เที่ยวพิจิตรลัดเลาะเซาะประวัติศาสตร์ริมน้ำน่าน

Page image

เที่ยวพิจิตรลัดเลาะเซาะประวัติศาสตร์ริมน้ำน่าน

สวัสดีค่ะ พบกันอีกเช่นเคยกับ Go North Thailand เราจะอาสาพาคุณไปรู้จักกับที่เที่ยวสวยๆ ของภาคเหนือให้คุณผู้อ่านได้หมุนเปลี่ยนเวียนไปพบกับแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดต่างๆ ซึ่งในวันนี้ก็มาถึงคิวของจังหวัดที่ตั้งอยู่ภาคเหนือตอนล่างที่เราคุ้นชื่อกันดีอย่างจังหวัดพิจิตร ที่แต่เดิมใช้คำว่า พิจิตร์ มีความหมายว่า เมืองงาม ถือเป็นเมืองเก่าแก่ในสมัยสุโขทัยในรัชสมัยพระยาลิไทนั้นเรียกกันว่าเมืองสระหลวง ต่อมาในสมัยอยุธยารัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโอฆะบุรี ซึ่งแปลว่า เมืองในท้องน้ำ ถือได้ว่าเป็นเมืองค่อนข้างมีความสำคัญมาแต่โบราณ จะสังเกตได้ว่าชื่อต่างๆ ของพิจิตรนั้น ล้วนแล้วแต่มีความหมายเกี่ยวกับน้ำทั้งสิ้น เพราะด้วยเป็นเมืองที่มีแม่น้ำผ่านถึงสองสาย คือ แม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน โดยแม่น้ำน่านนั้นไหลผ่านจากเหนือจรดใต้  อีกทั้งยังมีบึงสีไฟซึ่งเป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ลำดับต้นๆ ของไทย มีห้วย หนอง คลอง บึง อีกจำนวนมากและยังมีตัวเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่านอีกด้วย จึงอาจเรียกได้ว่าพิจิตรเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ริมน้ำน่านก็คงไม่ผิดนัก

อุทยานเมืองเก่าพิจิตร

Page image

เมื่อพูดถึงความเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ริมน้ำน่านของพิจิตรแล้ว ก็คงต้องชวนคุณผู้อ่านมาเที่ยวที่อุทยานเมืองเก่าพิจิตรกันค่ะ อุทยานเมืองเก่าพิจิตร ตั้งอยู่ที่บ้านเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตร ห่างจากตัวเมืองพิจิตรในปัจจุบันประมาณ 7 กิโลเมตร เชื่อกันว่าเดิมทีเป็นที่ตั้งของเมืองพิจิตรเก่า ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยของพระยาโคตรบองราวปี พ.ศ. 1601 ภายในกำแพงเมืองมีพื้นที่มากถึง 400 ไร่เศษ มีลักษณะเป็นเมืองโบราณประกอบไปด้วย กำแพงเมือง คูเมือง เจดีย์เก่า มีโบราณสถานตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยาให้ได้ชม มีสวนรุกขชาติกาญจนกุมารซึ่งกรมป่าไม้ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2520 ทำให้ภายในบริเวณอุทยานแห่งนี้ร่มรื่นมากเลยละค่ะ เหมาะสำหรับมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ภายในอุทยานยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นอีก เช่น ศาลหลักเมือง วัดมหาธาตุ ถ้ำชาละวัน และเกาะศรีมาลา

ศาลหลักเมือง

Page image

สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2520 ตัวอาคารแบ่งออกเป็น 2 ชั้น  ศาลหลักเมืองจะอยู่ชั้นบน ส่วนด้านล่างนั้นประดิษฐานรูปปั้นของพระยาโคตรบองผู้สร้างเมืองพิจิตรหรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่าพ่อปู่ ทุกวันจะมีชาวพิจิตรและผู้คนจากจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมาสักการะเพื่อเป็นศิริมงคลเกือบตลอดเวลาเลยละค่ะ

วัดมหาธาตุ

Page image

เป็นโบราณสถานก่อด้วยอิฐพิกัดอยู่กึ่งกลางเมืองพิจิตรเก่า กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2478 ประกอบไปด้วยพระธาตุเจดีย์ทรงลังกา ด้านหน้าเป็นที่ตั้งของวิหารเก้าห้องด้านหลังเป็นพระอุโบสถมีใบเสมา 2 ชั้น มีรากไทรเกาะอยู่ที่หน้าบันหลังคาถูกต้นไม้ล้มทับหักลงมาองค์พระก็พลอยโค่นลงมาด้วยเหลือเพียงแต่ฐานอิฐสูงและเมื่อ พ.ศ. 2534 กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งบริเวณใต้เนินดินส่วนวิหาร จึงได้พบสิ่งก่อสร้าง 2 ยุคด้วยกันคือสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา บริเวณโดยรอบพบเจดีย์รายจำนวนมากและยังพบแนวกำแพงขนาดใหญ่อีกด้วยค่ะ

ถ้ำชาละวัน

Page image

ที่ถ้ำนี้มีเรื่องเล่าว่าเมื่อราว 65 ปีก่อน พระภิกษุวัดนครชุมรูปหนึ่งจุดเทียนไขเดินเข้าไปในถ้ำจนกระทั่งเทียนหมดเล่มก็ยังไปไม่ถึงก้นถ้ำ ปัจจุบันนี้ลักษณะถ้ำกว้างเพียง 1 เมตร ยาว 1.5 เมตร ลึก 4 เมตร อันเนื่องมาจากการพังทลายของดินและการทับถมตามกาลเวลานั่งเองค่ะ ทางจังหวัดยังได้สร้างรูปปั้นไกรทองและชาละวันไว้ที่บริเวณปากถ้ำ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ตามรอยวรรณคดีไว้อีกด้วย

เกาะศรีมาลา

Page image

มีลักษณะเป็นมูลดินคล้ายเกาะเล็กๆ อยู่กลางคูเมืองนอกกำแพงเก่ามีคูล้อมรอบเกาะแต่ไม่ลึก สันนิษฐานกันว่าในอดีตน่าจะเป็นป้อมหรือหอคอยรักษาการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะตั้งอยู่นอกเมืองและอยู่กลางคูเมืองนั่นเอง

บึงสีไฟ (อุทยานพรรณไม้ สถานที่แสดงพันธ์ุปลา)

Page image

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดพิจิตรที่เรียกได้ว่าถ้ายังไม่มา แสดงว่ายังมาไม่ถึงพิจิตรจริงๆ ค่ะ บึงสีไฟตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร มีอาณาเขตติดต่อกับ 4 ตำบลในอำเภอเมืองพิจิตร ได้แก่ ตำบลท่าหลวง ตำบลโรงช้าง ตำบลคลองคะเชนทร์ และตำบลเมืองเก่า บึงมีความลึกเฉลี่ยประมาณ 1.5 – 2 เมตร ซึ่งความลึกนั้นถือว่าไม่มากนักแต่ขนาดนี่สิคะจัดเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของไทยเลยทีเดียว ด้วยเนื้อที่กว่า 5,390 ไร่ มีสภาพของระบบนิเวศซับซ้อนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำและพันธุ์ไม้น้ำ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกต่างๆ ทั้งนกถิ่นและนกอพยพ ถือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญของชาวพิจิตร บรรยากาศรอบๆ บึงสีไฟมีความสงบสวยงามตามธรรมชาติ ถือเป็นจุดชมทิวทัศน์ตอนพระอาทิตย์ตกที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วยค่ะ

Page image

ภายในบึงสีไฟมีสถานที่น่าสนใจต่างๆ เช่น สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ หรือที่ชาวพิจิตรเรียกกันติดปากว่า ศาลาเก้าเหลี่ยม ด้วยลักษณะของอาคารที่เป็นรูปดาวเก้าแฉกยื่นลงไปในบึงสีไฟ ภายในอาคารนี้มีตู้จัดแสดงพันธุ์ปลามากกว่า 20 ชนิดด้วยกันและมีการสับเปลี่ยนชนิดของปลาเป็นประจำค่ะ ตรงส่วนกลางของอาคารสร้างไว้เป็นช่องเปิดเพื่อชมปลาในบึงสีไฟได้ด้วย ซึ่งมีพันธุ์ปลาชนิดต่างๆ มาชุมนุมเป็นจำนวนมาก ใครที่มาเที่ยวอยากจะให้อาหารปลาตรงจุดนี้ก็เหมาะมากเลยละค่ะ

สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์

Page image

สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษาเมื่อ พ.ศ. 2527 มีเนื้อที่ 170 ไร่ เป็นสวนพักผ่อนริมบึงสีไฟ มีสะพานทอดลงน้ำสู่ศาลาใหญ่ที่จัดไว้เป็นที่พักผ่อน นักท่องเที่ยวนิยมมาให้อาหารปลาและชมพระอาทิตย์ตกกันค่ะ

รูปปั้นพญาชาละวัน

Page image

ตำนานจระเข้ใหญ่ชื่อ พญาชาละวัน ที่ออกอาละวาดกินผู้คนก่อนจะถูกปราบลงด้วยฝีมือของไกรทอง รูปปั้นดังกล่าวตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของบึงสีไฟ มีความยาวถึง 38 เมตร กว้าง 6 เมตร สูง 5 เมตร ถือเป็นรูปปั้นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยละค่ะ และภายในรูปปั้นพญาชาละวันยังมีห้องประชุมขนาด 25-30 ที่นั่งอยู่ด้านในอีกด้วยนะคะ

พิพิธภัณฑ์บ้านดงโฮจิมินห์

Page image

พิพิธภัณฑ์บ้านดงโฮจิมินห์ จังหวัดพิจิตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบชุมชนของตำบลป่ามะคาบ ถือป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของคนไทยที่มีต่อชาวเวียดนามที่สานสัมพันธ์กันมายาวนานกว่าร้อยปีเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติของไทย แสดงให้เห็นถึงการหล่อหลอมรวมกันของสองวัฒนธรรมอันแตกต่างได้อย่างกลมกลืน ใครที่ชื่นชอบการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ไม่ควรพลาดนะคะ แม้ที่นี่จะเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กพื้นที่ไม่มากนัก แต่กลับอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไว้เต็มเปี่ยม ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตและเรื่องราวของประธานโฮจิมินห์บุคคลตัวอย่างของโลก ซึ่งบางท่านอาจจะยังไม่รู้มาก่อนว่าท่านเคยอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วย

Page image

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 6,400 ตารางเมตร เดิมทีพื้นที่ตรงนี้เป็นสุสานของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามตั้งอยู่บริเวณใจกลางบ้านดง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญและน้ำใจของคนที่นี่ต่อประธานโฮจิมินห์และชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาอาศัยที่บ้านดง ภายในแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 9 โซน ได้แก่ โซนสายสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม โซนบ้านดงในอดีต โซนโฮจิมินห์ ผู้ปลดแอกเวียดนาม โซนภูมิศาสตร์บ้านดง จังหวัดพิจิตร โซนชุมชนบ้านดง โซนภารกิจลับที่บ้านดง โซนการเคลื่อนไหวในสยาม โซนบากบั่นปลดแอก และโซนวีรบุรุษ นอกจากนี้ยังมีบ้านจำลองของประธานโฮจิมินห์ โดยตั้งอยู่ด้านนอกอาคารจัดแสดงเป็นบ้านยกพื้นสูง ภายในตัวบ้านมีรูปปั้นของประธานโฮจิมินห์และหิ้งบูชา รวมถึงของใช้ส่วนตัวที่ท่านเคยใช้ เช่น ตู้ไม้ ตะเกียงน้ำมันเก่า เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สนุกได้ประโยชน์ เหมาะแก่การเรียนรู้สำหรับทุกเพศทุกวัย ควรค่าแก่การมาเยือนค่ะ

ย่านเก่าวังกรดและบ้านหลวงประเทืองคดี

Page image

ถ้าคุณผู้อ่านได้มาเที่ยวจังหวัดพิจิตรเมื่อไหร่ละก็ ห้ามพลาดเลยนะคะกับย่านเก่าวังกรดชุมชนห้องแถวไม้ 100 ปี หรือที่ชาวบ้านพิจิตรเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า ตลาดวังกรด นั่นเองค่ะ ย่านเก่าวังกรดนั้นตั้งอยู่ในเขต ตำบลบ้านบุ่ง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร อยู่ห่างตัวเมืองพิจิตรไปเพียง 6 กิโลเมตรเท่านั้นค่ะ ที่นี่เป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนประกอบอาชีพค้าขายมาตั้งแต่ในอดีตถือเป็นศูนย์กลางการค้าขายแห่งใหญ่ของพิจิตร เนื่องจากเป็นจุดตัดทางการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำนับว่ามีความทันสมัยเป็นอย่างมาก มีทั้งร้านถ่ายรูป ร้านตัดเสื้อ ร้านซ่อมนาฬิกา หรือแม้กระทั่งโรงภาพยนตร์  จนเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองตลาดถูกโจมตีด้วยระเบิดเสียหายอย่างหนัก เมื่อสิ้นสุดสงครามได้มีการฟื้นฟูตลาดวังกรดขึ้นอีกครั้ง แต่ด้วยหลายปัจจัยทำให้เศรษฐกิจของตลาดวังกรดซบเซาลงอย่างรวดเร็ว ลูกหลานชาวตลาดส่วนใหญ่ก็ไปหางานที่อื่นทำ บ้างก็เลิกกิจการไป หรือย้ายไปเปิดใหม่ในตัวเมืองแทน แต่ก็ยังมีร้านค้าที่ดำเนินกิจการต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตหลงเหลืออยู่บ้าง

Page image

ปัจจุบัน ย่านเก่าวังกรด กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่โดดเด่นด้วยมนต์เสน่ห์ เหมือนเดินย้อนเวลาสู่วันวาน โดดเด่นจนได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 12 ประจำปี 2562 Thailand Tourism Award 2019 สาขาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเลยทีเดียว ถ้ามาที่ย่านเก่าวังกรดโดยรถไฟก็จะพบได้กับสถานีรถไฟสวยงามดูย้อนยุค ที่ด้านหน้าสถานีจะพบหอนาฬิกาประดับธงราวโบกสะบัดโดดเด่นสวยงามซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ เพราะเมื่อมองจากบริเวณนี้ไม่ว่าซ้ายว่าขวาหรือตรงหน้าจะเห็นห้องแถวไม้โบราณเรียงแถวเป็นแนวยาวนับร้อยห้องถือเป็นสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิคที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัวของย่านเก่าวังกรด ข้าวของเครื่องใช้ที่เคยใช้ในอดีตยังมีให้เห็นและยังถูกใช้งาน ใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพรับรองว่าถูกใจแน่นอน

Page image

และหากได้มาถึงชุมชนเก่าวังกรดแล้วละก็ ห้ามพลาดชมความงดงามของ บ้านหลวงประเทืองคดี ซึ่งเป็นบ้านของคหบดีเก่าของวังกรด ผู้ซึ่งได้ริเริ่มและสนับสนุนให้คนในชุมชนสร้างตลาดขึ้นที่นี่ บ้านหลวงประเทืองคดีเป็นอาคารปูนที่สร้างขึ้นเป็นหลังแรกของชุมชน ที่นี่มีความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบอาคาร ซึ่งปัจจุบันนี้ บ้านหลวงประเทืองคดีได้รับการบูรณะเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ประวัติความเป็นมาของชุมชนอีกด้วย สำหรับสายชอปชมชิม ตลาดแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นถิ่นของกินอร่อยอุดมไปด้วยร้านอาหารจานเด็ดมากมายให้เลือกชิมตามความชอบ ซึ่งแต่ละร้านล้วนแล้วแต่มีสูตรที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นทั้งนั้น ของดีมีครบถ้วนทั้งอาหารตา อาหารสมองและกระเพาะแบบนี้ เห็นทีจะไม่มาไม่ได้แล้วละค่ะ

วัดโพธิ์ประทับช้าง

Page image

วัดโพธิ์ประทับช้างตั้งอยู่ตำบลโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2242-2244 ในสมัยพระพุทธเจ้าเสือพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 29 ในสมัยอยุธยา และพระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซึ่งโปรดฯให้สร้างวัดในบริเวณที่เป็นสถานที่ประสูติของพระองค์ ลักษณะของวัดมีพระวิหารสูงใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ 2 ชั้น เป็นศิลปะแบบอยุธยา ปัจจุบันได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากกรมศิลปากรเพื่ออนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชม ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปหลวงพ่อโต หน้าตักกว้าง 4 ศอก กว้าง 5 ศอก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ซึ่งเป็นพระประธานประจำอุโบสถ หลวงพ่อโตหรือหลวงพ่อยิ้มเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านในจังหวัดพิจิตรให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก หลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น สมัยกรุงศรีอยุธยาอายุกว่า 300 ปี ซึ่งองค์ปัจจุบันนี้เป็นการซ่อมแซมบูรณะขึ้นใหม่ หลังจากที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากถูกต้นไม้โค่นทับจนเศียรและองค์พระหักลง ชาวบ้านจึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งยังคงศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือสืบมาจวบจนปัจจุบัน นอกจากนี้ ชาวอำเภอโพธิ์ประทับช้างยังได้สร้างอนุสาวรีย์พระพุทธเจ้าเสือไว้เป็นที่ระลึกข้างที่ว่าการอำเภอโพธิ์ประทับช้างอีกด้วย

วัดเขารูปช้าง

Page image

วัดเขารูปช้างตั้งอยู่ที่ตำบลดงป่าคำตามเส้นทางสายพิจิตร-ตะพานหิน สร้างขึ้นปี พ.ศ. 2244 พร้อมกับวัดโพธิ์ประทับช้าง โดยสมุหนายกผู้ควบคุมไพร่พลโยธามาสร้างวัดโพธิ์ประทับช้าง พบว่าภูเขาส่วนยอดมีลักษณะเหมือนรูปช้างเห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะที่จะสร้างวัด และสร้างที่พักอยู่บนที่สูงเพื่อตรวจภูมิประเทศดูแลความปลอดภัยของไพร่พลไปด้วย เมื่อสร้างเสร็จแล้วให้ชื่อว่า “วัดเขารูปช้าง” ตามลักษณะหินสีขาวที่ซ้อนกันอยู่นั่นเอง สถาปัตยกรรมบนยอดเขาโบสถ์ วิหาร พระพุทธรูป พระปรางค์เจดีย์เป็นแบบสมัยอยุธยา ต่อมาราวปี พ.ศ. 2300 จึงได้มีการสร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุเพิ่มขึ้นไว้บนส่วนหัวของรูปช้างในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาเจ้าฟ้ามงกุฎหรือรัชกาลที่ 4 ในสมัยยังทรงผนวชเป็นภิกษุได้เสด็จธุดงค์เมืองนครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย สวรรคโลก และอุตรดิตถ์ ทรงแวะประทับที่วัดเขารูปช้างเพื่อร่วมฉลองวิหารเมื่อวันที่ 22–26 มกราคม พ.ศ. 2376 จึงนับได้ว่าวัดเขารูปช้างแห่งนี้ พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้สร้างและพระเจ้าแผ่นดินยังได้ทรงมาประทับร่วมฉลองวิหารอีกด้วย 

เมื่อมาถึงเราอยากชวนคุณเดินขึ้นไปบันไดนาคที่สูง 136 ขั้น สู่ลานกว้างบนยอดเขากันค่ะ นอกจากจะได้ชมเจดีย์เก่าที่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อย่างสวยงาม โดยประดับกระเบื้องเคลือบสีทองทั้งองค์ มีรั้วรอบองค์เจดีย์และทางวัดยังได้สร้างวิหารใหญ่ขึ้นอีกหลัง โดยมีเจดีย์เก่าแบบลังกาทรงเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา นอกจากนี้ ยังมีมณฑปแบบจตุรมุขหลังเก่าอยู่ไม่ไกลกันนัก ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสำริดและภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องไตรภูมิพระร่วงด้วยค่ะ นอกไปจากความสวยงามของวัดเรายังจะได้มองเห็นวิวเมืองพิจิตรและตัวเมืองตะพานหินได้แบบรอบทิศทางอีกด้วยนะคะ ถ้ามาช่วงเย็นจะได้ชมแสงอาทิตย์ฉาบแสงทิวทัศน์ด้านล่างสวยงามมากเลยละค่ะ

บ้านเก่าเสาปั้นจั่น

Page image

เป็นแหล่งเรียนรู้ใหม่ในอำเภอตะพานหิน ลักษณะเป็นแหล่งเรียนรู้กึ่งพิพิธภัณฑ์ กึ่งแกลลอรี่โดยแต่ละจุดในบ้านรวบรวมของเก่าของหายาก ของโบราณที่บางชิ้นอาจไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน มาจัดแสดงเพื่อให้เห็นถึงรากเหง้าของ “ชุมชนตะพานหิน" บ้านเก่าเสาปั้นจั่นดึงดูดผู้คนมาจากทั่วสารทิศ ใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพนี่ถือเป็นจุดเช็คอินสุดชิคของอำเภอตะพานหินเลยทีเดียว เพราะที่นี่ถ่ายภาพออกมาสวยทุกมุมไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของบ้าน ยิ่งเป็นคนที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรมโบราณ และของโบราณท้องถิ่นเห็นแล้ว ละก็ ได้หลงเสน่ห์บรรยากาศบ้านเก่าเสาปั้นจั่นแน่นอน บ้านเก่าเสาปั้นจั่นนั้นเป็นชื่อท่าเรือส่งสินค้าของอำเภอตะพานหินในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยตัวอาคารนั้นเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น หลังคาเป็นสังกะสี วางผังเป็นอาคารแบบจีนมีอายุเกือบ 70 ปี บูรณะซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้กับคนรุ่นหลังได้มาศึกษาเรียนรู้ศิลปะและวัฒนธรรม ได้ชมอาคารบ้านเรือนโบราณที่ยังคงเหลืออยู่ในชุมชนตะพานหินแห่งนี้ รับรองว่าถ้าใครได้มานอกจากได้ภาพสวยสมใจ ยังได้ความสนุกและได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน