ในพระนครนี้ และเมืองที่ใกล้เคียงเท่านั้นหามิ ได้ย่อมได้เห็นทุกบ้านทุกเมืองทั่วพิภพอย่างนี้แล”
  • ดาวหางเทพบุท (Tebbut s Comet ) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่ หางยาว และสว่างกว่าดาวหางโดนาติ ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ระหว่างเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม พ.ศ. 2404 เป็นดาวที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยมากยิ่งขึ้น ถึงกับทรงได้คำนวณไว้ล่วงหน้าว่า จะปรากฏเมื่อใด และได้ทรงออกประกาศไว้ล่วงหน้า มิให้ประชาชนตื่นตระหนก ทั้งนี้เพราะพระองค์ มีพระราชประสงค์มุ่งขจัดความเชื่อ เกี่ยวกับเรื่องโชคลาง และทรงให้ราษฎรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ (ถ้าจะเกิด) อย่างมีเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์

วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

  1. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็น“พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”
  2. เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
  3. เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจและโอกาสแก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ได้แสดงผลงานต่อสาธารณชน
  4. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าภาครัฐและเอกชนในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิถีทางหนึ่งของการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

 

งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในงานได้มีการจัดกิจกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมาย เช่น นิทรรศการ ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การอภิปรายทางวิชาการ การตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การประกวดการแข่งขันต่าง ๆ เช่น โครงการทางวิทยาศาสตร์และสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

ในการจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้มีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยจะทำพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในวันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี

การจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ นับได้ว่ามีส่วนที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนคนไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

คำขวัญวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2559 ” จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม”

คําขวัญวันวิทยาศาสตร์-2559

คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2558 จุดประกายความคิด พัฒนาชิวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้าชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2557 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2556 ทันโลก ทันวิทย์ จุดประกายความคิดสู่อาเซียน
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2555 เหมือนกับช่วงปี 2553
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2554 เหมือนกับช่วงปี 2553
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2553 จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2552 วิทยาศาสตร์ก้าวไกล นำไทยก้าวหน้า
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2551 วิทยาศาสตร์สร้างชาติ สร้างอนาคต
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2550 วิทยาศาสตร์สร้างปัญญาในสังคม
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2549 เศรษฐกิจพอเพียง เคียงคู่ไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2548 วิทยาศาสตร์คือความรู้สู่ความสำเร็จ
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2547 เศรษฐกิจของชาติมีปัญหา วิทยาศาสตร์มีคำตอบ
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2546 เส้นทางแห่งการค้นพบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณค่าแห่งภูมิปัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2545 เหมือนกับช่วงปี 2544
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2544 วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทย
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2543 พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2542 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตไทยที่ยั่งยื่น
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2541 พัฒนาเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ พัฒนาชาติด้วยภูมิปัญญาไทย
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2540 พัฒนาคน พัฒนาชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2539 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาชาติไทยให้ก้าวหน้า
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2538 เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวไกล เศรษฐกิจไทยมั่นคง
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2537 ขจัดปัญหาน้ำของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2536 วิทยาศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มคุณค่าชีวิต พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2535 เปลี่ยนขาดทุนให้เป็นกำไร โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2534 ขจัดมลพิษทุกชีวิตจะปลอดภัย
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2533 เพิ่มคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คําขวัญวันวิทยาศาสตร์ 2532 พิทักษ์สิ่งแวดล้อมของชาติ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

 

มาดูประวัติวันวิทยาศาสตร์ไทยกัน>>>

อ้างอิง : http://www.tlcthai.com/education/history-of-thailand/4505.html

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๔)

 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๔)

about_kign

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชชนี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๔๗ มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ พระองค์ทรงศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่การปกครองมากมายได้แก่ ตำราพิชัยสงคราม การฝึกอาวุธวิชาคหกรรม โหราศาสตร์ และทรงโปรดวิชาภาษาต่างประเทศ เป็นพิเศษ เนื่องจากเห็นว่ามีความจำเป็นในอนาคต

1207619518

สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎยังทรงสนพระทัยในด้านพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ โดยเมื่อพระชนมายุครบผนวชพระองค์ได้ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ ทรงได้รับพระฉายาว่า “วชิรญาณภิกขุ” ประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ๓ วัน แล้วจึงเสด็จไปจำพรรษาที่วัดสมอราย (วัดราชาธิราช) หลังจากทรงผนวชได้เพียง ๒ สัปดาห์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมชนกนาถก็เสด็จสวรรคต แต่มิได้ตรัสมอบพระราชสมบัติให้กับผู้ใด พระบรมวงศานุวงศ์จึงประชุมลงมติในที่ประชุมว่าควรอัญเชิญพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติสืบแทน สมเด็จฟ้ามงกุฎจึงมิได้ทรงลาผนวช และทรงผนวชอยู่ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ ๓ ทำให้ทรงมีเวลามากมายในการศึกษาหาความรู้ในวิชาการแขนงต่างๆ จนแตกฉาน

123

 

ก่อนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคต ได้ตรัสมอบคืนพระราชสมบัติให้แก่บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ บรรดาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงประชุมกัน และมีมติอัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๓๙๔ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้วพระองค์ก็ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีฐานะเสมอเท่ากับพระเจ้าแผ่นดิน สมัยนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า มีพระมหากษัตริย์คู่แผ่นดินถึง ๒ พระองค์

 

1234

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระอัครมเหสีพระนามว่า สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี โดยมีพระนามเดิมว่า รำเพยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโอรสและพระพระราชโอรสราชธิดารวมทั้งสิ้น๔๒ พระองค์ โดยมี ๓ พระองค์ที่ประสูติจากพระอัครมเหสี ได้แก่

๑. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

๒. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑลโสภณภควดี สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระชนมายุ ๘ พรรษา

๓. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ประสูติเมื่อ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๙เป็นต้นราชสกุลจักรพันธุ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๓

๔. สมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังสีสว่างวงศ์ ประสูติเมื่อ ๑๑ มกราคม พ.ศ.                                                                        ๒๔๐๒ สิ้นพระชนม์เมื่อ ๑๓มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑ ณ วังบูรพาภิรมย์

พระราชกรณียกิจ

พระราชกรณียกิจด้านการทำนุบำรุงพระศาสนา

e0b881e0b8a3e0b8a1e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b89be0b8a7e0b980e0b8a3

ในขณะที่ทรงผนวชอยู่ ทรงจัดตั้งนิกายใหม่ เรียกว่า ธรรมยุติกนิกาย ในปี พ.ศ. ๒๓๗๒ เนื่องด้วยพระองค์ทรงผนวชอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ทรงแตกฉานเชี่ยวชาญในภาษามคธ บาลี และสันสกฤตพระองค์จึงสามารถสอบสวนข้อความต่างๆ ในพระคัมภีร์พระไตรปิฎกทุกฉบับได้โดยละเอียด ตลอดจนสามารถเรียนรู้และกำหนดจดจำตามพระอรรถกถาด้วยพระองค์เอง จึงได้ความว่า คลาดเคลื่อนจากพุทธบัญญัติเป็นอันมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด ได้ร่วมกันจัดตั้งธรรมยุติกนิกายขึ้น ซึ่งได้ทรงอนุเคราะห์สั่งสอนกุลบุตรและผู้มีศรัทธาในข้อวินัยวัตรและสุตตันตปิฎกต่างๆ อย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย จนกุลบุตรเหล่านั้นเกิดความศรัทธา ขอบรรพชาและอุปสมบทประพฤติตามธรรมยุติกนิกาย นับเป็นมหามหัศจรรย์แห่งพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

1254นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงทำนุบำรุงพระเจดีย์ เมื่อเสด็จพระธุดงค์ไปยังเมืองนครชัยศรี (จ.นครปฐม) ทรงพระราชวินิจฉัยว่าสถูปโบราณแห่งนี้มีลักษณะแตกต่างจากเจดีย์องค์ก่อนๆ ในราชอาณาจักร ด้วยความที่ทั้งใหญ่โตและเก่าแก่มาก เมื่อเสด็จขึ้นครองภูเขาทองราชแล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์เจดีย์แห่งนี้ โดยสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบองค์เดิมไว้ (เพราะพระเจดีย์เก่าทรุดโทรมและต้องการอนุรักษ์แบบของเจดีย์องค์เดิมไว้) โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อพ.ศ.๒๓๙๖ และพระราชทานนามว่า  พระปฐมเจดีย์ โดยทำการบูรณะ                                                                                          เสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้มีการทำบุญวันวิสาขบูชาขึ้นในวันเพ็ญเดือน๖ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีพระราชดำริให้สร้างภูเขาทอง โดยให้สร้างพระเจดีย์บรรจุเขี้ยวแก้วและพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้บนยอดแล้วพระราชทานนามว่า พระบรมบรรพต การสร้างพระบรมบรรพตนั้นยังไม่เสร็จสิ้นมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเสร็จสมบูรณ์

พระราชกรณียกิจด้านการทำนุบำรุงประเทศ

ถนนเจริญกรุง ในอดีต

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศมากขึ้น ทำให้บ้านเมืองในขณะนั้นดูคับแคบไป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างถนนขึ้นอีกหลายสาย เช่น ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนครเพื่อการคมนาคมภายในประเทศจะได้สะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้พระองค์ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้นที่เขามหาสมณะ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นเขามหาสวรรค์) โดยเริ่มลงมือก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ และพระราชทานพระนามพระราชวังแห่งนี้ว่า พระนครคีรี หรือที่เราคนไทยรู้จักกันดีในนาม เขาวัง นั่นเอง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง หอชัชวาลย์เวียงชัย โดยสร้างเป็นรูปวงกลม คล้ายกระโจมไฟ มีบันไดเวียนภายในขึ้นบนหลังคารูปโดมมุงด้วยกระจกโค้ง กลางคืนจุดไฟสามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงชายทะเล นักเดินเรือได้อาศัยแสงโคมนี้เป็นประภาคารนำเรือเข้าอ่าวบ้านแหลมในเวลากลางคืน ราษฎรเรียกว่า กระโจมแก้ว หอชัชวาลย์เวียงชัยแห่งนี้มีลักษณะคล้ายหอสังเกตุการณ์ทางดาราศาสตร์ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยด้านดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก

พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง

พระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งตำรวจนครบาลขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหรือ ชาวบ้านเรียกว่า หัวแดงแข้งดำ พร้อมกับทรงจัดตั้งศาลยุติธรรม และโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น โดยได้ทรงประกาศพระราชบัญญัติและกฎหมายต่างๆ มากมายถึง ๕๐๐ ฉบับ

พระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์

สุริยุปราคา

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์อย่างมากทรงสามารถคำนวณวันเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาล่วงหน้าถึง ๒ ปีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำพระองค์จึงทรงเป็นนักดาราศาสตร์ไทยคนแรกที่สามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาปวงชนชาวไทยจึงได้ถวายพระราชสมัญญาให้พระองค์เป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย โดยกำหนดให้วันที่พระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคา (๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๑) เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ นอกจากนี้ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีดาวหางปรากฏถึง ๓ ดวง ได้แก่ ดาวหางฟลูเกอร์กูส์ ดาวหางโดนาติ และดาวหางเทบบุท

พระที่นั่งภูวดลทัศไนย

ในปีพ.ศ.๒๓๙๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้าง พระที่นั่งภูวดลทัศไนย เพื่อใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของไทย พระที่นั่งภูวดลทัศไนยนี้เป็นอาคารทรงยุโรป สูง ๕ ชั้น ด้านบนติดนาฬิกาใหญ่ทั้ง ๔ ด้าน ตั้งอยู่บนเส้นแวงที่ ๑๐๐ องศา ๒๙ ลิปดาตะวันออก ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งทางวิทยาศาสตร์ชุดแรกของไทย

 

พระราชกรณียกิจด้านประเพณีและวัฒนธรรม

เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจในความต้องการของประชาชนว่าต้องการที่จะเข้าเฝ้าเพื่อชมพระบารมีอย่างใกล้ชิดและเปิดเผย เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงยกเลิกพิธีการห้ามประชาชนเข้าเฝ้าหรือจ้องมองพระเจ้าแผ่นดิน และเลิกบังคับให้ประชาชนปิดประตูหน้าต่างสองข้างทางที่เสด็จพระราชดำเนินผ่านและโปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนเข้าเฝ้าได้โดยทั่วถึง พร้อมกับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนถวายฎีการ้องทุกข์กับพระองค์ได้อีกด้วย

พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

เซอร์จอห์น เบาริ่ง

เมื่อเริ่มต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นยุคที่ประเทศมหาอำนาจนิยมลัทธิการล่าอาณานิคมเป็นอย่างมาก โดยอาศัยวิธีการทูตเข้ามาขอเจรจาทำสัญญา ซึ่งประเทศมหาอำนาจเหล่านี้จะได้รับผลประโยชน์มากมาย และถ้าหากประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าไม่ยอมทำตามสัญญา ประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นก็จะใช้กำลังบังคับให้ยอมปฏิบัติตาม ซึ่งก็กระทำสำเร็จมาแล้วหลายประเทศทั้งในเอเชียและแอฟริกาใต้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประเมินสถานการณ์และกำลังของประเทศแล้ว จึงทรงยอมผ่อนปรนติดต่อกับประเทศตะวันตก และทรงใช้นโยบายทางการทูตยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อรักษาเอกราชของประเทศ โดยทรงทำสนธิสัญญากับประเทศตะวันตกเหล่านั้น

ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศไทย โดยสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระบรมราชินีนาถแห่งอังกฤษ ได้ส่งราชทูตชื่อ เซอร์ จอห์น เบาริง นำพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการเข้ามาขอเจริญพระราชไมตรีด้วยในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ ซึ่งสนธิสัญญาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระนามกับประเทศอังกฤษในครั้งนั้น เป็นที่รู้จักกันดีในนาม สนธิสัญญาเบาริง

นอกจากนี้ไทยยังทำสนธิสัญญาในทำนองเดียวกันนี้กับ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เยอรมนี อิตาลีเนเธอแลนด์ และประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย เช่น สวีเดฯ และนอร์เวย์ ซึ่งการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง ได้แก่

๑. ทำให้ประเทศไทยรักษาความเป็นเอกราชได้ตลอดมา

๒. การยกเลิกระบบการค้าผูกขาดมาเป็นการค้าแบบเสรีทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว

๓. การติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ ทำให้ไทยมีโอกาสได้รับวิทยาการอันทันสมัยเข้ามาใช้พัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

พระราชกรณียกิจด้านการเปลี่ยนชื่อประเทศ

ในปีพ.ศ. ๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า ควรเปลี่ยนชื่อประเทศจากกรุงศรีอยุธยาเป็นสยามเนื่องจากกรุงศรีเป็นชื่อของราชธานีเดิมเมื่อเปลี่ยนที่ตั้งราชธานีแล้วควรเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่ เพื่อเป็นการแสดงให้รู้ว่ามีการย้ายเมืองหลวงมาตั้งในสถานที่ใหม่แล้ว

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับจากการทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่บ้านหว้ากอ จ. ประจวบคีรีขันธ์ พระองค์ทรงประชวรด้วยโรคไข้ป่า และเสด็จสวรรคตเมื่อถึงพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ รวมมีพระชนมายุ ๖๔ พรรษา รวมระยะเวลาที่ทรงครองราชย์สมบัตินาน ๑๗ ปีเศษ พระองค์ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ด้วยมีพระปรีชาสามารถอย่างมากในด้านวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้พระองค์ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงพิมพ์ เพื่อจัดพิมพ์ราชกิจจานุเบกษาสร้างโรงกษาปณ์เพื่อผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นใช้แทนเงินพดด้วง อีกทั้งมีพระราชกรณียกิจที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายประการ เช่น ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างถนนขึ้นมาใหม่หลายสาย ทรงริเริ่มให้มีการจัดตั้งนิกายใหม่ทางพุทธศาสนา ชื่อว่าธรรมยุติกนิกาย รวม ถึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามขึ้นมาใหม่ เนื่องด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จึงได้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้น ณ บริเวณด้านหน้ากระทรวงเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

เกร็ดความรู้

114

พระสยามเทวาธิราช

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่เผอิญให้มีเหตุให้รอดพ้นภยันตรายมาได้เสมอ คงจะมีเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ สมควรที่จะทำรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นสักการะบูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ ปั้นหล่อเทวรูปสมมติขึ้น ถวายพระนามว่า พระสยามเทวาธิราช ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งทรงธรรมในหมู่พระที่นั่งพุทธมณเฑียร ในพระอภิเนาว์นิเวศน์ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า พระอภิเนาว์นิเวศน์พระพุทธมณเฑียร และพระที่นั่งทรงธรรมซึ่งเป็นโครงสร้างเสาไม้หุ้มปูนที่ได้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก ยากที่จะบูรณะให้คงสภาพเดิมไว้ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อลงทั้งหมด และอัญเชิญพระสยามเทวาธิราชไปประดิษฐานไว้ ณ พระวิมานทองสามมุขเหนือลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตราบจนถึงทุกวันนี้

 

อ้างอิง : http://www.chaoprayanews.com/2009/03/14/