คำ�นำ�
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ
อธิบดีกรมป่าไม้
ความหลากหลายทางชีวภาพมีความส าคัญอย่างยิ่ง เกี่ยวข้องกับการด ารงชีวิตของมนุษย์
โดยเป็นปัจจัยพื้นฐานอันส าคัญไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ท าให้
มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุกมากขึ้นเป็นล าดับ แต่ปัจจุบันการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์
เป็นผลให้มีความต้องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพที่อยู่ในระบบ
นิเวศต่างๆ ซึ่งท าให้ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นลดลง และบางชนิดพันธุ์ได้สูญหายไปโดยเฉพาะ
....ระบบนิเวศป่าไม้
การลดลงของพื้นที่ป่าไม้ไม่เพียงแต่พื้นที่ป่าที่หายไปเท่านั้น ความหลากหลายของพืช
สัตว์ และจุลินทรีย์ก็หายไปด้วยเช่นกัน ท าให้เราสูญเสียปัจจัยส าคัญของการด ารงชีวิต สูญเสีย
แหล่งทรัพยากรพันธุกรรมและโอกาสที่จะน ามาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ต่อไป สูญเสียแหล่ง
ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ช่วยลดโลกร้อน แหล่งอากาศบริสุทธิ์(ออกซิเจน) แหล่งดูดซับน้ าและ
แหล่งผลิตน้ า แหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต และอื่นๆ
ในปี พ.ศ. 2557 กรมป่าไม้ได้ก าหนดเป้าหมายและด าเนินการในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าล าน้ าน่านฝั่งขวา อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งอดีตเป็นพื้นที่ป่าที่ได้รับสัมปทานท าไม้
มาก่อน และมีผลการด าเนินงานเป็นที่ชื่นชมและน่าพอใจ ดังนั้นกรมป่าไม้จึงได้จัดท าหนังสือ
“ป่าล้าน ้าน่านฝั่งขวา ความหลากหลายทางชีวภาพของผืนป่าหลังสัมปทานท้าไม้” ขึ้น ที่มีทั้ง
เนื้อหาข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพทั้ง พืช สัตว์ แมลง เห็ดรา ไลเคนและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของสังคมป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของพรรณพืชและ
สัตว์ป่า การสูญเสียปริมาณการกักเก็บน้ า การสูญเสียปริมาณและมูลค่าการกักเก็บ
คาร์บอนไดออกไซด์ของเนื้อไม้ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและ
ภาคเอกชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้น าไปใช้ประโยชน์ต่อไป
จากความสำคัญดังกล่าว กรมป่าไม้ซึ่งดูแลและรักษาป่าไม้ของประเทศได้มอบหมายให้
กลุ่มงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้สำ นักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้จัดทำฐานข้อมูล
ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าไม้เพื่อใช้เป็นข้อมูลของฐานทรัพยากรป่าไม้ที่มีคุณค่า
และความสำคัญเกี่ยวข้องกับการดำ รงชีวิต เพื่อใช้ในการวิเคราะห์วางแผน วิจัยต่อยอดในเชิงลึก
ในด้านต่างๆ ได้แก่อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การแพทย์และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
CONTENTSป่
า
ลำ
น้ำน่
านฝั่งขว
า
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพของผืนป่
าหลังสัมปท
านทำไม้
บอกกล่
าวเล่
าคว
า
ม
ป่
าสงวนแห่งช
าติป่
า
ลำ
น้ำน่
านฝั่งขว
า
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพของผืนป่
าหลังสัมปท
านทำไม้
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพที่สูญห
ายไปจ
ากอดีต
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพในปัจจุบัน
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพด้
านพืช
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพด้
านสัตว์
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพด้
านแมลง
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพด้
านเห็ดร
า
คว
ามหล
ากหล
ายท
างชีวภ
าพด้
านไลเคน
ภูมิปัญญ
าท้องถิ่นต้นทุนของแผ่นดิน
เรื่องเล่
า
จ
ากพื้นที่
เอกส
ารอ้
างอิง
ดัชนีชื่อไทย
ดัชนีชื่อวิทย
า
ศ
าสตร์
คณะทำ
ง
า
น
12
10
14
20
25
131
235
337
387
437
463
475
480
484
489
25 131 235
337 387 437
ดร.สุรางค์ เธียรหิรัญ
หัวหน้ากิจกรรมอนุรักษ์และพัฒนาด้าน
ความหลากหลายทางชีวภาพ
บอกกล่าว เล่าความ
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มที่43
ที่ทางทีมงานตั้งใจท�ำเพื่อสื่อให้เห็นคุณค่า
ของความหลากหลายทางชีวภาพ ความรู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ชุมชนอยู ่คู ่กับป ่าและ
ผืนป ่าที่ทุกคนต้องช ่วยกันดูแลและใช้
ประโยชน์ร่วมกัน
...............
ผืนป่าเป็นของทุกคนค่ะ
สวัสดีค่ะ ทุกๆท่าน กลุ่มงานความหลาก
หลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ยังคงเสนอเรื่องราวดีๆ
ข้อมูลดีๆ น ่าสนใจเกี่ยวกับการท�ำงานด้านความ
หลากหลายทางชีวภาพ ภายใต้กิจกรรม อนุรักษ์
และพัฒนาด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
ในปีนี้“2557” เราได้ไปท�ำงานที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา อ�ำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
ร ่วมกับชุมชนบ้านห้วยเจริญ ชุมชนบ้านน�้ำต๊ะ
เจ้าหน้าที่ป้องรักษาป่าที่อต.1(ท่าปลา)และโรงเรียน
เจริญราษฎร์อุปถัมภ์
ผืนป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวาเคยได้รับสัมปทาน
ท�ำไม้สัก ก ่อนการประกาศจัดตั้งเป็นป ่าสงวน
แห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา ตั้งแต่ปี2515 และ
หยุดการท�ำไม้ในปี2532 ซึ่งเป็นปีประกาศยกเลิก
การให้สัมปทานท�ำไม้ทั่วประเทศไทย ต้นไม้ใหญ่
ที่ถูกตัดออกไปยังให้เห็นตอไม้อยู่บ้าง เช่น ไม้สัก
ไม้ยาง ไม้มะค่าโมง ซึ่งตอเหล่านี้มีขนาดใหญ่มาก
แสดงให้เห็นว่าในอดีตป่าผืนนี้เป็นป่าที่สมบูรณ์มาก
ดังนั้น จึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้“ป่าล�ำน�้ำน่าน
ฝั่งขวา ความหลากหลายทางชีวภาพของผืนป่า
หลังสัมปทานท�ำไม้”
ภายในหนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาเรื่องราวดีๆ
ของพื้นที่ป่าที่ได้รับสัมปทานไปแล้วว่าเป็นอย่างไร
เราสูญเสียอะไรและควรพื้นฟูป่าอย่างไรความหลาก
หลายทางชีวภาพในปัจจุบันเป็นอย่างไร
1
2 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 3
ความเป็นมา
2515 - 2536 2541 - 2551
2556
ปี 2515 ป่าผืนนี้ องค์การอุตสาหกรรม
ป่าไม้ ได้รับท�ำสัมปทานท�ำไม้สัก ตั้งแต่วันที่
30 มีนาคม 2515 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม
2545 โดยใช้ชื่อป่าผืนนี้ว่า “ป่าโครงการ
ล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา”
ปี 2541 ประกาศพื้นที่ตอนบนบางส่วน
เป็นอุทยานแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่าน
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2541
ปี 2543 ประกาศให้พื้นที่ตอนบนด้าน
ทิศตะวันตกเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม
2543
ปี 2551 ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่าน
ฝั่งขวา มีเนื้อที่ 176,169.45 ไร่ แบ่งพื้นที่
ออกเป็น 2 โซน คือโซนที่ 1 เรียกว่าโซน
ป่าผาเลือด (ต�ำบลผาเลือด ต�ำบลร่วมจิต
ต�ำบลท่าปลา ต�ำบลหาดล้า)
มีเนื้อที่ 51,093.66 ไร่ และโซนที่ 2
เรียกว่า โซนป่าน�้ำหมัน (ต�ำบลน�้ำหมัน
ต�ำบลนางพญา ต�ำบลจริม ต�ำบลขุนฝาง)
มีเนื้อที่ 125,075.78 ไร่
ปี 2556 ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา มีเนื้อที่ 122,598.57 ไร่ มีพื้นที่ป่าลดลง
จากปี 2551 จ�ำนวน 53,570.88 ไร่ แบ่งเป็น
โซนป่าผาเลือด มีเนื้อที่ 42,777.68 ไร่ ลดลง 8,315.98 ไร่ คิดเป็น 16.28 %
โซนป่าน�้ำหมัน มีเนื้อที่ 79,820.88 ไร่ ลดลง 45,254.9 ไร่ คิดเป็น 36.18 %
ปี 2522ได้มีการประกาศกฎกระทรวง
ฉบับที่ 862 ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ประกาศจัดตั้ง
ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา ตั้งอยู่ที่
ต�ำบลบ้านนาขาม ต�ำบลผาจุก อ�ำเภอเมือง
จังหวัดอุตรดิตถ์ และต�ำบลน�้ำหมัน ต�ำบล
ท่าปลา ต�ำบลนางพญา ต�ำบลจริม ต�ำบล
หาดล้า ต�ำบลผาเลือด อ�ำเภอท่าปลา จังหวัด
อุตรดิตถ์ มีเนื้อที่ ประมาณ 361,875 ไร่
ปี 2532ได้มีประกาศยกเลิกสัมปทาน
ท�ำไม้สัก โครงการป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ปี 2536 มอบพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมบางส่วน
ให้กับส�ำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการ
เกษตรกรรม
4 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 5
ขอบเขตจังหวัดอุตรดิตถ์
ป่าล�ำน�้ำน่าน
ฝั่งขวา
6 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
โซนที่ 1
แผนที่ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
โซนที่ 2
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 7
Zone 1
Zone 2
อ�ำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
โซนที่ 1
พื้นที่ที่ไม่มีสภาพเป็นป่าแล้ว
ขอบเขตป่าสงวน ปี 2551
พื้นที่ป่า ปี 2556
8 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ทีมส�ำรวจโซนป่าผาเลือด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 9
ทีมส�ำรวจโซนป่าน�้ำหมัน
10 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ความหลากหลายทางชีวภาพของผืนป่าหลัง
สัมปทานท�ำไม้
ปี 2557......กรมป่าไม้ ได้ส�ำรวจความหลากหลาย
ทางชีวภาพของพื้นที่ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา จังหวัด
อุตรดิตถ์ ซึ่งในอดีตปี 2515-2532 เป็นพื้นที่สัมปทาน
ท�ำไม้สัก ตั้งแต่นั้นมาป่าผืนนี้มีการเปลี่ยนแปลง
จ�ำนวนพื้นที่ป่าลดลง พื้นที่บางส่วนเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่ง
ของอุทยานแห่งชาติล�ำน�้ำน่าน พื้นที่อยู่อาศัยของ
ชุมชน และพื้นที่เกษตรกรรม
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 11
โซนป่าน�้ำหมัน ชาวบ้าน
อาสาที่อยู่บ้านน�้ำต๊ะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่
รอบผืนป่านี้ บอกกับพวกเราว่ายังมีป่าดิบ
เขาบนยอดเขาอยู่ แต่เมื่อทางทีมงานเดิน
ไปในพื้นที่นั้น ที่ความสูง 800 เมตร จาก
ระดับน�้ำทะเล เราก็ยังไม่พบป่าดิบเขาเลย
อย่างไรก็ตามในการส�ำรวจครั้งนี้เราพบ
ค้อ ( Livistona speciosa Kurz) 5 ต้น
ขางขาว (Xanthophllum virens
Roxb.) 2 ต้น และจ�ำปีป่า (Magnolia
baillonii Pierre) 3 ต้น ซึ่งเป็นพันธุ์พืชที่
พบได้ในป่าดิบเขา ดังนั้นการพบพืชกลุ่มนี้
จึงน่าจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพื้นที่ป่าบริเวณนี้
เป็นป่าดิบเขามาก่อน สอดคล้องกับข้อมูล
การแปลตีความภาพถ่ายทางอากาศปี
2543 ของกรมป่าไม้ ที่แสดงให้เห็นว่า
บริเวณนี้เป็นป่าดิบเขา เนื่องจากพื้นที่นี้ได้
ท�ำสัมปทานไม้สัก จึงท�ำให้ต้นไม้ใหญ่
หลายชนิดถูกตัดออกไปด้วย เมื่อต้นไม้
ใหญ่หายไป พื้นที่นี้จึงมีความชื้นน้อยลง
อุณหภูมิสูงขึ้น สภาพป่าจึงมีการ
เปลี่ยนแปลงจากป่าดิบเขา เป็นป่า
เบญจพรรณ ดังนั้นในปี 2557 พื้นที่ป่า
โซนน�้ำหมัน เราจึงพบแต่สังคมพืชป่า
เบญจพรรณ เท่านั้น ประกอบกับชาวบ้าน
เข้าใช้พื้นที่ปลูกกล้วยเป็นจ�ำนวนมาก จึง
เป็นการยากที่ระบบนิเวศป่าเดิมจะคืนมา
สังคมป่าเปลี่ยนไป
ค้อ
จ�ำปีป่า
ขางขาว
12 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
การฟื้นฟูป่า
หลังจากยกเลิกสัมปทานไม้สัก ในปี
2532 และในปี 2549 ได้เกิดอุทกภัย
ดินถล่มในพื้นที่หมู่บ้านน�้ำต๊ะและหมู่บ้าน
น�้ำลี ต่อมาได้มีการฟื้นฟูป่าจากหลาย
หน่วยงาน มีการปลูกป่าไม้สักเป็นจ�ำนวน
มาก ซึ่งเป็นพืชเชิงเดี่ยว จึงท�ำให้ระบบ
นิเวศป่าเดิมเปลี่ยนไป ประกอบกับชุมชน
เข้าไปท�ำไร่กล้วยและปลูกยางพาราใน
พื้นที่เป็นจ�ำนวนมาก
ดังนั้นในการฟื้นฟูป่าในพื้นที่ป่าหลัง
สัมปทานท�ำไม้ พื้นที่ป่าที่เกิดอุทกภัย
พื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกแผ้วถาง หรือพื้นที่ป่า
เสื่อมโทรม ไม่ควรน�ำพืชเชิงเดี่ยวเข้ามา
ปลูกทดแทน หรือปลูกเป็นสวนป่า โดย
เฉพาะพื้นที่ที่เป็นภูเขาและเป็นแหล่งต้นน�้ำ
ซึ่งจะท�ำให้ความหลากหลายทางชีวภาพ
ของสังคมพืชป่าดั้งเดิมหายไป ควรน�ำ
ชนิดพันธุ์พืชที่มีอยู่เดิมในพื้นที่เข้าไปปลูก
เสริมในป่า เพื่อให้ระบบนิเวศป่าคืนมา
เหมือนเดิม ซึ่งจะเป็นการฟื้นฟูป่าที่แท้จริง
และเป็นการอนุรักษ์ความหลากหลายทาง
ชีวภาพ ลดการสูญเสีย และเพิ่มโอกาส
ในการน�ำทรัพยากรความหลากหลายของ
พันธุกรรมในพื้นที่มาใช้ประโยชน์ใน
อนาคต
จากข้อมูลนี้ กรมป่าไม้เห็นความส�ำคัญที่
จะต้องฟื้นฟูป่าเดิมให้กลับคืนมาเพื่อเป็น
พื้นที่ต้นน�้ำที่ผลิตน�้ำ เป็นพื้นที่เก็บกักน�้ำเพื่อ
อุปโภค บริโภคของทุกคน โดยให้หน่วยงาน
ในพื้นที่ น�ำข้อมูลชนิดพันธุ์พืชดั้งเดิมเข้าไป
ปลูกทดแทนและเสริมในพื้นที่ นี่เป็น
ตัวอย่างหนึ่งของการน�ำข้อมูลความหลาก
หลายทางชีวภาพมาใช้บริหารจัดการฟื้นฟู
พื้นที่ป่า
เมื่อป่าคืนสภาพกลับมาเหมือนเดิม ความ
หลากหลายของพรรณพืช สัตว์ แมลง
เห็ดรา ไลเคน จุลินทรีย์ในดิน ก็จะมีมากขึ้น
ท�ำให้ในอนาคต เรามีโอกาสเห็นป่าดั้งเดิม
ในอดีต ที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่า
นี้ต่อการด�ำรงชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นแหล่ง
น�้ำ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม เครื่อง
ใช้ไม้สอย อากาศบริสุทธิ์ และอื่นๆ อีก
มากมาย ลดความเสียหายจากภัยพิบัติ
น�้ำท่วม ดินถล่ม เหมือนที่เคยเกิดขึ้น ในพื้นที่
นี้มาก่อน ดังนั้นจึงเป็นการฟื้นฟูป่าอย่าง
แท้จริง และรักษาป่าเดิมได้อย่างยั่งยืน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 13
โซนป่าน�้ำหมันปัจจุบันยังคงเป็นแหล่งต้นน�้ำที่ส�ำคัญ โดยยังคงมีตาน�้ำ
ในป่า เรียกว่าน�้ำซับ ซึ่งกว้างประมาณ 2 เมตรไหลซึมขึ้นมาจากพื้นดิน
ตลอดเวลา และไหลลงสู่ล�ำห้วยน�้ำต๊ะ ล�ำห้วยน�้ำรี และลงสู่เขื่อนสิริกิติ์
แหล่งต้นน�้ำ
ดังนั้น...ถ้าผืนป่านี้กลับมา
อุดมสมบูรณ์เป็นป่าดังเดิม
เหมือนในอดีตก่อนสัมปทานท�ำ
ไม้ เราคงมีป่าที่สามารถเก็บกัก
น�้ำที่ส�ำคัญและช่วยแก้ไขปัญหา
น�้ำท่วม น�้ำแล้ง ได้อย่างยั่งยืน
น�้ำซับ
14 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ความหลากหลายทางชีวภาพ
...ของพรรณพืชที่สูญหายไปจากอดีต
ข้อมูลสภาพป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา อ�ำเภอท่าปลา
จังหวัดอุตรดิตถ์ จากการแปลภาพถ่ายดาวเทียม ปี พ.ศ. 2556 ป่าล�ำน�้ำน่าน
ฝั่งขวามีพื้นที่หายไปจากปี 2551 จ�ำนวน 53,570.88 ไร่ แบ่งเป็นโซน
ป่าผาเลือด เนื้อที่ 8,315.98 ไร่ และโซนป่าน�้ำหมัน เนื้อที่ 45,254.90 ไร่
เราสามารถหาการสูญเสียของพรรณพืชที่หายไปได้ โดยเปรียบเทียบชนิด
ป่าที่หายไปจากข้อมูลการวางแปลงตัวอย่างส�ำรวจสังคมพืช ดังนี้
พรรณพืช
แบ่งตาม
การใช้ประโยชน์
พรรณไม้ที่หายไป
(ต้น)
เต็งรัง เบญจพรรณ
พืชสมุนไพร 313,235 127,943
พืชอาหาร 155,232 381,481
ที่อยู่อาศัย 1,388,769 46,952
เครื่องใช้สอย 651,418 188,980
ไม้ดอกไม้ประดับ 224,531 64,558
พืชอื่นๆ 188,496 230,062
โซนป่าผาเลือด
พรรณพืช
แบ่งตาม
การใช้ประโยชน์
พรรณไม้ที่หายไป
(ต้น)
เบญจพรรณ
พืชสมุนไพร 1,644,261
พืชอาหาร 4,902,614
ที่อยู่อาศัย 603,399
เครื่องใช้สอย 2,428,680
ไม้ดอกไม้ประดับ 829,673
พืชอื่นๆ 2,956,653
โซนป่าน�้ำหมัน
ชนิดป่าที่หายไปในพื้นที่ 8,315.98 ไร่ ชนิดป่าที่หายไปในพื้นที่ 45,254.90 ไร่
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 15
ชนิดป่าที่หาย
ไปในพื้นที่
8,315.98 ไร่
จ�ำนวน
พรรณไม้
ที่หายไป
(ล้านต้น)
ปริมาณการกัก
เก็บน�้ำ (ล้าน
ลูกบาศก์เมตร)
ปริมาณการกักเก็บ
คาร์บอนไดออกไซด์
ของเนื้อไม้ (ตัน)
มูลค่าของการกักเก็บ
คาร์บอนไดออกไซด์
ของเนื้อไม้
(ล้านบาท)
เต็งรัง 2.92 1.92 48,703.92 38.65
เบญจพรรณ 1.04 3.48 100,484.77 79.73
การสูญเสียความสามารถในการกักเก็บน�้ำ
ชนิดป่าที่หาย
ไปในพื้นที่
45,254.90
ไร่
จ�ำนวน
พรรณไม้
ที่หายไป
(ล้านต้น)
ปริมาณการกัก
เก็บน�้ำ (ล้าน
ลูกบาศก์เมตร)
ปริมาณการกักเก็บ
คาร์บอนไดออกไซด์
ของเนื้อไม้ (ตัน)
มูลค่าของการกักเก็บ
คาร์บอนไดออกไซด์
ของเนื้อไม้
(ล้านบาท)
เบญจพรรณ 13.37 18.91 440,601.69 349.62
จ�ำนวนพรรณพืชที่หายไปโดยใช้ข้อมูลการวางแปลงส�ำรวจพรรณพืชในชนิดป่าต่างๆ
ข้อมูลการกักเก็บน�้ำของพื้นที่ป่าแต่ละชนิดป่า
ที่มา ส่วนวิจัยต้นน�้ำ ส�ำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน�้ำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์
พืช (http://www.dnp.go.th/watershed/waterholding/waterholding.htm#table)
ในการค�ำนวณมูลค่าของการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของเนื้อไม้ ใช้ราคา 793.5 บาท/ตัน
ที่มา : งานวิจัยเรื่อง แบบจ�ำลองเพื่อประเมินมูลค่าป่าต้นน�้ำ ของ ดร.พงษ์ศักดิ์
วิทวัชชุติกุล
และพิณทิพย์ ธิติโรจนวัฒน์ ปี 2552
CO2
มูลค่าและการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์...ของเนื้อไม้
โซนป่าน�้าหมัน
โซนป่าผาเลือด
16 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
สัตว์ป่า คือ สิ่งมีชีวิตที่เป็นองค์
ประกอบหนึ่งของความหลากหลายทางชีวภาพ บางชนิด
สามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า เช่น นกเงือก
เป็นนกที่ชอบอาศัยและท�ำรังตามต้นไม้ใหญ่ หากต้นไม้ถูกท�ำลายนกเงือก
ก็ไม่มีแหล่งอาศัยจึงต้องอพยพไป เพื่อความอยู่รอดสัตว์ป่ามีบทบาทส�ำคัญในระบบ
นิเวศหากสัตว์ป่าถูกคุกคาม หรือ สูญพันธุ์จะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่ทางตรง
ก็ทางอ้อม ตัวอย่างเช่น การล่าเก้ง กวาง และสัตว์อื่นๆ เป็นจ�ำนวนมาก เพื่อเป็นอาหาร
ของมนุษย์ส่งผลให้สัตว์กินเนื้อ เช่น เสือโคร่งสูญหายไปจากพื้นที่ป่าได้เช่นกันเนื่องจากไม่มี
เก้งและกวางที่เป็นอาหารของเสือโคร่ง
การสญู
เสียความหลากหลายทางชว
ี
ภาพ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา ในอดีตเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่งทาง
ภาคเหนือของประเทศไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ป่าแห่งนี้มีการจัดท�ำ
สัมปทานไม้และมีผู้คนได้เข้ามาอาศัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท�ำให้ต้นไม้ในพื้นที่ป่า
ถูกตัดโค่น และมีการแผ้วถางป่าเพื่อเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ส่งผลให้พื้นที่ป่า
ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยและพืชอาหารของสัตว์ป่ามีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว
จนท�ำให้สัตว์ป่าหลายชนิดที่เคยพบเจอในอดีตกลับพบเจอ
ได้ยากและบางชนิดสูญหายไปจากพื้นที่
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวาแห่งนี้ไปแล้ว
ด
้านสัตว์ปา่
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 17
ล�ำดับ ชื่อทั่วไป ชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 เลียงผา Common Serow Capricornis sumatraensis
Bovidae
2 หมาจิ้งจอก Golden Jackal Canis aureus Canidae
3 หมาใน Dhole Cuon alpinus Canidae
4 ลิงวอก Rhesus
Macaque
Macaca mulatta Cercopithecidae
5 ลิงกัง Pig-tailed
Macaque
Macaca nemestrina Cercopithecidae
6 ลิงอ้ายเงี้ยะ Assamese
Macaque
Macaca assamensis Cercopithecidae
7 ค่างแว่น
ถิ่นเหนือ
Phayre’s Langur Semnopithecu
phayrei
Cercopithecidae
8 กวางป่า Sambar Cervus unicolor Cervidae
9 เก้งหม้อ Fea’s muntjac Muntiacus feae Cervidae
10 เก้งธรรมดา Muntjac Muntiacus muntjak Cervidae
11 เสือไฟ Asian Golden Cat Catopuma temminckii Felidae
12 เสือดาว Leopard Panthera pardus Felidae
13 เสือโคร่ง Tiger Panthera tigris Felidae
14 เสือปลา Fishing Cat Prionailurus
viverrinnus
Felidae
15 แมวดาว Leopard Cat Prionailurus
bengalensis
Felidae
กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
รายชื่อสัตว์ป่าที่เคยพบในอดีต การสญู
เสียความหลากหลายทางชว
ี
ภาพ
18 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อทั่วไป ชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
16 ชะนีธรรมดา White-handed
Gibbon
Hylobates lar Hylobatidae
17 เม่นหางพวง Brush-tailed
Porcupine
Atherurus macrourus Hystricidae
18 ลิงลม Slow Loris Nycticebus coucang Lorisidae
19 ลิ่นชวา Sunda Pangolin Mangolin javanica Manidae
20 หมูหริ่ง Hog Badger Arctonyx collaris Mustelidae
21 หมาหริ่ง Large-toothed
Ferret Badger
Melogale personata Mustelidae
22 กระรอก
ท้องแดง
Pallas’s Squirrel Callosciurus
erythraeus
Sciuridae
23 พญากระรอก
ด�ำใหญ่
Black Giant
Squirrel
Ratufa bicolor Sciuridae
24 หมีควาย Asiatic Black Bear Ursus thibetanus Ursidae
25 หมีหมา Sun Bear Ursus malayanus Ursidae
26 หมีขอ Binturong Arctictis binturong Viverridae
27 ชะมดเช็ด Small lndian
Civet
Viverricula indica Viverridae
28 ชะมดแผง
หางปล้อง
Large Indian
Civet
Viverra zibetha Viverridae
29 อีเห็นข้างลาย Common Palm
Civet
Paraboxurus hermaphroditus
Viverridae
30 อีเห็นหน้าขาว Three-striped
Palm Civet
Arctogalidia trivirgata Viverridae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 19
กลุ่มนก
ล�ำดับ ชื่อทั่วไป ชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 นกแก๊ก Oriental Pied
Hornbill
Anthracoceros
albirostris
Bucerotidae
2 นกมูม Mountain
Imperial Pigeon
Ducula badia Columbidae
3 นกเขาเปล้า
ธรรมดา
Thick-billed
Green Pigeon
Treron curvirostra Columbidae
4 นกเปล้า
ขาเหลือง
Yellow-footed
Green Pigeon
Treron
phoenicoptera
Columbidae
5 นกตะขาบดง Dollarbird Eurystomus orientalis Coraciidae
6 นกเขียวคราม Asian Fairy
Bluebird
Lrena puella Lrenidae
7 ไก่ฟ้าพญาลอ Siamese Fireback Lophura diardi Phasianidae
8 นกหกเล็ก
ปากแดง
Vernal Hanging
Parrot
Loriculus vernalis Psittacidae
9 นกกะลิง Grey-headed
Parakeet
Psittacula finschii Psittacidae
10 นกแก้วหัวแพร Blossom-headed
Parakeet
Psittacula roseata Psittacidae
ล�ำดับ ชื่อทั่วไป ชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 เต่าใบไม้ Asian Leaf Turle Cyclemys dentate
complex
Platysernidae
2 เต่าใบไม้ท้องด�ำ Black-breasted
Leafturle
Geoemyda
spengleri
Platysernidae
กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน
20 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ในปี พ.ศ. 2557
จากการส�ำรวจความหลากหลาย
ทางชีวภาพในพื้นที่ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ที่ยังคงสภาพเป็นป่าอยู่นั้น พบว่า ป่าใน
พื้นที่แบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนป่าผาเลือด
และโซนป่าน�้ำหมัน ป่าผืนนี้ประกอบ
ไปด้วยป่าเบญจพรรณ
ป่าเต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 21
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ภูมิปัญญาท้องถิ่น 3 สาขา 12 เรื่อง
ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ
พรรณพืช 108 313 426
สัตว์ป่า 100 167 211
แมลง 50 171 204
เห็ดรา 23 41 83
ไลเคน 19 35 58
วงศ์
วงศ์
วงศ์
วงศ์
วงศ์
สกุล
สกุล
สกุล
สกุล
สกุล
ชนิด
ชนิด
ชนิด
ชนิด
ชนิด
22 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
พบที่ระดับความสูงประมาณ
200-480 เมตร จากระดับน�้ำทะเล
ลักษณะ ป่าค่อนข้างโปร่ง ความโตของต้น
มีขนาดใหญ่แต่ต้นไม้ขึ้นห่างๆ กัน พบ
ไม้ไผ่ขึ้นปะปน เช่น ไผ่ซาง ไผ่ข้าวหลาม
เป็นต้น มีไม้ผลัดใบหลายชนิด เช่น
ประดู่ป่า มะค่าโมง แดง ชิงชัน กระพี้จั่น
กระพี้เขาควาย เป็นต้น กล้วยไม้ที่พบ
เช่น เข็มขาว เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด
เอื้องนิ่มดอกเหลือง เอื้องดอกมะขาม
เขาแพะ กะเรกะร่อน เป็นต้น
ค่าดัชนีความส�ำคัญทางนิเวศวิทยา
(Important value index : IVI)
แปลงตัวอย่างขนาด 40×40 เมตร จ�ำนวน 3
แปลง พบไม้ใหญ่ (Tree) จ�ำนวน 449 ต้น
มีพรรณไม้ทั้งหมด 54 ชนิด พรรณไม้เด่น คือ
ประดู่ป่า (Pterocarpus macrocarpus Kurz)
สัก (Tectona grandis L.f.) แดง (Xylia
xylocarpa (Roxb.) Taub. var. kerrii (Craib
& Hutch.) I.C.Nielsen) ตะคร้อ (Schleichera
oleosa (Lour.) Oken และ งิ้วป่า (Bombax
anceps Pierre var. anceps) ที่มีค่าดัชนีความ
ส�ำคัญทางนิเวศวิทยาเป็น 43.56, 39.02, 21.52,
17.59 และ 11.66 ตามล�ำดับ
ป่าเบญจพรรณ
(โซนป่าผาเลือด)
ชนิดป่าและพรรณพืช
ป่าเบญจพรรณ (Mixed Dipterocarp Forest)
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 23
พบที่ระดับความสูงประมาณ
100-550 เมตร จากระดับน�้ำทะเล
ลักษณะ พื้นที่มีความลาดชันสูง มีสังคม
ป่าเบญจพรรณที่มีการฟื้นตัว ท�ำให้ต้นไม้
มีขนาดเล็กและขึ้นหนาแน่น พบไม้ไผ่ขึ้น
ปะปน เช่น ไผ่ซาง ไผ่ไร่ เป็นต้น มีพรรณไม้
หลายชนิด เช่น ชิงชัน เม่าสร้อย มะไฟป่า
ขี้เหล็กฤาษีปอเต่าไห้กาสามปีก กุ๊ก
โมกมัน เป็นต้น กล้วยไม้ที่พบ เช่น
เอื้องมังกร เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด เป็นต้น
ป่าเบญจพรรณ
(โซนป่าน�้ำหมัน)
ค่าดัชนีความส�ำคัญทางนิเวศวิทยา
(Important value index : IVI)
แปลงตัวอย่างขนาด 40×40 เมตร จ�ำนวน
3 แปลง พบไม้ใหญ่ (Tree) จ�ำนวน 653 ต้น
มีพรรณไม้ทั้งหมด 61 ชนิด พรรณไม้เด่น คือ
เม่าสร้อย (Antidesma acidum Retz.)
ปอแก่นเทา (Grewia eriocarpa Juss)
ติ้วขน (Cratoxylum formosum (Jack)
Dyer subsp. pruniflorum (Kurz) Gogel)
พฤกษ์(Albizia lebbeck (L.) Benth.)
และ กุ๊ก (Lannea coromandelica
(Houtt.) Merr.) ที่มีค่าดัชนีความส�ำคัญทาง
นิเวศวิทยาเป็น 83.71, 18.91, 17.83, 16.03
และ 15.93 ตามล�ำดับ
24 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ค่าดัชนีความส�ำคัญทางนิเวศวิทยา
(Important value index : IVI)
แปลงตัวอย่างขนาด 40×40 เมตร จ�ำนวน 3
แปลง พบไม้ใหญ่ (Tree) จ�ำนวน 876 ต้น มี
พรรณไม้ทั้งหมด 49 ชนิด พรรณไม้เด่น คือ
เต็ง (Shorea obtusa Wall. ex Blume)
รัง (Shorea siamensis Miq.) กระทุ่มเนิน
(Mitragyna rotundifolia (Roxb.) Kuntze)
กุ๊ก (Lannea coromandelica (Houtt.)
Merr.) และ ประดู่ป่า (Pterocarpus
macrocarpus Kurz) ที่มีค่าดัชนีความส�ำคัญ
ทางนิเวศวิทยาเป็น 69.49, 45.24, 22.10,
19.19 และ 17.31 ตามล�ำดับ
พบที่ระดับความสูงประมาณ
100-250 เมตร จากระดับน�้ำทะเล ลักษณะ
เป็นป่าโปร่ง การกระจายตัวของสังคมป่า
เต็งรังเริ่มจากตีนเขาไปจนถึงสันเขา ต้นไม้
ขึ้นห่างๆ กันมีลักษณะแคระแกร็น ป่ามี
ความแห้งแล้งมากในฤดูแล้งและมีไฟป่าเกิด
ขึ้นทุกปีดินมีลักษณะเป็นหินและดินทราย
พรรณไม้ที่พบ เช่น เต็ง รัง พลวง รักใหญ่
มะขามป้อม กระทุ่มเนิน กุ๊ก เป็นต้น
กล้วยไม้ที่พบ เช่น ช้างกระ ก้างปลา
เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด เป็นต้น
ป่าเต็งรัง
(โซนป่าผาเลือด)
ป่าเต็งรัง (Dry Dipterocarp Forest)
PLANT
26 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาไม่สูงชัน
มีความสูงประมาณ 100-500 เมตร จากระดับ
น�้ำทะเล แนวสันเขาลาดชันไม่มาก มีล�ำห้วย
ขนาดเล็กตามเชิงเขาหลายสาย ไหลรวมกันลงสู่
แม่น�้ำน่าน สภาพพื้นที่เป็นดินทรายมีหินโผล่
บางส่วน สังคมพืชเป็นป่าเบญจพรรณและ
ป่าเต็งรัง พบต้นไม้ขนาดใหญ่เป็นจ�ำนวนมาก
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นท่่ีนี้ยังไม่ได้เข้ามาท�ำไม้
พรรณไม้ที่พบใน ป่าเบญจพรรณ ได้แก่ตะลุมพุก
สัก ประดู่ป่า แดง ขันทองพยาบาท และรกฟ้า
เป็นต้น พรรณพืชที่พบในป่าเต็งรัง ได้แก่ เต็ง รัง
พลวง เหียง และขว้าว เป็นต้น พื้นที่ป่าบริเวณ
นี้ได้มีการจัดตั้ง ป่าชุมชนบ้านห้วยเจริญ
มีเนื้อที่1,800 ไร่ อยู่ในความดูแลของชุมชน
หมู่บ้านห้วยเจริญ ต�ำบลผาเลือด ชุมชนพึ่งพิงการ
ใช้ประโยชน์จากป่า ได้แก่ผักหวานป่า ไม้ไผ่
หนอนรถด่วน และเห็ด เป็นต้น
ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชันมาก
มีความสูงประมาณ 100-1,000 เมตร จากระดับ
น�้ำทะเล แนวสันเขามีความลาดชันมาก มีล�ำห้วย
ขนาดเล็ก มีเส้นทางเดินสามารถเดินตัดออกได้
หลายเส้นทาง สภาพพื้นที่เป็นดินหินตะกอน
ผุง่าย มีชั้นดินหนาง่ายต่อการเกิดดินถล่ม สังคม
พืชเป็นป่าเบญจพรรณ มีต้นไม้หนุ่มขึ้นหนาแน่น
พบร่องรอยสัมปทานท�ำไม้ในอดีตอย่างชัดเจน
พรรณพืชที่พบต่างจากโซนป่าผาเลือด ได้แก่ค้อ
ขี้เหล็กฤาษีมะไฟป่า โพบาย สะแล่งหอมไก๋
มะฝ่อ และเฟิน เป็นต้น พื้นที่โดยรอบถูกเปลี่ยน
เป็นสภาพพื้นที่เกษตร เช่น ข้าวโพด สวนกล้วย
มะม่วงหิมพานต์และยางพารา เป็นต้น ชุมชน
โดยรอบป่ามีอาชีพเกษตรกรรม มีการพึ่งพิงใช้
ประโยชน์จากของป่า ได้แก่ตองกง ไม้ไผ่ น�้ำผึ้ง
เห็ด บอน ดอกก้าน และสะแล เป็นต้น
โซนป่าผาเลือด
โซนป่าน�้ำหมัน
ความหลากหลายของพืช
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
27
เช่น หิ่งหนู ถั่วขน โหนดดิน หางหมา สลัด
มูกเตี้ยน้อย กะหน๊าด ตองลาย เป็นต้น
สมุนไพร 128 ชนิด เช่น โสมไทย ดีหมี
ยอป่า สมอไทย มะดูก เนระพูสีไทย รางจืด
ว่านมหาเมฆ ว่านขันหมาก ชิงชี่ เป็นต้น
อาหาร 92 ชนิด เช่น มะหวด ล�ำไยป่า
งิ้ว กลอย บอนเต่า มะเดื่อปล้อง คอแลน
แห้วประดู่ กระเจียวขาว มันเสา เป็นต้น
สร้างที่อยู่อาศัย 27 ชนิด เช่น พะยูง
ส้านหิ่ง กระดูกค่าง กระพี้เขาควาย สักหิน
ซ้อ ขว้าว ส้านใบเล็ก ฉนวน รกฟ้า เป็นต้น
เครื ่องใช้สอย 61 ชนิด เช่น ค�ำแสด ค้อ
คราม ตะขบควาย มะเกลือ ตะคร�้ำ ล�ำพูป่า
ปอกระสา กระแจะ ลิเภาป่า ตองงุม เป็นต้น
ไม้ดอกไม้ประดับ 68 ชนิด เช่น พันจ�ำ
เข็มขาว ปีบ ด้าง แพ่งเครือ ข้าวเหนียวลิง
ทองเดือนห้า ชายผ้าสีดา ช้างกระ เป็นต้น
ไม่มีข้อมูลการใช้ประโยชน์50 ชนิด
ความหลากหลายของพืช
พบ 426 ชนิด แบ่งออกเป็น
พืชหายาก (TRD: Plants (2006)) 2ชนิด คือ เขือง และสีดาบุนทา
TRD : Thailand Red Data
PLANT
28 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Wallichia siamensis Becc. วงศ์ Arecaceae
ปาล์มขนาดเล็ก แตกกอขึ้นเป็นกลุ่มหนาแน่น มีเส้นใยของกาบใบปกคลุมหนาแน่น ใบประกอบ
แบบขนนกชั้นเดียว ยาว 1.5-2.8 เมตร ขอบใบหยักไม่เป็นระเบียบ มีผงสีน�้ำตาลแดงปกคลุม
กาบใบยาว 30-50 เซนติเมตร ช่อดอกแยกเพศร่วมต้น ช่อดอกเพศเมียอยู่ใกล้ปลายยอด
กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ผลรูปรีถึงมนรีสีแดงหรือม่วง พบเฉพาะในประเทศไทย ตามป่าดิบเขา
เขือง
พืชหายาก
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
29
Madhuca floribunda (Pierre) H.J.Lam วงศ์ Sapotaceae
ไม้ต้น เปลือกเรียบเกลี้ยง สีน�้ำตาล แตกกิ่งก้านตั้งฉากกับล�ำต้นและกิ่งเดิม ใบเดี่ยว เรียงเวียน
สลับ คล้ายเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง รูปใบหอกกลับถึงรูปไข่กลับแกมขอบขนาน ด้านบนสีเขียว
ด้านล่างสีอ่อนกว่า ดอกออกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก ตามซอกใบ กลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบดอก
8 กลีบ ผลสดรูปกลมหรือรูปรีมี1-4 เมล็ด กลีบเลี้ยงติดทน พบตามป่าเบญจพรรณ
สีดาบุนทา
พืชหายาก
PLANT
30 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
รายชื่อความหลากหลายของพรรณพืช
พืชสมุนไพร
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
1 อังกาบ Barleria cristata L. Acanthaceae รากเป็นยาขับปัสสาวะ
2 สังกรณี Barleria strigosa
Willd.
Acanthaceae รากเป็นยาแก้ร้อนใน
ดับพิษไข้
3 เข็มม่วง Eranthemum album
Nees
Acanthaceae ต้นและรากต้มน�้ำดื่ม
ต้านอนุมูลอิสระ
4 รางจืด Thunbergia laurifolia
Lindl.
Acanthaceae ใบและรากใช้ถอนพิษ
ยาฆ่าแมลง
5 พันงู Achyranthes aspera
L.
Amaranthaceae ต้นใช้ขับประจ�ำเดือน
ขับปัสสาวะ
6 เครือข้าว
ตอก
Aerva sanguinolenta
Blume
Amaranthaceae ทั้งต้นต้มน�้ำดื่มแก้
เบาหวาน บ�ำรุงโลหิต
7 ผักขม
หนาม
Amaranthus
spinosus L.
Amaranthaceae รากแก้อาการช�้ำใน
แก้จุกเสียด
8 หญ้าพันงู
แดง
Cyathula prostrata
Blume
Amaranthaceae ต้นใช้ขับปัสสาวะ
ดอกใช้ขับเสมหะ
9 มะม่วงหัว
แมงวัน
Buchanania lanzan
Spreng.
Anacardiaceae เปลือกต้นต้มน�้ำดื่มแก้
อักเสบจากพืชพิษ
10 ธนนไชย Buchanania
siamensis Miq.
Anacardiaceae ล�ำต้นและรากต้มน�้ำ
ดื่มแก้ผิดส�ำแดง
11 กุ๊ก Lannea
coromandelica
(Houtt.) Merr.
Anacardiaceae เปลือกแก้ปวดฟัน
โซนป่าผาเลือด โซนป่าน�้าหมัน โซนป่าผาเลือดและโซนป่าน�้าหมัน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
31
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
12 สะแกแสง Cananga latifolia
(Hook.f. & Thomson)
Finet & Gagnep.
Annonaceae รากแก้พิษไข้เซื่องซึม
13 หางรอก Miliusa velutina
(Dunal) Hook.f. &
Thomson
Annonaceae เปลือกต้มน�้ำ น�ำน�้ำ
มาอมรักษาอาการ
ปากเปื่อย
14 ยางโอน Polyalthia viridis
Craib
Annonaceae เปลือกต้มดื่มเป็น
ยาแก้ปวด
15 ระย่อม Rauvolfia serpentina
(L.) Benth. ex Kurz
Apocynaceae รากต้มดื่มแก้ไข้
และลดความดัน
16 โมกมัน Wrightia arborea
(Dennst.) Mabb.
Apocynaceae ดอกเป็นยาระบายช่วย
ขับลม
17 ว่าน
ขันหมาก
Aglaonema simplex
Blume
Araceae ใช้เป็นยาระงับอาการ
ภูมิแพ้
18 หูหมี Thottea tomentosa
(Blume) Ding Hou
Aristolochiaceae ใช้เป็นยาชูก�ำลัง
19 อบเชย
เถา
Atherolepis pierrei
Costa var. glabra
Kerr
Asclepiadaceae รากใช้ปรุงเป็นยาหอม
แก้อาการหน้ามืด
20 กระเพาะ
ปลา
Finlaysonia maritima
Backer ex K.Heyne
Asclepiadaceae ทั้งต้นกินเป็น
ยาระบายขับเสมหะ
21 สาบแร้ง
สาบกา
Ageratum
conyzoides L.
Asteraceae รากและใบคั้นน�้ำทา
รักษาแผลสด
22 โกฐจุฬา
ลัมพา
Artemisia annua L. Asteraceae ใช้ลดไข้
รักษาโรคมาลาเรีย
พืชสมุนไพร
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีแนวโน้มรุกราน
PLANT
32 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
23 ผักกาด
โคก
Blumeopsis flava
(DC.) Gagnep.
Asteraceae รากใช้อุดฟัน
แก้ปวดฟัน
24 สาบเสือ Chromolaena
odoratum (L.)
R.M.King & H.Rob.
Asteraceae ใบบดแล้วน�ำมาห้าม
เลือด
25 กะเม็ง Eclipta prostrata
(L.) L.
Asteraceae ใบใช้รักษาแผลสด
ห้ามเลือด
26 ขี้เหล็ก
ย่าน
Mikania cordata
(Burm.f.) B.L.Rob.
Asteraceae ใบใช้พอกแผลบวมและ
รักษาโรคหิด
27 ผักแครด Synedrella nodiflora
(L.) Gaertn.
Asteraceae ทั้งต้นใช้เป็นยาแก้ปวด
ขาหรือปวดหู
28 แคขาว Dolichandrone
serrulata (DC.)
Seem.
Bignoniaceae เปลือกต้มรับประทาน
แก้ท้องร่วง
29 หญ้างวง
ช้าง
Heliotropium
indicum L.
Boraginaceae ทั้งต้นน�ำมาต้มน�้ำดื่ม
เป็นยาแก้ไอ
30 ราชาวดี
ป่า
Buddleja asiatica
Lour.
Buddlejaceae ทั้งต้นใช้รักษาโรค
ผิวหนัง
31 มะกอก
ฟาน
Canarium
bengalense Roxb.
Burseraceae เปลือกและใบต�ำ
ละเอียดทาแก้ปวดบวม
32 ชิงชี่ Capparis
micracantha DC.
Capparaceae รากใช้ขับลมภายใน
แก้ไข้โรคกระเพาะ
33 ผักเสี้ยนผี Cleome viscosa L. Capparaceae ทั้งต้นแก้ขับลม ใบต�ำ
พอกศีรษะแก้ปวดหัว
34 ข้าวสาร
ค่าง
Cardiopteris
quinqueloba
(Hassk.) Hassk.
Cardiopteridaceae ใบรักษาโรคผิวหนังที่
เกิดจากเชื้อรา
พืชสมุนไพร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
33
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
35 มะดูก Siphonodon
celastrineus Griff.
Celastraceae รากต้มบ�ำรุงกระดูก
น�้ำเหลือง
36 บุนนาค Mesua ferrea L. Clusiaceae ดอกเป็นยาฝาดสมาน
บ�ำรุงธาตุขับเสมหะ
37 งวงชุ่ม Combretum pilosum
Roxb.
Combretaceae ใบเป็นยาขับพยาธิ
38 สมอพิเภก Terminalia bellirica
(Gaertn.) Roxb.
Combretaceae ผลอ่อนเป็นยาระบาย
39 สมอไทย Terminalia chebula
Retz. var. chebula
Combretaceae ผลเป็นยาระบายอ่อนๆ
แก้พิษร้อนใน
40 ผักปลาบ
ช้าง
Floscopa scandens
Lour.
Commelinaceae น�้ำคั้นจากต้นใช้
หยอดตาแก้เจ็บตา
41 ว่านข้าว
เหนียว
Murdannia edulis
(Stokes) Faden
Commelinaceae รากต้มน�้ำดื่ม
เป็นยาระบาย
42 กินกุ้ง
น้อย
Murdannia nudiflora
(L.) Brenan
Commelinaceae ล�ำต้นแก้โรคบิด แก้ไข้
รักษาอาการปวดบวม
43 โหนดดิน Peliosanthes teta
Andrews subsp.
humilis (Andrews)
Jessop
Convallariaceae รากและล�ำต้นใต้ดิน
ดองสุราแก้ปวดเมื่อย
44 จิงจ้อ
เหลี่ยม
Operculina
turpethum (L.) Silva
Manso
Convolvulaceae น�้ำยางในรากใช้เป็น
ยาระบายอ่อนๆ
45 ต�ำลึงตัวผู้ Solena amplexicaulis
(Lam.) Gandhi
Cucurbitaceae รากต้มน�้ำดื่ม
เป็นยาระบาย
46 พะยอม Shorea roxburghii
G.Don
Dipterocarpaceae เปลือกใช้ต้มดื่ม
แก้อาการท้องเดิน
พืชสมุนไพร
PLANT
34 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
47 พญา
รากด�ำ
Diospyros variegata
Kurz
Ebenaceae รากต้มเป็นยากษัย
48 ตองแตก Baliospermum
solanifolium (Burm.)
Suresh
Euphorbiaceae รากฝนทาแก้ฟกช�้ำ
ต้มน�้ำดื่มเป็นยา
ระบาย
49 ครามน�้ำ Breynia retusa
(Dennst.) Alston
Euphorbiaceae ล�ำต้นและรากใช้ผสม
สมุนไพรอื่นดื่มแก้ไข้
50 เต็งหนาม Bridelia retusa (L.)
A.Juss.
Euphorbiaceae เปลือกเป็นยาฝาด
สมาน
51 ขางน�้ำผึ้ง Claoxylon indicum
(Reinw. ex Blume)
Endl. ex Hassk.
Euphorbiaceae ล�ำต้นต�ำพอกแก้ปวดหู
แก้หูอื้อ
52 ดีหมี Cleidion spiciflorum
(Burm.f.) Merr.
Euphorbiaceae แก่นเป็นยาขับเหงื่อ
แก้ไข้ปวดศีรษะ
53 เปล้า
น�้ำเงิน
Croton
cascarilloides
Raeusch.
Euphorbiaceae รากต้มน�้ำดื่มแก้ไข้
54 เปล้าใหญ่ Croton roxburghii
N.P.Balakr.
Euphorbiaceae เปลือกและใบ
แก้ท้องเสีย
55 หญ้ายาง Euphorbia
heterophylla L.
Euphorbiaceae ใบอ่อนเป็นยาถ่ายหรือ
ยาระบาย
56 น�้ำนม
ราชสีห์
Euphorbia hirta L. Euphorbiaceae น�้ำยางน�ำไปรักษาแผล
สดให้แผลแห้งไว
57 สอยดาว Mallotus
paniculatus Müll.Arg.
Euphorbiaceae รากต้มเป็นยาบ�ำรุง
หลังการคลอด
58 ลูกใต้ใบ Phyllanthus amarus
Schumach. & Thonn.
Euphorbiaceae ทั้งต้นแก้ไข้
ปวดท้องบิด
พืชสมุนไพร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
35
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
59 มะขาม
ป้อม
Phyllanthus
emblica L.
Euphorbiaceae ผลสดขับเสมหะ
ผลแห้งบ�ำรุงโลหิต
60 ขันทอง
พยาบาท
Suregada
multiflorum (A.Juss.)
Baill.
Euphorbiaceae เปลือกต้นเป็นยา
แก้โรคผิวหนัง
61 มะฝ่อ Trewia nudiflora L. Euphorbiaceae รากและเปลือก
เป็นยาขับลม
62 ขยัน Bauhinia
strychnifolia Craib
FabaceaeCaesalpinioideae
เหง้าต้มดื่ม
แก้ผิดส�ำแดง
63 โผงเผง Senna hirsuta (L.)
Irwin & Barneby
FabaceaeCaesalpinioideae
ใบใช้รักษาโรคผิวหนัง
64 หนามหัน Acacia comosa
Gagnep.
FabaceaeMimosoideae
รากเป็นยาแก้
ริดสีดวงทวาร
65 ส้มป่อย Acacia concinna
(Willd.) DC.
FabaceaeMimosoideae
ผลน�ำไปเข้ายาแก้ไอ
แก้เจ็บคอ
66 ทิ้งถ่อน Albizia procera
(Roxb.) Benth.
FabaceaeMimosoideae
ผลเป็นยาขับลม
แก้ท้องอืด
67 ไมยราบ
ขาว
Mimosa diplotricha
C.Wright ex Sauvalle
FabaceaeMimosoideae
ใบและล�ำต้น
ใช้ขับปัสสาวะ
68 ไมยราบ
ต้น
Mimosa pigra L. FabaceaeMimosoideae
ต้นต้มเป็นยาขับเสมหะ
69 หญ้าปัน
ยอด
Mimosa pudica L. FabaceaeMimosoideae
ทั้งต้นน�ำไปท�ำเป็นชา
ช่วยลดคอเลสเตอรอล
70 ทองเครือ Butea superba
Roxb.
FabaceaePapilionoideae
บ�ำรุงผิวพรรณให้
เปล่งปลั่ง
71 แปบผี Cajanus goensis
Dalzell
FabaceaePapilionoideae
รากหรือล�ำต้นต้มดื่ม
แก้ประจ�ำเดือนผิดปกติ
พืชสมุนไพร
PLANT
36 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
72 หิ่งเม่น
น้อย
Crotalaria alata
Buch.-Ham. ex
D.Don
FabaceaePapilionoideae
ทั้งต้นต้มอาบ
แก้อาการฟกช�้ำ
73 หิ่งหายใบ
เล็ก
Crotalaria albida
Heyne ex Roth
FabaceaePapilionoideae
รากใช้เป็นยาระบาย
74 หางไหล
แดง
Derris elliptica
(Roxb.) Benth.
FabaceaePapilionoideae
เถาสดต�ำผสมน�้ำมันพืช
รักษาเหาหิด
75 อีเหนียว Desmodium
gangeticum (L.) DC.
FabaceaePapilionoideae
รากใช้เป็นยาขับ
ปัสสาวะ
76 หนาดค�ำ Desmodium
oblongum Wall. ex
Benth.
FabaceaePapilionoideae
รากและล�ำต้นดอง
เป็นยาบ�ำรุงก�ำลัง
77 หางเสือ Flemingia stricta
Roxb. ex W.T.Aiton
FabaceaePapilionoideae
ใบน�ำไปต้มเป็นยา
บ�ำรุงก�ำลัง
78 หมามุ้ย Mucuna pruriens
(L.) DC.
FabaceaePapilionoideae
เมล็ดเป็นยารักษาโรค
บุรุษ
79 เกล็ดปลา
ช่อน
Phyllodium
pulchellum(L.) Desv.
FabaceaePapilionoideae
ทั้งต้นปรุงเป็นยาแก้
พยาธิใบไม้ในตับ
80 ถั่วเสี้ยน
ป่า
Pueraria
phaseoloides
(Roxb.) Benth.
FabaceaePapilionoideae
ใบหรือรากแห้งผสมใบ
โผงเผงแห้งบดท�ำยาลูก
กลอนกินแก้ไข้
81 หญ้าหาง
อ้น
Uraria
lagopodioides (L.)
Desv. ex DC.
FabaceaePapilionoideae
รากฝนน�้ำปูนใสทา
แก้ฝี
82 กระเบา
ใหญ่
Hydnocarpus
anthelminthicus
Pierre ex Laness.
Flacourtiaceae น�้ำมันสกัดจากเมล็ด
ใช้รักษาโรคเรื้อนและ
อาการปวดบวมตามข้อ
พืชสมุนไพร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
37
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
83 เมื่อย Gnetum montanum
Markgr.
Gnetaceae ผสมล�ำต้นเถาเอ็นอ่อน
ต้มน�้ำดื่ม แก้ปวดเมื่อย
84 หญ้า
ดอกค�ำ
Hypoxis aurea Lour. Hypoxidaceae รากต้มน�้ำดื่ม บ�ำรุง
โลหิต ฝนทาแก้สิวฝ้า
85 กอมก้อ
ห้วย
Anisomeles indica
(L.) Kuntze
Lamiaceae ใช้พอกแผลงูกัด
86 สวอง Vitex limonifolia
Wall.
Lamiaceae ใบใช้พอกแผล แก้ไข้
87 หมีเหม็น Litsea glutinosa
(Lour.) C.B.Rob.
Lauraceae ใบและเมล็ดต�ำพอกฝี
แก้ปวด
88 จิกนา Barringtonia
acutangula (L.)
Gaertn.
Lecythidaceae เปลือกลดไข้
แก้มาลาเรีย
89 กะตังใบ Leea indica (Burm.f.)
Merr.
Leeaceae รากต้มน�้ำดื่ม
แก้ปวดท้อง ท้องเสีย
90 กาฝาก
แก่นเทา
Scurrula
atropurpurea
(Blume) Dans.
Loranthaceae ใบและดอกต้มน�้ำดื่ม
บ�ำรุงโลหิต
91 ชะมดต้น Abelmoschus
moschatus Medik.
subsp. moschatus
Malvaceae ใบรักษากลากเกลื้อน
เมล็ดใช้เข้ายาขับลม
92 หญ้าขัด
ใบป้อม
Sida cordifolia L. Malvaceae รากแก้โรคกระเพาะ
แก้ไข้
93 หญ้าขัด Sida rhombifolia L. Malvaceae ต้นและใบต้มใส่เกลือ
เป็นยาบ้วนปาก
94 ขี้ครอก Urena lobata L. Malvaceae ต้นและใบใช้ต้มดื่ม
รักษาโรคไตพิการ
พืชสมุนไพร
PLANT
38 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
95 ตาเสือ Aphanamixis
polystachya (Wall.)
R.Parker
Meliaceae เปลือกเป็นยาแก้ช�้ำใน
96 กระท่อม
เลือด
Stephania venosa
(Blume) Spreng.
Menispermaceae ผลเผาไฟทั้งลูกประคบ
แก้ปวด
97 บอระเพ็ด Tinospora crispa (L.)
Miers ex Hook.f. &
Thomson
Menispermaceae รากเป็นยาเจริญอาหาร
แก้ไข้สูง
98 ผักขวง Glinus oppositifolius
(L.) A.DC.
Molluginaceae ทั้งต้นแก้ไข้แก้ร้อนใน
แก้ไอ ทาแก้ฟกช�้ำบวม
99 หาด Artocarpus lacucha
Roxb.
Moraceae รากเป็นยาแก้ไข้
ขับพยาธิ
100 เดื่อหว้า Ficus auriculata
Lour.
Moraceae รากรักษาโรคทางเดิน
ปัสสาวะ
101 มะเดื่อ
หอม
Ficus hirta Vahl Moraceae รากต้มน�้ำดื่มบ�ำรุง
หัวใจ แก้ผิดส�ำแดง
102 มะเดื่อ
อุทุมพร
Ficus racemosa L. Moraceae ต้นเข้ายาแก้ปวดเมื่อย
103 ข่อย Streblus asper Lour. Moraceae รากใช้ขับปัสสาวะ
104 ผักขมหิน Boerhavia diffusa L. Nyctaginaceae ทั้งต้นใช้ขับเสมหะ
105 ตาล
เหลือง
Ochna integerrima
(Lour.) Merr.
Ochnaceae ผลแก้พิษ แก้ไข้
แก้อาหารไม่ย่อย
106 หญ้าหนู
ต้น
Dianella ensifolia
(L.) DC.
Phormiaceae รากต้มน�้ำดื่มแก้อาการ
ท้องผูก ช่วยขับลม
107 เครือสาม
ปีก
Plagiopteron
suaveolens Griff.
Plagiopteraceae ล�ำต้นน�ำไปเข้ายา
รักษาโรคกระดูกพรุน
พืชสมุนไพร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
39
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
108 หญ้า
ตีนกา
Eleusine indica (L.)
Gaertn.
Poaceae รากแก้อาการท้องอืด
ลดไข้ขับปัสสาวะ
109 โสมคน Talinum
paniculatum (Jacq.)
Gaertn.
Portulacaceae ใบแก้อาการบวม
อักเสบมีหนอง
110 มะคังแดง Dioecrescis
erythroclada (Kurz)
Tirveng.
Rubiaceae เปลือกต้นต�ำพอกแผล
สดห้ามเลือด
111 ส้มกบ Hymenodictyon
orixense (Roxb.)
Mabb.
Rubiaceae ราก แก่น และเปลือก
แก้ไข้แก้กระหายน�้ำ
112 กระทุ่ม
เนิน
Mitragyna
rotundifolia (Roxb.)
Kuntze
Rubiaceae เปลือกรักษาแผลติด
เชื้อ รักษาโรคผิวหนัง
113 ยอป่า Morinda tomentosa
Heyne ex Roth
Rubiaceae รากแก้เบาหวาน
แก่นใช้บ�ำรุงเลือด
114 หญ้าตด
หมา
Paederia pilifera
Hook.f.
Rubiaceae รากต้มน�้ำ ใช้บ้วนปาก
รักษาอาการปวดฟัน
115 ข้าวสาร Prismatomeris
fragrans E.T.Geddes
Rubiaceae ล�ำต้นหรือราก
ต้มนํ้าดื่มบ�ำรุงกําลัง
116 กระดุมใบ
ใหญ่
Spermacoce
latifolia Aubl.
Rubiaceae รากต้มน�้ำดื่มเป็นยาแก้
ท้องเสีย
117 หญ้าน�้ำ
ดับไฟ
Lindenbergia
philippensis (Cham.)
Benth.
Scrophulariaceae ทั้งต้นแก้พิษฝี
แผลน�้ำร้อนลวก
ไฟไหม้
118 กรดน�้ำ Scoparia dulcis L. Scrophulariaceae ใบชงน�้ำดื่มแก้ไอ
พืชสมุนไพร
PLANT
40 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
119 คนทา Harrisonia perforata
(Blanco) Merr
Simaroubaceae เปลือกและรากรสขม
รักษาโรคทางเดิน
ล�ำไส้และแก้ไอ
120 โทงเทง Physalis angulata L. Solanaceae ทั้งต้น ต�ำพอกรักษา
แผลหรือฝีที่มีหนอง
121 ปอขี้อ้น Helicteres viscida
Blume
Sterculiaceae ใบใช้แช่น�้ำอาบแก้
อาการผื่นคัน
122 ตูมกาขาว Strychnos
nux–blanda A.W.Hill
Strychnaceae รากต้มน�้ำดื่มเป็นยา
แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
123 เนระพูสี
ไทย
Tacca chantrieri
Andre
Taccaceae ทั้งต้นต้มน�้ำดื่มเป็นยา
บ�ำรุงร่างกาย รักษา
โรคกระเพาะ
124 สารภีป่า Anneslea fragrans
Wall.
Theaceae เปลือกและดอก
ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
125 ปอเต่าไห้ Enkleia siamensis
(Kurz) Nevling
Thymelaeaceae รากต้มน�้ำดื่มเป็นยา
ระบาย
126 ข้าวตาก Grewia hirsuta Vahl Tiliaceae ต้นต้มน�้ำดื่มแก้อาการ
ปวดท้องเกร็ง
127 ชุมแสง Xanthophyllum
lanceatum (Miq.)
J.J.Sm.
Xanthophyllaceae ราก เปลือก ล�ำต้น
และใบ แช่น�้ำอาบ แก้
โรคผิวหนังเปื่อยผุพอง
128 ว่าน
มหาเมฆ
Curcuma aeruginosa
Roxb.
Zingiberaceae เหง้าต้มน�้ำดื่มแก้โรค
กระเพาะ แก้ท้องร่วง
แก้หืดหอบหายใจไม่
ปกติแก้ไข้
พืชสมุนไพร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
41
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
1 ปรู Alangium
salviifolium (L.f.)
Wangerin subsp.
hexapetalum
Wangerin
Alangiaceae ผลสดรับประทานได้
2 มะม่วงป่า Mangifera
caloneura Kurz
Anacardiaceae ผลสดรับประทานได้
3 กินนิง Mangifera odorata
Griff.
Anacardiaceae ผลรับประทานได้
4 มะกอก Spondias pinnata
(L.f.) Kurz
Anacardiaceae ผลสดรับประทานได้
5 เทียนข้าว
เปลือก
Anethum
graveolens L.
Apiaceae ยอดอ่อนน�ำมา
ประกอบอาหาร
6 บุก Amorphophallus
krausei Engl.
Araceae หัวน�ำมาประกอบ
อาหารคาวหวาน
7 บุกคางคก Amorphophallus
paeoniifolius
(Dennst.) Nicolson
Araceae หัวน�ำมานึ่ง
รับประทานได้
8 บุก Amorphophallus
yunnanensis Engl.
Araceae ก้านใบลวกจิ้มกับ
น�้ำพริกหรือท�ำแกงส้ม
9 เผือก Colocasia esculenta
(L.) Schott
Araceae หัว ใบ และก้านใบ
ใช้ท�ำอาหารคาวหวาน
10 คูน Colocasia gigantea
Hook.f.
Araceae ใบน�ำมาแกง ก้านใบ
ลวกจิ้มกับน�้ำพริก
11 บอนเต่า Hapaline
benthamiana
Schott
Araceae ช่อดอก ยอดอ่อนทั้ง
ก้าน และใบ
รับประทานได้
พืชอาหาร
PLANT
42 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
12 ผักหนาม Lasia spinosa (L.)
Thwaites
Araceae ยอดอ่อนน�ำมา
รับประทานเป็นผัก
13 ต้างหลวง Trevesia palmata
(Roxb. ex Lindl.) Vis.
Araliaceae ดอกอ่อนน�ำมาลวกจิ้ม
กับน�้ำพริก
14 เต่าร้าง Caryota sp. Arecaceae หัวน�ำมาแกงหน่อไม้
15 กระเช้าผี
มด
Aristolochia tagala
Cham.
Aristolochiaceae ผลสุกและยอดอ่อน
รับประทานได้
16 ผักกาด
ช้าง
Crassocephalum
crepidioides (Benth.)
S.Moore
Asteraceae ใบรับประทานกับลาบ
หรือลวกจิ้มกับน�้ำพริก
17 ผักเผ็ด Spilanthes
paniculata Wall.
ex DC.
Asteraceae ยอดอ่อนน�ำมาลวกจิ้ม
น�้ำพริก
18 ตีนตุ๊กแก Tridax procumbens
L.
Asteraceae เป็นพืชอาหารสัตว์
19 ผักกูดขาว Diplazium
esculentum (Retz.)
Sw.
Athyriaceae ใบน�ำมาประกอบ
อาหารหรือลวกจิ้มกับ
น�้ำพริก
20 แคหาง
ค่าง
Fernandoa
adenophylla (Wall.
ex G.Don) Steenis
Bignoniaceae ดอกน�ำมาประกอบ
อาหาร
21 เพกา Oroxylum indicum
(L.) Kurz
Bignoniaceae ยอดอ่อนและฝักอ่อน
รับประทานได้
22 แคทราย Stereospermum
neuranthum Kurz
Bignoniaceae ดอกและยอดอ่อน
รับประทานได้
23 งิ้วป่า Bombax anceps
Pierre var. anceps
Bombacaceae ฝักอ่อนต้มจิ้มน�้ำพริก
หรือแกงส้ม
พืชอาหาร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
43
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
24 งิ้ว Bombax ceiba L. Bombacaceae เกสรตากแห้งท�ำน�้ำยา
ขนมจีนน�้ำเงี้ยว
25 ผักกาด
น�้ำดอก
เหลือง
Rorippa indica (L.)
Hiern
Brassicaceae ยอดอ่อนน�ำมาลวกจิ้ม
น�้ำพริก
26 มะกอก
เกลื้อน
Canarium
subulatum
Guillaumin
Burseraceae ผลสดรับประทานได้
27 มะดะ
หลอด
Garcinia
pedunculata Roxb.
ex Buch.-Ham.
Clusiaceae ผลสดรับประทานได้
28 ผักปลาบ Commelina diffusa
Burm.f.
Commelinaceae ทั้งต้นน�ำมาประกอบ
อาหาร
29 นางแลว Aspidistra
sutepensis K.Larsen
Convallariaceae ดอกน�ำมาประกอบ
อาหาร
30 นางเลว Tupistra albiflora
K.Larsen
Convallariaceae ช่อดอกอ่อนและผลน�ำ
มาประกอบอาหาร
31 จิงจ้อ
เหลือง
Merremia vitifolia
(Burm.f.) Hallier f.
Convolvulaceae ยอดอ่อนและดอก
น�ำมาประกอบอาหาร
32 บวบหอม Luffa cylindrica (L.)
M.Roem
Cucurbitaceae ยอดอ่อนและผลอ่อน
น�ำมาประกอบอาหาร
33 มะระ Momordica
charantia L.
Cucurbitaceae ผลน�ำมาลวก
จิ้มน�้ำพริกได้
34 แตงหนู Mukia
maderaspatana (L.)
M.Roem.
Cucurbitaceae ยอดอ่อนน�ำมา
ประกอบอาหาร
35 มันเสา Dioscorea alata L. Dioscoreaceae หัวใต้ดินรับประทานได้
พืชอาหาร พืชอาหาร
PLANT
44 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
36 กลอย Dioscorea hispida
Dennst. var. hispida
Dioscoreaceae หัวกลอยใช้เป็นอาหาร
แต่ต้องล้างสารพิษออก
37 ค้อนหมา
ขาว
Dracaena
angustifolia Roxb.
Dracaenaceae ดอกน�ำมาแกง
หรือลวกจิ้มน�้ำพริก
38 เม่าสร้อย Antidesma acidum
Retz.
Euphorbiaceae ผลสดรับประทานได้
39 มะไฟ Baccaurea ramiflora
Lour.
Euphorbiaceae ผลสดรับประทานได้
40 มันปลา Glochidion
sphaerogynum
(Müll.Arg.) Kurz
Euphorbiaceae ยอดอ่อน
รับประทานได้
41 ก้างปลา
เครือ
Phyllanthus
reticulatus Poir.
Euphorbiaceae ใบอ่อนน�ำมาประกอบ
อาหาร
42 ผักยอด
ทอง
Phyllanthus roseus
(Craib & Hutch.)
Beille
Euphorbiaceae ใบและยอดอ่อน
รับประทานได้
43 ช้าเรือด Caesalpinia
mimosoides Lam.
FabaceaeCaesalpinioideae
ยอดอ่อนรับประทาน
ได้
44 เขลง Dialium
cochinchinense
Pierre
FabaceaeCaesalpinioideae
ผลรับประทานได้
45 ชะอม Acacia pennata (L.)
Willd. subsp. insuavis
(Lace) I.C.Nielsen
FabaceaeMimosoideae
ยอดอ่อนและใบอ่อน
น�ำมาประกอบอาหาร
46 ถั่วลาย Centrosema
pubescens Benth.
FabaceaePapilionoideae
เป็นพืชอาหารสัตว์
พืชอาหาร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
45
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
47 ขางครั่ง Dunbaria bella Prain FabaceaePapilionoideae
เป็นพืชอาหารสัตว์
48 แห้ว
ประดู่
Eriosema chinense
Vogel
FabaceaePapilionoideae
หัวรับประทานได้
49 มันแกว Pachyrhizus erosus
(L.) Urb.
FabaceaePapilionoideae
หัวรับประทานได้
50 ตะขบป่า Flacourtia indica
(Burm.f.) Merr.
Flacourtiaceae ผลสดรับประทานได้
51 กระบก Irvingia malayana
Oliv. ex A.W.Benn.
Irvingiaceae เมล็ดน�ำมาคั่ว
รับประทานได้
52 หญ้ายาย
เภา
Lygodium
flexuosum (L.) Sw.
Lygodiaceae ใบและยอดอ่อน
น�ำมาประกอบอาหาร
53 กรุงเขมา Cissampelos pareira
L. var. hirsuta (Buch.
ex DC.) Forman
Menispermaceae ใบน�ำมาประกอบ
อาหารลักษณะคล้าย
วุ้น
54 สะแล Broussonetia kurzii
(Hook.f.) Corner
Moraceae ดอก ผล และใบ
น�ำมาประกอบอาหาร
55 มะเดื่อ
ขี้นก
Ficus chartacea
Wall. ex King var.
chartacea
Moraceae ผลแก่และยอดอ่อน
รับประทานได้
56 ชิ้งขาว Ficus fistulosa
Reinw. ex Blume
Moraceae ยอดอ่อนและผล
รับประทานได้
57 มะเดื่อ
ปล้อง
Ficus hispida L.f. Moraceae ผลอ่อนลวกจิ้มน�้ำพริก
58 เลียบ Ficus infectoria Roxb. Moraceae ใบใช้ประกอบอาหาร
59 หม่อน
หลวง
Morus macroura
Miq.
Moraceae ผลสดรับประทานได้
พืชอาหาร
PLANT
46 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
60 กล้วยป่า Musa acuminata
Colla
Musaceae ผลสุก ผลอ่อนและ
หัวปลีรับประทานได้
61 กล้วยหก Musa itinerans
Cheeseman
Musaceae ผลรับประทานได้
62 หว้าหิน Syzygium
claviflorum (Roxb.)
A.M.Cowan & Cowan
Myrtaceae ผลสดรับประทานได้
63 ผักหวาน
ป่า
Champereia
manillana (Blume)
Merr.
Opiliaceae ยอดและใบอ่อน
รับประทานได้
64 ดอกดิน
แดง
Aeginetia indica L. Orobanchaceae ดอกคั้นน�้ำให้สีม่วง
ใช้เป็นสีผสมอาหาร
65 ผักสาบ Adenia viridiflora
Craib
Passifloraceae ผลรับประทานได้
66 กะทกรก Passiflora foetida L. Passifloraceae ผลสุกรับประทานได้
67 อ้ายเบี้ยว Pentaphragma
begoniifolium
(Roxb. ex Jack) Wall.
ex G.Don
Pentaphragmataceae
ใบรับประทานได้
68 ผักกระสัง Peperomia pellucida
(L.) Humb., Bonpl. &
Kunth
Piperaceae ทั้งต้นน�ำไปประกอบ
อาหารได้
69 ช้าพลู Piper sarmentosum
Roxb.
Piperaceae ใบรับประทานได้
70 หญ้าปาก
ควาย
Dactyloctenium
aegyptium (L.)
P.Beauv.
Poaceae เป็นพืชอาหารสัตว์
พืชอาหาร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
47
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
71 ไผ่ไร่ Gigantochloa
albociliata (Munro)
Munro
Poaceae หน่อน�ำมารับประทาน
ได้
72 หญ้าไข่
แมงดา
Oplismenus
compositus (L.)
P.Beauv.
Poaceae เป็นพืชอาหารสัตว์
73 หญ้าไข่
เหา
Panicum incomtum
Trin.
Poaceae เป็นพืชอาหารสัตว์
74 เสือแกลก Panicum maximum
Jacq.
Poaceae เป็นพืชอาหารสัตว์
75 พุทรา Ziziphus mauritiana
Lam.
Rhamnaceae ผลสุกรับประทานได้
76 เล็บ
เหยี่ยว
Ziziphus oenoplia
(L.) Mill. var.
oenoplia
Rhamnaceae ผลสุกรับประทานได้
77 ก�ำจัดต้น Zanthoxylum
limonella (Dennst.)
Alston
Rutaceae เมล็ดตากแห้งใช้เป็น
เครื่องเทศ
78 โคก
กระออม
Cardiospermum
halicacabum L.
Sapindaceae ใบลวกจิ้มน�้ำพริก
79 มะหวด Lepisanthes
rubiginosa (Roxb.)
Leenh.
Sapindaceae ใบอ่อนรับประทานได้
ผลมีรสหวาน
80 คอแลน Nephelium
hypoleucum Kurz
Sapindaceae ผลสดรับประทานได้
81 ล�ำไยป่า Paranephelium
xestophyllum Miq.
Sapindaceae ผลสดรับประทานได้
พืชอาหาร
PLANT
48 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
82 แดงน�้ำ Pometia pinnata
J.R. & G.Forst.
Sapindaceae ผลรับประทานได้
83 ตะคร้อ Schleichera oleosa
(Lour.) Oken
Sapindaceae ผลสุกมีรสหวานอม
เปรี้ยว รับประทานได้
84 กับแก้ Selaginella argentea
(Wall. ex Hook. &
Grev.) Spring
Selaginellaceae ยอดอ่อนน�ำมาผัดหรือ
ลวกจิ้มน�้ำพริก
85 ลิ้นง่วง Sterculia lanceolata
Cav. var. principis
(Gagnep.) Phengklai
Sterculiaceae เมล็ดน�ำมาเผาไฟ
รับประทานได้
86 เถาวัลย์
ปูน
Cissus repanda Vahl Vitaceae ใบใช้ใส่แกงบอนให้มี
รสเปรี้ยว
87 เครือเขาน�้ำ Tetrastigma
leucostaphyllum
(Dennst.) Mabb.
Vitaceae ตัดล�ำต้นเพื่อรับ
ประทานน�้ำที่อยู่
ภายในได้
88 เครือห้า
ต่อเจ็ด
Tetrastigma
serrulatum (Roxb.)
Planch.
Vitaceae ดอกและยอดอ่อน
รับประทานได้
89 ข่า Alpinia galanga (L.)
Willd.
Zingiberaceae เหง้าน�ำมาประกอบ
อาหาร
90 กระเจียว
ขาวปาก
เหลือง
Curcuma
cochinchinensis
Gagnep.
Zingiberaceae ช่อดอกอ่อน
รับประทานได้
91 กระเจียว
ขาว
Curcuma parviflora
Wall.
Zingiberaceae ช่อดอกอ่อนน�ำมาต้ม
รับประทานเป็นผัก
92 ปุดเมือง
กาน
Etlingera araneosa
(Bak.) R.M. Sm.
Zingiberaceae ช่อดอกอ่อนและผลสุก
รับประทานได้
พืชอาหาร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
49
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
1 สักหิน Cordia globifera
W.W.Sm.
Boraginaceae เนื้อไม้ทนทานสวยงาม
ท�ำพื้น เสา
2 ติ้วขน Cratoxylum
formosum (Jack)
Dyer subsp.
pruniflorum (Kurz)
Gogel
Clusiaceae เนื้อไม้ใช้ท�ำกระดาน
ฝาบ้าน
3 รกฟ้า Terminalia alata
Heyne ex Roth
Combretaceae เนื้อไม้ทนทานสวยงาม
ท�ำพื้น เสา
4 มะเกลือ
เลือด
Terminalia
mucronata
Craib & Hutch.
Combretaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
ท�ำเสา
5 ส้านใบ
เล็ก
Dillenia ovata
Wall. ex Hook.f. &
Thomson
Dilleniaceae เนื้อไม้ใช้ท�ำกระดาน
และเครื่องตกแต่งบ้าน
6 ส้านหิ่ง Dillenia parviflora
Griff.
Dilleniaceae เนื้อไม้ใช้ท�ำกระดาน
และเครื่องตกแต่งบ้าน
7 เหียง Dipterocarpus
obtusifolius Teijsm.
ex Miq.
Dipterocarpaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
8 พลวง Dipterocarpus
tuberculatus Roxb.
Dipterocarpaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
9 ยางแดง Dipterocarpus
turbinatus C.F.Gaertn.
Dipterocarpaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
10 เต็ง Shorea obtusa Wall.
ex Blume
Dipterocarpaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
พืชที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย
PLANT
50 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
11 รัง Shorea siamensis
Miq.
Dipterocarpaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
12 ค�ำดีควาย Diospyros undulata
Wall. ex G.Don var.
cratericalyx (Craib)
Bakh.
Ebenaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างทั่วไป
และท�ำเครื่องตกแต่ง
13 แดง Xylia xylocarpa
(Roxb.) Taub. var.
kerrii (Craib & Hutch.)
I.C.Nielsen
Fabaceae–
Mimosoideae
เนื้อไม้แข็ง มีสีแดง
ใช้ในงานก่อสร้าง
ท�ำเฟอร์นิเจอร์
14 พะยูง Dalbergia
cochinchinensis
Pierre
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
15 กระพี้เขา
ควาย
Dalbergia cultrata
Graham ex Benth.
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้แข็ง มีสีด�ำ
ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน
16 ฉนวน Dalbergia nigrescens
Kurz
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
17 ชิงชัน Dalbergia oliveri
Gamble
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้เหนียว
ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน
18 ขามเครือ Dalbergia stipulacea
Roxb.
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
19 ประดู่ป่า Pterocarpus
macrocarpus Kurz
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้แข็งสีขาวปน
เหลือง ท�ำเสา พื้น
20 ซ้อ Gmelina arborea
Roxb.
Lamiaceae เนื้อไม้แข็งปานกลาง
ใช้ท�ำผนัง
21 สัก Tectona grandis L.f. Lamiaceae เนื้อไม้ทนทานสวยงาม
ท�ำพื้น เสา
พืชที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
51
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
22 กะทัง Litsea monopetala
(Roxb.) Pers.
Lauraceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
23 กระโดน Careya sphaerica
Roxb.
Lecythidaceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
24 ตะแบก
เปลือก
บาง
Lagerstroemia
duperreana Pierre
ex Gagnep.
Lythraceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
ท�ำเสา
25 เสลาขาว Lagerstroemia
tomentosa C.Presl
Lythraceae เนื้อไม้ใช้ในงาน
ก่อสร้างบ้านเรือน
26 ขว้าว Haldina cordifolia
(Roxb.) Ridsdale
Rubiaceae เนื้อไม้อ่อน สีเหลือง
ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน
27 เลียง Berrya mollis Wall.
ex Kurz
Tiliaceae เนื้อไม้เหนียว
ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน
พืชที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย
PLANT
52 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
1 รักใหญ่ Gluta usitata (Wall.)
Ding Hou
Anacardiaceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
2 รักขาว Semecarpus
cochinchinensis
Engl.
Anacardiaceae ยางใช้ลงรัก
3 ขางน�้ำ
ข้าว
Kibatalia
macrophylla (Pierre
ex Hua) Woodson
Apocynaceae เนื้อไม้ท�ำเฟอร์นิเจอร์
4 ตองงุม Pothos chinensis
(Raf.) Merr.
Araceae ล�ำต้นฉีกเป็นเส้นๆ
ใช้มัดสิ่งของแทนเชือก
5 ค้อ Livistona speciosa
Kurz
Arecaceae ใบน�ำมาพับแล้วมัด
เรียงเป็นตับใช้มุง
หลังคา
6 ง้าว Bombax anceps
Pierre var.
cambodiense
(Pierre) Robyns
Bombacaceae ใยเปลือกใช้ท�ำเชือก
ปุยนุ่นใช้ยัดที่นอน
7 ตะคร�้ำ Garuga pinnata
Roxb.
Burseraceae ผลใช้ย้อมตอกให้สีด�ำ
8 กระทง
ลอย
Crypteronia
paniculata Blume
Crypteroniaceae เนื้อไม้ละเอียด แข็งพอ
ประมาณ ท�ำลังใส่ของ
9 มะเกลือ Diospyros mollis
Griff.
Ebenaceae เนื้อไม้น�้ำหนักมาก
ท�ำไม้ถือกบไส้ไม้
10 เหมือด
วอน
Aporosa wallichii
Hook.f.
Euphorbiaceae เนื้อไม้ใช้ท�ำรั้วบ้าน
ท�ำเสา
11 โพบาย Balakata baccata
(Roxb.) Esser
Euphorbiaceae เนื้อไม้ใช้ท�ำฟืน
พืชที่ใช้ท�าเครื่องใช้สอย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
53
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
12 ตองเต๊า Mallotus barbatus
Müll.Arg.
Euphorbiaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
13 ค�ำแสด Mallotus
philippensis
Müll.Arg.
Euphorbiaceae ผลเป็นสีย้อมให้สีแดง
14 มะค่าโมง Afzelia xylocarpa
(Kurz) Craib
Fabaceae–
Caesalpinioideae
เนื้อไม้มีลายสวยงาม
นิยมท�ำเครื่องเรือน
15 พฤกษ์ Albizia lebbeck (L.)
Benth.
FabaceaeMimosoideae
เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
16 ปันแถ Albizia lucidior
(Steud.) I.C.Nielsen
FabaceaeMimosoideae
เปลือกน�ำมาทุบ
แช่น�้ำใช้แทนสบู่
17 หิ่งเม่น
หลวง
Crotalaria incana L. FabaceaePapilionoideae
ใช้ท�ำปุ๋ย
18 ค�ำบูชา Crotalaria juncea L. FabaceaePapilionoideae
ปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดได้ดี
19 กระพี้
นางนวล
Dalbergia cana
Graham ex Kurz
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
20 คราม Indigofera tinctoria
L.
FabaceaePapilionoideae
ต้นใช้ท�ำสีย้อมผ้า
21 กระพี้จั่น Millettia
brandisiana Kurz
FabaceaePapilionoideae
เนื้อไม้ใช้ท�ำเครื่องมือ
ใช้สอย
22 ตะขบ
ควาย
Flacourtia jangomas
(Lour.) Rausch
Flacourtiaceae ใบต้มท�ำสีย้อมผ้าให้สี
น�้ำตาลเขียวหรือเขียว
ขี้ม้า
23 ดันหมี Gonocaryum
lobbianum (Miers)
Kurz
Icacinaceae เมล็ดให้น�้ำมัน ใช้ผสม
ท�ำสบู่
พืชที่ใช้ท�าเครื่องใช้สอย
PLANT
54 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
24 ผ่าเสี้ยน Vitex canescens
Kurz
Lamiaceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
25 ลิเภาป่า Lygodium
polystachyum Wall.
ex Moore
Lygodiaceae ต้นใช้ท�ำเชือก
สานท�ำกระเป๋า
ตะกร้า
26 ปอต่อม Hibiscus
glanduliferus Craib
Malvaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
27 ปอหู Hibiscus
macrophyllus Roxb.
ex Hornem.
Malvaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
28 ปอลมปม Thespesia lampas
(Cav.) Dalzell &
A.Gibson
Malvaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
29 ว่าน
กีบแรด
Angiopteris evecta
(G.Forst.) Hoffm.
Marattiaceae หัวใช้ท�ำยาฆ่าแมลง
30 เหมือด
จี้ดง
Memecylon
plebejum Kurz var.
ellipsoideum Craib
Melastomataceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
31 ยมหิน Chukrasia tabularis
A.Juss.
Meliaceae เนื้อไม้มีลายสวยงาม
ใช้ท�ำเครื่องเรือน
32 ปอกระสา Broussonetia
papyrifera (L.) Vent.
Moraceae เปลือกใช้ท�ำกระดาษ
สา
33 ข้าวสาร
หลวง
Maesa ramentacea
(Roxb.) A.DC.
Myrsinaceae ล�ำต้นใช้ท�ำฟืน
34 ก่อแซะ Anacolosa ilicoides
Mast.
Olacaceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
พืชที่ใช้ท�าเครื่องใช้สอย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
55
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
35 ไผ่
ข้าวหลาม
Cephalostachyum
pergracile Munro
Poaceae ล�ำใช้ท�ำข้าวหลาม
ท�ำเครื่องจักสาน
36 ไผ่บงใหญ่ Dendrocalamus
brandisii (Munro) Kurz
Poaceae ล�ำใช้ในงานก่อสร้าง
37 ไผ่ซาง
นวล
Dendrocalamus
membranaceus
Munro C.M.A.
Stapleton
Poaceae ใช้ท�ำเครื่องจักสาน
หรือกระดาษ
38 ตองกง Thysanolaena
latifolia (Roxb. ex
Hornem.) Honda
Poaceae ช่อดอกใช้ท�ำไม้กวาด
39 มะเค็ด Catunaregam
tomentosa (Blume
ex DC.) Tirveng.
Rubiaceae ผลแก่ตีกับน�้ำ
เป็นยาสระผม
40 ยอดิน Morinda angustifolia
Roxb. var.
angustifolia
Rubiaceae รากใช้ย้อมผ้า
ให้สีส้มแดง
41 แข้งกวาง
ดง
Wendlandia
paniculata (Roxb.)
DC.
Rubiaceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
42 แข้งกวาง Wendlandia
tinctoria (Roxb.) DC.
Rubiaceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้ฟืน
43 กระแจะ Naringi crenulata
(Roxb.) Nicolson
Rutaceae เนื้อไม้ใช้ในงานแกะ
สลัก ท�ำเฟอร์นิเจอร์
44 มะเฟือง
ช้าง
Lepisanthes
tetraphylla (Vahl)
Radlk.
Sapindaceae ล�ำต้นใช้สร้างโต๊ะ
เครื่องเรือน
พืชที่ใช้ท�าเครื่องใช้สอย
PLANT
56 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
45 ตะคร้อ
หนาม
Sisyrolepis muricata
(Pierre) Leenh.
Sapindaceae เนื้อไม้ใช้ท�ำเครื่องมือ
เกษตร
46 ล�ำพูป่า Duabanga
grandiflora
(Roxb. ex DC.) Walp.
Sonneratiaceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
47 ปอเลียง
ฝ้าย
Eriolaena candollei
Wall.
Sterculiaceae เปลือกใช้จักสานท�ำ
เครื่องใช้สอย
48 ปอฝ้าย Firmiana colorata
(Roxb.) R.Br.
Sterculiaceae เนื้อไม้ท�ำเครื่องเรือน
ในร่ม
49 ปออีเก้ง Pterocymbium
tinctorium (Blanco)
Merr.
Sterculiaceae เนื้อไม้อ่อน
ใช้ท�ำกล่องก้านไม้ขีด
กล่องลัง
50 ปอขนุน Sterculia balanghas
L.
Sterculiaceae เปลือกใช้จักสานท�ำ
เครื่องใช้สอย
51 ปอมืน Colona floribunda
(Kurz) Craib
Tiliaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
52 ปองวง Colona javanica
(Blume) Burret
Tiliaceae ผลใช้ท�ำไม้ประดับ
แห้ง
53 กระเจา
นา
Corchorus aestuans
L.
Tiliaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
54 หญ้าบิด Grewia abutilifolia
Vent. & Jass.
Tiliaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
55 ปอแก่น
เทา
Grewia eriocarpa
Juss.
Tiliaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
56 เสี้ยนสะ
คอน
Grewia sessilifolia
Gagnep.
Tiliaceae เนื้อไม้ใช้ท�ำเชือก
พืชที่ใช้ท�าเครื่องใช้สอย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
57
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
57 ลาย Microcos
paniculata L.
Tiliaceae เนื้อไม้ท�ำเฟอร์นิเจอร์
และเครื่องเรือน
58 เส้ง Triumfetta
bartramia L.
Tiliaceae เปลือกใช้ท�ำเชือก
59 พังแหร
ใหญ่
Trema orientalis (L.)
Blume
Ulmaceae เนื้อไม้อ่อนใช้ก่อสร้าง
ชั่วคราว
60 Vitex peduncularis
Wall. ex Schauer
Lamiaceae เนื้อไม้ท�ำด้าม
เครื่องมือเครื่องใช้
61 หนาม
กระสุน
Tribulus terrestris L. Zygophyllaceae เป็นพืชคลุมดิน
พืชที่ใช้ท�าเครื่องใช้สอย
PLANT
58 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
1 เฒ่าหลัง
ลาย
Pseuderanthemum
graciliflorum (Nees)
Ridl.
Acanthaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาว
2 หงอนไก่
ไทย
Celosia argentea L. Amaranthaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีม่วงแกมขาว
3 หยั่ง
สมุทร
Amalocalyx
microlobus Pierre ex
Spire
Apocynaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีชมพูอ่อน
4 ปาล์มสิบ
สองปันนา
Phoenix loureiri
Kunth
Arecaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
5 กระเช้าถุง
ทอง
Aristolochia pothieri
Pierre ex Lecomte
Aristolochiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
6 แตงแพะ Gymnema griffithii
Craib
Asclepiadaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ไม้ประดับ
7 ด้าง Hoya kerrii Craib Asclepiadaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาว
8 ดาว
กระจาย
น้อย
Pentanema indicum
(L.) Ling
Asteraceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลือง
9 กระดุม
ทองเลื้อย
Wedelia trilobata
(L.) Hitchc.
Asteraceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลือง
10 Diplazium donianum
(Mett.) Tard.
Athyriaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
11 ปีบ Millingtonia
hortensis L.f.
Bignoniaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาว
12 กาสะ
ลองค�ำ
Radermachera
ignea (Kurz) Steenis
Bignoniaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลืองอมส้ม
ไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
59
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
13 มันฤาษี Argyreia splendens
(Hornem.) Sweet
Convolvulaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีม่วงชมพู
14 ว่านผักบุ้ง Ipomoea nil (L.)
Roth
Convolvulaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
15 เอื้อง
หมายนา
Costus speciosus
(Koen.) Sm.
Costaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ช่อดอกสวยงาม
16 พันจ�ำ Vatica odorata
(Griff.) Symington
Dipterocarpaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาว
17 กูดกวาง Tectaria impressa
(Fée) Holttum
Dryopteridaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
18 ขี้เหล็ก
ฤาษี
Phyllanthus
mirabilis Müll.Arg.
Euphorbiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
ให้ร่มเงา
19 เสี้ยวป่า Bauhinia saccocalyx
Pierre
Fabaceae–
Caesalpinioideae
ปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกสีขาว
20 กระไดลิง Bauhinia scandens
L. var. horsfieldii
(Miq.) K. & S.S.Larsen
FabaceaeCaesalpinioideae
ปลูกเป็นไม้ประดับ
21 ราชพฤกษ์ Cassia fistula L. Fabaceae–
Caesalpinioideae
ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลืองเป็นช่อ
22 ทองกวาว Butea monosperma
(Lam.) Taub.
FabaceaePapilionoideae
ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีแดงส้ม
23 ทองเดือน
ห้า
Erythrina stricta
Roxb. var. stricta
FabaceaePapilionoideae
ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีส้มแดงเป็นช่อ
24 ทองหลาง
ป่า
Erythrina
subumbrans (Hassk.)
Merr.
FabaceaePapilionoideae
ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีแดงออกเป็นช่อ
ไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
60 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
25 นมสวรรค์ Clerodendrum
paniculatum L. var.
paniculatum
Lamiaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีแดง
26 นางแย้ม
ป่า
Clerodendrum
viscosum Vent.
Lamiaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาวแกมชมพู
27 คางแมว Gmelina asiatica L. Lamiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
28 สามร้อย
ยอด
Lycopodium
cernuum L.
Lycopodiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
29 กูดงอแง Lygodium japonicum
(Thunb.) Sw.
Lygodiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
30 ตะแบก
เกรียบ
Lagerstroemia
balansae Koehne
Lythraceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
ให้ร่มเงา ดอกสีม่วงสด
31 อินทนิล
บก
Lagerstroemia
macrocarpa Wall.
Lythraceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีชมพูถึงม่วงแดง
32 จ�ำปีป่า Magnolia baillonii
Pierre
Magnoliaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาวนวล
33 โสมชบา Abelmoschus
moschatus Medik.
subsp. tuberosus
(Span.) Borss.Waalk.
Malvaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีชมพู
34 โพศรี
มหาโพ
Ficus religiosa L. Moraceae ปลูกเป็นไม้ประดับให้
ร่มเงา ทรงพุ่มสวยงาม
35 โพขี้นก Ficus rumphii Blume Moraceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
36 พิลังกาสา Ardisia polycephala
Wall. ex A.DC.
Myrsinaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกสีชมพู
ไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
61
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
37 เอื้อง
กุหลาบ
กระเป๋า
เปิด
Aerides falcata
Lindl.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีครีมแกมม่วง
มีกลิ่นหอม
38 เอื้องพวง
มาลัย
Aerides multiflora
Roxb. var. multiflora
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีม่วงแดง
39 แข้งกว่าง Cleisomeria
pilosulum (Gagnep.)
Seidenf. & Garay
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเขียวอ่อน
มีแถบสีชมพูอ่อน
40 เขาแพะ Cleisostoma
arietinum (Rchb.f.)
Garay
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีชมพูแกมม่วง
41 ก้างปลา Cleisostoma
fuerstenbergianum
F.Kranzl.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีน�้ำตาลคล�้ำ
กลีบปากสีขาว
42 เอื้อง
มังกร
Cryptopylos clausus
(J.J.Sm.) Garay
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลือง
43 กะเร
กะร่อน
Cymbidium
aloifolium (L.) Sw.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลืองอมเขียว
แถบน�้ำตาลแดง
44 เอื้องดอก
มะขาม
Dendrobium
delacourii
Guillaumin
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเขียวแกมเหลือง
กลีบปากสีเหลือง
45 เอื้องค�ำ
ตาควาย
Dendrobium
pulchellum Roxb.
ex Lindl.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีครีมชมพู
ปากกลีบดอกสีแดง
ไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
62 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
46 ข้าว
เหนียวลิง
Dendrobium
venustum
Teijsm. & Binn.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาวแกมเขียว
47 เอื้อง
ขี้หมา
Eria bractescens
Lindl.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลืองมีกลิ่น
หอม
48 หัวข้าวต้ม Eulophia graminea
Lindl.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีม่วงแกมขาว
49 ว่านนาง
ตาม
Geodorum recurvum
(Roxb.) Alston
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาว
50 แผ่นดิน
เย็น
Nervilia aragoana
Gaudich.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเขียวอ่อน
51 ช้างกระ Rhynchostylis
gigantea (Lindl.)
Ridl. var. gigantea
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาวจุดชมพู
มีกลิ่นหอม
52 เข็มขาว Vanda lilacina
Teijsm. & Binn.
Orchidaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีม่วงอ่อน
53 หางนาค
บก
Adiantum
caudatum L.
Parkeriaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
54 หญ้า
ขวาก
Adiantum
philippense L.
Parkeriaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
55 ชายผ้า
สีดา
Platycerium
wallichii Hook.
Polypodiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
56 Pteris venusta Kunze Pteridaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
57 กูดหมาก Pteris vittata L. Pteridaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
ไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
63
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ประโยชน์ พื้นที่
58 ค�ำมอก
หลวง
Gardenia
sootepensis Hutch.
Rubiaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีเหลืองเข้ม
59 เข็มพวง Ixora butterwickii
Hole var. butterwickii
Rubiaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาวแกมชมพู
60 สะแล่ง
หอมไก๋
Rothmannia
sootepensis (Craib)
Bremek.
Rubiaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาว
61 ก�ำเบ้อต้น Schizomussaenda
dehiscens (Craib)
H.L.Li
Rubiaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกมีสีเหลืองอ่อน
แกมสีส้ม
62 ตะลุมพุก Tamilnadia
uliginosa (Retz.)
Tirveng. & Sastre
Rubiaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม
63 กะหนาน
ปลิง
Pterospermum
acerifolium (L.) Willd.
Sterculiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
ให้ร่มเงา
64 ลิ้นงั่ว Sterculia laevis Wall.
ex Hook var.
lanceolata Phengklai
Sterculiaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
65 ปีก
แมลงสาบ
Pellionia repens
(Lour.) Merr.
Urticaceae ปลูกเป็นไม้ประดับ
66 แพ่งเครือ Sphenodesme
mollis Craib
Verbenaceae ปลูกเป็นไม้เถาเลื้อย
พัน
67 ดาดตะกั่ว
เถา
Cissus javana DC. Vitaceae ปลูกเป็นไม้เถาเลื้อย
พัน
68 มหาอุดม Curcuma glans
K. Larsen & J. Mood
Zingiberaceae ปลูกเป็นไม้ดอก
ดอกสีขาว ฐานสีม่วง
ปลายสีเหลืองอ่อน
ไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
64 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ พื้นที่
1 Eranthemum pulchellum
Andrews
Acanthaceae
2 กระดูกไก่น้อย Justicia diffusa Willd. Acanthaceae
3 Phaulopsis imbricata (Forssk.) Sweet. Acanthaceae
4 Pseuderanthemum parishii
(T. And.) Lindau
Acanthaceae
5 เขือง Wallichia siamensis Becc. Arecaceae
6 Acilepis attenuata (DC.) H.Rob. &
Skvarla
Asteraceae
7 กะหน๊าด Blumea clarkei Hook.f. Asteraceae
8 ยาแก้เครือ Decaneuropsis eberhardtii
(Gagnep.) H.Rob. & Skvarla
Asteraceae
9 ผักบึ้ง Emilia prenanthoides DC. Asteraceae
10 ขางหางเล็ก Vernonia parishii Hook.f. Asteraceae
11 หญ้างวงช้างหลวง Tournefortia intonsa Kerr Boraginaceae
12 Poikilospermum lanceolatum
(Trecul) Merr.
Cecropiaceae
13 เถาหมากวาง Argyreia osyrensis (Roth) Choisy Convolvulaceae
14 จิงจ้อผี Jacquemontia paniculata (Burm.f.)
Hallier f.
Convolvulaceae
15 ฟัก Benincasa pruriens (Parkinson) W.J.
de Wilde & Duyfjes
Cucurbitaceae
16 ขี้กาแดง Trichosanthes pubera Blume subsp.
rubriflos (Cayla) Duyfjes & Pruesapan
Cucurbitaceae
พืชที่ไม่มีข้อมูลการใช้ประโยชน์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
65
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ พื้นที่
17 หญ้าตีนกา Cyperus laxus Lam. var. laxus Cyperaceae
18 หญ้าคมบาง Rhynchospora corymbosa (L.) Britton Cyperaceae
19 สลัด Mallotus peltatus Müll.Arg. Euphorbiaceae
20 Mallotus pierrei (Gagnep.) Airy Shaw Euphorbiaceae
21 ข้าวสาร Phyllanthus columnaris Müll.Arg. Euphorbiaceae
22 หิ่งหนู Crotalaria neriifolia Wall. ex Benth. FabaceaePapilionoideae
23 Flemingia ferruginea Grah. ex Benth. FabaceaePapilionoideae
24 เถาแปบหนู Galactia tenuiflora Wight & Arn. FabaceaePapilionoideae
25 สะบ้าลาย Mucuna revoluta Wilmot–Dear FabaceaePapilionoideae
26 เกล็ดปลา Phyllodium vestitum Benth. FabaceaePapilionoideae
27 Shuteria hirsuta Baker FabaceaePapilionoideae
28 ถั่วขน Sinodolichos lagopus (Dunn) Verdc. FabaceaePapilionoideae
29 Uraria campanulata (Wall. ex Benth.)
Gagnep.
FabaceaePapilionoideae
30 หางหมา Uraria cordifolia Wall. FabaceaePapilionoideae
31 สีเสื้อ Casearia calva Craib Flacourtiaceae
32 ว่านพร้าว Curculigo orchidoides Gaertn. Hypoxidaceae
พืชที่ไม่มีข้อมูลการใช้ประโยชน์
PLANT
66 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
พืชที่ไม่มีข้อมูลการใช้ประโยชน์
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ พื้นที่
33 ขมิ้นต้น Alseodaphne birmanica Kosterm. Lauraceae
34 มูกเตี้ย Munronia humilis (Blanco) Harms Meliaceae
35 เหล็กเหลี่ยม Myxopyrum smilacifolium Blume
subsp. confertum (Kerr) Kiew
Oleaceae
36 เตยหนู Pandanus humilis Lour. Pandanaceae
37 หญ้าพริก
พราน
Apluda mutica L. Poaceae
38 หญ้าขจรจบ Pennisetum polystachyon (L.) Schult. Poaceae
39 หญ้าหางหมา Sorghum nitidum Pers. Poaceae
40 พวงเพชร Hedyotis hedyotidea Merr. Rubiaceae
41 ตองลาย Knoxia sumatrensis (Retzius) Candolle Rubiaceae
42 ขมิ้นต้น Metadina trichotoma (Zoll. ex Merr.)
Bakh.f.
Rubiaceae
43 Mouretia larsenii Tange Rubiaceae
44 สีดาบุนทา Madhuca floribunda (Pierre) H.J.Lam Sapotaceae
45 หญ้าเกล็ด
หอย
Lindenbergia indica (L.) Vatke Scrophulariaceae
46 ขางขาว Xanthophyllum virens Roxb. Xanthophyllaceae
47 กากุ๊ก Alpinia blepharocalyx K.Schum. Zingiberaceae
48 เปราะทอง
ลาร์เซน
Cornukaempferia larsenii P.Saensouk Zingiberaceae
49 ว่านกระหัง Gagnepainia thoreliana (Baill.) K.Schum. Zingiberaceae
50 เข้าพรรษา
ทางเงิน
Globba substrigosa King ex Bak. Zingiberaceae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
67
Barleria cristata L. วงศ์ Acanthaceae
ไม้พุ่ม สูง 1-1.5 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปใบหอก ดอกสีม่วง สีชมพู
หรือสีขาว เมล็ดแบนกลม พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา
รากปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ และฟอกโลหิตประจ�ำเดือน
อังกาบ
PLANT
68 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เข็มม่วง
Eranthemum album Nees
วงศ์ Acanthaceae
ไม้ล้มลุก อายุปีเดียว สูง 25-60 เซนติเมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีรูปขอบขนานหรือรูปไข่
กลับ โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุก ออกที่ซอกใบ
กลีบดอกสีม่วงอ่อน ผลแห้งแตก พบตามป่าเบญจพรรณ ทั้งต้นต้มน�้ำดื่มต้านอนุมูลอิสระ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
69
ปรู
Alangium salviifolium (L.f.) Wangerin subsp. hexapetalum Wangerin
วงศ์ Alangiaceae
ไม้พุ่มรอเลื้อยหรือไม้ต้น ผลัดใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่กลับแกมรีดอกสีขาวนวล
ช่อดอกสั้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นกระจุกตามกิ่ง ผลสีแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีด�ำสนิท
พบตามป่าเบญจพรรณ ผลสดรับประทานได้ดอกบ�ำรุงก�ำลัง เปลือกแก้หืดหอบ
PLANT
70 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ผักขมหนาม
Amaranthus spinosus L. วงศ์ Amaranthaceae
ไม้ล้มลุก ตั้งตรง สูง 0.5-1 เมตร มีหนามยาว 0.3-0.1 เซนติเมตร ออกคู่ตรงข้าม ใบเดี่ยว
รูปไข่หรือรูปใบหอก ดอกออกเป็นช่อแบบกึ่งเชิงลดหรือช่อกระจุก เมล็ดค่อนข้างกลม
พบตามพื้นที่เปิดโล่งและตามริมล�ำห้วย รากแก้อาการช�้ำใน แก้จุกเสียด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
71
รักใหญ่
Gluta usitata (Wall.) Ding Hou วงศ์ Anacardiaceae
ไม้ต้น สูงได้ถึง 20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มค่อนข้างกลม ผลัดใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ
รูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนง สีเหลืองนวล ผลแห้ง
มีปีกสีแดงสด พบตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบเขา เนื้อไม้ท�ำด้ามเครื่องมือเครื่องใช้
เปลือกรักษาโรคเรื้อน โรคผิวหนัง ยางเป็นยาถ่ายอย่างแรง
PLANT
72 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
รักขาว
Semecarpus cochinchinensis Engl. วงศ์ Anacardiaceae
ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปไข่กลับแคบหรือรูปใบหอกกลับ
ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงออกที่ปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็ก สีขาวอมเขียว ผลสดเมล็ด
เดียวแข็ง กลม ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ฐานผลมีเยื่อสีเหลืองหุ้ม ประมาณ 1/3
ของผล เมล็ดกลม พบตามป่าเบญจพรรณ ยางใช้ลงรัก เนื้อไม้ใช้ท�ำลังใส่ของ ยางมีพิษ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
73
ระย่อม
Rauvolfia serpentina (L.) Benth. ex Kurz วงศ์ Apocynaceae
ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงถึง 60 เซนติเมตร มีนํ้ายางสีขาว ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ดอกออกเป็น
ช่อแบบกระจุกที่ปลายยอด ดอกย่อยจ�ำนวนมาก สีขาว สีชมพูหรือสีแดง ผลสดสีด�ำเมื่อสุก
พบตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง รากต้มดื่มแก้ไข้ลดความดัน ระงับอาการปวด
PLANT
74 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
โมกมัน
Wrightia arborea (Dennst.) Mabb. วงศ์ Apocynaceae
ไม้ต้นขนาดเล็กถึงกลาง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีรูปใบหอก หรือรูปไข่แกมรี
กลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวอมเขียว สีเหลืองอ่อนหรือสีชมพูโคนติดกัน
เป็นหลอด ปลายแยก 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ผลเป็นฝักคู่ มีร่องตามยาวทั้ง 2 ข้าง
เปลือกของฝักมีสีน�้ำตาลแดง พบตามป่าเบญจพรรณ ดอกเป็นยาระบายช่วยขับลม
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
75
บอนเต่า
Hapaline benthamiana Schott วงศ์ Araceae
ไม้ล้มลุก สูง 15-30 เซนติเมตร มีล�ำต้นเป็นหัวใต้ดิน รูปทรงกลม ใบเดี่ยว
ออกจากหัวใต้ดิน รูปหัวใจ ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก เกสรเพศผู้และเพศเมียสีขาว
พบตามป่าเบญจพรรณ ช่อดอก ยอดอ่อนทั้งก้าน และใบ รับประทานได้
PLANT
76 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ด้าง
Hoya kerrii Craib วงศ์ Asclepiadaceae
ไม้เถาอิงอาศัย มีน�้ำยางสีขาว ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่กลับ อวบหนา
โคนใบสอบหรือมน ปลายใบเว้า ดอกสีขาวครีมแกมม่วง ออกเป็นช่อ
รูปครึ่งวงกลม มี10-15 ดอก ก้านดอกย่อยยาว
เรียงเป็นซี่ร่ม พบตามป่าเต็งรัง ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
77
แคหางค่าง
Fernandoa adenophylla (Wall. ex G.Don) Steenis วงศ์ Bignoniaceae
ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เปลือกสีเทา ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน�้ำตาล ใบประกอบ
ใบย่อยมี1-4 คู่ ที่ปลายสุดเป็นใบเดี่ยว ดอกสีเหลืองอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง
ช่อจะตั้งชี้ขึ้น ฝักรูปทรงกระบอกมีขนสีน�้ำตาลแดง เมล็ดแบน มีเยื่อบางๆ ตามขอบคล้ายปีก
พบตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง เป็นพืชเบิกน�ำ ดอกใช้เป็นอาหารได้
PLANT
78 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กาสะลองค�า
Radermachera ignea (Kurz) Steenis วงศ์ Bignoniaceae
ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 6-20 เมตร ล�ำต้นเปลาตรง ใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้าม
ดอกสีเหลืองทองหรือสีเหลืองอมส้ม ออกเป็นกระจุกที่กิ่งและล�ำต้น
กระจุกละ 5-15 ดอก ผลเป็นฝักยาว เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีปีก
พบในป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
79
งิ้ว
Bombax ceiba L. วงศ์ Bombacaceae
ไม้ต้น ผลัดใบ เปลือกสีเทาอ่อนหรือครีม ในต้นอ่อนมีหนามแข็งทั่วไป ใบประกอบแบบนิ้วมือ
เรียงสลับ ดอกเดี่ยว ออกดอกขณะที่ใบแก่หลุดร่วงไป ออกที่ปลายกิ่ง สีส้มหรือสีแดง
ผลแห้งแตก รูปไข่หรือรูปใบหอก ผิวนอกแข็ง เมล็ดสีด�ำจ�ำนวนมาก พบตามป่าเบญจพรรณ
ดอกสดต้มจิ้มน�้ำพริกหรือแกงส้ม เกสรตากแห้งท�ำน�้ำยาขนมจีนน�้ำเงี้ยว
PLANT
80 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
หญ้างวงช้าง
Heliotropium indicum L. วงศ์ Boraginaceae
ไม้ล้มลุก อายุปีเดียว แตกกิ่งแบบเวียนสลับ ใบเดี่ยว เรียงสลับ ขอบใบเป็นคลื่น
ปลายใบแหลม ดอกสีขาว ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แบบช่อกระจะแคบ
เป็นดอกสมบูรณ์เพศ เรียงเวียนบนแกนช่อดอกทางด้านเดียว ผลขนาดเล็ก
เนื้อแข็งมี2 พูเชื่อมติดกัน แต่ละพูมี2 เมล็ด พบตามชายป่าเบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
81
ตะคร�้า
Garuga pinnata Roxb. วงศ์ Burseraceae
ไม้ต้น ผลัดใบ ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย 8-10 คู่ รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก
ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด
สีครีมแกมชมพูหรือสีเหลือง มีขน ผลกลมมน ภายในฉ�่ำน�้ำ
พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ผลใช้ย้อมตอกให้สีด�ำ
PLANT
82 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ชิงชี่
Capparis micracantha DC. วงศ์ Capparaceae
ไม้พุ่มหรือไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 2-6 เมตร ล�ำต้นสีเทา มีหนามยาว 2-4 มิลลิเมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ
รูปขอบขนาน รูปใบหอก หรือแกมรูปไข่ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุกสั้นๆ ตามซอกใบด้านบน
มี2-7 ดอก กลีบดอก 4 กลีบ สีขาว กลีบคู่บนแซมด้วยสีเหลืองหรือสีม่วง ผลรูปรีรูปกลม หรือ
ทรงกระบอก สีส้มแดง พบตามชายป่าทั่วไป รากใช้ขับลมภายใน แก้ไข้และโรคกระเพาะ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
83
ว่านข้าวเหนียว
Murdannia edulis (Stokes) Faden วงศ์ Commelinaceae
ไม้ล้มลุก อายุหลายปีล�ำต้นเป็นกอสั้น มีรากใต้ดินรูปกระสวยยาว ออกเป็นกลุ่ม
ใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ถึงรูปแถบ ดอกจ�ำนวนมาก กลีบดอกสีม่วงอ่อนหรือม่วง
ผลแบบแคปซูล รูปไข่ เมล็ดรูปสามเหลี่ยม ผิวเป็นปุ่ม
พบตามป่าเต็งรัง รากต้มน�้ำดื่มเป็นยาระบาย
PLANT
84 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
มันเสา
Dioscorea alata L. วงศ์ Dioscoreaceae
ไม้เลื้อย มีล�ำต้นใต้ดิน ใบเดี่ยว แผ่นใบและก้านใบสีเขียวอ่อน มีเส้นใบ 5 เส้น
นูนเห็นชัดทั้งด้านบนและด้านล่าง ก้านใบมีครีบ ดอกแบบแยกเพศ
ช่อดอกแบบเชิงลด ช่อดอกเพศเมียมีลักษณะห้อยลง ช่อสั้นกว่าดอกเพศผู้
ผลแห้งแตก มีปีก 3 ปีก พบตามป่าเบญจพรรณ หัวใต้ดินรับประทานได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
85
เหียง
Dipterocarpus obtusifolius Teijsm. ex Miq. วงศ์ Dipterocarpaceae
ไม้ต้น ผลัดใบ กิ่งและหูใบมีขนปกคลุมหรือเรียบเกลี้ยง ใบรูปไข่กลมหรือรูปรี
ขอบใบหยักเป็นคลื่นหรือมีขนปกคลุม ใบของต้นที่อายุน้อยจะมีขนาดใหญ่
พบตามป่าเต็งรัง เนื้อไม้ใช้ในงานก่อสร้างบ้านเรือน เครื่องจักสานและเครื่องใช้สอย
น�้ำมันจากล�ำต้นใช้ยาไม้ยาแนวเรือ
PLANT
86 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
มะไฟ
Baccaurea ramiflora Lour. วงศ์ Euphorbiaceae
ไม้ต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปรีแกมใบหอก โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ
หรือหยักตื้นๆ ปลายใบเรียว ดอกออกเป็นช่อ ผลค่อนข้างกลมหรือรีสีผิวเหลืองถึงแดง
ผิวเกลี้ยง มี1-3 เมล็ด เนื้อหุ้มเมล็ดสีขาวขุ่น รสเปรี้ยวอมหวาน พบตามป่าเบญจพรรณ
ผลสดรับประทานได้ต้นและเปลือกท�ำเป็นยาทาภายนอก แก้บวมอักเสบ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
87
ครามน�้า
Breynia retusa (Dennst.) Alston วงศ์ Euphorbiaceae
ไม้พุ่ม รอเลื้อยหรือตั้งตรง สูงได้ถึง 5 เมตร ใบเดี่ยว ดอกออกเป็นช่อเดี่ยวหรือเป็นกระจุก
ไม่มีกลีบดอก ผลสุกสีแดง เมล็ดรูปสามเหลี่ยม มีเยื่อหุ้มสีเหลืองหรือสีแดง พบตามป่าเต็งรัง
ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ล�ำต้นและรากใช้ผสมสมุนไพรอื่นต้มดื่มแก้ไข้
PLANT
88 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ขันทองพยาบาท
Suregada multiflorum (A.Juss.) Baill. วงศ์ Euphorbiaceae
ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-7 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก
เนื้อใบหนาเป็นมัน ดอกสีเขียวอมเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อสั้นๆ ตรงซอกใบ กลิ่นหอม
ดอกแยกเพศ ไม่มีกลีบดอก ผลค่อนข้างกลม ผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกสีเหลือง
แตกตามพูพบตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง เปลือกต้นเป็นยาแก้โรคผิวหนัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
89
หนามหัน
Acacia comosa Gagnep. วงศ์ Fabaceae-Mimosoideae
ไม้เถารอเลื้อย เปลือกต้นมีหนามแหลมปลายโค้งลง ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น
เรียงสลับ ใบย่อยเรียงสลับ รูปขอบขนาน ปลายแหลมหรือมน โคนเบี้ยว ขอบเรียบ
ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุกแยกแขนง ออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ไม่มีก้านดอกย่อย
ผลเป็นฝักแบน พบตามชายป่าทั่วไป รากเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร
PLANT
90 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ถั่วลาย
Centrosema pubescens Benth. วงศ์ Fabaceae-Papilionoideae
ไม้ล้มลุก มีขนยาว หูใบรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ใบรูปรีหรือรูปขอบขนาน ปลายแหลม
โคนมนหรือกลม แผ่นใบบาง มีขนยาวกระจายทั้งสองด้าน ช่อดอกมี2-4 ดอก ใบประดับ
คล้ายหูใบ ใบประดับย่อยรูปรีหรือรูปไข่กว้าง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกสีขาว ชมพู
หรืออมม่วง ฝักรูปแถบ พบตามชายป่าเต็งรัง ปลูกเป็นพืชอาหารสัตว์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
91
ค�าบูชา
Crotalaria juncea L. วงศ์ Fabaceae-Papilionoideae
ไม้ล้มลุก อายุปีเดียว ล�ำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยว เรียงสลับ
รูปขอบขนานถึงรูปแถบแกมรูปใบหอก ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ สีเหลือง รูปดอกถั่ว
ผลเป็นฝัก รูปทรงกระบอก พบตามชายป่าทั่วไป ปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดได้ดี
PLANT
92 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
หิ่งหนู
Crotalaria neriifolia Wall. ex Benth. วงศ์ Fabaceae-Papilionoideae
ไม้ล้มลุก สูงถึง 1.7 เมตร ใบเดี่ยว รูปไข่แกมขอบขนานถึงรูปใบหอก ดอกสีเหลือง
ด้านนอกมีเส้นสีน�้ำตาลแดงพาดตลอด ออกเป็นช่อ ดอกย่อยรูปดอกถั่ว ผลเป็นฝัก
รูปกระบอง เมล็ดมีขนาดเล็กจ�ำนวนมาก พบตามชายป่าเบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
93
หนาดค�า
Desmodium oblongum Wall. ex Benth. วงศ์ Fabaceae-Papilionoideae
ไม้ล้มลุก อายุหลายปีสูง 40-120 เซนติเมตร ใบประกอบมีหนึ่งใบย่อย รูปขอบขนาน
แกมรูปไข่ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนง กลีบดอกรูปดอกถั่ว สีม่วง สีชมพู
หรือสีนํ้าเงินอมม่วง พบตามริมล�ำห้วยและชายป่าทั่วไป รากและล�ำต้นดองเป็นยาบ�ำรุงก�ำลัง
PLANT
94 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เถาแปบหนู
Galactia tenuiflora Wight & Arn. วงศ์ Fabaceae-Papilionoideae
ไม้ล้มลุก อายุหลายปีล�ำต้นเลื้อยพัน ใบประกอบมี3 ใบย่อย ใบย่อยรูปรีถึงรูปใบหอก
ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ กลีบดอกรูปดอกถั่ว สีขาวแกมชมพูสีม่วงอ่อน
หรือสีชมพูอ่อน ผลรูปแถบแกมขอบขนาน พบตามป่าเชิงเขา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
95
คราม
Indigofera tinctoria L. วงศ์ Fabaceae-Papilionoideae
ไม้พุ่ม สูง 0.5-1 เมตร ใบประกอบแบบขนนก มี9-13 ใบย่อย มีหูใบรูปสามเหลี่ยมแคบ
ใบย่อยเรียงตรงข้าม รูปไข่กลับแกมขอบขนานถึงรูปไข่กลับ ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ
กลีบดอกรูปถั่ว สีชมพูฝักแบบถั่ว มี5-12 เมล็ด พบตามป่าเบญจพรรณ ต้นใช้ท�ำสีย้อมผ้า
PLANT
96 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
หญ้าหางอ้น
Uraria lagopodioides (L.) Desv. ex DC.
วงศ์ Fabaceae-Papilionoideae
ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้นกึ่งตั้งตรง สูง 16.7-40.9 เซนติเมตร ใบประกอบมีใบย่อย 1-3 ใบ
เรียงสลับ ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ สีชมพูแกมม่วง ผลเป็นฝักรูปขอบขนานสีด�ำมัน
ไม่มีขน เมล็ดมีสีน�้ำตาลถึงสีน�้ำตาลออกเหลือง พบตามป่าเต็งรัง รากฝนน�้ำปูนใสทาแก้ฝี
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
97
เมื่อย
Gnetum montanum Markgr.
วงศ์ Gnetaceae
ไม้เถาเนื้อแข็ง สูง 5-10 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปไข่ถึงรูปขอบขนานแกม
รูปไข่ดอกออกเป็นช่อแบบเชิงลด สีเขียวปนเหลือง เมล็ดรูปกระสวย เมื่อยังอ่อนสีเขียว
เมื่อแก่สีชมพูแดง พบตามป่าเบญจพรรณ เถาอ่อนต้มน�้ำดื่มแก้ปวดเมื่อย
PLANT
98 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
หญ้าดอกค�า
Hypoxis aurea Lour. วงศ์ Hypoxidaceae
ไม้ล้มลุก มีเหง้ากลมๆ หรือรียาว มีขนยาวสีขาวตามแผ่นใบ ล�ำต้นสูงประมาณ
2.5-10 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ ออกที่ยอดโคนใบ มี1-4 ช่อ เมล็ดจ�ำนวนมาก
ผิวเป็นตุ่มเล็กๆ กระจาย พบตามป่าเบญจพรรณ รากต้มน�้ำดื่ม บ�ำรุงโลหิต
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
99
นางแย้มป่า
Clerodendrum viscosum Vent. วงศ์ Lamiaceae
ไม้พุ่มขนาดกลาง สูงได้ถึง 2 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปรีแกมรูปไข่
หรือรูปเกือบกลม ดอกสีขาวแกมชมพูมีกลิ่นหอม ผลเมล็ดเดียว แข็ง รูปร่างกลม
เมื่อแก่จัดมีสีด�ำ พบตามชายป่าทั่วไป ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
100 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
อินทนิลบก
Lagerstroemia macrocarpa Wall.
วงศ์ Lythraceae
ไม้ต้นขนาดเล็ก เปลือกต้นสีเทาอ่อนหรือน�้ำตาล ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย
รูปไข่แกมขอบขนาน ไม่มีขน ดอกสีม่วงสดแล้วซีดออกสีชมพูผลรูปไข่หรือป้อมรี
เมื่อแก่แตกเป็น 5-6 แฉก พบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
101
โสมชบา
ไม้ล้มลุก อายุปีเดียวหรือหลายปีสูงได้ประมาณ 2 เมตร มีรากสะสมอาหารขนาดใหญ่
ใบที่โคนรูปไข่ ใบช่วงกลางและปลายล�ำต้นรูปลูกศร ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีเหลืองนวล สีขาว
สีชมพูหรือสีชมพูอมแดง พบตามที่โล่งและป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
Abelmoschus moschatus Medik. subsp. tuberosus (Span.) Borss.Waalk.
วงศ์ Malvaceae
PLANT
102 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ปอลมปม
Thespesia lampas (Cav.) Dalzell & A.Gibson
วงศ์ Malvaceae
ไม้พุ่ม สูง 0.5-2.5 เมตร ล�ำต้นและกิ่งก้านมีขน ใบเดี่ยว เรียงสลับ ดอกสีเหลืองสด
ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด ผลแห้งแตกรูปไข่ป้อม มีสัน 5 สัน
แตกตามรอยสัน เมล็ดขนาดเล็กจ�ำนวนมาก พบตามชายป่าทั่วไป เปลือกใช้ท�ำเชือก
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
103
เหมือดจี้ดง
Memecylon plebejum Kurz var. ellipsoideum Craib
วงศ์ Melastomataceae
ไม้พุ่มถึงไม้ต้นขนาดเล็ก เปลือกต้นสีน�้ำตาล ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามในระนาบ ดอกมีขนาดเล็ก
สีม่วงอมน�้ำเงิน ก้านสั้น ออกตามกิ่งก้านเรียงเป็นแถว ผลสีเหลืองเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมน�้ำเงิน
มีเนื้อบางและเมล็ดขนาดใหญ่ พบตามป่าเบญจพรรณ เนื้อไม้ท�ำด้ามเครื่องมือเครื่องใช้
PLANT
104 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
สะแล
Broussonetia kurzii (Hook.f.) Corner วงศ์ Moraceae
ไม้เถาเลื้อย ใบเดี่ยว เรียงสลับระนาบเดียว รูปขอบขนานถึงรูปไข่ดอกแยกเพศต่างต้น
ช่อดอกเพศผู้แบบช่อเชิงลด ออกเป็นกลุ่ม ช่อดอกเพศเมียแบบช่อกระจุกแน่น
พบตามป่าเบญจพรรณ ดอก ผล และใบ น�ำมาประกอบอาหาร
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
105
มะเดื่ออุทุมพร
Ficus racemosa L. วงศ์ Moraceae
ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เปลือกเรียบสีน�้ำตาลปนเทา ใบเดี่ยว เรียงสลับ
ใบรูปไข่หรือรูปใบหอก ดอกสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม มีกลิ่นหอม
ผลรูปทรงคล้ายกรวยหรือค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง เมล็ดแข็ง
พบตามป่าเบญจพรรณและบริเวณริมล�ำห้วย ต้นเข้ายาแก้ปวดเมื่อย
PLANT
106 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
พิลังกาสา
Ardisia polycephala Wall. ex A.DC. วงศ์ Myrsinaceae
ไม้ต้นขนาดเล็ก ใบเดี่ยว ออกสลับกันเป็นคู่ๆ ตามข้อต้น ใบรูปไข่ หนา ใหญ่
มีสีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกมีสีชมพูอมขาว
ผลโตเท่าขนาดเม็ดนุ่น เมื่อยังอ่อนเป็นสีแดง ผลแก่จะเป็นสีม่วงด�ำ
พบตามป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
107
ตาลเหลือง
Ochna integerrima (Lour.) Merr. วงศ์ Ochnaceae
ไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ ล�ำต้นสีน�้ำตาลเทา ใบเดี่ยว แผ่นใบรูปรีขอบใบหยักเป็นคลื่น
ดอกออกเป็นช่อใกล้ปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลือง มีฐานรองดอก ผลสีเขียว
เมื่อสุกมีสีด�ำ พบตามป่าเต็งรัง หรือบนลานหินที่โล่ง ผลแก้พิษ แก้ไข้และแก้อาหารไม่ย่อย
PLANT
108 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ก่อแซะ
Anacolosa ilicoides Mast. วงศ์ Olacaceae
ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก เปลือกสีเทา ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีแกมขอบขนาน
ดอกสีเขียว ขนาดเล็ก ออกเป็นช่อสั้นหรือเป็นกระจุกตามง่ามใบ ผลรูปไข่ เมื่อสุกสีแดง
พบตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง เนื้อไม้ท�ำด้ามเครื่องมือเครื่องใช้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
109
เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด
Aerides falcata Lindl. วงศ์ Orchidaceae
กล้วยไม้อิงอาศัย เจริญทางยอด ใบเดี่ยว เรียงสลับระนาบเดียว รูปขอบขนาน แผ่นใบแบน
พับเข้าหากัน ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ ห้อยลง ออกบริเวณซอกใบ ดอกสีขาวและสีชมพู
กลีบดอกรูปช้อน กลีบปากกลางชมพูเข้ม แผ่ออกเป็นรูปไข่ ปลายเว้า
พบตามป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
110 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กะเรกะร่อน
Cymbidium aloifolium (L.) Sw. วงศ์ Orchidaceae
กล้วยไม้อิงอาศัย ล�ำลูกกล้วยสั้น รูปไข่ค่อนข้างแบน ใบเดี่ยว รูปขอบขนานแกมรูปแถบ
ขอบเรียบ แผ่นใบหนาแข็ง ช่อดอกแบบช่อกระจะ ห้อยลง ดอกย่อยจ�ำนวนมาก ใบประดับ
ย่อยขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงรูปขอบขนาน กลีบดอกรูปใบหอกกลับแกมรูปไข่กลับ สีเหลืองอม
เขียว กลางกลีบดอกมีแถบสีน�้ำตาลแดง พบตามป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
111
เอื้องดอกมะขาม
Dendrobium delacourii Guillaumin วงศ์ Orchidaceae
กล้วยไม้อิงอาศัย ล�ำต้นรูปทรงกระบอก ขึ้นเป็นกอแน่น ใบเดี่ยว 5-6 ใบ เรียงเวียน
ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะปลายล�ำต้น กลีบดอกสีเขียวหรือสีเหลือง ดอกย่อย 10-25 ดอก
ผลแห้งแตก พบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
112 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ช้างกระ
Rhynchostylis gigantea (Lindl.) Ridl. var. gigantea วงศ์ Orchidaceae
กล้วยไม้อิงอาศัย ล�ำต้นเจริญทางปลายยอด ใบขนาดใหญ่ รูปขอบขนาน เรียงสลับ
ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ ออกข้างล�ำต้น กลีบดอกสีขาวและมีจุดสีม่วงแดงจ�ำนวนมาก
ดอกมีกลิ่นหอม พบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
113
เข็มขาว
Vanda lilacina Teijsm. & Binn. วงศ์ Orchidaceae
กล้วยไม้อิงอาศัย ล�ำต้นสูง 10-15 เซนติเมตร รากอวบหนา ใบเดี่ยว รูปแถบ
ยาว 10-12 เซนติเมตร เนื้อใบหนา ดอกออกเป็นช่อแบบกระจะตั้งขึ้น มี10-15 ดอก
กลีบดอกสีขาว กลีบปากเป็นถุง ปลายกลีบพับออกมีแต้มสีชมพูม่วง
พบตามป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
114 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ผักสาบ
Adenia viridiflora Craib วงศ์ Passifloraceae
ไม้เถาเนื้อแข็ง ล�ำต้นและกิ่งเกือบกลม มีมือจับ ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีแกมรูปไข่
ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุก ออกเป็นคู่ตามซอกใบ ดอกสีเขียว ผลแห้งแตก
รูปกลมหรือรูปรีผลห้อยลง พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดิบแล้ง
ยอดอ่อน ใบอ่อน และผลอ่อน รับประทานได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
115
ชายผ้าสีดา
Platycerium wallichii Hook. วงศ์ Polypodiaceae
เฟินอิงอาศัย มีเหง้าทอดเลื้อยสั้นๆ ใบมีสองแบบ คือ ใบกาบ ใบที่ไม่สร้างสปอร์ลักษณะ
ใบตั้งขึ้นและปลายขอบเป็นแฉกลึก และใบชายผ้า ใบที่สร้างสปอร์ลักษณะใบห้อยลง
อับสปอร์เกิดทางด้านล่างบริเวณปลายหรือขอบของใบชายผ้าอยู่รวมกันหนาแน่น
สปอร์มีสีน�้ำตาล พบตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ปลูกเป็นไม้ประดับ
PLANT
116 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ส้มกบ
Hymenodictyon orixense (Roxb.) Mabb. วงศ์ Rubiaceae
ไม้ต้น ผลัดใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก เป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง รูปไข่หรือรูปโล่
ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนง ออกที่ซอกใบบริเวณปลายกิ่ง ดอกย่อยขนาดเล็ก
กลีบดอกสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ผลแห้ง รูปรีสีน�้ำตาลแดง ที่ปลายเมล็ดมีปีกเป็นครีบบาง
พบตามป่าเต็งรัง ราก แก่น และเปลือก แก้ไข้แก้กระหายน�้ำ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
117
เข็มพวง
Ixora butterwickii Hole var. butterwickii วงศ์ Rubiaceae
ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 4 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปขอบขนาน
แกมรูปไข่ ปลายแหลมหรือป้าน โคนป้านหรือรูปลิ่ม ขอบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง
ดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่มเชิงประกอบ กลีบดอกสีขาวหรือสีชมพูรูปดอกเข็ม
พบตามป่าเบญจพรรณ ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ
PLANT
118 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ยอดิน
Morinda angustifolia Roxb. var. angustifolia วงศ์ Rubiaceae
ไม้พุ่มหรือไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูง 6 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม
ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุก ดอกย่อยจ�ำนวนมาก กลีบดอกสีขาว
รูปดอกเข็ม ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลรูปไข่กลับถึงรูปเกือบกลม
พบตามป่าเบญจพรรณ รากใช้ย้อมผ้า ให้สีส้มแดง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
119
สะแล่งหอมไก๋
Rothmannia sootepensis (Craib) Bremek. วงศ์ Rubiaceae
ไม้ต้น สูงถึง 10 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีถึงขอบขนาน
ปลายแหลม ดอกสีขาวออกเป็นช่อ 1-3 ดอก ผลเดี่ยว สีเขียว รูปกลมรีผิวมัน
ขนาด 2.5-3.3 เซนติเมตร ปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ เมล็ดกลมแบนจ�ำนวนมาก
พบตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกมีกลิ่นหอม
PLANT
120 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
แข้งกวางดง
Wendlandia paniculata (Roxb.) DC. วงศ์ Rubiaceae
ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 4-8 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรีแกมหอก ดอกสีขาว
ขนาดเล็ก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 กลีบ ม้วนออกด้านนอก
ผลรูปกลมขนาด 1-1.2 มิลลิเมตร ผิวเกลี้ยง เมื่อแห้งแตกเป็น 2 ซีก
พบตามป่าเบญจพรรณ เนื้อไม้ใช้ท�ำด้ามเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในร่มได้ดี
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
121
โคกกระออม
Cardiospermum halicacabum L. วงศ์ Sapindaceae
ไม้เถาล้มลุก แตกกิ่งจ�ำนวนมาก ล�ำต้นเป็นริ้ว ดอกออกเป็นช่อ ยาว 5-14 เซนติเมตร
ดอกสีขาว รูปไข่กลับหรือเกือบกลม ยาว 2-3 มิลลิเมตร เมล็ดกลม ผิวเรียบ
สีน�้ำตาลด�ำ พบตามชายป่าทั่วไป ใบลวกจิ้มกับน�้ำพริก
PLANT
122 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
มะหวด
Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh. วงศ์ Sapindaceae
ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงถึง 10 เมตร ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมี3-6 คู่
ดอกสีขาวถึงสีเหลืองอ่อน ผลอ่อนสีเขียว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง เมื่อแก่จัดสีม่วงด�ำ
พบตามป่าเบญจพรรณ ใบอ่อนรับประทานแทนผัก ผลมีรสหวาน รับประทานได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
123
คอแลน
Nephelium hypoleucum Kurz วงศ์ Sapindaceae
ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงเวียน ใบย่อยรูปขอบ
ขนานหรือรูปใบหอก ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนง ออกที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมเขียว
ผลสุกสีแดง เปลือกผลแยกจากเนื้อเมล็ด พบตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง
ผลแก่รับประทานได้เนื้อไม้ใช้ท�ำเครื่องมือทางการเกษตร
PLANT
124 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ตูมกาขาว
Strychnos nux–blanda A.W.Hill วงศ์ Strychnaceae
ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปไข่กว้างถึงกลม
ดอกออกเป็นช่อกระจุกแบบแยกแขนง สีเขียวหรือสีเขียวอ่อน ผลกลม เปลือกหนา
เมื่อสุกสีส้ม มีเนื้ออุ้มน�้ำ เมล็ดแบน พบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ
รากต้มน�้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใบแก้โรคผิวหนัง แก้แผลเรื้อรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
125
เครือห้าต่อเจ็ด
Tetrastigma serrulatum (Roxb.) Planch. วงศ์ Vitaceae
ไม้เถาเนื้อแข็ง ใบประกอบแบบนิ้วมือ มี5 ใบย่อย ก้านใบย่อยสั้น ใบย่อยรูปไข่ถึงรูปใบหอก
ปลายเรียวแหลม โคนแหลมหรือเบี้ยว ขอบหยักฟันเลื่อย ดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่มแยกแขนง
ออกที่ซอกใบ ดอกตูมรูปไข่ถึงรูปรีดอกแยกเพศ กลีบดอกรูปไข่ถึงรูปรีเกลี้ยง ผลแก่มีสีม่วงด�ำ
พบตามป่าเบญจพรรณและชายป่าทั่วไป ดอกและยอดอ่อนรับประทานได้
PLANT
126 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เปราะทองลาร์เซน
Cornukaempferia larsenii P.Saensouk วงศ์ Zingiberaceae
ไม้ล้มลุก อายุหลายปีมีเหง้าสั้น ใบเดี่ยว แผ่นใบด้านบนสีเขียว อาจมีแต้มสีเงินเล็กน้อย
ระหว่างเส้นใบ แผ่นใบด้านล่างสีเขียว มีขนกระจายทั่ว ดอกออกเป็นช่อ เกิดกลางกลุ่มใบ
มี3-5 ดอก สีแดงส้ม ผลกลมสีแดง พบตามป่าเบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
127
กระเจียวขาวปากเหลือง
Curcuma cochinchinensis Gagnep. วงศ์ Zingiberaceae
ไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดิน ใบรูปไข่แกมรูปใบหอก ดอกออกเป็นช่อ เกิดกลางกลุ่มใบ
แผ่นใบด้านล่างมีขนคลุมหนาแน่น ใบประดับสีเหลืองอ่อนหรือสีชมพู
กลีบดอกและกลีบปากมีสีขาว มีแถบสีเหลืองตามแนวเส้นกลางแผ่นกลีบปาก
พบตามป่าเบญจพรรณ ช่อดอกอ่อนรับประทานได้
PLANT
128 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กระเจียวขาว
Curcuma parviflora Wall. วงศ์ Zingiberaceae
ไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดินรูปไข่ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร ใบเดี่ยว รูปรีดอกสีขาว
มีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน รูปไข่กลับ สีขาวหรือแต้มสีม่วงหรือน�้ำเงิน
พบตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง ช่อดอกอ่อนน�ำมาต้มรับประทานได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
PLANT
129
ปุดเมืองกาน
Etlingera araneosa (Bak.) R.M. Sm. วงศ์ Zingiberaceae
ไม้ล้มลุก มีเหง้าสูง 2-3 เมตร ใบเดี่ยว รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ดอกสีแดงสด
ออกเป็นช่อจากเหง้า ก้านช่อดอกสั้น โคนช่อมีกาบหุ้มซ้อนกันเป็นเกล็ด ใบประดับสีเขียว
พบตามริมล�ำห้วยและที่มีความชื้นสูง ช่อดอกอ่อนและผลสุกรับประทานได้
PLANT
130 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ว่านกระหัง
Gagnepainia thoreliana (Baill.) K.Schum. วงศ์ Zingiberaceae
ไม้ล้มลุก อายุหลายปีมี2-4 ใบ ใบเดี่ยว รูปรีถึงรูปไข่ดอกออกเป็นช่อแบบเชิงลด
ใบประดับย่อยสีเขียว ดอกย่อยสีขาว มีได้ถึง 50 ดอก กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปไข่โค้ง
ผลแห้งแตก รูปไข่ มีขน พบตามป่าเบญจพรรณและป่าไผ่
ANIMAL
132 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrates)
เป็นกลุ่มสัตว์ที่ภายในล�ำตัวไม่มีโครงกระดูกเป็นแกนกลางของร่างกาย
แบ่งออก เป็นกลุ่มย่อย คือ กลุ่มฟองน�้ำ กลุ่มหนอนปล้อง กลุ่มมีล�ำตัวอ่อนนุ่ม
กลุ่มมีขาเป็นข้อปล้อง กลุ่มมีโพรงล�ำตัว กลุ่มหนอนตัวกลม กลุ่มมีหนามตามผิวหนัง
และกลุ่มหนอนตัวแบน
สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์(Kingdom Animalia) แบ่งออก
เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
กลุ่มล�ำตัวอ่อนนุ่ม
กลุ่มขาเป็นข้อปล้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
133
กลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลัง (Vertebrates)
ภายในล�ำตัวมีโครงกระดูกเป็นแกนกลางของร่างกาย
มีสมมาตรแบบซีกซ้ายซีกขวาเหมือนกัน สัตว์กลุ่มนี้แบ่งเป็น
กลุ่มย่อย คือ กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กลุ่มนก กลุ่มสัตว์
เลื้อยคลาน กลุ่มสัตว์สะเทินน�้ำสะเทินบก และกลุ่มปลา
กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน�้ำสะเทินบก
กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน
กลุ่มนก
ANIMAL
134 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
การส�ำรวจ
บันทึกข้อมูล
ถ่ายภาพ
พบรังไข่ไก่ป่า
ส่องดูสัตว์
การสำรวจสัตว์ป่ามี 2 วิธี 1. การสำรวจทางตรง (Direct count)
สำรวจสัตว์ป่าโดยพบเห็นตัว ซึ่งได้จากการเดินสำรวจ
ตามเส้นทางเดินธรรมชาติ เช่น รอยเท้า กองมูล เสียงร้อง รัง
ซาก เป็นต้น รวมถึงการดักจับโดยใช้กับดัก
2. การสำรวจทางอ้อม (Indirect count)
โดยการสอบถามจากชาวบ้าน ซึ่งอาศัยหรือปฏิบัติงาน
อยู่ในพื้นที่นั้น สามารถใช้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมด้านการใช้ประโยชน์
จากสัตว์ป่าของผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยรอบ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
135
การใช้กับดัก
กับดักข่ายเวหา ส�ำรวจชนิดสัตว์ที่บินได้ได้แก่ นกและค้างคาว
กับดักกรง ส�ำรวจ กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ที่หากินตามต้นไม้และพื้น
ดิน เช่น กระรอก หนูพังพอน โดยการเอาผลไม้ใส่ในกับดักกรงวางไว้ตามต้นไม้หรือ
พื้นดิน
ANIMAL
136 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กับดักหลุม ส�ำรวจสัตว์กลุ่มสะเทินน�้ำสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มสัตว์
เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิด เช่น หนูผีและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ใช้กับสัตว์ที่หากิน
ตามพื้นดิน
ตาข่ายดักปลาใช้จับปลาตามเส้นทางน�้ำแต่ละสายของป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา คือ
ห้วยน�้ำต๊ะ ห้วยน�้ำรีห้วยทรายงาม และวังน�้ำต๊ะ
ความหลากหลายของสัตว์ป่า
ปลาดุกด้าน Clarias batrachus
เต่าเหลือง Indotestudo elongata
พบ 211 ชนิด แบ่งเป็น
กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
กลุ่มนก
กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำาสะเทินบก
กลุ่มปลา
และกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
23 ชนิด
97 ชนิด
23 ชนิด
13 ชนิด
25 ชนิด
30 ชนิด
จ�ำนวนสัตว์ที่พบ 211 ชนิด
* 113 ชนิด เป็นสัตว์ป่ำคุ้มครอง
ตำมพระรำชบัญญัติสงวนและ
คุ้มครองสัตว์ป่ำ พ.ศ. 2535
*36 ชนิด แยกตำมสถำนภำพของ
THAILAND RED DATA
ดังนี้
กลุ่มสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ 1 ชนิด คือ
เต่ำเหลือง กลุ่มสัตว์มีแนวโน้มใกล้
สูญพันธุ์ 1 ชนิด คือ ปลำดุกด้ำน
กลุ่มสัตว์ใกล้ถูกคุกคำม 8 ชนิด
กลุ่มสัตว์ที่เป็นกังวลน้อยที่สุด 25
ชนิด กลุ่มสัตว์ข้อมูลไม่เพียงพอ
1 ชนิด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
137 ป่าล�าน�้าน่านฝั่งขวา
ANIMAL
137
ความหลากหลายของสัตว์ป่า
ปลาดุกด้าน Clarias batrachus
เต่าเหลือง Indotestudo elongata
พบ 211 ชนิด แบ่งเป็น
กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
กลุ่มนก
กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน
กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำาสะเทินบก
กลุ่มปลา
กลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
23 ชนิด
97 ชนิด
23 ชนิด
13 ชนิด
25 ชนิด
30 ชนิด
จ�ำนวนสัตว์ที่พบ 211 ชนิด
* 113 ชนิด เป็นสัตว์ป่ำคุ้มครอง
ตำมพระรำชบัญญัติสงวนและ
คุ้มครองสัตว์ป่ำ พ.ศ. 2535
*36 ชนิด แยกตำมสถำนภำพของ
THAILAND RED DATA
ดังนี้
กลุ่มสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ 1 ชนิด คือ
เต่ำเหลือง กลุ่มสัตว์มีแนวโน้มใกล้
สูญพันธุ์ 1 ชนิด คือ ปลำดุกด้ำน
กลุ่มสัตว์ใกล้ถูกคุกคำม 8 ชนิด
กลุ่มสัตว์ที่เป็นกังวลน้อยที่สุด 25
ชนิด กลุ่มสัตว์ข้อมูลไม่เพียงพอ
1 ชนิด
ANIMAL
138 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
สัตว์
ที่น่าสนใจ
นก เป็นสัตว์ป่าธรรมชาติสามารถพบเห็นได้ทั่วไป มีพฤติกรรมในการด�ำรง
ชีวิตแตกต่างกันไปตามชนิดและสายพันธุ์เสียงร้องของนกคือสื่ออย่างหนึ่งที่นก
แสดงออกเพื่อบ่งบอกถึงอารมณ์ความทุกข์หรือความสุขในช่วงเวลานั้นๆ พื้นที่ป่า
สงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา สามารถพบนกบริเวณป่าเบญจพรรณ
และป่าเต็งรัง มีนกหลากหลายชนิดล้วนเป็นนกที่มีความสวยงามและมีเสียงที่
ไพเราะ บางชนิดพบเห็นได้ทั่วไปแต่บางชนิดอาจพบเห็นได้ยาก เช่น นกเขาเขียว
นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ นกสาลิกาเขียว นกปีกลายสก๊อต นกกะรางหัวหงอก
นกกางเขนดง และนกขมิ้นท้ายทอยด�ำ เป็นต้น นกมีบทบาทส�ำคัญอย่างยิ่งใน
ระบบนิเวศ ช่วยแพร่กระจายพันธุ์พืช ควบคุมแมลงศัตรูพืช และเป็นตัวบ่งบอกถึง
ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า นกเหล่านี้ต้องการป่าที่เป็นบ้านในการด�ำรงชีวิต
เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันดูแลรักษาป่าเพื่อเป็น
แหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับนกเหล่านี้เพื่อให้สัตว์น้อยใหญ่และมนุษย์มี
เสียงเพลงธรรมชาติได้ฟังทุกวัน
นกปีกลายสก๊อต นกกะรางหัวหงอก นกกางเขนดง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
139
รายชื่อความหลากหลายของสัตว์ป่า
กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
1 แมวดาว Prionailurus bengalensis Felidae * -
2 พังพอนธรรมดา Herpestes javanicus Herpestidae * -
3 เม่นใหญ่ Hystrix brachyura Hystricidae * LC
4 กระต่ายป่า Lepus peguensis Leporidae * -
5 หนูพุกเล็ก Bandicota savilei Muridae - -
6 หนูผี Crocidura sp. Muridae - -
7 หนูหวาย Leopoldamys sabanus Muridae - -
8 หนูท้องขาว Rattus rattus Muridae - -
9 ลิ่น Manis sp. Manidae * -
10 ค้างคาว
ขอบหูขาวกลาง
Cynopterus sphinx Rhinolophidae - -
11 ค้างคาวเล็บกุด Eonycteris spelaea Rhinolophidae * -
12 ค้างคาวบัวฟันรี Rousettus leschenaulti Rhinolophidae - -
13 ค้างคาว
หน้ายาวเล็ก
Macroglossus minimus Rhinolophidae * -
14 ค้างคาว
หน้ายาวใหญ่
Macroglossus sobrinus Rhinolophidae * -
ANIMAL
140 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
15 ค้างคาวแวมไพร์
แปลงเล็ก
Megaderma spasma Rhinolophidae * -
16 ค้างคาวไผ่หัว
แบนใหญ่
Tylonycteris robustula Rhinolophidae * -
17 อ้นเล็ก Cannomys badius Spalacidae - -
18 กระจ้อน Menetes berdmorei Sciuridae - -
19 กระรอกหลากสี Callosciurus finlaysoni Sciuridae - -
20 กระรอกบินเล็ก
แก้มขาว
Hylopetes phayrei Sciuridae * -
21 กระเล็นขน
ปลายหูสั้น
Tamiops mcclellandi Sciuridae - -
22 หมูป่า Sus scrofa Suidae - -
23 กระแตเหนือ Tupaia belangeri Tupaiidae -
กลุ่มนก
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
1 เหยี่ยวนกเขา
ชิครา
Accipiter badius Accipitridae * -
2 เหยี่ยวกิ้งก่าสีด�ำ Aviceda leuphotes Accipitridae * -
3 เหยี่ยวปีกแดง Butastur liventer Accipitridae * NT
4 เหยี่ยวขาว Elanus caeruleus Accipitridae * -
5 เหยี่ยวรุ้ง Spilornis cheela Accipitridae * -
6 นกขมิ้นน้อย
ธรรมดา
Aegithina tiphia Aegithinidae * -
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
141
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
7 นกกะเต็นน้อย
ธรรมดา
Alcedo atthis Alcedinidae * -
8 นกกะเต็นอก
ขาว
Halcyon smyrnensis Alcedinidae * -
9 นกเป็ดแดง Dendrocygna javanica Anatidae * -
10 นกยางกรอก
พันธุ์จีน
Ardeola bacchus Ardeidae * -
11 นกยางควาย Bubulcus coromandus Ardeidae * -
12 นกแอ่นพง Artamus fuscus Artamidae * -
13 นกกระปูดเล็ก Centropus bengalensis Centropodidae * -
14 นกกระปูดใหญ่ Centropus sinensis Centropodidae * -
15 นกกระแตแต้
แว้ด
Vanellus indicus Charadriidae * -
16 นกเขียวก้าน
ตองหน้าผากสี
ทอง
Chloropsis aurifrons Chloropseidae * -
17 นกปากห่าง Anastomus oscitans Ciconiidae * -
18 นกเขาเขียว Chalcophaps indica Columbidae * -
19 นกพิราบป่า** Columba livia Columbidae * -
20 นกเขาชวา Geopelia striata Columbidae - -
21 นกเขาใหญ่ Streptopelia chinensis Columbidae - -
22 นกเขาไฟ Streptopelia
tranquebarica
Columbidae * -
23 นกตะขาบทุ่ง Coracias benghalensis Coraciidae * -
ANIMAL
142 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
24 นกสาลิกาเขียว Cissa chinensis Corvidae * -
25 นกกาแวน Crypsirina temia Corvidae * -
26 นกปีกลายสก๊อต Garrulus glandarius Corvidae * -
27 นกขุนแผน Urocissa erythrorhyncha Corvidae * -
28 นกคัคคูหงอน Clamator coromandus Cuculidae * -
29 นกบั้งรอกใหญ่ Phaenicophaeus tristis Cuculidae * -
30 นกสีชมพูสวน Dicaeum cruentatum Dicaeidae * -
31 นกแซงแซวหงอน
ขน
Dicrurus hottentottus Dicruridae * -
32 นกแซงแซวสีเทา Dicrurus leucophaeus Dicruridae * -
33 นกแซงแซวหาง
บ่วงใหญ่
Dicrurus paradiseus Dicruridae * -
34 นกแซงแซว
หางปลา
Dicrurus macrocercus Dicruridae * -
35 นกกระติ๊ดขี้หมู Lonchura punctulata Estrildidae * -
36 นกกระติ๊ดตะโพก
ขาว
Lonchura striata Estrildidae * -
37 นกตบยุงหางยาว Caprimulgus macrurus Eurostopodidae
* -
38 นกแอ่นฟ้าหงอน Hemiprocne coronata Hemiprocnidae * -
39 นกนางแอ่นบ้าน Hirundo rustica Hirundinidae * -
40 นกอีเสือสีน�้ำตาล Lanius cristatus Laniidae * -
41 นกโพระดกคอ
สีฟ้า
Megalaima asiatica Megalaimidae * -
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
143
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
42 นกตีทอง Megalaima
haemacephala
Megalaimidae * -
43 นกโพระดก
ธรรมดา
Megalaima lineata Megalaimidae * -
44 นกจาบคาหัว
สีส้ม
Merops leschenaulti Meropidae * -
45 นกจาบคาเล็ก Merops orientalis Meropidae * -
46 นกเด้าดินทุ่งเล็ก Anthus rufulus Motacillidae * -
47 นกอุ้มบาตร Motacilla alba Motacillidae * -
48 นกเด้าลมหลัง
เทา
Motacilla cinerea Motacillidae * -
49 นกจับแมลงจุกด�ำ Hypothymis azurea Monarchidae * -
50 นกกางเขนดง Copsychus
malabaricus
Muscicapinae * -
51 นกกางเขนบ้าน Copsychus saularis Muscicapinae * -
52 นกจับแมลงอก
ส้มท้องขาว
Cyornis tickelliae Muscicapinae * -
53 นกจับแมลงสีฟ้า Eumyias thalassinus Muscicapinae * -
54 นกจับแมลง
คอแดง
Ficedula albicilla Muscicapinae * -
55 นกจับแมลง Ficedula sp. Muscicapinae * -
56 นกจับแมลงสี
น�้ำตาล
Muscicapa dauurica Muscicapinae * -
57 นกยอดหญ้าสีด�ำ Saxicola caprata Muscicapinae * -
ANIMAL
144 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
58 นกยอดหญ้าสีเทา Saxicola ferrea Muscicapinae * -
59 นกยอดหญ้าหัวด�ำ Saxicola stejnegeri Muscicapinae * -
60 นกปลีกล้วยเล็ก Arachnothera
longirostra
Nectariniidae * -
61 นกปลีกล้วยลาย Arachnothera magna Nectariniidae * -
62 นกกินปลีคอสี
น�้ำตาล
Anthreptes malacensis Nectariniidae * -
63 นกกินปลีแก้มสี
ทับทิม
Anthreptes singalensis Nectariniidae * -
64 นกกินปลีคอแดง Aethopyga siparaja Nectariniidae * -
65 นกกินปลีอก
เหลือง
Cinnyris jugularis Nectariniidae * -
66 นกขมิ้นท้ายทอย
ด�ำ
Oriolus chinensis Oriolidae * -
67 นกกระจอกบ้าน Passer montanus Passeridae - -
68 ไก่ป่า Gallus gallus Phasianidae * -
69 นกกระจิ๊ด
ธรรมดา
Phylloscopus inornatus Phylloscopidae * -
70 นกกระจิ๊ด
ปากหนา
Phylloscopus schwarzi Phylloscopidae * -
71 นกแต้วแล้ว
ธรรมดา
Pitta moluccensis Pittidae * -
72 นกกระจาบ
ธรรมดา
Ploceus philippinus Ploceidae * NT
73 นกเป็ดผีเล็ก Tachybaptus ruficollis Podicipedidae * -
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
145
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
74 นกแขกเต้า Psittacula alexandri Psittacidae * -
75 นกปรอดโอ่ง
เมืองเหนือ
Alophoixus pallidus Pycnonotidae * -
76 นกปรอดเทา
หัวขาว
Hypsipetes thompsoni Pycnonotidae * -
77 นกปรอดทอง Pycnonotus atriceps Pycnonotidae * -
78 นกปรอดหัวสี
เขม่า
Pycnonotus aurigaster Pycnonotidae * -
79 นกปรอดสวน Pycnonotus blanfordi Pycnonotidae * -
80 นกปรอดหัวโขน Pycnonotus jocosus Pycnonotidae * NT
81 นกปรอดเหลือง
หัวจุก
Pycnonotus
flaviventris
Pycnonotidae * -
82 นกกวัก Amaurornis
phoenicurus
Rallidae * -
83 นกอีแพรดแถบ
อกด�ำ
Rhipidura javanica Rhipiduridae * -
84 นกเค้าโมง Glaucidium cuculoides Strigidae * -
85 นกเค้ากู่ Otus lettia Strigidae * -
86 นกเอี้ยงหงอน Acridotheres grandis Sturnidae * -
87 นกเอี้ยงสาริกา Acridotheres tristis Sturnidae * -
88 นกขุนทอง Gracula religiosa Sturnidae * NT
89 นกเอี้ยงด่าง Sturnus contra Sturnidae * -
90 นกกิ้งโครงคอด�ำ Sturnus nigricollis Sturnidae * -
91 นกกระจิบคอด�ำ Orthotomus atrogularis Sylviidae * -
ANIMAL
146 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
92 นกกระจิบ
ธรรมดา
Orthotomus sutorius Sylviidae * -
93 นกกะรางสร้อย
คอเล็ก
Garrulax monileger Timaliidae * -
94 นกกะรางหัว
หงอก
Garrulax leucolophus Timaliidae * -
95 นกจาบดินอกลาย Pellorneum ruficeps Timaliidae * -
96 นกกระเบื้องผา Monticola solitarius Turdinae * -
97 นกแสก Tyto alba Tytonidae * NT
กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
1 กิ้งก่าแก้วเหนือ Calotes emma
alticristata
Agamidae * LC
2 กิ้งก่าหัวฟ้า Calotes mystaceus Agamidae * LC
3 กิ้งก่าหัวแดง Calotes versicolor Agamidae * LC
4 กิ้งก่าบินปีกส้ม Draco maculatus Agamidae * LC
5 แย้เหนือ Leiolepis belliana
ocellata
Agamidae - NT
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
147
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
6 งูเขียวพระอินทร์ Chrysopelea ornata Colubridae - -
7 งูทางมะพร้าวลาย
ขีด
Elaphe radiata Colubridae * -
8 งูงอดไทย Oligodon taeniatus Colubridae - LC
9 งูสิงบ้าน Ptyas korros Colubridae * LC
10 งูลายสาบคอแดง Rhabdophis subminiatus Colubridae - LC
11 งูลายสอใหญ่ Xenochrophis piscator Colubridae - LC
12 งูเห่าหม้อ Naja kaouthia Elapidae - LC
13 งูเห่าสยาม Naja siamensis Elapidae - LC
14 ตุ๊กแกบ้าน Gekko gecko Gekkonidae - LC
15 จิ้งจกหางหนาม Hemidactylus frenatus Gekkonidae - LC
16 จิ้งจกหางแบนเล็ก Hemidactylus platyurus Gekkonidae - -
17 จิ้งเหลนลาย
อินโดจีน
Lipinia vittigera Scincidae - LC
18 จิ้งเหลนหลากลาย Mabuya macularia Scincidae - -
19 จิ้งเหลนบ้าน Mabuya multifasciata Scincidae - LC
20 จิ้งเหลนเรียวท้อง
เหลือง
Riopa bowringii Scincidae - LC
21 จิ้งเหลนภูเขาเกล็ด
เรียบ
Sphenomorphus
maculatus
Scincidae - LC
22 เต่าเหลือง Indotestudo elongata Testudinidae * EN
23 ตะกวด Varanus bengalensis Varanidae * -
ANIMAL
148 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กลุ่มสัตว์สะเทินน�้ำสะเทินบก
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
1 คางคกหัวราบ Bufo macrotis Bufonidae * LC
2 คางคกบ้าน Bufo melanostictus Bufonidae - LC
3 อึ่งลาย Calluella guttulata Microhylidae - LC
4 อึ่งเพ้า Glyphoglossus molossus Microhylidae - NT
5 อึ่งอ่างบ้าน Kaloula pulchra Microhylidae - LC
6 อึ่งน�้ำเต้า Microhyla ornata Microhylidae - LC
7 อึ่งข้างด�ำ Microhyla heymonsi Microhylidae - LC
8 กบหนอง Fejervarya limnocharis Ranidae - DD
9 กบนา Hoplobatrachus rugulosus Ranidae - -
10 กบหงอน Limnonectes gyldenstolpei Ranidae - LC
11 กบหลังไพล Rana lateralis Ranidae - LC
12 กบอ่องเล็ก Rana nigrovittata Ranidae - NT
13 ปาดบ้าน Polypedates
megacephalus
Rhacophoridae - -
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
1 ปลาแป้นแก้ว Parambassis siamensis Ambassidae - -
2 ปลาหมอไทย Anabas testudineus Anabantidae - -
3 ปลากดเหลือง Hemibagrus nemurus Bagridae - -
4 ปลาเข็มแม่น�้ำ Xenentodon cancila Belonidae - -
กลุ่มปลา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
149
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
5 ปลาก้าง Chana gachua Channidae - -
6 ปลาช่อน Channa striata Channidae - -
7 ปลานิล Oreochromis niloticus Cichlidae - -
8 ปลาดุกด้าน Clarias batrachus Clariidae - VU
9 ปลาซิวใบไผ่เล็ก Danio albolineatus Cyprinidae - -
10 ปลาซิวหนวดยาว Esomus metallicus Cyprinidae - -
11 ปลาเลียหิน Garra cambodgiensis Cyprinidae - -
12 ปลากระสูบขีด Hampala macrolepidota Cyprinidae
13 ปลาขี้ยอกหาง
เหลือง
Mystacoleucus
marginatus
Cyprinidae - -
14 ปลาน�้ำหมึก Barilius koratensis Cyprinidae - -
15 ปลาตะเพียน
น�้ำตก
Puntius binotatus Cyprinidae - -
16 ปลาตะเพียนทราย Puntius brevis Cyprinidae - -
17 ปลาแก้มช�้ำ Systomus orphoides Cyprinidae - -
18 ปลาซิวควาย
แถบด�ำ
Rasbora paviena Cyprinidae - -
19 ปลากระทิงลาย Mastacembelus favus Mastacembelidae - -
20 ปลาค้อแม่น�้ำน่าน Schistura menanensis Nemacheilidae - -
21 ปลาสลาด Notopterus notopterus Notopteridae - -
22 ปลากระดี่หม้อ Trichogaster trichopterus Osphronemidae - -
23 ปลาหมอช้าง
เหยียบ
Pristolepis fasciata Pristolepididae - -
24 ปลาไหลนา Monopterus albus Synbranchidae - -
25 ปลาเข็ม Dermogenys pusilla Zenarchopteridae - -
ANIMAL
150 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
1 หอยเชอรี่ Pomacea canaliculata Ampullaridae - -
2 หอยโข่ง Pila ampullacea Ampullariidae - -
3 แมงนุ่งซิ่นใหญ่ Argiope pulchella Araneidae - -
4 แมงนุ่นซิ่นแถบถี่ Argiope aemulae Araneidae - -
5 แมงมุมหลัง
หนามฮาสเซลล์
Gasteracantha hasseltii Araneidae - -
6 แมงมุมใยกลม
แรมฟี
Neoscona cf. ramfi Araneidae - -
7 แมงมุมใยกลม
นอติกา
Neoscona cf. nautica Araneidae - -
8 หอยทากสยาม Cryptozona siamensis Ariophantidae - -
9 แมงป่องเล็ก Isometrus maculatus Buthidae - -
10 หอยหอมมลายู Cyclophorus malayanus Cyclophoridae - -
11 กิ้งกือกระบอก Thyropygus allevatus Harpagophoridae
- -
12 กิ้งกือกระบอก
เงิน
Thyropygus peninsularis Harpagophoridae
- -
13 หอยห่อเปลือก
ใหญ่สยาม
Megaustenia siamensis Helicarionidae - -
14 แมงมุมสองหาง Hersilia sp. Hersilidae - -
15 แมงมุมใยทอง
ท้องด�ำ
Nephila kuhlii Nephilidae - -
16 แมงมุมใยทอง
ท้องขนาน
Nephila maculata Nephilidae - -
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
151
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ สถานภาพ
พ.ร.บ. TRD
17 กิ้งกือตะเข็บ
เหลือง
Orthomorpha
communis
Paradoxosomatidae - -
18 กิ้งกือตะเข็บ
ชมพู
Orthomorpha
picturata
Paradoxosomatidae - -
19 ปู Siamthelphusa sp. Parathelphusidae - -
20 ปูน�้ำตก Beccumon
alcockianum
Potamidae - -
21 ปูเจ้าพ่อหลวง Potamon bhumibol Potamidae - -
22 ปูป่า Thaipotamon sp.1 Potamidae - -
23 ปูป่า Thaipotamon sp.2 Potamidae - -
24 ตะขาบ Scolopendra sp. Scolopendridae - -
25 แมงป่องช้าง Heterometrus spinifer Scorpionidae - -
26 แมงมุมพเนจร Heteropoda sp. Sparassidae - -
27 กระสุน
พระอินทร์
Glomeris marginata Sphaerotheriidae - -
28 บึ้งด�ำเล็ก Haplopelma minax Theraphosidae - -
29 หอยขม Filopaludina martensi Viviparidae - -
30 แมงมุมแตงไทย Storenomorpha sp. Zodariidae - -
ใกล้สูญพันธุ์
มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์
ใกล้ถูกคุกคาม
กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ข้อมูลไม่เพียงพอ
เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและ
คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
EN
VU
NT
LC
DD
*
**
พ.ร.บ. พระราชบัญญัติสงวนและ
คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
TRD THAILAND RED DATA
ANIMAL
152 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
หนูพุกเล็ก
Bandicota savilei
วงศ์ Muridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดจากปลายจมูกจรดปลาย
หางประมาณ 23-28 เซนติเมตร คล้ายกับหนูทั่วไป
แต่มีรูปร่างที่ใหญ่กว่า จุดเด่นมีขนสีน�้ำตาลแดงหรือ
น�้ำตาลด�ำที่รุงรังไม่เป็นระเบียบ ขนบริเวณหลังเป็น
แผงแข็ง หลังตีนเป็นสีด�ำ หางยาวมีเกล็ดสีเดียว
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
153
ค้างคาวขอบหูขาวกลาง
Cynopterus sphinx
วงศ์ Rhinolophidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 64-79 มิลลิเมตร ค้างคาว
ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง พังผืดปีกสีน�้ำตาลเข้มออกจากสีข้าง บริเวณ
นิ้วสีจะจางกว่า ตรงกลางของพังผืดขามีขนทั้งด้านบนและด้านล่าง
จมูกสั้น กว้าง และคลุมด้วยขน ใบหูเรียบ สีน�้ำตาล ไม่มีขน ขอบใบหูสี
อ่อนหรือสีขาว ขนคลุมตัวทั่วๆ ไปอ่อนนุ่มและเป็นมันวาว ตัวผู้บริเวณ
คาง ด้านหน้าของช่วงไหล่ด้านข้าง อก ท้อง และต้นขามีลายแต้มสีส้ม
หน้าผากและคอด้านบนสีเข้มกว่าโดยเป็นสีน�้ำตาลแดง หลังตอนท้ายๆ
เป็นสีเทาน�้ำตาล ตัวเมียรอบคอสีน�้ำตาลอ่อน ตะโพกสีเทาน�้ำตาล
ท้องสีเทาอ่อนโดยปลายขนแต่ละเส้นสีจะจางกว่าบริเวณอื่นๆ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ
สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
ANIMAL
154 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ค้างคาวบัวฟันรี
Rousettus leschenaulti
วงศ์ Rhinolophidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 75-86 มิลลิเมตร
เป็นค้างคาวขนาดกลาง คล้ายคลึงกับค้างคาวบัวฟันกลม โดยที่
จมูกค่อนข้างสั้นแต่เรียว สีสันค่อนข้างจะแตกต่างกันมากกว่า
ค้างคาวบัวฟันกลม โดยทั่วไปจะเป็นสีน�้ำตาลอ่อน มีบางตัวที่เป็น
สีน�้ำตาลเข้ม บริเวณหลัง คอ และช่วงไหล่จะมีขนคลุมห่างๆ หรือ
บางครั้งก็ไม่มีขนคลุม อาจจะเป็นสีเทา โดยเฉพาะในช่วงผลัดขน
ใบหูมีรอยบากบริเวณขอบล่าง และมักจะกว้างกว่าใบหูของ
ค้างคาวบัวฟันกลมเล็กน้อย หน้าตัดของฟันกรามด้านล่างซี่
สุดท้ายมีลักษณะเป็นวงรี
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
155
ค้างคาวแวมไพร์แปลงเล็ก
Megaderma spasma
วงศ์ Rhinolophidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 54.0-62.0
มิลลิเมตร เป็นค้างคาวที่มีขนาดเล็ก โดยขนาดเล็กกว่า
ค้างคาวแวมไพร์แปลงใหญ่ พังผืดขาขนาดใหญ่กว่า ใบหน้า
แตกต่างกัน แผ่นจมูกใหญ่กว่า ใบหูทั้ง 2 ข้างเชื่อมต่อกันใกล้
กับบริเวณหน้าผาก ติ่งใบหูด้านท้ายแคบและสูงกว่าค้างคาว
แวมไพร์แปลงใหญ่ด้านบนล�ำตัวสีเทาเข้ม ด้านล่างล�ำตัว
สีเทาอ่อน
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
156 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
อ้นเล็ก
Cannomys badius
วงศ์ Spalacidae
รูปร่างลักษณะ มีความยาวตั้งแต่หัวถึงโคนหาง
14.5-26.5 เซนติเมตร หางยาว 6-7 เซนติเมตร เป็นสัตว์
ฟันแทะที่มีรูปร่างอ้วนป้อม มีขนาดเล็กกว่าอ้นอีก 2 ชนิด
มีขนหนานุ่มสีน�้ำตาลแดงปกคลุมทั่วหัว ล�ำตัว และขา
บางตัวมีแถบสีขาวคาดจากปลายจมูกถึงหน้าผาก แก้มสี
น�้ำตาลอ่อน หางสั้นและไม่มีขน ฝ่าตีนเรียบ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
157
กระจ้อน
Menetes berdmorei
วงศ์ Sciuridae
รูปร่างลักษณะ มีความยาวตั้งแต่หัวถึงโคนหาง
18 เซนติเมตร ความยาวหาง 14 เซนติเมตร เป็นกระรอก
ดินขนาดกลาง มีขนาดใหญ่กว่ากระเล็นในสกุล Tamiops
ซึ่งคล้ายกันจนอาจสับสนได้จมูกยาว ล�ำตัวด้านข้างมีแถบ
สีเข้มสลับจาง ล�ำตัวด้านบนสีน�้ำตาลแกมแดง ล�ำตัวด้าน
ล่างมีสีเนื้อจาง หางสั้นกว่าล�ำตัว
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
158 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กระรอกบินเล็กแก้มขาว
Hylopetes phayrei
วงศ์ Sciuridae
รูปร่างลักษณะ มีความยาวตั้งแต่หัวถึงโคนหาง
17-19 เซนติเมตร หางยาว 13-17 เซนติเมตร
ขนปกคลุมล�ำตัวด้านบนสีน�้ำตาลปนเทา และท้อง
สีขาวครีม ขนหางแบนเรียบ ขนแก้มและเหนือตา
สีขาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
159
กระเล็นขนปลายหูสั้น
Tamiops mcclellandi
วงศ์ Sciuridae รูปร่างลักษณะ มีความยาวตั้งแต่หัวถึงโคนหาง
11-12 เซนติเมตร หางยาว 11 เซนติเมตร เป็นกระรอก
ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ที่มีขนาดเล็กมาก แตกต่างจากกระเล็น
ขนปลายหูยาว ตรงที่มีแถบสีจางด้านนอกกว้างกว่าแถบด้านใน
ส่วนกระเล็นขนปลายหูยาวแถบสีจางกว้างเท่าๆ กัน หน้าผาก
และกระหม่อมมีสีเขียว ล�ำตัวด้านข้างและขาเป็นสีเทา
ท้องสีออกส้ม หางเรียว มีจุดประสีเทา น�้ำตาล และด�ำ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
160 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เหยี่ยวนกเขาชิครา
Accipiter badius
วงศ์ Accipitridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 30-36 เซนติเมตร
ตัวผู้ตาแดง หัวและล�ำตัวด้านบนเทาแกมฟ้า คอขาวมีเส้น
กลางคอสีเข้ม ล�ำตัวด้านล่างขาว อกและท้องมีลายขวางถี่
สีส้มแกมน�้ำตาลแดง หางเทามีลายขวางสีเข้ม ใต้ปีกมีลายส้ม
แกมน�้ำตาล ปลายปีกด�ำ ตัวเมีย ตาเหลืองล�ำตัวด้านบนแกม
น�้ำตาล ลายขวางที่อกหนาแกมน�้ำตาล ขนหางคู่กลางเป็น
ลายจางๆ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
161
เหยี่ยวกิ้งก่าสีด�ำ
Aviceda leuphotes
วงศ์ Accipitridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 46-48
เซนติเมตร หงอนยาว หัวและล�ำตัวด�ำ อกและท้อง
สีขาวมีลายขวางสีด�ำและน�้ำตาลแกมแดง ปีกมีแถบ
ขาวและน�้ำตาลแดง ใต้ปีกด�ำ ขนกลางปีกเทาเกือบด�ำ
ปลายปีกด�ำ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
162 ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เหยี่ยวปีกแดง
Butastur liventer
วงศ์ Accipitridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 38-43
เซนติเมตร ตัวผู้คล้ายเหยี่ยวหน้าเทา ตาเหลือง หนังคลุม
จมูกเหลืองส้มสด หัวและล�
ำตัวเทา ล�
ำตัวด้านบนน�้ำตาลแดง
สดใส แข้งยาวเหลืองส้ม ขณะบินขนปีกบินและหางน�้ำตาล
แดงชัดเจนขนคลุมใต้ปีกขาว นกวัยอ่อน คิ้วขาวแคบๆ หัว
และล�
ำตัวด้านล่างน�้ำตาล ล�
ำตัวด้านบนแกมน�้ำตาลแดง
แถบกลางปีกน�้ำตาลแดง
สถานภาพ
: เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ
สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
NT กลุ่มสัตว์ใกล้ถูกคุกคาม
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
163
เหยี่ยวขาว
Elanus caeruleus
วงศ์ Accipitridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 31-35 เซนติเมตร
หัวและล�ำตัวด้านล่างขาว ตาแดง แถบตาด�ำ ล�ำตัวด้านบนเทา
อ่อน เห็นแถบปีกด�ำตรงจากหัวไหล่ชัดเจน แข้งและตีนเหลือง
ขณะบินปีกยาวปลายแหลม หัวไหล่ด�ำ ขนปลายปีกด้านล่างด�ำ
ปลายขนกลางปีกอาจด�ำหรือเทาเข้ม มักพบกระพือปีกอยู่กับที่
เพื่อมองหาเหยื่อ นกวัยอ่อน ขนล�ำตัวแกมน�้ำตาล หัวมีลายขีด
สีคล�้ำ ล�ำตัวด้านบนมีลายเกล็ดจากขอบปลายขนสีน�้ำตาลอ่อน
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
164 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกขมิ้นน้อยธรรมดา
Aegithina tiphia
วงศ์ Aegithinidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 12-14.5
เซนติเมตร ปากสีเทา ตัวผู้หัวและล�ำตัวด้านบน
เขียวแกมเหลือง ล�ำตัวด้านล่างเหลืองสดกว่า
หางด�ำ ปีกมีแถบขาว 2 แถบ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
165
นกกะเต็นน้อยธรรมดา
Alcedo atthis
วงศ์ Alcedinidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 17 เซนติเมตร
ล�ำตัวด้านบนสีน�้ำเงินเหลือบเขียว หลังและตะโพกฟ้า
วาว ขนคลุมหูน�้ำตาลแดงต่อกับแถบขาว คอขาว ล�ำตัว
ด้านล่างสีส้มแกมน�้ำตาล แข้งและตีนแดง ตัวเมียปาก
ล่างสีน�้ำตาลแดง
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
166 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกยางควาย
Bubulcus coromandus
วงศ์ Ardeidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 48-53
เซนติเมตร ขนาดเล็ก หนังหน้าสีเหลืองคล�้ำ ปากเหลือง
หนาและสั้น หัวโตคอหนาและสั้น ขาค่อนข้างสั้นสีเทาคล�้ำ
ชุดขนผสมพันธุ์ปากเหลืองหรือชมพูสด หัว คอ อก และ
หลังสีน�้ำตาลแกมส้มสดใส ขนบริเวณท้ายทอย ขนเจ้าชู้ที่
อกและหลังยาวมากขึ้น
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
167
นกแอ่นพง
Artamus fuscus
วงศ์ Artamidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 16-18
เซนติเมตร ปากหนาสีเทาแกมฟ้า หน้าด�ำหรือเทาเข้ม
หัวและล�ำตัวด้านบนเทา อกและล�ำตัวด้านล่างน�้ำตาล
แกมเหลือง ก้นขาว ขณะบินปีกเป็นรูปสามเหลี่ยม
ใต้ปีกขาวแกมน�้ำตาลอ่อน หางสั้น นกวัยอ่อน ขนล�ำตัว
แกมน�้ำตาล มีลายเกล็ดบนหลังและปีก ปากสีน�้ำตาล
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
168 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกกระแตแต้แว้ด
Vanellus indicus
วงศ์ Charadriidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 31.5-35
เซนติเมตร หัวถึงอกด�ำ หนังรอบตาและเหนียงที่หัวตา
แดงเข้ม ปากแดงเข้มปลายด�ำ ขนคลุมหูเป็นแถบ
ขาวใหญ่ล�ำตัวด้านบนน�้ำตาล ล�ำตัวด้านล่างขาว
แข้งและตีนเหลือง หรือเหลืองแกมเขียว ขณะบินปีก
คล้ายนกกระแตหาด
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
169
นกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง
Chloropsis aurifrons
วงศ์ Chloropseidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 18-19
เซนติเมตร ขนล�ำตัวเขียว หน้าผากเหลืองแกมส้มสด
หน้าและคอด�ำ ใต้คางฟ้าแกมม่วง นกวัยอ่อน คาง
และ คอเขียว หน้าผากแซมเหลืองจางๆ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
170 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกเขาเขียว
Chalcophaps indica
วงศ์ Columbidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 23-27
เซนติเมตร ปากแดงสด หัว คอ และล�ำตัวด้านล่างสีน�้ำตาล
แกมม่วง หลังและปีกเขียวเหลือบเป็นมัน หลังตอนล่างมี
แถบขาวด�ำ ขนปีกบินและหางด�ำ แข้งและตีนแดงสด ตัวผู้
หน้าผาก กระหม่อม และคิ้วขาว ท้ายทอยและหลังตอนบน
เทาแกมฟ้า ตัวเมีย หน้าผากและคิ้วขาวเล็กน้อย ส่วนอื่น
สีซีดกว่า
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
171
นกตะขาบทุ่ง
Coracias benghalensis
วงศ์ Coraciidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดล�ำตัวประมาณ 33
เซนติเมตร ขณะบินเห็นแถบปีกสีน�้ำเงินกับสีฟ้าสดใส
ตะโพกและขนคลุมโคนหางด้านล่างสีฟ้าสด ขนหาง
คู่นอก เป็นแถบปีกสีฟ้ากับสีน�้ำเงิน ใบหน้า คอ อกและ
ท้องสีน�้ำตาลอมม่วง คาง คอ และอกมีลายขีดสีฟ้า
หน้าผาก กระหม่อม ท้ายทอย หลัง และขนบริเวณ
หัวไหล่สีเขียวอมฟ้า หางคู่กลางสีเขียว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
172 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกสาลิกาเขียว
Cissa chinensis
วงศ์ Corvidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 37-40.5
เซนติเมตร แถบตาด�ำ ปาก หนังรอบตา แข้ง และตีนแดง
สด ขนล�ำตัวสีเขียวสด ปีกน�้ำตาลแดง ปลายขนโคนปีก
ขนกลางปีกตอนในและนอกสีด�ำสลับขาว ขนหางคู่กลาง
ปลายขาว นกบางตัวขนอาจเป็นสีฟ้าหรือแซมด้วยสีฟ้า
ปีกน�้ำตาล
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
173
นกกาแวน
Crypsirina temia
วงศ์ Corvidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 30-32.5
เซนติเมตร ล�ำตัวเพรียว หางยาวปลายแผ่กว้าง
ขนล�ำตัวด�ำเหลือบเขียว หน้าด�ำ กระหม่อมมีขน
อัดแน่นคล้ายก�ำมะหยี่สีด�ำ ตาสีฟ้าเข้ม ปากเทา
แกมฟ้า
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
174 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกปีกลายสก๊อต
Garrulus glandarius
วงศ์ Corvidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 31-34
เซนติเมตร กระหม่อมด�ำ หน้าผากด�ำแซมสีขาว แก้ม
ข้างคอ และคอขาว แถบหนวดกว้างสีด�ำ ล�ำตัวด้านบน
และล่างน�้ำตาลแกมเหลือง ตะโพกขาวเห็นชัดเจนขณะ
บิน ปีกมีลายฟ้า ด�ำ และขาวเรียงเป็นแถบสลับกัน
สถานภาพ: เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
175
นกสีชมพูสวน
Dicaeum cruentatum
วงศ์ Dicaeidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 8.5-9 เซนติเมตร
ตัวผู้ข้างหัว อกตอนบน หลัง และหางด�ำ หน้าผากถึง
ตะโพกเป็นแถบยาวสีแดงสด คอ กลางอก และล�ำตัว
ด้านล่างขาว สีข้างเทาแกมด�ำ ตัวเมีย หัวและล�ำตัวด้านบน
น�้ำตาล ปีกและหางด�ำ ตะโพกและขนคลุมหางแดงสด
ล�ำตัวด้านล่างขาวแกมเทา
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
176 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกแซงแซวหงอนขน
Dicrurus hottentottus
วงศ์ Dicruridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 29-33
เซนติเมตร ปากยาวโค้งกว่านกแซงแซวชนิดอื่น หางตัด
ขอบหางคู่นอกแผ่กว้างและงอนขึ้นด้านบน หน้าผาก
มีขนยาวคล้ายเส้นผม ขน ล�ำตัวด�ำเป็นมัน ปีกและหาง
เหลือบเขียว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
177
นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่
Dicrurus paradiseus
วงศ์ Dicruridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 33-35.5 เซนติเมตร
หางคู่นอกมีก้านขนยื่นยาวเหมือนนกแซงแซวหางบ่วงเล็ก
แต่ปลายแผ่ออกด้านเดียวและบิด ก้านขนอาจยาวได้ถึง 30
เซนติเมตร ขนาดตัวใหญ่กว่า หน้าผากมีหงอนตั้งเป็นกระจุก
ขนล�ำตัวด�ำเหลือบน�้ำเงินเล็กน้อย หางแฉกตื้นๆ นกวัยอ่อน
หงอนสั้น ก้านขนหางคู่นอกไม่ยาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ
สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
ANIMAL
178 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกตบยุงหางยาว
Caprimulgus macrurus
วงศ์ Eurostopodidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 31.5-33 เซนติเมตร
หางยาว ปลายหางยาวเลยปลายปีกมากกว่าชนิดอื่นๆ ตัวผู้
หัวน�้ำตาลเหลือง กลางกระหม่อมน�้ำตาลคล�้ำ แถบหนวดและ
แถบข้างคอขาว ใหญ่และเห็นชัดเจน ขณะบินปลายขน
ปีกบินมีจุดขาวชัดเจน ปลายหางคู่นอกขาว ตัวเมีย จุดขาว
ที่ปีกเป็นสีน�้ำตาลเหลือง ปลายหางขาวแกมเหลือง
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
179
นกแอ่นฟ้าหงอน
Hemiprocne coronata
วงศ์ Hemiprocnidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 23 เซนติเมตร
หน้าผากมีหงอนยาวตั้ง รูปร่างผอมเพรียว ปีกยาวมาก
ขณะเกาะปลายปีกสองข้างจะไขว้กัน ล�ำตัวด้านบนสีเทา
แกมฟ้า ปีกสีเทาเข้ม ท้องและก้นขาวแกมเทา เวลาบิน
หางแหลมกางเต็มที่ หางแฉกลึก ตัวผู้แก้มสีน�้ำตาลแดง
เข้ม ตัวเมีย หน้าเทา
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
180 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกโพระดกธรรมดา
Megalaima lineata
วงศ์ Megalaimidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 27-28
เซนติเมตร หัว อก และท้องสีน�้ำตาลแกมเหลือง
มีลายขีดสีน�้ำตาลเข้ม ปากสีเหลืองส้ม หนังรอบตา
สีเหลือง ขนล�ำตัวสีเขียว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
181
นกจาบคาหัวสีส้ม
Merops leschenaulti
วงศ์ Meropidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 23 เซนติเมตร
หัวถึงหลังสีส้ม แถบตาด�ำ คอและอกเหลืองสด
อกมีแถบเล็กๆ สีด�ำและส้ม ล�ำตัวเขียวตะโพกสีฟ้า
วาว ไม่มีหางคู่กลางแหลมยาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
182 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกจาบคาเล็ก
Merops orientalis
วงศ์ Meropidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 20
เซนติเมตร ล�ำตัวเขียวสด หัวและท้ายทอยสีส้ม
แกมน�้ำตาล แถบตาด�ำ ใต้แถบตาสีฟ้า อกมีแถบด�ำ
โค้งครึ่งวงกลม หางคู่กลางแหลมยาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
183
นกเด้าดินทุ่งเล็ก
Anthus rufulus
วงศ์ Motacillidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 15-16 เซนติเมตร
คล้ายนกเด้าดินทุ่งใหญ่แต่ขนาดเล็กกว่าชัดเจนเมื่อยืน
เปรียบเทียบกัน ปากและหางสั้นกว่าเล็กน้อย โคนปากล่าง
มีสีเหลืองมากกว่านกเด้าดินทุ่งใหญ่และนกเด้าดินทุ่งพันธุ์
รัสเซีย คอมักเป็นสีน้
ำตาลอ่อนใกล้เคียงกับอก ล�ำตัวด้าน
ล่างมักมีลายหนาแน่นเฉพาะที่อก
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
184 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกเด้าลมหลังเทา
Motacilla cinerea
วงศ์ Motacillidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 19 เซนติเมตร
คิ้วยาวแคบๆ สีขาว หัวและล�ำตัวด้านบนเทา ปีกด�ำ มีลาย
จากขอบขน โคนปีกขาว คอขาว ท้องแกมเหลืองและเข้มขึ้น
ที่ก้น ตะโพกเหลืองเห็นได้ชัดขณะบิน หางเรียบยาวสีด�ำ
ขอบหางคู่นอกขาว ขณะบินเห็นแถบขาวที่ปีก ตัวผู้ขนชุดผสม
พันธุ์คิ้วและแถบหนวดขาวชัดเจน คอ และอกตอนบนด�ำ
ล�ำตัวด้านล่างเหลืองสดขึ้น
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
185
นกจับแมลงจุกด�ำ
Hypothymis azurea
วงศ์ Monarchidae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 16-17.5
เซนติเมตร ตัวผู้ปากกว้างสีฟ้าเข้ม ท้ายทอยมีหงอน
ด�ำสั้น หัว อก ล�ำตัวด้านบน และหางฟ้าเข้มอกตอนล่างถึง
ก้นขาว หงอน หัวตา และแถบคาดอกด�ำ ตัวเมีย สีหม่น
กว่าตัวผู้ล�ำตัวด้านบนเทาแกมน�้ำตาล อกเทาไม่มีแถบ
ด�ำคาดอก
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
186 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกกางเขนดง
Copsychus malabaricus
วงศ์ Muscicapinae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 21.5-28
เซนติเมตร ตัวผู้หัว อก และล�ำตัวด้านบนด�ำเป็นมัน ตัดกับ
ล�ำตัวด้านล่างน�้ำตาลแดงแกมส้มเข้ม ตะโพกขาว หางยาว
ขอบหางคู่นอก ขาว ตัวเมียคล้ายตัวผู้แต่หางสั้นกว่า หัว อก
และล�ำตัวด้านบนแกมน�้ำตาล ล�ำตัวด้านล่างส้มแกม
น�้ำตาลมากกว่า
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
187
นกกางเขนบ้าน
Copsychus saularis
วงศ์ Muscicapinae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 19-21
เซนติเมตร ตัวผู้หัว อก และล�ำตัวด้านบนด�ำเป็น
มันเล็กน้อย ปีกมีแถบขาว ขอบหางคู่นอกๆ ขาว
ล�ำตัวด้านล่างขาว ตัวเมียคล้ายตัวผู้แต่หัวและอก
เทาเข้ม ล�ำตัวด้านบนด�ำไม่เหลือบเป็นมัน
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
188 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกจับแมลงอกส้มท้องขาว
Cyornis tickelliae
วงศ์ Muscicapinae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 14-16
เซนติเมตร ตัวผู้คล้ายนกจับแมลงสีน�้ำตาลแดง จ�ำแนก
จากคอและอกส้มเหลือง รอยต่อระหว่างอกกับท้องสีขาว
ตัดกันอย่างชัดเจน ตัวเมีย ที่หัว ล�ำตัวด้านบนและ
หางเทาแกมฟ้า คอและอกส้ม ท้องขาวคล้ายตัวผู้
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
189
นกจับแมลงสีฟ้า
Eumyias thalassinus
วงศ์ Muscicapinae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 15-17
เซนติเมตร ตัวผู้ปากสั้น หัวตาและแถบตาสั้น สีด�ำ
หัวและล�ำตัวฟ้าแกมเขียวเข้ม ตัวเมีย สีฟ้าอ่อนแกมเทา
หัวตาและแถบตาไม่ชัดเจนเหมือนตัวผู้แตกต่างจาก
นกจับแมลงสีฟ้าอ่อนที่ปากสั้นกว่า ก้นฟ้ามีลายขาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
190 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกจับแมลงคอแดง
Ficedula albicilla
วงศ์ Muscicapinae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 13-13.5
เซนติเมตร ปากด�ำ หัวและล�ำตัวด้านบนน�้ำตาล
แกมเทา หางด�ำ โคนหางคู่นอกขาว ล�ำตัวด้านล่าง
ขาวแกมเทา
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
191
นกยอดหญ้าหัวด�ำ
Saxicola stejnegeri
วงศ์ Muscicapinae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 14 เซนติเมตร
ตัวผู้หัวและล�ำตัวน�้ำตาลอ่อน ส่วนหัวแกมสีด�ำที่หัวตา
ขนคลุมหูคาง และอกตอนบนหลังแกมน�้ำตาลเข้มแกมเทา
มีลายสีคล�้ำ อกสีน�้ำตาลแดง ตัวผู้ขนชุดผสมพันธุ์หัวและ
คอด�ำ ล�ำตัวด้านบนด�ำมีลายน�้ำตาลจางๆ ข้างคอและแถบ
ปีกขาว ตะโพกขาว ปลายขนคลุมตะโพกน�้ำตาลแดง ล�ำตัว
ด้านล่างน�้ำตาลแกมส้ม อกน�้ำตาลแดงเข้ม หางด�ำ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
192 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกปลีกล้วยเล็ก
Arachnothera longirostra
วงศ์ Nectariniidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 14-16.5
เซนติเมตร หัวเทา เหนือตาและใต้ตาขาวเป็น
แถบคล้ายวงตา แบ่งด้วยแถบตาด�ำจางๆ มีแถบ
หนวดเห็นชัดเจน คอขาว อกถึงก้นเหลือง ล�ำตัว
ด้านบนเหลืองแกมเขียว หางสีเข้มกว่า ปลายหาง
มีแต้มขาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
193
นกปลีกล้วยลาย
Arachnothera magna
วงศ์ Nectariniidae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 17-20.5
เซนติเมตร ล�ำตัวด้านบน ปีก และหางมีสีเหลืองแกม
เขียวไพล คอและล�ำตัวด้านล่างเทาแกมขาว ทั้งด้าน
บนและด้านล่างมีลายขีดตามยาวหนาแน่น แข้งและ
ตีนสีส้มสด
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
194 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกกินปลีอกเหลือง
Cinnyris jugularis
วงศ์ Nectariniidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 11.5
เซนติเมตร ตัวผู้ล�ำตัวด้านบนสีเขียวแกมน�้ำตาล
หน้าผาก คอถึงอกน�้ำเงินเข้มเหลือบเป็นมัน ตอนล่าง
มีแถบน�้ำตาลแดง ล�ำตัวด้านล่างเหลืองสด ขอบหางคู่
นอกและใต้หางขาว ตัวเมีย ล�ำตัวด้านบนเขียวคล�้ำแกม
เหลือง คิ้วเหลือง ล�ำตัวด้านล่างเหลืองหม่นกว่าตัวผู้
ขอบหางคู่นอกและใต้หางขาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
195
นกขมิ้นท้ายทอยด�ำ
Oriolus chinensis
วงศ์ Oriolidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 24.5-27.5
เซนติเมตร ตัวผู้ขนล�ำตัวเหลืองสด ปากสีชมพูแกมส้ม
ตาแดง แถบตากว้างสีด�ำขยายใหญ่และเชื่อมกันที่ท้ายทอย
ปีกและหางสีด�ำและเหลือง ตัวเมีย หลังและปีกเหลืองแกมเขียว
คล�้ำ นกไม่เต็มวัย คล้ายนกตัวเมีย แต่ขนเขียวคล�้ำกว่า แถบตา
ไม่ชัดเจน มีลายขีดด�ำที่อกและท้อง นกวัยอ่อน ท้องขาวหรือ
เหลืองแกมขาวมีขีดด�ำ ปากด�ำ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
196 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกกระจิ๊ดธรรมดา
Phylloscopus inornatus
วงศ์ Phylloscopidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 11-11.5
เซนติเมตร ไม่มีแถบกระหม่อมและแถบตะโพก
ปากล่างเหลืองส้ม คิ้วยาวสีเหลืองแกมขาว แถบตา
สีคล�้ำ ปีกมี2 แถบ ปลายขนโคนปีกสีขาวกว้าง
เห็นเป็นลายชัดเจน ขนล�ำตัวด้านบนเขียวคล�้ำ ล�ำตัว
ด้านล่างขาวหรือแกมเหลืองอ่อน
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
197
นกเเต้วแล้วธรรมดา
Pitta moluccensis
วงศ์ Pittidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 18-20.5
เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน หัวด�ำ คิ้วกว้าง
สีน�้ำตาลแกมส้ม คอขาว ล�ำตัวด้านบนเขียว หัวไหล่
และตะโพกฟ้าสด ขนปีกบินด�ำมีแถบขาวเป็นวงใหญ่
เห็นชัดขณะบิน ล�ำตัวด้านล่างน�้ำตาลเหลือง กลางท้อง
ถึงก้นแดง
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
198 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกกระจาบธรรมดา
Ploceus philippinus
วงศ์ Ploceidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 14.5-15
เซนติเมตร ตัวผู้ปากด�ำค่อนข้างยาว หน้าผากถึงท้ายทอย
เหลืองสด หน้าสีคล�้ำ หลังปีกและล�ำตัวด้านบนน�้ำตาลด�ำ
มีลายจากขอบขนสีน�้ำตาลอ่อน ล�ำตัวด้านล่างน�้ำตาลอ่อน
แกมเหลือง ตัวเมีย ปากสีเนื้อ ล�ำตัวสีน�้ำตาลอ่อนแกม
เหลือง ข้างแก้มเรียบไม่มีลาย หัวมีลายคล�้ำ ล�ำตัวด้านบน
มีลายจากขอบขนสีอ่อน
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
NT กลุ่มสัตว์ใกล้ถูกคุกคาม
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
199
นกปรอดทอง
Pycnonotus atriceps
วงศ์ Pycnonotidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 17.5-19
เซนติเมตร หัวและคอด�ำเป็นมัน ไม่มีหงอน ตาฟ้า
ล�ำตัวด้านบนและอกเขียวแกมเหลือง ล�ำตัวด้านล่างและ
ตะโพกเหลืองสด ปีกเหลือง ขนปลายปีกด�ำ หางเหลือง
ครึ่งล่างด�ำ ปลายขลิบเหลืองสด นกบางตัวอกเทาท้อง
เทา (หายาก) หรือล�ำตัวด้านล่างเขียวแกมเหลืองทั้งหมด
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
200 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกปรอดหัวสีเขม่า
Pycnonotus aurigaster
วงศ์ Pycnonotidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 19-21
เซนติเมตร หัวด้านบนด�ำมีหงอนสั้นเป็นสัน แก้มและ
คางเทาแกมขาว ล�ำตัวด้านบนน�้ำตาลแกมเทา ล�ำตัว
ด้านล่างเทา ตะโพกขาว หางด�ำ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
201
นกปรอดเหลืองหัวจุก
Pycnonotus flaviventris
วงศ์ Pycnonotidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 18.5-19.5
เซนติเมตร หัวด�ำมีหงอนยาว ตาขาว ขนล�ำตัวด้านบน
เหลืองแกมน�้ำตาล ล�ำตัวด้านล่างเหลือง ปลายแกมด�ำ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
202 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกกวัก
Amaurornis phoenicurus
วงศ์ Rallidae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 28.5-36
เซนติเมตร ปากเหลือง โคนสันปากบนแดง หน้า คอ
ตอนหน้า อก และท้องขาว กระหม่อมถึงหลังด�ำแกม
เทา ท้องตอนล่างถึงก้นน�้ำตาลแดง แข้งและตีนเหลือง
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
203
นกอีแพรดแถบอกด�ำ
Rhipidura javanica
วงศ์ Rhipiduridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 17-19.5
เซนติเมตร ล�ำตัวด้านบนด�ำ หลังแกมน�้ำตาล คิ้วบาง
และสั้นสีขาว คอและล�ำตัวด้านล่างขาว มีแถบกว้าง
สีด�ำพาดอก หางสีด�ำปลายขาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
204 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกเค้าโมง
Glaucidium cuculoides
วงศ์ Strigidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 20.5-23
เซนติเมตร ตาเหลือง คล้ายนกเค้าแคระ แต่ขนาด
ใหญ่กว่า หัวและล�ำตัวด้านบนมีลายขวางสีน�้ำตาล
อ่อนชัดเจนกว่า ไม่มีลายคล้ายตาปลอมที่ท้ายทอย
อกและสีข้างมีลายสีน�้ำตาลแดงคล�้ำ ท้องขาว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
205
นกเค้ากู่
Otus lettia
วงศ์ Strigidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 23
เซนติเมตร ตาน�้ำตาลแดงเข้ม ขนล�ำตัวน�้ำตาล
รอบคอสีน�้ำตาลแกมเหลือง หน้าผากและคิ้ว
น�้ำตาลอ่อน ล�ำตัวด้านล่างมีลายขีดด�ำเป็น
เส้นบางๆ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
206 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกกระจิ๊ดปากหนา
Phylloscopus schwarzi
วงศ์ Phylloscopidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 13.5-14
เซนติเมตร มีขนาดใหญ่กว่านกกระจิ๊ดสีน�้ำตาลชนิดอื่น คิ้ว
ยาวสีขาว หัวคิ้วแกมน�้ำตาลเหลือง ปากหนา แข้งและตีน
หนากว่านกกระจิ๊ดสีคล�้ำและนกกระจิ๊ดอกลายเหลือง ต่าง
จากนกกระจิ๊ดสีคล�้ำที่ก้นสีน�้ำตาลแกมส้มเข้มแตกต่างจาก
ท้อง แข้งและตีนสีชมพูเข้ม หรือส้มแกมเหลืองคล�้ำ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
207
นกกะรางหัวหงอก
Garrulax leucolophus
วงศ์ Timaliidae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 26-31
เซนติเมตร หัวมีหงอนตั้งเป็นสันสูง แถบตาด�ำ หัว อก
และล�ำตัวด้านล่างขาว ท้ายทอยและหลังตอนบนเทา
ล�ำตัวด้านบน สีข้างและก้นน�้ำตาลแดง หางน�้ำตาลคล�้ำ
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
208 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกจาบดินอกลาย
Pellorneum ruficeps
วงศ์ Timaliidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 16-18
เซนติเมตร หน้าผากถึงท้ายทอยน�้ำตาลแดงเข้ม
คิ้วขาวหรือน�้ำตาลแกมเหลือง หน้าน�้ำตาล ล�ำตัว
ด้านล่างขาว มีลายขีดใหญ่สีน�้ำตาลแกมเขียว ล�ำตัว
ด้านบนน�้ำตาลแกมเขียว
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
209
นกกระเบื้องผา
Monticola solitarius
วงศ์ Turdinae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 21-23
เซนติเมตร ตัวผู้ล�ำตัวฟ้าแกมเทา มีลายเกล็ดขาว
กระจาย ช่วงผสมพันธุ์สีเข้มขึ้น ตัวเมีย ขนล�ำตัวเทา
แกมน�้ำตาล มีลายเกล็ดหนาแน่นสีเนื้อสลับด�ำกระจาย
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
210 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กิ้งก่าบินปีกส้ม
Draco maculatus
วงศ์ Agamidae รูปร่างลักษณะ มีความยาวจากหัวจรดโคนหาง
60-65 มิลลิเมตร ส่วนหางมีความยาว 93-110 มิลลิเมตร
เป็นกิ้งก่าขนาดเล็ก ใต้คางมีเหนียง 1 คู่ รูปร่างกลมมน
กึ่งกลางเหนียงยกขึ้นลงได้เห็นชัดเจนในตัวผู้ข้างล�ำตัวระหว่างขา
คู่หน้าและคู่หลังมีแผ่นหนังขนาดใหญ่ใช้ในการร่อน ล�ำตัวมี
สีน�้ำตาลแดง มีลายประสีเหมือนลายไม้แผ่นหนังด้านข้างออก
สีส้ม มีลายพาดตามยาวสีจาง ใต้ท้องมีสีน�้ำตาลอ่อนกว่าใต้
แผ่นหลังข้างล�ำตัวจะมีจุดสีด�ำ 2-3 จุด
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
211
งูเขียวพระอินทร์
Chrysopelea ornata
วงศ์ Colubridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 130
เซนติเมตร เป็นงูบก หัวกลม ว่องไวปราดเปรียว
เลื้อยเร็ว ล�ำตัวสีเขียวอ่อน มีลายด�ำตลอดตัว หัวมี
ลายมากจนดูคล้ายกับมีหัวสีด�ำ ใต้คางสีขาว ใต้ท้อง
สีเขียวอ่อนหรือเหลืองอ่อนๆ ใต้หางมีลายด�ำเป็นจุดๆ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
พิษอ่อน
ANIMAL
212 ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา
งูงอดไทย
Oligodon taeniatus
วงศ์ Colubridae รูปร่างลักษณะ มีขนาดความยาว 44 เซนติเมตร
เป็นงูบกขนาดเล็ก หัวกลมเรียว มีแถบน�้ำตาลเข้ม ลากจาก
บนหัวไปถึงแก้ม คอเล็กกว่าหัวและล�
ำตัวเล็กน้อย ที่ตาจะมี
แถบสีน�้ำตาลจากตาซ้ายลากผ่านเหนือจมูกมายังตาขวา และ
ใต้คอมีสีขาว พื้นตัวสีน�้ำตาลอ่อน กลางสันหลังมีแถบสีน�้ำตาล
เข้มสองแถว ส่วนมากบริเวณท้องเป็นสีชมพูหรืออาจเป็นสีขาว
และมีจุดรูปสามเหลี่ยมเล็กสีด�
ำกระจายใต้ท้อง หางสีชมพู
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ไม่มีพิษ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
213
ANIMAL
งูลายสาบคอแดง
Rhabdophis subminiatus
วงศ์ Colubridae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดความยาวถึง 130
เซนติเมตร ล�ำตัวสีเขียวมะกอก บริเวณคอ
สีแดงส้ม ตาโต ใต้ตามีแถบสีด�ำ ตัวไม่เต็มวัย
คอสีเหลืองสด ใต้ท้ายทอยสีด�ำ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
พิษอ่อน
ANIMAL
214 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
งูลายสอใหญ่
Xenochrophis piscator
วงศ์ Colubridae
รูปร่างลักษณะ เป็นงูที่มีรูปร่างเพรียว ปลายหัวมน
ช่วงคอคอดเล็กน้อย หางตาและใต้ตามีลายเส้นสีด�ำ
รูม่านตากลม เกล็ดแบนสันหัวและล�ำตัวสีน�้ำตาลเข้มหรือ
สีเหลือง ส่วนใหญ่ล�ำตัวมีลายหมากรุกสีด�ำ ท้องสีด�ำสลับ
ขาว ตัวไม่เต็มวัยลายขีดสีด�ำ บริเวณหางตายาวขึ้นไปถึง
บริเวณท้ายทอยข้างคอสีเหลือง ล�ำตัวสีน�้ำตาลออกเหลือง
ท้องขาวไม่มีลาย
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
พิษอ่อน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
215
งูเห่าหม้อ
Naja kaouthia
วงศ์ Elapidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดความยาวถึง 200
เซนติเมตร ล�ำตัวสีน�้ำตาล เกล็ดขนาดใหญ่สีคอขาว
หรือด่างเล็กน้อย หนังบริเวณคอสามารถขยายให้
กว้างได้และมีลายคาดขาวหรือเป็นวง
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
พิษร้ายแรง
ANIMAL
216 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
จิ้งจกหางหนาม
Hemidactylus frenatus
วงศ์ Gekkonidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดความยาวของล�ำตัวรวม
ความยาวหาง 13 เซนติเมตร ล�ำตัวสีเทาอมน�้ำตาล
หางมีหนามสั้นๆ มีตุ่มเล็ก และเกล็ดอยู่ด้านหลังและ
ด้านในของนิ้ว เล็บขนาดใหญ่ น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของ
ความยาวนิ้วที่สอง
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราช
บัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
217
จิ้งเหลนบ้าน
Mabuya multifasciata
วงศ์ Scincidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดความยาว
ประมาณ 35 เซนติเมตร รูปร่างอ้วนกลางตัว
ปลายล�ำตัวเรียว ล�ำตัวด้านบนสีน�้ำตาล
ข้างล�ำตัวมีแถบสีน�้ำตาลเข้ม ท้องสีครีม
ริมฝีปากล่างมีเกล็ดสีส้มกระจาย
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
ตามพระราชบัญญัติสงวนและ
คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ANIMAL
218 ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา
จิ้งเหลนภูเขาเกล็ดเรียบ
Sphenomorphus maculatus
วงศ์ Scincidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดความยาวล�
ำตัวถึงหาง
ประมาณ 16 เซนติเมตร เกล็ดเล็กและเรียบมันสีเขียว
มะกอกหรือน�้ำตาลอ่อน ด้านบนล�
ำตัวมีจุดสีด�
ำกระจาย
ข้างล�
ำตัวมีแถบสีด�
ำทึบหรือสีด�
ำและมีจุดเล็กๆ
สีน�้ำตาลอ่อนกระจาย ท้องสีเหลืองอ่อนอมน�้ำตาล
มีจุดสีด�
ำกระจาย หางสีอ่อนและสดกว่าล�
ำตัว
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
219
อึ่งลาย
Calluella guttulata
วงศ์ Microhylidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 43-50
มิลลิเมตร ล�ำตัวสีน�้ำตาล แผ่นหลังและตอนบนของ
สีข้างมีลวดลายสีแดงเข้มหักไปมาคล้ายตาข่ายคลุม
ท้องสีขาว ผิวหนังมีรอยพับคาดขวางหน้าอก
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ล LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ANIMAL
220 ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา
อึ่งน�้ำเต้า
Microhyla ornata
วงศ์ Microhylidae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 28
มิลลิเมตร ล�
ำตัวสีแดงหรือสีเขียวมะกอกอมเทา
หลังมีแต้มสีเข้มรูปคล้ายน�้ำเต้า ข้างหัวและล�
ำตัวมี
แถบสีด�
ำด้าน ขาอาจมีหรือไม่มีลายพาดสีเข้ม คอ
และอกสีเทาหรือน�้ำตาล ประจุดสีขาว
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและ
คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
221
อึ่งข้างด�ำ
Microhyla heymonsi
วงศ์ Microhylidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร
ล�ำตัวสีน�้ำตาล บริเวณขอบหลังเข้ามาถึงกลางหลังมี
แถบสีน�้ำตาลเข้มหรือน�้ำตาลอมม่วง และสีจางพาดเฉียง
คล้ายหัวลูกศร ก้นมีจุดกลมสีด�ำข้างละ 1 จุด กลางหลัง
มีเส้น พาดผ่านตลอดล�ำตัว
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและ
คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ANIMAL
222 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กบหลังไพล
Rana lateralis
วงศ์ Ranidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 55 มิลลิเมตร
ล�ำตัวสีเขียวไพล มะกอก เหลือง หรือสีน�้ำตาลอมเหลือง
ข้างล�ำตัวมีสีเข้ม หลังสันต่อมนูนหลังแผ่นหูมีเส้นสีด�ำเฉียง
แผ่นหูสีน�้ำตาลเข้ม ขอบปากบนมีเส้นสีขาว คางและอกมี
ลายจางๆ ตามแนวกลาง ท้องสีเหลือง
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
LC กลุ่มที่เป็นกังวลน้อยที่สุด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
223
กบอ่องเล็ก
Rana nigrovittata
วงศ์ Ranidae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 57-70
มิลลิเมตร ล�ำตัวสีน�้ำตาลอมเขียวมะกอก ข้างล�ำตัว
มีสีด�ำ ด้านในของต้นขามีลายร่างแหสีด�ำถึงเขียว ขามี
ลายพาดสีเข้ม ท้องสีขาวและแต้มสีด�ำ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
NT ใกล้ถูกคุกคาม
ANIMAL
224 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
รูปร่างลักษณะ ล�ำตัวยาวและแบนข้าง มีหนวด 2 คู่
หนวดที่จะงอยปาก 1 คู่และหนวดที่ขากรรไกร 1 คู่ หนวด
ที่จะงอยปากยาวไม่เกินขอบด้านท้ายตา หนวดที่ขากรรไกรบน
ยาวถึงส่วนฐานของครีบท้อง ปากมีขนาดเล็กและเปิดใน
ต�ำแหน่งเฉียงขึ้นด้านบน บริเวณด้านบนของหัวและล�ำตัวมี
สีน�้ำตาลเขียว ล�ำตัวด้านข้างมีสีขาวเงิน มีแถบสีด�ำพาดจากตา
ถึงฐานครีบหาง ครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางมีสีเหลือง
ส่วนครีบอกและครีบท้องมีสีเหลืองอ่อนหรือไม่มี
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ปลาซิวหนวดยาว
Esomus metallicus
วงศ์ Cyprinidae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
225
รูปร่างลักษณะ ปลาเกล็ดขนาดเล็ก มีเส้นสีด�ำพาด
ล�ำตัวยาวตั้งแต่ บริเวณเหงือกหลังตาจนถึงโคนครีบหาง
บริเวณท้องของปลาชนิดนี้มีสีขาวเงินพาดยาวตามล�ำตัว
ครีบอกมีสีส้มแดง ครีบหลังมีสีด�ำสลับกับสีเหลืองบริเวณ
กระดูกแข็งของครีบหลังมีสีแดง ครีบท้องอยู่ค่อนไปด้าน
หลังเล็กน้อย ครีบท้อง และครีบก้นมีสีเหลือง
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ปลาเลียหิน
Garra cambodgiensis
วงศ์ Cyprinidae
ANIMAL
226 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ปลาขี้ยอกหางเหลือง
Mystacoleucus marginatus
วงศ์ Cyprinidae รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 10-20 เซนติเมตร
ล�ำตัวแบนข้าง หัวมีขนาดเล็ก มีหนวด 2 คู่ เส้นข้างล�ำตัว
สมบูรณ์ที่ฐานของเกล็ดทั้งบริเวณด้านข้างและด้านบนของ
ล�ำตัวมีลักษณะโค้งคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวสีด�ำ ครีบหางเว้า
ลึกแบบส้อม ครีบหลังและครีบหางมีสีเหลืองปนด�ำ และมีสีด�ำ
ที่ขอบของครีบ ครีบท้อง ครีบอก และครีบก้นมีสีเหลือง
ขอบของครีบไม่เป็นสีด�ำ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
227
ปลาน�้าหมึก
Barilius koratensis
วงศ์ Cyprinidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 7-9
เซนติเมตร สีเงินเหลือบเขียวหรือฟ้า ตัวแบนยาว
ปากกว้างเชิดขึ้น และหนวดคู่หน้ายาว ขากรรไกรล่าง
มีตุ่มสิวขนาดเล็ก และใต้ปากมักมีจุดสีน�้ำเงินหรือด�ำ
รวมตัวเป็นแต้ม ครีบหางแฉกบนและล่าง
มีแต้มสะท้อนแสงสีขาวหรือฟ้า
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
228 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ปลาแก้มช�้า
Systomus orphoides
วงศ์ Cyprinidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 15 เซนติเมตร
ลักษณะคล้ายปลาตะเพียนแต่จะมีล�ำตัวเพรียวกว่า ล�ำตัวแบนข้าง
เล็กน้อย ส่วนหัวเล็ก มีหนวด 2 คู่ที่มุมปาก และที่จะงอยปาก
ครีบหลังค่อนข้างเล็ก ครีบหางเว้า เกล็ดใหญ่ ล�ำตัวสีเงินวาว แก้มจะมี
สีส้มหรือแดงเรื่อ แผ่นกระดูกปิดเหงือกที่อยู่ถัดจากแก้มจะสีคล�้ำ และ
โคนหางมีจุดกลมสีด�ำคล�้ำ ครีบท้องและครีบก้นมีสีแดงเรื่อ ครีบหาง
สีแดงสดจะมีแถบสีด�ำพาดตามยาวทั้งขอบบนและขอบล่าง
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
229
ปลาซิวควายแถบด�ำ
Rasbora paviena
วงศ์ Cyprinidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 3-12 เซนติเมตร
หัวและปากมีขนาดเล็ก ตาโต ไม่มีหนวด รูจมูก 1 คู่
ริมฝีปากอยู่บริเวณหน้าสุดในแนวเฉียง เส้นข้างตัวสมบูรณ์
อยู่ค่อนมาทางด้านล่าง หัวและล�ำตัวสีน�้ำตาลอ่อนอมสีทอง
มีแถบสีด�ำทอดไปตามความยาวของล�ำตัว ตั้งแต่หลังช่องเปิด
เหงือกไปจนถึงบริเวณโคนครีบหาง และแถบสีขยายใหญ่
เป็นวงกว้างที่บริเวณคอดหาง ครีบสีเหลืองใส
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
230 ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ปลากระทิงลาย
Mastacembelus favus
วงศ์ Mastacembelidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาด 70 เซนติเมตร
ปลาชนิดนี้มีรูปร่างเหมือนปลากระทิงด�ำ ซึ่งเป็นปลา
ในสกุลเดียวกัน แต่ปลากระทิงลายมีจุดเหลืองขนาด
ใหญ่ตามล�
ำตัว และหลังเป็นลายเหลืองเช่นกัน ครีบหลัง
มีก้านครีบแข็ง จะงอยปากยื่นยาว ครีบหลังและครีบก้น
เชื่อมติดกับครีบหาง มีลวดลายเชื่อมต่อกันเป็นโครง
ข่ายตั้งแต่ส่วนหัวตลอดความยาวของล�
ำตัวไปจนถึง
ครีบหลัง
สถานภาพ
: ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
231
ปลาหมอช้างเหยียบ
Pristolepis fasciata
วงศ์ Pristolepididae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 10-15 เซมติเมตร ล�ำตัวเป็นรูปไข่
ค่อนข้างกลม ส่วนหัวและหลังลาดโค้ง หัวและล�ำตัวแบนข้าง ตาเล็กอยู่
ค่อนไปด้านบนของหัว ปากเล็ก ริมฝีปากยืดหดได้ดีครีบหลังยาวมีก้าน
แข็งหลายอัน ครีบอกยาว ครีบท้องตั้งอยู่แนวเดียวกับครีบอก ครีบก้นสั้น
มีก้านครีบแข็ง 3 อัน ครีบหางค่อนข้างยาวปลายมน เกล็ดเล็ก ตัวมีสีคล�้ำ
ด้านบนและด้านข้างล�ำตัวมีสีเขียวมะกอก มีแถบตามขวางล�ำตัวสีคล�้ำ
8-9 แถบ ด้านท้องสีจางหรือสีเหลืองอ่อน ครีบสีจางหรือเหลืองอ่อน
มีขอบสีคล�้ำ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ANIMAL
232 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
แมงป่องเล็ก
Isometrus maculatus
วงศ์ Buthidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ 4-5
เซนติเมตร ล�ำตัวสีน�้ำตาล ส่วนหัวและอกขนาดเล็ก
ท้องขนาดใหญ่ส่วนปลายมีขนาดเล็กและเรียวยาว
คล้ายหาง ส่วนปลายมีต่อมพิษ
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สัตว์ป่า พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ANIMAL
233
แมงป่องช้าง
Heterometrus spinifer
วงศ์ Scorpionidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดความยาวถึง 10
เซนติเมตร ล�ำตัวสีด�ำเป็นมันเงาส่วนท้องใหญ่
และค่อยๆ ยาวเรียวเล็กลงคล้ายหาง
สถานภาพ : ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สัตว์ป่า พ.ศ. 2535
ANIMAL
234 ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา
บึ้งด�
ำเล็ก
Haplopelma minax
วงศ์ Theraphosidae
รูปร่างลักษณะ มีขนาดประมาณ
6
เซนติเมตร ล�
ำตัวสีน�้ำตาลเทาด�ำ โคนขาสีด�ำ
ส่วนปลายสีเทา ล�
ำตัวและขาปกคลุมด้วยขน
สีเทาด�ำ
สถานภาพ
: ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
235
INSECT
236 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ความหลากหลายของแมลง
แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความงดงามและมีความส�ำคัญมากในระบบนิเวศ
ป่าไม้ชนิดของแมลงที่พบมักขึ้นอยู่กับแหล่งอาหารของตัวอ่อน และแหล่งอาหาร
ก็มักเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ในป่านั่นเอง บทบาทหลักของแมลงคือเป็นตัวช่วยผสมเกสรให้กับพืช
ในป่า นอกจากนี้แมลงยังมีความส�ำคัญในการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ในดิน
เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์เป็นทั้งศัตรูพืช
ตัวห�้ำ ตัวเบียน และให้ความสวยงามแก่ผืนป่าด้วย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
237
ความหลากหลายของแมลง
แมลง เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrates)
ประเภทโครงกระดูกอยู่ภายนอก (Exoskeleton) ท�ำให้แมลงมีความ
ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดีกว่าสัตว์อื่น เนื่องจากแมลงมีลักษณะ
พิเศษหลายประการ เช่น มีขนาดเล็กท�ำให้ไม่ต้องการอาหารมาก ใช้พื้นที่ในการด�ำรงชีวิตแคบ
จึงไม่เกิดการแก่งแย่งในการหาอาหารและที่อยู่อาศัย บินได้ไกล หลบภัยได้ง่าย
หาแหล่งอาหารได้มาก หาแหล่งที่อยู่อาศัยและผสมพันธุ์ได้เป็นจ�ำนวนมาก
มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
INSECT
238 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
วิธีการส�ารวจ
ใช้การเดินส�ำรวจตามเส้นทาง
ในพื้นที่ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวาโดยส�ำรวจ
ผีเสื้อกลางวันในเวลา 10.00-12.00 น.
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ผีเสื้อออกหากิน
และบินอยู่ในระดับต�่ำ จึงสามารถใช้สวิง
จับได้ง่าย จากนั้นท�ำให้ผีเสื้อสลบ โดยใช้
มือบีบบริเวณหน้าอก แล้วน�ำบรรจุใส่ซอง
พับเป็นรูปสามเหลี่ยม และบันทึกข้อมูล
รายละเอียด
กลุ่มผีเสื้อกลางวัน
อุปกรณ์ สวิงจับแมลง ซองเก็บผีเสื้อ สมุดบันทึก ดินสอ ปากกา หนังสือคู่มือ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
239
กลุ่มผีเสื้อกลางคืน
กับดักโดม
ตั้งกับดักล่อแมลงกลางคืนมีกับดักแสง
ไฟ (Light trap) โดยใช้แสงจากหลอดไฟสีม่วง
และกับดักโดมจากหลอดไฟแสงจันทร์เพื่อเป็น
ตัวดึงดูดผีเสื้อกลางคืน ด้วง และแมลงอื่นๆ
ให้มาเกาะที่ผ้าฉากสีขาว โดยเปิดไฟตั้งแต่ตอน
เย็นเวลา 18.00 น. จนถึง 06.00 น. ตอนเช้า
ของวันถัดไป เก็บตัวอย่างในช่วงเวลา 20.00 น.-
22.00 น. และ 6.00 น. พร้อมทั้งถ่ายรูปและ
เก็บตัวอย่างใส่ขวดน๊อคแมลง ทิ้งไว้จนกว่าแมลง
ตาย ผีเสื้อกลางคืนเก็บใส่ซองสามเหลี่ยม ด้วง
และแมลงอื่นๆ เก็บใส่กระดาษไขห่อแบบท๊อฟฟี่
และบันทึกข้อมูลรายละเอียด
อุปกรณ์ หลอดไฟสีม่วง (Black light) หลอดแสงจันทร์(Mercury vapor lamp)
กระดาษไข ผ้าฉากสีขาว ขวดน๊อคแมลง ซองเก็บผีเสื้อ สมุดบันทึก ดินสอ ปากกา
กับดักแสงไฟ
INSECT
240 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เดินตามเส้นทางส�ำรวจ โดยสังเกต
บริเวณจอมปลวก บนพื้นดิน ใต้ดิน
ใต้ใบไม้ผุและบนต้นไม้บันทึกข้อมูลปลวก
ที่พบ เลือกเก็บตัวอย่างปลวกวรรณะทหาร
ประมาณ 20 ตัว ต่อการพบปลวก 1 ครั้ง
เก็บปลวกลงในขวดบรรจุแอลกอฮอล์ความ
เข้มข้น 75 เปอร์เซ็นต์
กลุ่มปลวก
อุปกรณ์ถาดสีขาว เสียมขุดปลวก ปากคีบ ขวดดองปลวก แอลกอฮอล์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
241
กลุ่มแมลงอื่นๆ
เดินตามเส้นทางการส�ำรวจ เก็บ
ตัวอย่างแมลงอื่นๆ ซึ่งสามารถพบได้ตาม
พื้นดิน ด้วงที่มีขนาดใหญ่เก็บด้วยวิธีห่อ
กระดาษเหมือนท๊อฟฟี่และการเก็บ
ตัวอย่างแมลงอื่นๆ จับใส่ขวดน๊อคแมลง
บันทึกข้อมูลรายละเอียด
อุปกรณ์ ขวดน๊อคแมลง ขวดแก้วใส กระดาษไข (เก็บแมลงขนาดใหญ่)
INSECT
242 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กลุ่มแมลงช่วยผสมเกสร 103 ชนิด
ความหลากหลายของแมลง
พบจ�านวน 204 ชนิด แบ่งออกเป็น
ผีเสื้อ
ผึ้งรู ด้วง
ผึ้งกัดใบ
ชันโรง มวน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
243
กลุ่มแมลงที่เป็นอาหาร 5 ชนิด
ตั๊กแตน
ผึ้ง (น�้าผึ้ง)
แมลงกระชอน
หนอนรถด่วน
มดแดง (ไข่มดแดง)
INSECT
244 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กลุ่มแมลงศัตรูพืชป่าไม้ 49 ชนิด
ด้วงหนวดยาว
หนอนกินใบพืช
จักจั่นงวง
เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดดด�า
ด้วงน�้ามัน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
245
กลุ่มแมลงเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน 24 ชนิด
มด ด้วง
ปลวก
แมลงสาบป่า
INSECT
246 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กลุ่มแมลงตัวห�้ำ ตัวเบียน 21 ชนิด
มดแดง แมลงช้างปีกใส
แตนกระดาษ แมลงหางหนีบ
ด้วงเต่า แมลงปอบ้าน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
247
กลุ่มแมลงหายากและใกล้สูญพันธ์ุ 1 ชนิด
ด้วงคีมยีราฟ
แมลงคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
INSECT
248 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ผีเสื้อถุงทองธรรมดา
แมลงคุ้มครองในบัญชีที่ 2 แห่งอนุสัญญาว่าด้วย
การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธ์ุ
(CITES)
กลุ่มแมลงคุ้มครองและห้ามน�ำเข้าห้ามส่งออก 1 ชนิด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
249
กลุ่มแมลงช่วยผสมเกสร
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 แมลงภู่ Xylocopa rufescens Smith Anthophoridae
2 ผึ้งโพรง Apis cerana F. Apidae
3 ผึ้งหลวง Apis dorsata Fabricius Apidae
4 ผึ้งมิ้ม Apis florea Fabracius Apidae
5 ผีเสื้อลายเสือ Creatonotos transiens (Walker) Arctiidae
6 ผีเสื้อลายเสือ Nyctemera adversata Schaller Arctiidae
7 ผีเสื้อลายเสือ Tatargina picta (Walker) Arctiidae
8 ผีเสื้อหนอนคืบ Cusiala boarmoides Moore Geometridae
9 ผีเสื้อหนอนคืบชะอม Godonela nora (Walker) Geometridae
10 ผีเสื้อหนอนคืบ Ornithospila lineata Moore Geometridae
11 ผีเสื้อหนอนคืบ Semiothica eloenora Geometridae
12 ผีเสื้อแต้มขาวธรรมดา Iton semamora (Moore) Hesperiidae
13 ผีเสื้อลายด่างตาลแดง Pseudocoladenia dan (F.) Hesperiidae
14 ผีเสื้อจิ๋วดงอินเดีย Scobura cephala (Hewitson) Hesperiidae
15 ผีเสื้อป้ายขาวตรง Tagiades parra Frushstorfer Hesperiidae
16 ผีเสื้อหนอนชักใย Micropacha krocha Zolotuhin Lasiocampidae
17 ผีเสื้อหนอนหอย บุ้งร่าน Miresa albipuncta Herrich-Schaffer Limacodidae
18 ผีเสื้อหนอนร่าน Parasa lepida Cramer Limacodidae
รายชื่อความหลากหลายของแมลง
INSECT
250 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
19 ผีเสื้อหนอนหอย บุ้งร่าน Phocoderma velutinum Kollar Limacodidae
20 ผีเสื้อหนอนพุทราธรรมดา Castalius rosimon rosimon (F.) Lycaenidae
21 ผีเสื้อหมากรุกมลายู Curetis santana (Moore) Lycaenidae
22 ผีเสื้อหนอนพุทราแถบฟ้า Discolampa ethion (Westwood) Lycaenidae
23 ผีเสื้อพุ่มไม้ธรรมดา Hypolycaena erylus (Godart) Lycaenidae
24 ผีเสื้อฟ้าวาวสีต่างฤดู Jamides celeno (Cramer) Lycaenidae
25 ผีเสื้อแสดหางยาว Loxura atymnus (Stoll) Lycaenidae
26 ผีเสื้อหางริ้วขาวใหญ่ Neomyrina nivea hiemalis (Godm.) Lycaenidae
27 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Asota caricae F. Noctuidae
28 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Bamra mundata Walker Noctuidae
29 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Chalciope mygdon Cramer Noctuidae
30 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Daddala quadrisignata Walker Noctuidae
31 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Dierna strigata (Moor) Noctuidae
32 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Entomogramma fautrix Guenee Noctuidae
33 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Ercheia cyllaria (Cramer) Noctuidae
34 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Erebus caprimulgus (F.) Noctuidae
35 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Erebus macrops (L.) Noctuidae
36 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Hamodes lutea (Walker) Noctuidae
37 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Hamodes propitia (Boisduval) Noctuidae
38 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Mocris undata (F.) Noctuidae
39 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Neochera dominia Cramer Noctuidae
40 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Oxyodes scrobiculata (F.) Noctuidae
41 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Pandesma anysa Guenee Noctuidae
42 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Parallelia stuposa (F.) Noctuidae
43 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Peridrome orbicularis Walker Noctuidae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
251
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
44 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Peridrome subfascia Walker Noctuidae
45 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Rema costimacula (Guenée) Noctuidae
46 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Spirama helicina (Hubner) Noctuidae
47 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Spirama retorta (Clerk) Noctuidae
48 ผีเสื้อหนอนกระทู้ Tiruvaca subcostalis Walker Noctuidae
49 ผีเสื้อปีกปม หนอนมังกร Phalera torpida Walker Noctuidae
50 ผีเสื้อหนอนมังกรล�ำไย Tarsolepis elephantorum Banziger Noctuidae
51 ผีเสื้อหนอนหนาม
กะทกรก
Acraea violae (F.) Nymphalidae
52 ผีเสื้อหนอนละหุ่งลายหยัก Ariadne ariadne pallidior
(Fruhstorfer)
Nymphalidae
53 ผีเสื้อจ่าเมียสีส้ม Athyma nefte (Cramer) Nymphalidae
54 ผีเสื้อกะทกรกธรรมดา Cethosia cyane euanthe Fruhstorfer Nymphalidae
55 ผีเสื้อลายขี้เมี่ยง Cupha erymanthis erymanthis
(Drury)
Nymphalidae
56 ผีเสื้อเคาท์เทา Cynitia lepidea (Butler) Nymphalidae
57 ผีเสื้อไผ่ลายธรรมดา Discophora sondaica Boisduval Nymphalidae
58 ผีเสื้อหนอนมะพร้าวลาย
จุด
Elymnias malelas malelas
(Hewitson)
Nymphalidae
59 ผีเสื้อจรกาหนอนยี่โถ Euploea core godartii Lucas Nymphalidae
60 ผีเสื้อจรกาเมียเลียน Euploea mulciber mulciber (Cramer) Nymphalidae
61 ผีเสื้อบารอนมาลายู Euthalia monina (F.) Nymphalidae
62 ผีเสื้อปีกไข่ใหญ่ Hypolimnas bolina bolina (L.) Nymphalidae
63 ผีเสื้อแพนซีเหลือง Junonia hierta hierta (F.) Nymphalidae
64 ผีเสื้อแพนซีสีตาล Junonia lemonias lemonias (L.) Nymphalidae
65 ผีเสื้อแพนซีมยุรา Junonia almana (Linnaeus) Nymphalidae
INSECT
252 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
66 ผีเสื้อใบไม้ใหญ่อินเดีย Kallima inachus (Doyere) Nymphalidae
67 ผีเสื้อเลอะเทอะป่าไผ่ Lethe europa niladana Fruhstorfer Nymphalidae
68 ผีเสื้อเลอะเทอะแดงแถบ
เพศ
Lethe minerva (F.) Nymphalidae
69 ผีเสื้ออ๊าชดุ๊คธรรมดา Lexias pardalis jadeitina
(Frushtorfer)
Nymphalidae
70 ผีเสื้อสายัณห์สีตาล
ธรรมดา
Melanitis leda leda (L.) Nymphalidae
71 ผีเสื้อตาลพุ่มเหลือบม่วง Mycalesis francisca Stoll Nymphalidae
72 ผีเสื้อตาลพุ่มคั่นกลาง Mycalesis intermedia (Moore) Nymphalidae
73 ผีเสื้อกะลาสีลายจุด Neptis magadha C. & R. Felder Nymphalidae
74 ผีเสื้อนิโกร Orsotriaena medus medus (F.) Nymphalidae
75 ผีเสื้อกะลาสีแดงแถบกว้าง Pantoporia sandaka (Butler) Nymphalidae
76 ผีเสื้อลายเสือขีดยาว Parantica aglea melanoides Moor Nymphalidae
77 ผีเสื้อเสือดาวน้อย Phalanta alcippe (Stoll) Nymphalidae
78 ผีเสื้อเหลืองหนามธรรมดา Polyura athamas athamas (Drury) Nymphalidae
79 ผีเสื้อลายตลกธรรมดา Symbrenthia lilaea luciana
Fruhstorfer
Nymphalidae
80 ผีเสื้อไวส์เคาท์ขอบฟ้า Tanaecia julii (Lesson) Nymphalidae
81 ผีเสื้อสีตาลจุดตาห้า
ธรรมดา
Ypthima baldus (F.) Nymphalidae
82 ผีเสื้อหนอนจ�ำปีจุดแยก Graphium doson evemonides
(Honrath)
Papilionidae
83 ผีเสื้อหางดาบลายจุด Graphium nomius swinhoei (Moore) Papilionidae
84 ผีเสื้อหางตุ้มจุดชมพู Pachliopta aristolochiae (F.) Papilionidae
85 ผีเสื้อเชิงลายธรรมดา Papilio clytia clytia (L.) Papilionidae
86 ผีเสื้อหนอนมะนาว Papilio demoleus malayanus Wallace Papilionidae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
253
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
87 ผีเสื้อหางติ่งเฮเลน Papilio helenus L. Papilionidae
88 ผีเสื้อหางติ่งนางละเวง Papilio memnon agenor Linnaeus Papilionidae
89 ผีเสื้อหางติ่งธรรมดา Papilio polytes romulus Cramer Papilionidae
90 ผีเสื้อหนอนใบกุ่มเส้นด�ำ Appias olferna olferna Swinhoe Pieridae
91 ผีเสื้อหนอนคูนธรรมดา Catopsilia pomona pomona (F.) Pieridae
92 ผีเสื้อหนอนคูนลายกระ Catopsilia pyranthe pyranthe (L.) Pieridae
93 ผีเสื้อหนอนกาฝากจุดแดง Delias descombesi descombesi
(Boisduval)
Pieridae
94 ผีเสื้อเณรสามจุด Eurema blanda (Boisduval) Pieridae
95 ผีเสื้อเณรธรรมดา Eurema hecabe hecabe (L.) Pieridae
96 ผีเสื้อเณรสีจางไทย Eurema novapallida Yata Pieridae
97 ผีเสื้อปลายปีกส้มเล็ก Ixias pyrene verna H. Druce Pieridae
98 ผีเสื้อขาวแคระ Leptosia nina (F.) Pieridae
99 ผีเสื้อฟ้าเมียเลียนธรรมดา Pareronia anais anais (Lesson) Pieridae
100 แมลงวันดอกไม้ Ischiodon seutellare F. Syrphidae
101 เหลือบ Tabanus fulvilinearis Philip Tabanidae
102 ผีเสื้อหนอนมะไฟ
ลายเลียน
Cyclosia papilionaris Drury Zygaenidae
103 ผีเสื้อรมควัน Gynautocera papilionaria Guerin Zygaenidae
INSECT
254 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
กลุ่มแมลงที่เป็นอาหาร
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 หนอนรถด่วน Omphisa fuscidentalis (Hampson) Crambidae
2 มดแดง Oecophylla smaragdina F. Formicidae
3 แมลงกระชอน Gryllotalpa africana Beauvois Gryllotalpidae
4 แมลงนูน Apogonia expeditionis Ritsema Scarabaeidae
5 ตั๊กแตนพุงพลุ้ย Mecopoda elongata (Linnaeus) Tettigoniidae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
255
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 มวนถั่วฝักยาว Riptortus pedestris F. Alydidae
2 ด้วงเต่ากินใบ Lycaria westermanni Stal Calopterygidae
3 ด้วงกินใบ Monolepta nigripes Baly Calopterygidae
4 ด้วงเต่ากินใบ Oides bipunctata F. Calopterygidae
5 ผีเสื้อหนอนเจาะสัก Xyleutes ceramica Walker Cossidae
6 ผีเสื้อหนอนเจาะล�ำต้น Dausara amethysta (Butter) Crambidae
7 ผีเสื้อหนอนเจาะล�ำต้น Haritalodes derogata F. Crambidae
8 ด้วงก้นตัด Schistoceros anobioides
Waterhouse
Bostrichidae
9 แมลงทับขาเขียว Sternocera aequisignata
E. Saunders
Bostrichidae
10 แมลงทับขาแดง Sternocera ruficornis E. Saunders Bostrichidae
11 ด้วงหนวดยาวเงาหลังย่น Aeolesthes aurifaber (White) Cerambycidae
12 ด้วงหนวดปมจุดด�ำเหลือง Aristobia approxmator (Thomson) Cerambycidae
13 ด้วงหนวดยาว Cacia cretifera luteofasciata (Pic) Cerambycidae
14 ด้วงหนวดยาวอ้อย Dorysthenes buqueti (Guerin) Cerambycidae
15 ด้วงหนวดยาว Epipedocera laticollis Gahan Cerambycidae
16 ด้วงหนวดยาว Epipedocera subatra
Gressitt & Rondon
Cerambycidae
17 ด้วงหนวดยาว Eutaenia albomaculata Breuning Cerambycidae
18 ด้วงหนวดยาวหลังขนแถบ Moechotypa suffusa (Pascoe) Cerambycidae
กลุ่มแมลงศัตรูพืชป่าไม้
INSECT
256 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
19 ด้วงหนวดยาว Niphona malaccensis Breuning Cerambycidae
20 ด้วงหนวดยาวจุดสยาม Olenecamptus siamensis Breuning Cerambycidae
21 ด้วงหนวดยาวเกาะคู่ Paraleprodera inidiosa (Pascoe) Cerambycidae
22 ด้วงหนวดยาว Stibara humeralis Thompson Cerambycidae
23 เพลี้ยกระโดดด�ำ Callitetrix versicolor F. Cercopidae
24 ด้วงเสือ Calochroa bramani (Dokhtouroff) Cicindellidae
25 ด้วงเสือเหลืองจุดไหล่เชื่อม Calochroa shozoi Naviaux & Sawada Cicindellidae
26 ด้วงเต่าลายสมอ Coccinella transversalis F. Coccinellidae
27 ด้วงเสือเล็กลายพลุเหลือง Lophyra striolata striolata (Illiger) Cicindellidae
28 มวนถั่วแระ Clavigralla gibbosa Spinola Coreidae
29 มวนนักกล้าม Petillia calcar Dall. Coreidae
30 ด้วงม้วนใบมะม่วง Apoderus notatus (F.) Curculionidae
31 แมลงค่อมทอง Hypomeces squamosus F. Curculionidae
32 มวนจู้จี้ Adrisa magna Unler Cydnidae
33 ด้วงดีด Oxynopterus audouini Cand Elateridae
34 จักจั่นงวง Pyrops candelaria (Linnaeus) Fulgoridae
35 ครั่ง Laccifer lacca (Kerr) Kerridae
36 ด้วงคีมสองแถบ Prosopocoilus inquinatus
Westwood
Lucanidae
37 ด้วงน�้ำมัน Epicauta hirticornis H. Rutenbers Meloidae
38 ผีเสื้อหนอนเจาะล�ำต้น Arthroschista hilaralis (Walker) Pyralidae
39 ผีเสื้อหนอนเจาะล�ำต้น Pygospila tyres Cramer Pyralidae
40 มวนแดง Antilochus coquebertii (F.) Pyrrhocoridae
41 มวนแดงนุ่น Odontopus nigricornis Stal Pyrrhocoridae
42 เพลี้ย Ricania speculum Walker Ricanidae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
257
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
43 ผีเสื้อจรวด Clanis bilineata (Walker) Sphingidae
44 ผีเสื้อจรวด Marumba decoratus (Moore) Sphingidae
45 ผีเสื้อจรวด Parum colligata Walker Sphingidae
46 ผีเสื้อจรวด Sataspes tagalica Boisduval Sphingidae
47 ด้วงหลินจือ Platydema waterhousei Gelbien Tenebrionidae
48 มวนแดงห�้ำ Antilochus nigripes Brum. Pyrrhocoridae
49 มวนแดงฝ้าย Dysdercus cingulatus F. Pyrrhocoridae
INSECT
258 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 แมลงสาบป่า Pycnoscelus indicus (F.) Blaberidae
2 แมลงวันหัวเขียว Chrysomya megacephala (Fabricius) Calliphoridae
3 มด Camponotus leonardi Emeri Formicidae
4 มด Camponotus rufoglaucus (Jerdan) Formicidae
5 มด Cataulacus granulatus Latreille Formicidae
6 มด Diacamma vagans Smith Formicidae
7 มด Dolichoderus tuberifera (Emery) Formicidae
8 เสี้ยนดิน Dorylus orientalis Westwood Formicidae
9 มด Odontoponera denticulata Smith Formicidae
10 มด Pachycondyla rufipes Jerdan Formicidae
11 มด Pheidole nodifera-group Formicidae
12 มด Pheidologeton diversus (Jerdan) Formicidae
13 มดหนามกระทิงด�ำ Polyrhachis armata Le Guillou Formicidae
14 มด Polyrhachis hippomanes Smith Formicidae
15 มดหนามหีบทองแหลม Polyrhachis illaudata Walker Formicidae
16 ด้วงแรด Trichogomphus martabani
Guérin-Méneville
Scarabaeidae
17 ปลวก Coptotermes gestroi Wasmann Termitidae
18 ปลวกท้องเหลือง Globitermes sulphureus Haviland Termitidae
19 ปลวก Havilanditermes proatripennis
Ahmad
Termitidae
กลุ่มแมลงเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
259
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
20 ปลวก Hospitalitermes ataramensis
Prashad & Sen-Sarma
Termitidae
21 ปลวก Hypotermes makhamensis Ahmad Termitidae
22 ปลวก Microcerotermes crassus Snyder Termitidae
23 ปลวก Odontotermes feae (Wasmann) Termitidae
24 ปลวก Odontotermes proformosanus
Ahmad
Termitidae
INSECT
260 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 แมลงปอเข็มน�้ำตกปีกเขียว Neurobasis chinensis (L.) Calopterygidae
2 แมลงด�ำหนามข้าว Dicladispa armigera (Olivier) Calopterygidae
3 ด้วงเต่ากินใบ Aulacophora lewisii Baly Chrysomelidae
4 แมลงปอเข็มน�้ำตกสีพายัพ Euphaea pahyapi Hämäläinen Euphaeidae
5 มดน�้ำผึ้ง Anoplolepis gracilipes F. Smith Formicidae
6 มดตะนอย Dolichoderus thoracicus Smith Formicidae
7 มดตะนอย Tetraponera attenuata Smith Formicidae
8 มดตะนอย Tetraponera nigra (Jerdan) Formicidae
9 มดตะนอยอกส้ม Tetraponera rufonigra Jerdan Formicidae
10 แตนเบียน Leucospis petiolata F. Leucospidae
11 แมลงปอบ้านสองสีเขียวฟ้า Diplacodes trivialis (Rambur) Libellulidae
12 แมลงปอบ้านสีหม่น
ทองแดง
Orthetrum pruinosum neglectum
Rambur
Libellulidae
13 แมลงปอบ้านเสือวงลาย Orthetrum testaceum (Burmeister) Libellulidae
14 แมลงปอบ้านเสือ
สามเหลี่ยม
Orthetrum triangulare (Selys) Libellulidae
15 แมลงปอบ้านไร่ปีกทอง Rhyothemis phyllis (Sulzer) Libellulidae
16 มวนเพชฌฆาตคาดเหลือง Sycanus croceovittatus Dohrn Reduviidae
17 มวนเพชฌฆาต Vilius macrops Walker Reduviidae
18 ต่อหมาร่า Chalybion bengalense Dahlbum Sphecidae
19 ด้วงก้นกระดก Paederus fuscipes Curtis Staphylinidae
กลุ่มแมลงตัวห�้ำ ตัวเบียน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
261
กลุ่มแมลงหายากและใกล้สูญพันธ์ุ
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 ด้วงคีมยีราฟ Prosopocoilus giraffa Olivier Lucanidae
ล�ำดับที่ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
1 ผีเสื้อถุงทองธรรมดา Troides aeacus aeacus (C. & R. Felder) Papilionidae
กลุ่มแมลงคุ้มครองและห้ามน�ำเข้าห้ามส่งออก
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์
20 แตนกระดาษ Delta arcuata (F.) Vespidae
21 ต่อกระดาษ Polistes stigma F. Vespidae
INSECT
262 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
(Order lepidoptera: lepido = scale, pteron = wing)
ผีเสื้อ ความงดงามของผีเสื้อนั้นมีมากมาย พบได้ตลอดทั้งปี
ทุกฤดูกาล แต่หมุนเวียนเปลี่ยนชนิดไปตามแหล่งพืชอาหาร ในช่วง
ที่พบมากคือช่วงผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝนระหว่างมิถุนายนถึงสิงหาคม
ผีเสื้อแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ผีเสื้อกลางวัน (butterflies)
และผีเสื้อกลางคืน (moths) หรือที่เราเรียกว่า มอธ ผีเสื้อกลางวัน
มีแค่10% ของผีเสื้อทั้งหมด แต่ด้วยสีสันของปีกอันสวยงามสะดุดตา
และพบเห็นได้ง่ายในเวลากลางวันจึงเป็นที่รู้จักมากกว่าผีเสื้อกลางคืน
ที่มีมากถึง 90% ของผีเสื้อทั้งหมด
Order Lepidoptera
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
263
ผีเสื้อ สามารถขยายพันธุ์และเพิ่มจ�ำนวนได้มากหรือน้อย
ขึ้นอยู่กับชนิด ในการเจริญเติบโตมีการลอกคราบและการเปลี่ยนแปลง
รูปร่างในแต่ละช่วงวัยที่แตกต่าง มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์
(complete metamorphosis) คือมีระยะไข่ ระยะตัวหนอน ระยะดักแด้และระยะตัวเต็มวัย
วงจรชีวิตผีเสื้อหางตุ้มจุดชมพู
INSECT
264 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ผีเสื้อกลางวัน
(Butterflies)
ผีเสื้อกลางวันจะออกหากินในเวลากลางวันและเวลาพลบค�่ำ
ลักษณะที่แตกต่างจากผีเสื้อกลางคืน คือ หนวดจะมีลักษณะคล้าย
กระบอง (ปลายหนวดพองโตออกคล้ายกระบอง) บางพวกมีปลาย
หนวดโค้งงอเป็นตะขอ เวลาเกาะจะชูหนวดขึ้นเป็นรูปตัววี(V)
จะมีเกล็ด (scale) ปกคลุมเนื้อปีกที่บางใสและเกล็ดนี้จะมีสีสัน
ต่างๆ กัน ล�ำตัว ปีก และขาปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดเล็กมากคล้ายฝุ่น
ปากเป็นงวงยาวม้วนเข้าอยู่ใต้หัวได้ปากเป็นชนิดดูดกิน (siphoning
type) บางชนิดไม่มีปาก และไม่กินอาหารเมื่อเจริญวัยเต็มที่แล้ว
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
265
Family Lycaenidae
วงศ์ผีเสื้อสีน�้ำเงิน เป็นผีเสื้อขนาดเล็ก บอบบาง สีสด
น�้ำเงินทองแดง น�้ำตาลแก่หรือส้ม ตัวผู้กับตัวเมียอาจมีสีต่างกัน
หนวดมักจะมีวงสีขาว และมีเกล็ดขาวล้อมรอบขอบตา บางตัว
มีหางยื่นยาวออกไป เส้นปีกเรเดียส (R) ของปีกหน้าแตกเป็น 3-4
แขนง ตัวหนอนค่อนข้างแบนมีลักษณะคล้ายหอย ล�ำตัวสั้นและ
กว้าง ขาจริงและขาเทียมเล็ก ส่วนหัวหดเข้าไปในล�ำตัวได้
ผีเสื้อวงศ์นี้2-3 ชนิด มีความส�ำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่
พวกตัวหนอนกินพืชตระกูลถั่ว เจาะผลทับทิม มะปราง ชมพู่ หว้า
มะม่วง และล�ำไย เป็นต้น แต่มีบางชนิดให้ประโยชน์โดยเป็นตัวห�้ำ
กัดกินเพลี้ยอ่อนและกินครั่ง
INSECT
266 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ด้านหน้าประดับด้วยแถบสีขาวขนาดใหญ่
พาดกลางปีกคู่บนและปีกคู่ล่าง ด้านข้างของแถบ
สีขาวประกบด้วยแถบสีน�้ำเงินม่วงวาว ขอบปีกมีสีด�ำ
ด้านท้องปกคลุมด้วยเกล็ดสีขาว ประดับด้วยจุดสีเทา
กระจายบริเวณขอบปีก และแถบสีเทาใกล้กับล�ำตัว
ข้างละ 4 แถบ
Discolampa ethion (Westwood) แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 25 มม.
ผีเสื้อหนอนพุทราแถบฟ้า The Banded Blue Pierrot
ด้านท้อง
ด้านหน้า
พบในป่าทึบ
พบในที่โล่งแจ้ง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
267
ด้านหน้า
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผีเสื้อพุ่มไม้ธรรมดา
ด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดสีน�้ำเงินอมม่วง
มันวาว ขอบปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีด�ำ กลางปีกคู่บน
ประดับด้วยแต้มกลมสีด�ำ ด้านท้องขอบปีกคู่บนและปีกคู่
ล่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทาประดับด้วยแถบขวางสีน�้ำตาล
มุมด้านล่างของปีกคู่ล่างประดับด้วยจุดสีส้ม ขอบปีกมีริ้ว
ขนาดเล็ก 2 ริ้ว
Hypolycaena erylus (Godart)
The Common Tit
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 25 มม.
ผีเสื้อพุ่มไม้ธรรมดา
ด้านท้อง
INSECT
268 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 30 มม.
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ด้านหน้าเนื้อปีกสีส้ม ปลายปีกหลังยื่นยาว
คล้ายหาง มุมปลายปีกประดับด้วยสีขาว ขอบปีกคู่บน
สีด�ำ ด้านท้องสีส้มอมเหลือง มุมด้านล่างของปีกคู่ล่าง
ยื่นยาวออกเป็นติ่ง ติ่งประดับด้วยจุดสีด�ำข้างละ 1 จุด
ในเพศผู้ด้านท้องมีสีเหลืองลวดลายสีน�้ำตาลจางๆ
และสีจะเข้มขึ้นในเพศเมีย
Loxura atymnus (Stoll)
ผีเสื้อแสดหางยาว The Yamfly
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
269
Family Nymphalidae
วงศ์ผีเสื้อวงศ์ขาหน้าพู่ เป็นผีเสื้อขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
มีอยู่ไม่กี่ชนิดที่มีขนาดเล็ก มีลักษณะพิเศษคือขาคู่หน้าเล็กมาก
เล็กกว่าคู่อื่นๆ ไม่ใช้ในการเดินหรือเกาะใช้แต่ขาคู่กลางหรือหลัง
เวลาเกาะจะพับขาคู่หน้าไว้กับอก เส้นเรเดียส (R) แบ่งเป็น 5 แขนง
ในปีกคู่หน้า ดิสคอลเซลล์อาจจะเปิดหรือปิดโดยมีเส้นบางๆ เส้นปีก
อานัลเวนที่ 3 ในปีกคู่หน้าไม่มีหนวดปกคลุมด้วยเกล็ด ดักแด้มักจะ
ห้อยหัวลง
เป็นแมลงที่ไม่ค่อยส�ำคัญนัก ถึงแม้ว่าบางชนิดจะกินข้าว
กล้วย ละหุ่ง มะม่วง และไม้ดอกต่างๆ แต่ไม่มากมายจนก่อให้เกิด
ความเสียหายขึ้นได้
INSECT
270 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดปีกสีส้ม ประดับ
ด้วยจุดแต้มสีด�ำ ขอบปีกด้านนอกของปีกคู่ล่างมีแถบ
สีด�ำประดับด้วยจุดสีเหลืองตลอดแนว ส่วนหัวและ
อกปกคลุมด้วยเกล็ดสีด�ำ ประดับด้วยจุดสีเหลือง
ด้านท้องปกคลุมด้วยเกล็ดสีส้มอมเหลือง ประดับด้วย
แต้มสีด�ำ ขอบปีกคู่ล่างด้านติดกับล�ำตัวและด้านนอก
มีแถบสีด�ำประดับด้วยจุดแต้มสีครีมอมเหลืองขนาดใหญ่
ลักษณะเด่น ความที่เป็นผีเสื้อที่มีพิษอยู่ในตัว
จึงปลอดภัยจากผู้ล่า
Acraea violae แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 39 มม. (F.)
ผีเสื้อหนอนหนามกะทกรก The Tawny Coster
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
271
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผีเสื้อกะทกรกธรรมดา
ด้านท้อง
ด้านหน้า
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 58 มม.
The Leopard Lacewing
ด้านหน้าปีกมีลวดลายสีส้มแดง ขอบปีกนอก
เป็นรอยหยักตลอดแนว ปีกคู่บนขอบปีกสีด�ำ มีแถบ
สีขาวข้างละ 1 แถบ ด้านท้องสีเหลืองมีจุดสีด�ำคล้าย
ลวดลายของเสือดาว ขอบปีกสีน�้ำตาลเข้มมีลวดลาย
ซิกแซกสีขาวคล้ายลายผ้าลูกไม้โคนปีกสีเหลืองอมส้ม
มีลวดลายเป็นริ้วสีด�ำ ในผีเสื้อเพศผู้มีสีเข้มกว่าเพศเมีย
Cethosia cyane euanthe Fruhstorfer
INSECT
272 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 77 มม.
ปีกสีน�้ำตาลแดงเข้ม โคนปีกสีเข้ม
เกือบด�ำ มุมปลายปีกคู่บนสีเทาเคลือบด้วยเกล็ด
สีขาว ขอบปีกคู่ล่างประดับด้วยจุดสีขาวเรียงต่อกัน
2 แถว ล�ำตัวสีน�้ำตาลด�ำ มีหนวดแบบกระบอง
ผีเสื้อชนิดนี้มีลักษณะการบินร่อนช้าๆ
บางครั้งพบเป็นกลุ่มใหญ่ในที่ร่มร�ำไรในเวลา
กลางวัน ชอบตอมดอกไม้พบเห็นได้ง่าย
ผีเสื้อจรกาหนอนยี่โถ The Common Indian Crow
Euploea core godartii Lucas
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
273
เพศเมีย
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
Lexias pardalis jadeitina (Frushtorfer)
ผีเสื้ออ๊าชดุ๊คธรรมดา
เพศผู้
เพศผู้ปีกกว้าง 68 มิลลิเมตร ปีกคู่บนสีด�ำอม
น�้ำเงินประดับด้วยจุดสีส้มอมน�้ำตาล ขอบปีกประดับด้วย
แถบสีฟ้าวาวอมเทา ขอบปีกคู่ล่างประดับด้วยแถบสีฟ้า
วาวอมม่วง ด้านท้องปีกสีส้มอมน�้ำตาล เพศเมียปีกกว้าง
77 มิลลิเมตร ด้านหน้าปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีน�้ำตาลเข้ม
ประดับด้วยจุดแต้มสีครีมอมเหลืองกระจายทั่วปีก
ด้านท้องปีกคู่บนสีน�้ำตาลอมเทา ปีกคู่บนและปีกคู่ล่าง
ประดับด้วยจุดแต้มสีครีมอมเหลืองกระจายอยู่ทั่วปีก
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 68-77 มม.
The Common Archduke
INSECT
274 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
แหล่งที่พบ
ด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดสีน�้ำตาลเข้ม
ปลายปีกคู่บนมีสีน�้ำตาลเข้มเกือบด�ำ ปลายปีกประดับ
ด้วยจุดแต้มสีด�ำขนาดใหญ่ขอบด้านนอกมีสีส้ม
ประดับด้วยจุดสีขาว 2 จุด ขอบปีกคู่ล่างประดับด้วย
จุดสีขาวขนาดเล็ก 4 จุด ด้านท้องปีกสีน�้ำตาลอมส้ม
ปีกคู่บนประดับด้วยจุดขนาดเล็กบริเวณค่อนไปทาง
มุมของปีก 4 จุด ปีกคู่ล่างประดับด้วยแต้มสีด�ำกลาง
ปีกข้างละ 1 จุด ประดับด้วยจุดสีขาวขนาดเล็กเรียง
จากบนลงล่างจ�ำนวน 5 จุด
ผีเสื้อสายัณห์สีตาลธรรมดา The Common Evening Brown
Melanitis leda leda (L.) ปีกกว้าง 77 มม.
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
275
ด้านท้อง
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผีเสื้อกะลาสีลายจุด
ด้านหน้า
ด้านหน้าปีกสีด�ำ ปีกคู่บนประดับด้วย
แถบขวางสีขาวข้างละ 1 แถบ และจุดแต้มขนาด
ปานกลาง ปีกคู่ล่างประดับด้วยแถบขวางขนาดใหญ่
ข้างละ 1 แถบ และแถบของจุดสีขาว 1 แถว
ขอบปีกประดับด้วยเส้นประสีขาว ด้านท้องมีสีส้ม
อมน�้ำตาล ปีกคู่บนประดับด้วยแถบขวางสีขาว
ข้างละ 1 แถบ และจุดแต้มขนาดปานกลาง ปีกคู่
ล่างประดับด้วยแถบขวางขนาดใหญ่ข้างละ 1 แถบ
และแถบของจุดสีขาว 1 แถว ขอบปีกประดับด้วย
เส้นประสีขาวเด่นชัดกว่าด้านหน้า
Neptis magadha C. & R. Felder แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 62 มม.
The Spotted Sailor
INSECT
276 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 55 มม.
ด้านหน้าสีน�้ำตาลไหม้มีลวดลายสีด�ำ
มุมปีกคู่บนแต้มจุดสีขาวขนาดใหญ่ข้างละ 1 จุด
ด้านท้องปีกคู่บนสีน�้ำตาลอมส้มมีแต้มจุดสีขาว
ขนาดใหญ่ข้างละ 1 จุด ปีกคู่ล่างสีน�้ำตาล จุดกระ
สีน�้ำตาลอมเขียวกระจายทั่วปีก
Tanaecia julii (Lesson)
ผีเสื้อไวส์เคาท์ขอบฟ้า The Common Earl
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
277
Family Papilionidae
วงศ์ผีเสื้อหางแฉก เป็นผีเสื้อขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่มีจุดสังเกต
ได้ง่าย ที่ปีกคู่หลังขยายเป็นหางยาวออกไป จึงได้ชื่อว่า “หางแฉก”
เส้นคิวบิตัส (Cu) ในปีกคู่หน้ามีลักษณะคล้ายกับว่าเป็น 4 เส้น และ
มีอานัลเวน 2-3 เส้นในปีกคู่หน้า ในปีกคู่หลังมี1 เส้น โดยมากปีก
มีพื้นสีด�ำ และมีรอยแต้ม รอยจุด หรือลายสีเหลือง แดง เขียว ขาว
หรือน�้ำเงิน
หนอนของผีเสื้อในวงศ์นี้บางชนิดเป็นศัตรูของพืชส�ำคัญๆ
เช่น พืชตระกูลส้ม ได้แก่ส้มเขียวหวาน ส้มโอ ส้มจุก ส้มแป้น
ส้มเกลี้ยง มะนาว บางชนิดก็เป็นศัตรูของผัก
INSECT
278 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำตัวส่วนท้องสีด�ำสลับสีเหลือง เพศผู้ปีก
คู่บนเรียวยาวสีด�ำ มีเกล็ดสีเทารอบเส้นปีก ปีกคู่บนสีด�ำ
ปีกคู่ล่างสีเหลืองทองที่ขอบปีกมีรอยหยักสีด�ำ เหนือ
รอยหยัก 3 รอยที่มุมด้านในของปีกจะมีเกล็ดสีเทา
ลักษณะเหมือนฝุ่นครอบอยู่ เพศเมียปีกคู่หน้าสีด�ำ
ปีกคู่ล่างมีรอยหยักที่ขอบปีก มีจุดขนาดใหญ่กระจาย
อยู่ในช่องระหว่างเส้นปีก ช่องละ 1 จุด ล�ำตัวสีด�ำ
* ผีเสื้อถุงทองธรรมดา เป็นแมลงคุ้มครองในบัญชีที่ 2
แห่งอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่า
และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธ์ุ (CITES)
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
เพศผู้
เพศเมีย
ผีเสื้อถุงทองธรรมดา The Golden Birdwing
Troides aeacus aeacus (C. & R. Felder) แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 113 มม.
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
279
ด้านท้อง
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผีเสื้อหนอนจ�ำปีจุดแยก
ปีกกว้าง 62 มม.
ด้านหน้า
ด้านหน้าปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีด�ำ
ประดับด้วยแต้มสีฟ้าขนาดใหญ่เรียงขวางบริเวณกลาง
ปีกจุดแต้มสีฟ้าเรียงตามแนวขอบปีกคู่บนลงปีกคู่ล่าง
ขอบด้านในติดล�ำตัวของปีกคู่ล่างประดับด้วยเกล็ด
ขนยาวสีน�้ำตาลจ�ำนวนมาก ด้านท้องของปีกคู่บน
ประดับด้วยจุดแต้มสีแดงอมชมพูใกล้ล�ำตัวข้างละ 1 จุด
ปีกคู่ล่างประดับด้วยแถบสีแดงอมชมพูตรงขอบปีกใกล้
ล�ำตัวข้างละ 1 แถบ และแต้มสีแดงอมชมพูใกล้มุมด้าน
ล่างของปีกข้างละ 3 จุด
The Common Jay
Graphium doson evemonides (Honrath) แหล่งที่พบ
INSECT
280 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เพศเมีย
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 120 มม.
เพศผู้มีเกล็ดปีกสีน�้ำเงิน ปีกคู่บนสีด�ำ
อมน�้ำเงิน ปีกคู่ล่างมีแถบสีน�้ำเงินทั่วทั้งปีก เวลาบิน
เกล็ดปีกของผีเสื้อจะสะท้อนแสงเป็นสีเงิน เพศผู้เป็น
ผีเสื้อที่บินได้ว่องไว เพศเมียมีล�ำตัว ปีก และหนวด
สีด�ำ มีแถบสีแดงประดับบนปีกคู่บนส่วนติดกับล�ำตัว
ปลายปีกคู่ล่างประดับด้วยแถบสีแดง
เพศเมียมีรูปร่างต่างๆ 5 รูปร่างด้วยกัน
เช่น f. agenor, f. distantianus, f. rhetenorina
เป็นต้น
f.agenor
Papilio memnon agenor Linnaeus
ผีเสื้อหางติ่งนางละเวง The Great Mormon
เพศผู้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
281
ด้านท้อง
ผีเสื้อหางตุ้มจุดชมพู
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ด้านหน้า
ล�ำตัวมีขนาดกลาง ด้านหน้าปีกคู่บนสีด�ำ
อมเทา ปีกยาวเป็นวงรีปีกคู่ล่างสีด�ำสนิท ที่กลางปีก
ประดับด้วยแถบสีขาว 5 แถบ แต้มจุดสีชมพูที่ขอบปีก
มีปลายหางยาวยื่นออกมาจากปลายปีก ด้านท้องสีปีก
คู่บนจางกว่าด้านหน้า ปีกคู่ล่างที่กลางปีกประดับด้วย
แถบสีขาว 5 แถบ ขอบปีกมีจุดสีชมพู6 จุด มีปลาย
หางยาวยื่นออกมาจากปลายปีก
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 63 มม.
The Common Rose
Pachliopta aristolochiae (F.)
INSECT
282 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Family Pieridae
วงศ์ผีเสื้อหนอนกะหล�่ำ เป็นผีเสื้อขนาดกลาง มักจะมี
สีขาว เหลือง หรือส้ม และมีลายจุดสีด�ำที่ปีกคู่หน้าชิดกับเส้นเรเดียส
ขาสามคู่เจริญเท่ากัน และเล็บแต่ละซี่ มีฟันเป็น 2 ง่าม ตัวหนอน
ยาวมีล�ำตัวเป็นปล้องเห็นได้ชัดเจน
หนอนของผีเสื้อในวงศ์นี้หลายชนิดเป็นศัตรูส�ำคัญของ
พืชที่เพาะปลูก โดยเฉพาะหนอนกะหล�่ำปลีนอกจากนี้ยังมีพวก
ที่กินพืชตระกูลถั่ว
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
283
ด้านท้อง
Eurema blanda (Boisduval)
ผีเสื้อเณรสามจุด The Three-spot Grass Yellow
เนื้อปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเหลือง
ก�ำมะถัน ด้านหน้ามุมปีกคู่บนมีสีด�ำขนาดใหญ่
ด้านท้องปีกคู่บนประดับด้วยแต้มสีน�้ำตาล
ที่สันขอบด้านบน ด้านในติดกับล�ำตัวประดับ
ด้วยจุดสีน�้ำตาล 3 จุด ปีกคู่ล่าง ประดับด้วย
จุดสีน�้ำตาลเล็กๆ กระจายทั่วปีก
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ปีกกว้าง 29-47 มม.
ด้านหน้า
แหล่งที่พบ
INSECT
284 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ด้านหน้าปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีขาว ขอบปีก
คู่บนมีสีด�ำ ด้านท้องปีกคู่บนพื้นสีด�ำ ประดับด้วยแต้ม
สีขาว ปีกคู่ล่างสีเหลืองอมส้มขอบปีกด้านบนติดล�ำตัว
ประดับด้วยจุดแต้มสีแดงส้มข้างละ 1 จุด ขอบปีกด้าน
นอกประดับด้วยแต้มรูปสามเหลี่ยมสีด�ำ
Delias descombesi descombesi (Boisduval) ปีกกว้าง 68 มม.
ผีเสื้อหนอนกาฝากจุดแดง The Red-spot Jezebel
ด้านหน้า
ด้านหลัง
แหล่งที่พบ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
285
ด้านหลัง
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
เนื้อปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีครีมอมเหลือง
ด้านหน้าขอบปีกติดกับล�ำตัวสีเหลืองก�ำมะถัน
มีจุดสีด�ำที่ปลายปีก ด้านท้องปีกคู่บนประดับด้วยจุด
แต้มขอบสีชมพูกลางปีก 1 จุด และกลางปีกคู่ล่าง 2 จุด
เป็นผีเสื้อที่มีความชุกชุมมากที่สุด ผีเสื้อ
หนอนคูนธรรมดายังมีความหลากหลายของลวดลาย
สีสัน ซึ่งสามารถแบ่งรูปร่างต่างๆ ได้ถึง 6 รูปร่าง
โดย f. hilaria และ f. alcmeone เป็นรูปร่างของ
เพศผู้ส่วน f. pomona, f. jugurtha, f. crocale
และ f. catilla เป็นรูปร่างของเพศเมีย
ด้านหน้า
ผีเสื้อหนอนคูนธรรมดา The Lemon Emigrant
Catopsilia pomona pomona (F.) แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 79 มม.
INSECT
286 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ผีเสื้อกลางคืน
(Moths)
ผีเสื้อกลางคืน ส ่วนใหญ ่ออกหากินกลางคืน มีอยู ่ไม ่กี่ชนิด
ที่ออกหากินกลางวันเหมือนกับผีเสื้อกลางวัน แต่จะมีลักษณะต่างกัน
ก็คือ หนวดของผีเสื้อกลางคืนมีหนวดรูปร่างต่างกันหลายแบบ เช่น
รูปเรียวคล้ายเส้นด้าย รูปฟันหวีหรือแบบพู่ขนนก ยกเว้น ลักษณะ
คล้ายกระบอง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผีเสื้อกลางวัน ล�ำตัวของ
ผีเสื้อกลางคืนมักจะอ้วนและปกคลุมไปด้วยขนปุกปุย ล�ำตัว ปีก และ
ขาปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดเล็กมากคล้ายฝุ ่น เมื่อมองด้วยตาเปล ่า
เกล็ดเหล่านี้ท�ำให้เกิดสีต่าง ๆ กัน ปากเป็นงวงยาวม้วนเข้าอยู่ใต้หัวได้
ปากเป็นชนิดดูดกิน (siphoning type) บางชนิดไม่มีปาก และไม่กิน
อาหารเมื่อเจริญวัยเต็มที่แล้ว เนื้อปีกบางใส (membrane) ปกคลุม
ด้วยเกล็ดปีก ตารวมโต ส่วนใหญ่มีตาเดี่ยว 2 ตา อยู่ใกล้ๆ กับ
ขอบตารวม มีขาแบบเดิน (walking leg)
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
287
Family Arctiidae
วงศ์ผีเสื้อลายเสือ (tiger moths) เป็นผีเสื้อขนาดเล็ก
ถึงขนาดกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มีสีสดฉูดฉาดมีลายพาดตามขวางสีและ
จุดสีต่างๆ กัน ส่วนใหญ่สีเหลืองปนด�ำคล้ายลายเสือ เมื่อพักอยู่กับ
ที่ก็จะพับปีกหุ้มตัวคล้ายรูปหลังคาตัวหนอนมีขนมากมีลักษณะเป็น
ตัวบุ้ง ดักแด้มีปลอกซึ่งตัวหนอนใช้ใยถักกับขนหุ้มล�ำตัว
ตัวหนอนของแมลงวงศ์นี้ส ่วนใหญ ่กินใบของต้นไม้ใหญ ่
โดยเฉพาะไม้ป่าเป็นอาหาร บางครั้งกลายเป็นแมลงศัตรูทางป่าไม้
ตัวเต็มวัยออกหากินเวลากลางคืน และมักจะชอบเล่นแสงไฟ
INSECT
288 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ด้านหน้า
ผีเสื้อลายเสือ
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
Tatargina picta (Walker) ปีกกว้าง 46-55 มม.
ด้านหน้าปีกคู่บนปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดง
อมชมพูเข้ม ประดับด้วยแถบสีด�ำขอบเหลืองอ่อน
เรียงเป็นแถวแนวตั้งทั้งหมดข้างละ 6 แถว ปีกคู่ล่าง
สีส้มอ่อนอมชมพูหัวและอกสีแดงอมชมพูเข้มประดับ
ด้วยจุดสีด�ำ ล�ำตัวมีสีเหลืองอมส้ม ประดับด้วยจุดสีด�ำ
เรียงตามความยาว ด้านท้องสีจางกว่าด้านหน้า
แหล่งที่พบ
Tiger Moths
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
289
Family Cossidae
วงศ์ผีเสื้อหนอนเจาะไม้(carpenter moths) เป็นผีเสื้อ
ที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ล�ำตัวอ้วน ก้นแหลม ปีกค่อนไปทางยาว
มากกว่ากว้าง หนา และแข็งแรง มักจะมีรอยด่างหรือจุดทั่วไปตามปีก
หนวดเป็นแบบฟันหวีเป็นสองแถว (bipectinate) ทั้งตัวเมียและตัวผู้
หรือบางครั้งตัวผู้มีโคนหนวดแบบฟันหวีเป็นสองแถว แต่ตอนปลาย
เป็นแบบเส้นด้าย (filiform)
แมลงในวงศ์นี้ออกหากินในเวลากลางคืน ชอบวางไข่ตามเปลือก
ไม้หรือในรูตัวหนอนเจาะกินเป็นรูขนาดใหญ่เข้าไปในเนื้อไม้ท�ำให้กิ่ง
หักแห้งตาย เป็นศัตรูส�ำคัญของไม้สัก และศัตรูของต้นไม้หลายชนิด
ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
INSECT
290 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผีเสื้อหนอนเจาะสัก Teak Borer
Xyleutes ceramica Walker
ด้านหน้าล�ำตัวและเนื้อปีกปกคลุมด้วย
เกล็ด สีน�้ำตาลปนสีด�ำเรียงกัน ลักษณะคล้าย
เปลือกไม้ด้านท้องลักษณะคล้ายด้านหน้า ล�ำตัว
ส่วนท้องสีน�้ำตาลเกือบด�ำ ลักษณะหนวด หนวดตัวผู้
มีลักษณะผสม คือ โคนหนวดจะเป็นแบบฟันหวี
ปลายหนวดเป็นแบบเส้นด้าย ผีเสื้อชนิดนี้เป็นศัตรู
ที่ร้ายแรงของไม้สัก
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 95 มม.
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
291
Family Noctuidae
วงศ์ผีเสื้อหนอนกระทู้เป็นผีเสื้อที่วงศ์ใหญ่ที่สุดในบรรดา
ผีเสื้อทั้งหมด ส่วนใหญ่หากินในเวลากลางคืนและมักชอบเล่นไฟ
มีขนาดและสีสันที่หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่มีขนาดกลางและสีทึบ
ล�ำตัวอ้วนป้อม ปีกคู่บนค่อนข้างแคบและปีกคู่ล่างกว้าง เมื่อพับปีก
จะมีลักษณะหุ้มตัวคล้ายหลังคา
แมลงในวงศ์นี้เป็นศัตรูพืชทางการเกษตร ตัวหนอนกัดกิน
ใบและผล และบางครั้งก็เจาะเข้าไปในล�ำต้น มีหลายชนิดที่เป็นศัตรู
ของพืช รวมทั้งธัญพืชต่างๆ เช่น หนอนกอข้าวสีชมพูหนอนกระทู้
กล้าข้าว เป็นต้น บางชนิดมีลักษณะเป็นหนอนคืบ เช่น หนอนคืบ
กะหล�่ำปลีหนอนคืบละหุ่ง เป็นต้น บางชนิดท�ำลายรากพืชและ
หน่อพืชต่างๆ หนอนกระทู้เหล่านี้มีนิสัยออกหากินในเวลากลางคืน
และจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามใต้ก้อนหิน ดิน หรือใต้ดินตามโคนต้นพืช
ในเวลากลางวัน
INSECT
292 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผีเสื้อหนอนกระทู้
ด้านหน้าปีกคู่บนปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทา
เหลือบฟ้าอ่อนๆ สีขาวตามแนวเส้นปีก โคนปีก
สีเหลือง ปีกคู่ล่างสีขาว ขอบปีกประดับด้วยจุดแต้ม
สีด�ำเรียงตามแนวขอบปีก แต้มสีด�ำด้านบน
แต้มสีเหลืองอ่อนกลางปีกข้างละ 1 แต้ม อก และ
ท้องสีเหลืองก�ำมะถัน สีขาวอยู่กลางระหว่างอกกับ
ท้อง ด้านท้องเนื้อปีกสีขาว ขอบปีกคู่บนสีเทา
กลางปีกมีแถบสีด�ำเหลือบน�้ำเงินเข้ม ขอบปีกคู่ล่าง
ประดับด้วยจุดสีเทาเรียงตามแนวขอบปีกด้านล่าง
อก และท้องสีขาวมีจุดแต้มสีด�ำ
Neochera dominia Cramer
Owlet Moths
แหล่งที่พบ
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ปีกกว้าง 70 มม.
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
293
วงศ์ผีเสื้อปีกปม (prominents) เป็นผีเสื้อขนาดกลาง
ถึงขนาดใหญ่ ล�ำตัวอ้วน ป้อม ปกคลุมด้วยขนและเกล็ด ปีกไม่กว้าง
มากแต่แข็งแรง มุมด้านปีกล่างยื่นไม่ถึงปลายของส่วนท้อง บางชนิด
ด้านล่างตรงกลางปีกมุมแหลมยื่นออกมา จึงได้ชื่อว่า prominents
แมลงเหล่านี้ออกหากินในเวลากลางคืน และมักจะชอบเล่น
แสงไฟ ตัวหนอนกินใบพืชชนิดต่างๆ ซึ่งไม่ค่อยมีความส�ำคัญทาง
เศรษฐกิจเท่าไรนัก มี2-3 ชนิด ที่เป็นศัตรูของผลไม้ที่ปลูก เช่น
ชนิดที่กัดดอกเงาะ มะม่วง ล�ำไย เป็นต้น
Family Notodontidae
INSECT
294 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ด้านหน้าปีกคู่บนสีน�้ำตาลเข้มอมส้ม
ประดับด้วยแต้มสามเหลี่ยมสีเงินข้างละ 2 แต้ม
ปีกคู่ล่างสีครีมเหลือบสีเงิน ล�ำตัวเรียวยาวปลาย
ท้องมีเกล็ดยาวเป็นพู่สีน�้ำตาลอ่อน ด้านท้องปีก
คู่บนสีเหลืองอมน�้ำตาล ปีกคู่ล่างมีจุดสีด�ำกลางปีก
ล�ำตัวเรียวยาวปลายท้องมีเกล็ดยาวเป็นพู่สีน�้ำตาล
อ่อน กลางล�ำตัวมีพู่ขนสีส้มแดง เป็นผีเสื้อกลางคืน
ที่มีนิสัยชอบดูดกินน�้ำตาจากสัตว์ป่า เช่นกินน�้ำตา
จากช้าง
Tarsolepis elephantorum Banziger แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 59 มม.
ผีเสื้อหนอนมังกรล�ำไย Longan Dragon-tailed Caterpillar
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
295
วงศ์ผีเสื้อหนอนเจาะล�ำต้น ผีเสื้อหนอนกอ (snout moths)
เป็นวงศ์ที่ใหญ่เป็นที่สามของอันดับผีเสื้อ ล�ำตัวค่อนข้างบอบบาง
หัวเห็นได้ชัด มักมีตาเดี่ยว ปีกหน้ายาวเป็นรูปค่อนไปทางสามเหลี่ยม
แมลงในวงศ์นี้มีความส�ำคัญทางเศรษฐกิจอย่างสูง มีหลาย
ชนิดที่ตัวหนอนเจาะเข้าไปอาศัยอยู่ในล�ำต้นธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าว
ข้าวโพด ข้าวฟ่าง เป็นต้น
Family Pyralidae
INSECT
296 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
Arthroschista hilaralis (Walker)
ล�ำตัว และปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเขียวใบไม้
ขอบปีกสีน�้ำตาลอมเหลือง ปลายท้องปล้องสุดท้าย
ประดับด้วยเกล็ดขนยาวสีด�ำเป็นกระจุก หนวดแบบ
เส้นด้าย (filiform) ขาแบบเดิน (walking legs) ปาก
แบบดูดกิน (siphoning) ปีกแบบบางใสจะมีเกล็ด
(scale) ปกคลุมเนื้อปีกที่บางใส (membrane) และ
เกล็ดนี้จะมีสีสันต่างๆ กัน ตารวมมี2 ตา
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 35 มม.
ผีเสื้อกลางคืน Snout Moths
ด้านหน้า
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
297
Family Zygaenidae
วงศ์ผีเสื้อหนอนมะไฟ (Zygaenidae) ผีเสื้อกลางคืนที่ออกหา
กินในเวลากลางวัน สีสดใส บอกความเป็นพิษในตัว จึงมีผีเสื้อชนิดอื่นๆ
มาเลียนแบบ ในประเทศไทยพบว่า เป็นศัตรูของไม้ผล กินใบมะไฟเป็น
อาหาร
INSECT
298 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
Cyclolosia papilionaris Drury
ผีเสื้อหนอนมะไฟลายเลียน Drury’s Jewel
ปีกคู่บนปกคลุมด้วยเกล็ดสีครีมอมเหลือง
วาวประดับด้วยแถบสีน�้ำตาลตลอดแนวเส้นปีก
ขอบปีกสีด�ำเหลือบน�้ำตาล ปีกคู่ล่างสีครีมอมเหลือง
ขอบปีกสีน�้ำตาลอมด�ำ หัวและอกสีด�ำเหลือบฟ้า
ท้องแถบสีด�ำสลับครีมอมเหลือง หนวดแบบฟันหวี
(pectinate)
แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 65 มม.
ด้านหน้า
ด้านท้อง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
299
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผีเสื้อรมควัน
ล�ำตัวและปีกปกคลุมด้วยเกล็ดสีด�ำ
สนิท ปีกคู่ล่างประดับด้วยแต้มสีขาวขนาด
ใหญ่บริเวณกลางปีกข้างละ 1 แต้ม หัวและอก
ประดับด้วยแถบสีแดง ด้านล่างของปีกบริเวณ
ใกล้ล�ำตัวประดับด้วยแถบสีแดง ด้านล่างของ
อกและท้องประดับด้วยแถบสีแดงสลับด�ำ
หนวดแบบฟันหวี(pectinate)
Smoky Moth
Gynautocera papilionaria Guerin แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 88 มม.
ด้านหน้า
ด้านท้อง
INSECT
300 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ด้วง (Beetles,Weevils) เป็นแมลงปีกแข็งลักษณะหนวด
มีหลายแบบด้วยกัน เช่น หนวดแบบลูกตุ้ม (capitate) หนวดแบบ
หักข้อศอก (geniculate) ขาแบบเดิน (walking leg) ปากแบบ
กัดกิน (chewing type) ปีกคู่หน้าเป็นแบบแข็งทั้งปีก (elytra)
ปีกคู่หลังบางใส(membrane)ด้วงมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบ
สมบูรณ์(complete metamorphosis) คือมีระยะไข่ตัวหนอน
ดักแด้และตัวเต็มวัย
Order Coleoptera
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
301
Family Buprestidae
วงศ์Buprestidae ได้แก่ แมลงทับ ด้วงเจาะไม้(buprestids, metallic wood borers) มีลักษณะคล้ายกับด้วงดีดมาก คือ
ล�ำตัวยาวและแคบทางด้านท้าย แต่มักจะแวววาว มีสีสดใสมากกว่า
ด้วงดีด โดยจะเป็นสีเขียว ทองแดง น�้ำเงิน และสีอื่นๆ ล�ำตัว
แข็งมาก หนวดเป็นแบบฟันเลื่อย ลักษณะที่ต่างจากด้วงดีดก็คือส่วน
อกปล้องแรกกับปล้องที่สองรวมกันเป็นปล้องเดียว ทางด้านบริเวณ
ท้องของแมลง (ventral) และแมลงเหล่านี้ไม่มีอวัยวะใช้ดีดขอบด้าน
ท้ายของ pronotumไม่เป็นมุมแหลม ส�ำหรับตัวหนอนนั้นต่างจากด้วง
ปีกแข็งอื่นๆ ที่มีอกปล้องแรก (prothorax) ขยายใหญ่มาก และใหญ่
กว่าปล้องอื่นๆล�ำตัวเรียวเล็ก หัวเล็กมากและหดเข้าไปอยู่ในส่วนอก
หนวดสั้นมาก
แมลงในวงศ์นี้มีมากในเขตร้อน ตัวเต็มวัยมักพบได้ตามดอกไม้
และเปลือกไม้ต่างๆ บางชนิดเมื่อถูกรบกวนจะท�ำเป็นแกล้งตายหล่น
จากกิ่งไม้ตัวหนอนส่วนใหญ่ท�ำลายต้นไม้และป่าไม้โดยการกัดกิน
เข้าไปในเปลือกและเนื้อไม้ท�ำให้เกิดเป็นรู บางชนิดกัดกินเข้าไปใน
รากท�ำให้ต้นไม้และไม้ผลตายได้จัดว่ามีความส�ำคัญทางเศรษฐกิจ
ด้านป่าไม้มาก มี2-3ชนิดเจาะกินเข้าไปในไม้ล้มลุก บางชนิดจะชอน
ผิวใบหรือท�ำให้เกิดปม
INSECT
302 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
แมลงทับขาแดง Jewel Beetle
Sternocera ruficornis E. Saunders ล�ำตัวยาว 44 มม.
ล�ำตัวอ้วนป้อม สีเขียวเป็นมันเหลือบทองหรือทองแดง ส่วนของอกปล้องแรก
มีจุดหลุมขนาดใหญ่กระจายทั่วไป บริเวณฐานของปีกประดับด้วยจุดสีเหลืองข้างละ
1 จุด ปีกประดับด้วยจุดหลุมประปราย ปลายปีกมีหนามแหลม ขาสีน�้ำตาลแดง
หนวดแบบฟันเลื่อย (serrate)
แหล่งที่พบ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
303
Family Cerambycidae
วงศ์ Cerambycidae ได้แก่ ด้วงหนวดยาว (long-horned
beetles, cerambycids) เป็นวงศ์ใหญ ่วงศ์หนึ่งของด้วงปีกแข็ง
มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีสีสันต่างๆ สวยงาม ล�ำตัวยาว รูปร่าง
ค่อนไปทางทรงกระบอก หนวดยาวมากและมักจะยาวกว ่าล�ำตัว
ขายาว มีtarsi 5 ปล้อง แต่มักจะเห็น 4 ปล้อง เพราะปล้องที่3 ใหญ่
เป็นง่ามและหุ้มปล้องที่ 4 ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ที่ tibia (กระดูกหน้า
แข้ง) มีหนาม (spur)2ซี่ตัวหนอนมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาว
หัวกลม บางครั้งจึงนิยมเรียกกันว่า หนอนเจาะไม้หัวกลม (roundheaded borers)
แมลงในวงศ์นี้มีความส�ำคัญทางเศรษฐกิจด้านป ่าไม้มาก
มีแพร่หลายทั่วโลกตัวหนอนเจาะท�ำลายไม้ต่างๆโดยเข้าไปกินอยู่ใน
เยื่อcambiumหรือเนื้อไม้ใหญ่ท�ำให้ต้นตายในประเทศไทยที่ส�ำคัญๆ
คือ พวกที่เจาะมะม่วงส้ม ขนุน นุ่น ไม้สักก่อให้เกิดความเสียหายมาก
INSECT
304 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ล�ำตัวยาว 18 มม.
ด้วงหนวดยาวจุดสยาม Longhorn Beetles
ล�ำตัวและขามีสีน�้ำตาลเข้ม หนวดมีสีน�้ำตาลอ่อน ปลายปล้องหนวดแต่ละ
ปล้องมีสีด�ำ ปีกประดับด้วยแต้มสีเหลืองขอบด�ำจ�ำนวน 8 จุด scutellum สีเหลือง
ด้านหลังของอกปล้องแรกประดับด้วยแต้มสีขาว 4 แต้ม ด้านหลังของตารวมประดับ
ด้วยแต้มสีเหลือง 2 แต้ม ท้องด้านใต้สีขาว
* scutellum คือ แผ่นแข็งทรงสามเหลี่ยมที่อยู่ระหว่างฐานปีกของแมลง
Olenecamptus siamensis Breuning แหล่งที่พบ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
305
Family Cicindelidae
วงศ์ Cicindelidae ได้แก่ด้วงเสือ (tiger beetles) เป็น
แมลงที่คล่องแคล่วว่องไว วิ่งและบินได้เร็ว ตาโตโปน เห็นได้ชัดเจน
ความกว้างของส่วนหัวซึ่งรวมทั้งตารวมนั้นกว้างกว่าอกปล้องแรก
กรามใหญ่และเรียวแหลมยื่นออกมา ขายาว ล�ำตัวมักมีสีสดแตกต่างกัน
มากมาย และมักมีรอยแต้มเป็นจุดหรือแถบ เป็นสีตัดกับสีพื้นของล�ำตัว
ปีกคู่หน้ามักไม่มีร่องหลุมเรียงกัน
แมลงในวงศ์เหล่านี้ทุกชนิดอาศัยอยู่บนบก และพบได้ทั่วไป
ตามแหล่งที่เป็นทราย ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเป็นตัวห�้ำ จับแมลงและ
สัตว์เล็กอื่นๆ กินเป็นอาหาร ด้วงเสือเป็นแมลงที่ดุร้าย กินจุ และ
กินไม่เลือก
INSECT
306 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ด้วงเสือ
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ล�ำตัวทรงกระบอกยาว สีน�้ำเงินเหลือบเขียว ขายาว ปีกประดับด้วยแถบสีเหลือง
ยาวจากฐานปีกถึง 2/3 ของปีก ข้างละ 1 แถบ ปลายปีกประดับด้วยจุดสีเหลือง ข้างละ
1 จุด กรามเรียวยาว ด้านล่างของล�ำตัวปกคลุมไปด้วยขนสีเทา อกกว้างกว่ายาว
Calochroa bramani (Dokhtouroff) แหล่งที่พบ ล�ำตัวยาว 15 มม.
Tiger Beetles
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
307
Family Lucanidae
ด้วงในวงศ์นี้มีลักษณะเด่นคือ ในตัวผู้จะมีขากรรไกรล่างที่มี
ขนาดใหญ่และกางเข้าออกได้เหมือนคีมหรือกรรไกรอันเป็นที่มาของ
ชื่อเรียก ซึ่งใช้ส�ำหรับเป็นอาวุธในการต่อสู้กันและแย่งตัวเมีย ด้วงพบ
ได้ทั่วโลก ปกติเป็นแมลงที่ไม่ก้าวร้าวต่อมนุษย์ในประเทศไทยสามารถ
พบได้หลายชนิด อาทิด้วงคีมยีราฟ (Prosopocoilus giraffa)
ซึ่งเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับนิ้วมือมนุษย์
INSECT
308 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ด้วงคีมยีราฟ
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ล�ำตัวด�ำเป็นมัน ประดับด้วยจุดหลุมละเอียด ตัวผู้จะมีกรามยาวมากใช้ใน
การต่อสู้กับตัวผู้ตัวอื่นๆ ในการครอบครองตัวเมียและที่อยู่อาศัย
*เป็นแมลงคุ้มครองที่หายากใกล้สูญพันธุ์ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
Prosopocoilus giraffa (Olivier) แหล่งที่พบ ล�ำตัวยาว 95 มม.
Giraffe Stag Beetle
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
309
Family Scarabaeidae
ด้วงกว่างมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากแมลงปีกแข็งจ�ำพวก
อื่นๆอย่างเห็นได้ชัดคือตัวผู้มีขนาดที่ใหญ่แลดูบึกบึน มีปีกที่พัฒนา
เป็นเปลือกแข็ง 1 คู่ หุ้มล�ำตัวด้านบนที่นูนอยู่เหมือนสวมชุดเกราะ
มีสีด�ำคล�้ำหรือน�้ำตาลเข้มที่เงางาม ขณะที่บางชนิดอาจมีสีอ่อนกว่า
หรือแม้กระทั่งสีทองก็มีมีจุดเด่นที่เห็นได้ชัด คือ มีอวัยวะบริเวณ
ส่วนหัวที่งอกยาวออกมาคล้ายเขาจ�ำนวนอย่างน้อย 1 คู่ อยู่ด้านบน
และด้านล่างของส่วนหัวซึ่งจะมีจ�ำนวนและลักษณะสั้น-ยาวแตกต่าง
กันออกไปตามสกุลและชนิดซึ่งพบมากที่สุดได้ถึง5เขาขณะที่ตัวเมีย
จะมีขนาดเล็กกว่าและไม่มีเขา หรือมีแต่สั้นกว่ามาก มีผิวล�ำตัวที่
ขรุขระหยาบและมีขีดร่อง ที่ส่วนปีกแข็งมาก ตามล�ำตัวในบางชนิด
มีขนอ่อนคล้ายก�ำมะหยี่สีเหลืองหรือสีน�้ำตาลปกคลุมอยู่บริเวณใต้ท้อง
ทั้งตัวผู้และตัวเมียขาคู่หน้ามีช่องที่อยู่ในแนวขวางสามารถบิดขยับได้
มีหนวดเป็นรูปใบไม้
INSECT
310 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ด้วงแรดป่า
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
เพศผู้ขนาดล�ำตัวยาว 51 มิลลิเมตร
ล�ำตัวสีด�ำเป็นเงาส่วนของปีกประดับด้วยจุดหลุมเรียง
เป็นแถบตลอดทั้งปีก ด้านบนของอกปล้องแรกยื่นยาว
ออกไปเป็นโหนกสันคล้ายเขาขนาดใหญ่1 อัน
สันกะโหลกงอกยื่นเป็นเขายาว 1 เขา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์
ของเพศผู้เพศเมียขนาดล�ำตัวยาว 49 มิลลิเมตร ล�ำตัว
สีด�ำเป็นเงา ส่วนของปีกประดับด้วยจุดหลุมเรียงเป็น
แถบตลอดทั้งปีก ด้านบนของอกปล้องแรกลักษณะครึ่ง
วงกลม ส�ำหรับตัวเมียไม่มีเขา
แหล่งที่พบ
Rhino Beetle
Trichogomphus martabani (Guérin-Méneville)
เพศผู้
เพศเมีย
ล�ำตัวยาว 51-49 มม.
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
311
Family Staphylinidae
เป็นด้วงขนาดเล็กประมาณ 7 มิลลิเมตร มีความสามารถในการ
เคลื่อนไหวได้รวดเร็วจัดอยู่ในอันดับ Coleopteraวงศ์Staphylinidae
พบกระจายทั่วโลก กว่า 20 ชนิด ส�ำหรับชนิดที่พบได้ในประเทศไทย
คือ ด้วงก้นกระดก ด้วงชนิดนี้อาศัยบริเวณพงหญ้าที่มีความชื้น
ชอบออกมาเล่นไฟ จะมีมากโดยเฉพาะในฤดูฝน ด้วงวงศ์นี้มีประโยชน์
ในการควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืชโดยจะช่วยก�ำจัดไข่หนอน
ผีเสื้อ ท�ำลายไข่และหนอนของแมลงวัน
INSECT
312 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
โคนหนวดสีน�้ำตาลแดง ส ่วนปลายสีน�้ำตาลด�ำ มีขนตามปล้องหนวด
หัวแบนสีด�ำ อกส่วนหน้าแบนยาวสีน�้ำตาลไหม้ปีกสีด�ำและมีขนสั้นๆ ขาทั้งสาม
คู่สีน�้ำตาลแดง ส่วนท้องมี6 ปล้อง 4 ปล้องแรกมีสีน�้ำตาล ส่วนที่เหลือมีสีด�ำ
หนวดแบบเส้นด้าย (filiform)
ด้วงชนิดนี้สามารถปล ่อยสารที่เรียกว ่า เพเดริน (Pederin) ออกมา
สารชนิดนี้มีความเป็นพิษท�ำลายเนื้อเยื่อ ผู้ที่สัมผัสล�ำตัวด้วงชนิดนี้จะมีอาการปวด
แสบปวดร้อน คัน ในรายที่เป็นมากอาจมีไข้ปวดศีรษะ หากเข้าตาอาจท�ำให้ตาบอด
ได้แผลจะมีลักษณะเป็นทางยาวอาจจะพบเป็นตุ่มใส(vesicle)อาการเหล่านี้จะหาย
เองได้ภายใน 7-10 วัน ควรท�ำความสะอาดแผลและปิดปากแผลเพื่อป้องกันการติด
เชื้อ อาจใช้ยาสมานแผลพวกยาแก้แพ้ได้เบื้องต้นหลังจากทราบว่าสัมผัสด้วงชนิดนี้
ควรล้างด้วยน�้ำสะอาดทันทีหากอาการไม่ดีขึ้นให้พบแพทย์
ล�ำตัวยาว 9 มม.
ด้วงก้นกระดก
Paederus fuscipes Curtis
Rove Beetle
แหล่งที่พบ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
313
ได้แก่ มวน ซึ่งประกอบด้วยแมลงขนาดต ่างๆ กัน ทั้งเล็ก
และใหญ่ ส่วนใหญ่มีปีก 2 คู่ ปีกคู่หน้ามีลักษณะยาวแคบและไม่มี
เส้นปีกเหมือนแมลงอันดับอื่นๆ แต่จะมีลักษณะแข็งบริเวณส่วนโคน
เรียก corium และส่วนปลายปีกมีลักษณะเป็นแผ่นบางอ่อน เรียกว่า
membrane มีปากแบบเจาะดูดและมักจะพับเก็บไว้ทางด้านล่างของ
ล�ำตัว หนวดยาว4-5 ปล้องตารวมเห็นได้ชัดตาเดี่ยวอาจจะมีหรือไม่มี
ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบง่าย(Paurometabolous)คือแมลง
ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเล็กน้อยในระหว่างการเจริญเติบโตมี3 ขั้น
ตอนคือไข่ตัวอ่อน ตัวเต็มวัยโดยที่ระยะตัวอ่อนเรียกว่า นิ้ม (Nymph)
ซึ่งมีลักษณะรูปร่างความเป็นอยู่ตลอดจนการกินอาหารเหมือนตัวเต็ม
วัย ยกเว้นลักษณะเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาในที่สุด
Order Hemiptera
INSECT
314 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Family Kerridae
คือแมลงจ�ำพวกเพลี้ย ถือว ่าเป็นแมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติ
ที่จะใช้งวงปากเจาะเพื่อดูดน�้ำเลี้ยงของต้นไม้ประเภทไม้เนื้อแข็ง แต่ว่า
กลับเป็นแมลงที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์เป็นอย่างมากนับจากอดีตจนถึง
ปัจจุบัน มนุษย์ได้น�ำมาใช้เป็นสมุนไพรเป็นยารักษาโรคโลหิตจาง โรคลม
ขัดข้อเป็นต้น นอกจากนี้ยังน�ำไปใช้ในอุตสาหกรรมการท�ำเชลแล็กแลก
เกอร์เครื่องใช้เครื่องประดับต่างๆย้อมสีผ้าสีโลหะ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ตลอดจนใช้ประทับในการไปรษณีย์ขนส่งหรือตราประทับเอกสารทางราช
การใดๆ ปัจจุบันครั่งเป็นสินค้าส่งออกที่ส�ำคัญของหลายๆ ประเทศอาทิ
อินเดีย ไทย ซึ่งมีการเลี้ยงในเชิงเกษตร มีราคาขายที่แพงมาก
ครั่งตัวเมียมีรูปร่างเป็นถุงไม่มีขา รังมีลักษณะกลม ส่วนตัวผู้จะมี
ทั้งมีปีกและไม่มีปีกรังมีลักษณะยาวตัวผู้จะคลานจากรังมาผสมพันธุ์กับ
ตัวเมียเมื่อได้รับการผสมพันธุ์จะวางไข่ภายในรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
315
ครั่ง (ตัวผู้)
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ครั่งตัวผู้ปีกสีด�ำ โคนปีกสีแดงเลือดหมูล�ำตัวสีด�ำ มีขนาด
ปานกลางถึงขนาดเล็ก หนวดแบบขน (setaceous) หนวดเล็กมาก
มองดูคล้ายขน ขนาดของปล้องค่อยๆ เรียวเล็กลงไปทางปลายหนวด
ปากแบบเจาะดูด (Piercing-sucking type) ท�ำหน้าที่ในการเจาะดูด
อาหารที่เป็นของเหลว ครั่งตัวผู้มี2 ชนิด คือตัวผู้ที่มีปีกสามารถบินไป
ผสมกับครั่งบนกิ่งต้นไม้ต้นอื่นได้กับตัวผู้ที่ไม่มีปีกจะคลานไปผสมกับ
ครั่งตัวเมียที่เกาะกิ่งต้นเดียวกัน
ครั่งจะขับสารชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนยางหรือ
ชันออกมาไว้ป้องกันตัวเองจากศัตรูแมลงครั่งจะดูดกินน�้ำเลี้ยงจาก
พืชอาหารแล้วปล่อยยางหรือชัน (resin) ออกมาห่อหุ้มตัวเองไว้จนมิด
ซึ่งสารที่ขับถ่ายออกมานี้เรียกว่า “ครั่งดิบ” ตามชื่อเรียก สารนี้มี
สีแดงม่วง ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองเข้ม หรือยางสีส้ม ซึ่งมนุษย์ได้
น�ำมาใช้ประโยชน์
Laccifer lacca (Kerr) แหล่งที่พบ ปีกกว้าง 10 มม.
Lac
ครั่งดิบ
INSECT
316 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Order Hymenoptera
ได้แก่ พวกผึ้ง ต่อ แตน มด อันดับนี้ประกอบด้วยกลุ่มแมลง
ซึ่งมักจะมีปีก 2 คู ่ เนื้อปีกเป็นแผ ่นบาง เส้นปีกมีการรวมตัวหรือ
เสื่อมหายไปท�ำให้มีลักษณะเส้นปีกแตกต่างกัน บางชนิดมีมากและ
บางชนิดแทบไม่มีเส้นปีกเลย ปีกคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าปีกคู่หน้า ปากใช้
กัดกิน และปากดูด การก�ำหนดเพศในอันดับ Hymenoptera ขึ้นกับ
การปฏิสนธิของไข่ (fertilization) ไข่ที่มีการปฏิสนธิแล้วจะเจริญไปเป็น
เพศเมีย และไข่ที่ไม่มีการปฏิสนธิจะเจริญไปเป็นเพศผู้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
317
Family Apidae
ผึ้งจัดเป็นแมลงชนิดหนึ่งอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยส่วนใหญ่จะ
ออกหาอาหารเป็นน�้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพืช
ในการผสมพันธุ์ผึ้งท�ำงานกันเป็นระบบ มีผึ้งนางพญาเป็นหัวหน้าใหญ่
ลักษณะทั่วไปของผึ้ง แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ประกอบด้วย
อวัยวะรับความรู้สึกต่างๆ ที่ส�ำคัญ คือ ตารวม มีอยู่ 2 ตา ประกอบด้วย
ดวงตาเล็กๆ ท�ำให้ผึ้งสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้รอบทิศตาเดี่ยวอยู่ด้าน
บนส่วนหัวระหว่างตารวมสองข้าง เป็นจุดเล็กๆ3จุดซึ่งตาเดี่ยวนี้จะเป็น
ส่วนที่รับรู้ในเรื่องของความเข้มของแสง ท�ำให้ผึ้งสามารถแยกสีต่างๆของ
สิ่งที่มองที่เห็นได้ส่วนอก ประกอบด้วยปล้อง 4 ปล้อง ส่วนด้านล่างของ
อกปล้องแรกมีขาคู่หน้า ส่วนล่างอกปล้องที่ 3 มีขาคู่ที่สามซึ่งขาหลังของ
ผึ้งงานนี้จะมีตระกร้อเก็บละอองเกสรดอกไม้และด้านบนจะมีปีกคู่หลังอยู่
หนึ่งคู่ที่เล็กกว่าปีกคู่หน้าส่วนท้องผึ้งงานและผึ้งนางพญาจะเห็นภายนอก
เพียง6 ปล้องส่วนปล้องที่8-10จะหุบเข้าไปแทรกตัวรวมกันอยู่ในปล้อง
ที่ 7 ส่วนผึ้งตัวผู้จะเห็น 7 ปล้อง
INSECT
318 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ผึ้งหลวง
แหล่งที่พบ
หัว ขา อก และปลายท้อง มีสีด�ำ บางส่วนของท้องและอกสีน�้ำตาล
หนวดแบบหักข้อศอก (geniculate) ลักษณะขา ขาคู่ที่ 1 และ 2 ขาเดิน
(walking leg) ขาคู่ที่ 3 ขาเก็บเกสร (carrying legs) ปากแบบกัดเลีย
(chewing lapping)
ประชากรส่วนใหญ่จะอยู่ปกคลุมรังเพื่อท�ำหน้าที่ป้องกันรัง รวงผึ้งมีขนาด
ใหญ่ มีประชากรประมาณ 10,000-80,000 ตัวต่อรัง เป็นรวงชั้นเดียว หรือรวงเดียว
บางครั้งอาจมีความกว้างถึง 2 เมตร ลักษณะรวงทั่วไปจะโค้งรีเป็นรูปครึ่งวงกลม
ติดอยู่ใต้กิ่งไม้บางครั้งในที่เดียวกันอาจพบเห็นมีผึ้งเกาะรวมกันมากกว่า 50 รัง
ผึ้งหลวงจะดุร้ายเมื่อถูกรบกวนหรือท�ำลายและจะรุมต่อยศัตรูของมัน
นับเป็นสิบถึงร้อยตัว เนื่องจากผึ้งหลวงเป็นผึ้งตัวใหญ่จึงมีพิษมากในเหล็กใน จึงท�ำให้
ศัตรูของมันได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
ล�ำตัวยาว 31 มม.
The Giant Honey Bee
Apis dorsata Fabricius
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
319
Family Formicidae
มดเป็นแมลงในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera
มีจ�ำนวนชนิดมากกว่า 12,000 ชนิด โดยพบมากในเขตร้อนของโลก
มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจ�ำนวนประชากร
มากถึงล้านตัว มีการแบ ่งวรรณะกันท�ำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน
เป็นมดเพศเมีย เป็นหมัน ท�ำหน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง
ปกป้องรังจากศัตรูดูแลตัวอ่อน และงานอื่นๆ ทั่วไป เป็นวรรณะที่พบ
ได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์เป็นมดเพศผู้และราชินีเพศเมีย มีหน้าที่
สืบพันธุ์เนื่องจากมดเป็นแมลงในวงศ์Formicidaeจึงสามารถผลิตกรด
มดหรือกรดฟอร์มิกได้เป็นลักษณะเฉพาะของแมลงในวงศ์นี้
INSECT
320 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เสี้ยนดิน
แหล่งที่พบ
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
Dorylus orientalis Westwood
Oriental Army Ant
ล�ำตัวสีส้มอมน�้ำตาล รูปร่างยาวทรงกระบอก หัวมีขนาดใหญ่กรามมีขนาด
ใหญ่ หนวดแบบหักข้อศอก (geniculate) ขาเดิน (walking leg) ปากแบบกัดกิน
(chewing type) ตารวมมี2 ตา
ขนาดล�ำตัวยาว 3 มม.
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
321
แหล่งที่พบ
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ล�ำตัวสีส้มแดง รูปร่างยาวเรียว เอวคอดกิ่ว หนวดแบบหักข้อศอก
(geniculate) ขาเดิน (walking leg) ปากแบบกัดกิน (chewing type)
ตารวม มี2 ตา
มดแดงมีความส�ำคัญต่อระบบนิเวศ เป็นตัวควบคุมแมลงศัตรูพืชโดย
เป็นแมลงตัวห�้ำ และตัวอ่อนกับไข่มดแดงยังน�ำไปเป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูงแก่มนุษย์
อีกด้วย
ขนาดล�ำตัว 12 มม.
Red Ant
Oecophylla smaragdina F.
มดแดง
INSECT
322 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
แหล่งที่พบ
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ล�ำตัวสีด�ำ ปกคลุมด้วยขนละเอียด
สีน�้ำตาลอมเทา ด้านบนของอกปล้องแรก
มีหนาม 2 อัน ยื่นไปด้านหน้า ด้านบนของ
petiole มีหนาม 2 อัน ยื่นไปด้านหลังของ
ล�ำตัว หนวดแบบหักข้อศอก (geniculate)
ขาแบบเดิน (walking leg) ปากแบบกัดกิน
(chewing type) ตารวมมี2 ตา
Polyrhachis illaudata Walker ขนาดล�ำตัวยาว 13 มม.
มดหนามหีบทองแหลม Spiny Ant
*petiole คือ ลักษณะพิเศษที่พบเฉพาะในแมลงชนิดนี้ เป็นส่วนที่คอดกิ่วอยู่บริเวณตรงกลางตัวแมลง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
323
เป็นแมลงที่มีพิษ เพศเมีย (หมายถึงนางพญา Queens และ
ต่องาน Workers) เพราะมีเหล็กในอยู่ที่ปลายท้องซึ่งเป็นอวัยวะ
ในการวางไข ่หรือใช้ต ่อยเหยื่อและป้องกันรัง มีปีกบางใสสองคู ่
ปีกคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าปีกคู่หน้ามาก มีปากแบบแมลงโบราณซึ่งมี
เขี้ยวที่กางออกด้านข้างสองข้าง ท�ำให้ต่อสามารถสร้างรังจากดินได้
ในรูปแบบต่างๆ จัดอยู่ในวงศ์Vespidae อันดับ Hymenoptera
รังที่สร้างใหม่ๆ จะมีลักษณะทรงกลม ขนาดเล็ก เมื่อนานวันเข้า
ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนอาจจะมีขนาดใหญ่ รังกว้าง 30-50 เซนติเมตร
หรือใหญ่กว่า ส่วนใหญ่ต่อจะสร้างรังรูปทรงกลม ในขณะที่แตน
สร้างรังได้หลายรูปแบบทั้งรูปทรงคล้ายฝักบัว เป็นแผ่นบางหรือ
เป็นเส้นยาว
Family Vespidae
INSECT
324 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ต่อกระดาษ
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
Polistes stigma F. แหล่งที่พบ
Paper Wasp
ล�ำตัวยาว 27 มม.
ล�ำตัวเรียวยาว สีน�้ำตาลอมแดง หนวด
ขา และท้องสีน�้ำตาลเข้มเกือบด�ำ ท้องประดับด้วย
แถบสีเหลือง ปีกบางใสประดับด้วยจุดสีด�ำปลายปีก
ข้างละ 1 จุด ด้านหลังของอกปล้องกลางประดับ
ด้วยแต้มสีด�ำ 2 แต้ม ท้องปล้องแรกประดับด้วย
แต้มสีเหลือง 2 แต้ม เอวคอดไม่มีpetiole ด้านข้าง
ของท้องปล้องที่ 2 ประดับด้วยแถบสีเหลืองขนาด
ใหญ่
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
325
Order Odonata
อันดับ Odonata(odous = tooth) ได้แก่แมลงปอ(dragonflies)
และแมลงปอเข็ม (damselflies) เป็นแมลงที่มีขนาดใหญ่ มีปากกัดกิน
หนวดสั้นเล็กแบบเส้นขน (setaceous) ตารวมใหญ่ มีปีกสองคู่บางใส
และมักมีสีสวยงามรองลงมาจากปีกผีเสื้อ ปีกคู ่หลังมีขนาดเท ่าหรือ
โตกว ่าปีกคู ่หน้า ประมาณตรงกลางของขอบปีกด้านหน้าทั้งสองปีก
มีลักษณะคล้ายรอยต่อเรียกnodusและมักมีจุดสีตรงขอบใกล้ๆ ปลายปีก
เรียกว่าstigmaขามีtarsi3 ปล้องส่วนท้องยาวและเล็กกว่าอกมาก ที่ปลาย
มีcerci สั้น มีปล้องเดียว ในตัวผู้ใช้เป็นอวัยวะยึดจับเพื่อท�ำการสืบพันธุ์
มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบไม่สมบูรณ์(Incompletemetamorphosis)
แมลงปอบินจับแมลงเล็กๆ ที่เคลี่อนไหวเป็นเหยื่อด้วยขาที่ท�ำงาน
ประสานกัน เหยื่อได้แก่ ริ้น ยุง และผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก ในพวก
แมลงปอยักษ์อาจจะกินพวกผึ้ง หรือแมลงปอที่มีขนาดเล็กกว่าได้ตัวอ่อน
อาศัยอยู่ในน�้ำ มีริมฝีปากล่าง (labium)รูปร่างคล้ายช้อนสามารถยืดออก
มาจับสัตว์กินได้อย่างรวดเร็ว เมื่อไม่ได้ใช้ก็หดมาคลุมไว้ใต้คาง พวกกลุ่ม
แมลงปอบ้าน มักจะชอบคลาน แต่พวกแมลงปอเข็มมักจะว่ายน�้ำด้วยการ
โบกล�ำตัวพร้อมทั้งใช้caudal gill ซึ่งมีลักษณะคล้ายใบไม้อยู่ส่วนปลาย
ของท้อง ท�ำหน้าที่คล้ายส่วนหางของปลา
INSECT
326 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Family Libellulidae
แมลงชนิดนี้เป็นแมลงที่ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน�้ำ ตัวเต็มวัยมีชีวิต
อยู่บนบก ปีกบินได้ มีการเจริญเติบโตแบบไม่สมบูรณ์ คือ มีระยะไข่
ตัวอ่อน และตัวเต็มวัย ไม่มีระยะดักแด้ โดยระยะไข่และตัวอ่อนมีชีวิต
อยู่ในน�้ำ ตัวอ่อนที่อยู่ในน�้ำมีรูปร่างแตกต่างจากตัวเต็มวัยมาก เมื่อ
ตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะลอกคราบครั้งสุดท้าย กลายเป็น
ตัวเต็มวัยที่มีปีกและจะใช้ชีวิตบนบกได้ต่อไป
แมลงชนิดนี้ มีจุดเด่น คือ มีส่วนหัวที่กลมโต มีดวงตาขนาดใหญ่
2 ดวงอยู่ด้านข้าง ซึ่งประกอบไปด้วยดวงตาขนาดเล็กรูปร่างคล้ายรังผึ้ง
ถึง 30,000 ดวง ท�ำให้แมลงปอสามารถมองเห็นภาพได้กว้างถึง 360
องศา ถือเป็นแมลงที่มีประสาทการมองเห็นดีที่สุด
แมลงในวงศ์นี้ทุกชนิดเป็นตัวห�้ำทั้งระยะตัวอ่อนและ
ตัวเต็มวัย โดยตัวอ่อนกินแมลงในน�้ำ ตัวเต็มวัยบินโฉบกินแมลงขนาดเล็ก
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
327
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
แหล่งที่พบ
บนส่วนอกมีสีน�้ำตาลเข้มอมแดง ล�ำตัวสีแดง ตาสีน�้ำตาลเข้ม หนวดแบบ
เส้นขน (setaceous) ขาเดิน (walking leg) ปากแบบกัดกิน (chewing type)
ปีกบางใส (membrane) ตารวมมี2 ตา
แมลงปอบ้านเสือวงลาย Crimson Dropwing
Orthetrum testaceum (Burmeister) ล�ำตัวยาว 42 มม.
INSECT
328 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
แหล่งที่พบ
ล�ำตัวสีขาว ส่วนปลายของล�ำตัวมีสีด�ำอมน�้ำเงิน ปีกบางใสไม่มีสีหนวดแบบ
เส้นขน (setaceous) ขาเดิน (walking leg) ปากแบบกัดกิน (chewing type)
ปีกบางใส (membrane) ตารวมมี2 ตา
Orthetrum triangulare (Selys) ล�ำตัวยาว 42 มม.
แมลงปอบ้านเสือสามเหลี่ยม Blue-tailed Forest Hawk
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
329
Order Diptera
Order Diptera (di=two, pteron=wing) หมายถึงกลุ่มแมลง
ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า แมลงวันหรือแมลงสองปีก (flies) ส่วนใหญ่เป็น
แมลงที่มีปีกเพียงหนึ่งคู่เท่านั้น โดยจะพบที่อกปล้องกลาง (mesorax)
มีลักษณะเป็นแผ ่นบาง ส ่วนที่อกปล้องที่สามซึ่งในแมลงโดยทั่วไป
จะพบปีกคู่ที่สองปรากฏอยู่นั้น ในแมลงอันดับนี้จะพบอวัยวะพิเศษ
มีลักษณะเป็นปุ่มยื่นออกมาแทนปีกเรียกว่าhalters มีหน้าที่รักษาสมดุล
ของแมลงขณะบิน อาจพบแมลงในอับดับอื่นที่มีสองปีกได้แต่มักจะไม่มี
halters แมลงวันบางชนิดอาจไม่มีปีกเลย ได้แก่ แมลงวันตัวเบียน
แมลงในอันดับนี้จะมีปากได้หลายแบบ เช่นปากแบบเจาะดูด(piercingsucking) เช่น ปากเหลือบ ปากแบบซับดูด(sponging)ซึ่งได้แก่ปากของ
แมลงวันทั่วๆไป และพบว่ามีแมลงวันหลายชนิดปากลดรูปจนไม่สามารถ
ท�ำงานได้อกปล้องแรกและปล้องที่สามมีขนาดเล็กติดเป็นปล้องเดียวกับ
ปล้องที่สองซึ่งมีขนาดใหญ่โดยทั่วไป มีtarsi5 ปล้อง มีการเจริญเติบโต
แบบ (holometabolous) คือ มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์
อันดับ Diptera แบ่งออกได้เป็น 3 suborder โดยใช้ลักษณะ
ของหนวด เส้นปีก และเซลล์บนปีกเป็นลักษณะแยกความแตกต่าง
INSECT
330 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Family Tabanidae
แมลงดูดเลือดอันดับ Diptera วงศ์Tabanidae ที่กัดและสร้าง
ความเจ็บปวดมาก มีลักษณะคล้ายแมลงวันที่มีขนาดใหญ่ บินเสียงดัง
และยังเป็นแมลงผสมเกสรที่มีความส�ำคัญต่อดอกไม้อีกด้วยเหลือบม้า
ส่วนใหญ่ลิ้น (proboscis)สั้น ใช้กรามที่เหมือนมีดฉีกตัดเนื้อออกจากกัน
แมลงกัดที่มีลิ้นยาว ปากของมันจะเจาะผิวหนังเหมือนเข็ม ตัวเต็มวัยของ
เหลือบกินน�้ำหวานและบางครั้งกินเกสรดอกไม้
เหลือบตัวเมียต้องกินเลือดในการขยายพันธุ์ตัวเมียส่วนมาก
กินเลือดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้ำนม แต่บางชนิดกินเลือดนก สัตว์สะเทิน
น�้ำสะเทินบก หรือสัตว์เลื้อยคลาน เหลือบเป็นแมลงตัวห�้ำของสัตว์ไม่มี
กระดูกสันหลัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
331
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
เหลือบ
แหล่งที่พบ
ตาขนาดใหญ่เกือบกินพื้นที่ของส่วนหัวทั้งหมด อกประดับด้วยแถบสีน�้ำตาล
ด�ำสลับเทา ท้องสีน�้ำตาลเกือบด�ำ ประดับด้วยแถบสีน�้ำตาลอ่อน 3 แถบ หนวดแบบ
เคียว (stylate) ขาเดิน (walking leg) ปากแบบกัดซับดูด (cutting sponging type)
ปีกบางใส (membrane) ตารวม มี2 ตา
Horse-flies
Tabanus fulvilinearis Philip ขนาดล�ำตัว 25 มม.
INSECT
332 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Order Isoptera
ปลวก มีชีวิตความเป็นอยู่แบบสังคม มักอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่
ภายในรัง แบ่งออกเป็น 3 วรรณะ มีรูปร่างและหน้าที่ต่างกันชัดเจนคือ
วรรณะปลวกงาน ท�ำหน้าที่หาอาหารและสร้างรังวรรณะทหาร ป้องกัน
ศัตรูที่เข้ามารบกวนประชากรในรังและวรรณสืบพันธุ์ท�ำหน้าที่สืบพันธุ์
วางไข่ วงจรชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบง่าย (Paurometabolous) คือมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเล็กน้อยในระหว่างการเจริญเติบโต
มี3 ขั้นตอน คือ ไข่ ตัวอ่อน ตัวเต็มวัย โดยที่ระยะตัวอ่อนเรียกว่า
นิ้ม (Nymph) ซึ่งมีลักษณะรูปร่างความเป็นอยู่ตลอดจนการกินอาหาร
เหมือนตัวเต็มวัย ยกเว้นลักษณะเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างซึ่งจะค่อยๆ
พัฒนาในที่สุด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
333
ปลวก
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
Termite
Havilanditermes proatripennis Ahmad แหล่งที่พบ ล�ำตัวยาว 4 มม.
ล�ำตัวสั้น ส่วนอกแคบที่สุด หัวมีขนาดใหญ่สีน�้ำตาลอมเหลือง สันกะโหลก
ยื่นยาวออกไปด้านหน้า ตรงปลายมีรูกรามมีขนาดเล็ก อกสีน�้ำตาลอมเหลือง
ท้องด้านบนมีสีน�้ำตาลเข้มเกือบด�ำ ด้านล่างมีสีน�้ำตาลอ่อนอมเหลือง มีส่วนของ
palp ยาว ขายาวสีน�้ำตาลอ่อนอมเหลือง ประโยชน์ช่วยย่อยเศษซากพืช ท�ำให้ดิน
มีความอุดมสมบูรณ์ปลวกชนิดนี้สร้างรังขนาดเล็กอยู่บนดิน กิ่งไม้ต้นไม้
ปลวก
INSECT
334 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Coptotermes gestroi Wasmann Havilanditermes proatripennis Ahmad
Odontotermes feae (Wasmann)
Globitermes sulphureus Haviland
Microcerotermes crassus Snyder
Hospitalitermes ataramensis
Prashad & Sen-Sarma
Odontotermes proformosanus Ahmad Hypotermes makhamensis Ahmad
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
INSECT
335
Order Orthoptera
Order Orthoptera(Ortho = straight: ptera = wing)ลักษณะ
ส�ำคัญของแมลงอันดับนี้คือ มีปากเป็นแบบปากกัดกิน ตารวมเจริญ
ตาเดี่ยวอาจไม่มีหรือมี2-3 ตา โดยทั่วไปมีหนวดเป็นแบบเส้นด้าย
filiform ซึ่งมีทั้งสั้นและยาวกว่าล�ำตัว ปีกคู่หน้าเป็นแบบ tegmina ส่วน
ปีกคู่หลังเป็นแบบmembraneซึ่งพับอยู่ใต้ปีกคู่หน้าขามีหลายแบบด้วย
กันคือ อาจเป็นขาเดิน ขากระโดด ขาขุด และขาจับ tarsi มี3-5 ปล้อง
ส่วนอวัยวะวางไข่เจริญดีมีรูปร่างต่างกัน บางชนิดเห็นได้ชัด บางชนิดซ่อน
อยู่ใต้ปล้องท้องที่ 7 หรือ 8 cerci มีทั้งสั้นและยาว มีอวัยวะรับฟังเสียง
และท�ำเสียงต่างกันไปตามชนิดของแมลง
ถิ่นที่อยู ่อาศัย พบได้ทั่วไปทั้งบนดิน ในดิน ตามต้นไม้ หรือ
พืชเพาะปลูก เคหะสถาน และภายในถ�้ำ มีนิสัยการกินอาหารแตกต่าง
กันมีทั้งชนิดกินพืชเป็นตัวห�้ำ หรือบางชนิดกินเศษซากเน่าเปื่อยเป็นต้น
มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างน้อย (gradual metamorphosis) คือ
เมื่อฟักออกจากไข่จะมีลักษณะคล้ายพ่อแม่ มีความแตกต่างอยู่บ้างเช่น
ปีกยังไม่เจริญออกมายังคงเห็นเป็นติ่งอยู่เท่านั้น เรียกตัวอ่อนของแมลง
ประเภทนี้ว่า นิ้ม (nymph)
แมลงในอันดับนี้มีทั้งที่เป็นประโยชน์ในแง่ของการช่วยป้องกัน
ก�ำจัดศัตรูพืช เช่น ตั๊กแตนต�ำข้าว และที่เป็นโทษทางด้านเกษตรกรรม
ท�ำลายผัก เช่น ตั๊กแตนหนวดสั้นบางชนิด แมลงกระชอน จิ้งหรีด และ
ทางด้านการแพทย์โดยเป็นพาหะน�ำโรค เช่น แมลงสาบ
INSECT
336 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
338
เห็ดรา คือ สิ่งมีชีวิตจ�ำพวกราที่มีการเจริญเติบโตเป็น
เส้นใย เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะพัฒนาไปเป็นโครงสร้าง
ขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่า “ดอกเห็ด” (Mushroom)
เพื่อใช้ในการสร้างสปอร์ส�ำหรับขยายพันธุ์ ส�ำหรับราที่ไม่มี
โครงสร้างขนาดใหญ่และสร้างสปอร์บนเส้นใย เราเรียกว่า
“เชื้อรา” (Fungi) เห็ดราจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใน
อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi)
เห็ดรา
ไม่สามารถสร้างอาหาร
เองได้ จึงต้องการอาหาร
จากแหล่งต่างๆ ได้แก่ พืช
และสัตว์ ทั้งที่มีชีวิตและ
ไม่มีชีวิต รวมทั้งอินทรีย์
วัตถุ นอกจากนี้ยังต้องการ
ความชื้นและแสงเพื่อใช้ใน
การเจริญเติบโตอีกด้วย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
339
เห็ดแอสโคไมซิติส (Ascomycetes)
สปอร์เกิดภายใน
โครงสร้างที่มีรูปร่างคล้ายถุง
(Ascus) เรียกว่า แอสโคสปอร์
(Ascospore) ซึ่งมีสปอร์จ�ำนวน
8 สปอร์อยู่ภายในถุง เช่น
เห็ดหูหนูเห็ดเผาะ เห็ดถ้วย
และเห็ดดันหมีม่วงด�ำ เป็นต้น
เห็ดสามารถจ�ำแนกตามลักษณะต่างๆ ได้หลายแบบ เช่น
Ascus
Ascospore
สปอร์เกิดอยู่ภายนอก
โครงสร้างที่มีรูปร่างคล้าย
กระบอง (Basidium) เรียกว่า
เบสิดิโอสปอร์(Basidiospore)
ซึ่งมีสปอร์จ�ำนวน 4 สปอร์อยู่
ติดกับก้าน สปอร์บนเบซิเดียม
เช่น เห็ดโคน เห็ดหอม
เห็ดนางฟ้า และเห็ดตับเต่า
เป็นต้น
Basidiospore
Basidium
เห็ดเบสิดิโอไมซิติส (Basidiomycetes)
1. จ�ำแนกกลุ่มเห็ดโดยใช้ลักษณะการเกิดสปอร์
แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
340
2. จ�ำแนกตามลักษณะการน�ำมาใช้ประโยชน์
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
เห็ดกินได้เห็ดที่มีรสชาติ
อร่อย มีคุณค่าทางอาหาร มีคนน�ำมา
กินเป็นอาหารและยารักษาโรค เช่น
เห็ดระโงก เห็ดโคน เห็ดขมิ้นใหญ่
เห็ดขิง เห็ดน�้ำหมาก เห็ดหลินจือ
และเห็ดถั่งเช่า เป็นต้น
เห็ดกินไม่ได้
เห็ดที่ไม่มีคนน�ำมารับประทานเป็น
อาหาร และยังไม่มีรายงานว่ามีพิษ
เช่น เห็ดร่ม เห็ดกรวยทองตะกู เห็ด
ก้อนฝุ่นเหลืองทอง และเห็ดกรวย
จีบ เป็นต้น
เห็ดพิษ เห็ดที่มีพิษต่อ
ระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ
และระบบประสาท เมื่อกินเข้าไป
ท�ำให้ตายได้ เช่น เห็ดยวงขนุน
และเห็ดระโงกหิน เป็นต้น
เห็ดระโงกหิน
เห็ดกรวยทองตะกู
ุ
เห็ดระโงกเหลือง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
341
3. จ�ำแนกตามลักษณะความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอื่น
แหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
เห็ดซาโปรไฟต์ (Saprophyte)
เห็ดที่ย่อยสลายซากพืช
ซากสัตว์ที่ตายแล้วและอินทรีย์วัตถุ
เป็นอาหาร เช่น เห็ดน�้ำหมึก
เห็ดขอนขาว เห็ดปะการัง เห็ดแครง
และเห็ดลม เป็นต้น
นอกจากเห็ดจะมีความส�ำคัญในการเป็ น
แหล่งอาหารให้แก่มนุษย์แล้ว เห็ดยังมีความส�ำคัญต่อ
ระบบนิเวศ โดยท�ำหน้าที่ย่อยสลายอินทรีย์วัตถุท�ำให้
เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหาร (nutrient cycle) ที่
เอื ้อประโยชน์แก่ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ในระบบนิเวศ
ให้สามารถด�ำรงชีวิตได้
เห็ดพาราไซต์ (Parasite)
เห็ดที่ท�ำให้เกิดโรคโดยเข้า
ท�ำลายพืชและสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ให้ตาย
เช่น เห็ดถั่งเช่าเข้าท�ำลายหนอน
แมลง เป็นต้น
เห็ดซิมไบโอซิส (Symbiosis)
เห็ดที่อยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิต
อื่นแบบพึ่งพาอาศัยกัน เช่น
เห็ดโคนที่ต้องอยู่ร่วมกับปลวกโดย
เส้นใยของเห็ดโคนจะเป็นอาหารของ
ปลวก ส่วนปลวกสร้างอาหารเลี้ยง
เห็ดโคน
เห็ดไมคอร์ไรซา (Mycorrhiza)
เห็ดที่อาศัยอยู่กับรากฝอยของ
ไม้ต้นขนาดใหญ่ เห็ดดึงธาตุอาหารและ
น�้ำให้กับพืช และป้องกันรากพืชไม่ให้
เชื้อราและแบคทีเรียอื่นเข้าท�ำลาย เห็ด
ได้รับอาหารจากพืชเพื่อใช้ในการเจริญ
เติบโต เช่น เห็ดตับเต่า เห็ดผึ้ง เห็ดน�้ำ
หมาก เห็ดขิง และเห็ดข่า เป็นต้น
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
342
เห็ด 83 ชนิด
จากการ
ส�ำรวจ
พบ
ความหลากหลายของเห็ด
กลุ่มเห็ดกินไม่ได้61 ชนิด
กลุ่มเห็ดพิษ 1 ชนิด
กลุ่มเห็ดกินได้ 21 ชนิด
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
343
รายชื่อความหลากหลายของเห็ด
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
1 เห็ดระโงกเหลือง Amanita hemibapha
(Berk. & Br.) Sacc. subsp.
javanica Cor. & Bas.
Amanitaceae ไมคอร์ไรซา
2 เห็ดระโงกขาว Amanita princeps
Corner & Bas.
Amanitaceae ไมคอร์ไรซา
3 เห็ดเผาะหนัง Astraeus odoratus
C. Phosri, R. Watling, M.P.
Martin & A.J.S. Whalley
Astraeaceae ไมคอร์ไรซา
4 เห็ดหูหนู Auricularia auricularjudae (Bull.) Wettstein
Auriculariaceae ซาโปรไฟต์
5 เห็ดมันปู Cantharellus cibarius Fr. Cantharellaceae
ไมคอร์ไรซา
6 เห็ดขมิ้นน้อย Craterellus aureus Berk.
& Curt.
Cantharellaceae
ไมคอร์ไรซา
7 เห็ดขมิ้นใหญ่ Craterellus odoratus (Schwein.) Fr.
Cantharellaceae
ไมคอร์ไรซา
8 เห็ดปะการังหนามส้ม
แครอท
Clavaria miyabeana S. Ito
in S. Imai
Clavariaceae ไมคอร์ไรซา
9 เห็ดปะการังยอดเขา
กวาง
Scytinopogon angulisporus (Pat.) Corner
Clavariaceae ไมคอร์ไรซา
10 เห็ดหูช้าง Ganoderma applanatum
(Pers.) Pat.
Ganodermataceae
พาราไซต์
ซาโปรไฟต์
11 เห็ดหลินจือ Ganoderma lucidum
P. Karst.
Ganodermataceae
พาราไซต์
ซาโปรไฟต์
กลุ่มเห็ดกินได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
344
กลุ่มเห็ดกินได้
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
12 เห็ดโคน Termitomyces globulus
R. Heim & Gooss.-Font.
Lyophyllaceae ซิมไบโอซิส
13 เห็ดโคน Termitomyces sp.1 Lyophyllaceae ซิมไบโอซิส
14 เห็ดลม Lentinus polychrous Lév. Polyporaceae ซาโปร์ไฟต์
15 เห็ดข่า Lactarius flavidulus Imai. Russulaceae ไมคอร์ไรซา
16 เห็ดขิง Lactarius piperatus (L.)
Pers.
Russulaceae ไมคอร์ไรซา
17 เห็ดฟานน�้ำตาลแดง Lactarius volemus (Fr.) Fr. Russulaceae ไมคอร์ไรซา
18 เห็ดแดงน�้ำหมาก Russula emetica (Schaeff.)
Pers.
Russulaceae ไมคอร์ไรซา
19 เห็ดตะไคลเขียว Russula virescens
(Schaeff.) Fr.
Russulaceae ไมคอร์ไรซา
20 เห็ดแครง Schizophyllum commune
Fr.
Schizophyllaceae
ซาโปรไฟต์
21 เห็ดประทัดจีน Hygrocybe coccineocrenata (P.D. Orton) M.M.
Moser.
Tricholomataceae
ซาโปรไฟต์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
345
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
1 เห็ดตับเต่า1 Boletus sp.1 Boletaceae ไมคอร์ไรซา
2 เห็ดตับเต่า2 Boletus sp.2 Boletaceae ไมคอร์ไรซา
3 เห็ดตับเต่า3 Boletus sp.3 Boletaceae ไมคอร์ไรซา
4 เห็ดตับเต่า4 Boletus sp.4 Boletaceae ไมคอร์ไรซา
5 เห็ดปะการังหนาม
เหลือง
Clavulinopsis laeticolor
(Berk. & Curtis) Peterson
Clavariaceae ไมคอร์ไรซา
6 เห็ดพายทอง Dacryopinax spathularia
(Schwein.) G.W. Martin
Dacrymycetaceae
ซาโปรไฟต์
7 เห็ดจวักงู Amauroderma rugosum
(Blume & T. Nees) Torrend
Ganodermataceae
ซาโปรไฟต์
8 เห็ดก้อนกะละแมด�ำ Ganoderma dahlii (Henn.)
Aoshima
Ganodermataceae
ซาโปรไฟต์
9 เห็ดดาวดินกลม Geastrum saccatum Fr. Geastraceae ซาโปรไฟต์
10 เห็ดลิ้นพสุธา Trichoglossum hirsutum
(Pers.) Boud.
Geoglossaceae ซาโปรไฟต์
11 - Hymenochaete rubiginosa
(Dicks.) Lév.
Hymenochaetaceae
ซาโปรไฟต์
12 - Hymenochaete sp.1 Hymenochaetaceae
ซาโปรไฟต์
กลุ่มเห็ดกินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
346
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
13 เห็ดหิ้งอันดามัน Phellinus adamantinus
(Berk.) Ryvarden
Hymenochaetaceae
ซาโปรไฟต์
14 - Phellinus sp.1 Hymenochaetaceae
ซาโปรไฟต์
15 - Phellinus sp.2 Hymenochaetaceae
ซาโปรไฟต์
16 - Campanella junghuhnii
(Mont.) Singer
Marasmiaceae ซาโปรไฟต์
17 เห็ดขนหางม้า Marasmius androsaceus
(L. ex Fr.) Fr.
Marasmiaceae ซาโปรไฟต์
18 - Irpex flavus (Jungh.)
Kalchbr.
Meruliaceae ซาโปรไฟต์
19 - Favolaschia tonkinensis
(Pat.) Singer
Mycenaceae ซาโปรไฟต์
20 เห็ดรังนก Cyathus striatus (Huds.)
Willd.
Nidulariaceae ซาโปรไฟต์
21 - Podoscypha sp.1 Podoscyphaceae
ซาโปรไฟต์
22 เห็ดรังมิ้ม Hexagonia apiaria (Pers.)
Fr.
Polyporaceae ซาโปรไฟต์
23 - Hexagonia cingulata Lév. Polyporaceae ซาโปรไฟต์
24 เห็ดรังแตน Hexagonia tenuis (Hook.)
Fr.
Polyporaceae ซาโปรไฟต์
25 - Hexagonia sp.1 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
กลุ่มเห็ดกินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
347
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
26 - Hexagonia sp.2 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
27 - Hexagonia sp.3 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
28 - Lentinus sp.1 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
29 - Lentinus sp.2 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
30 - Lentinus sp.3 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
31 เห็ดกาบหอยขาว Lenzites elegans (Spreng.) Polyporaceae ซาโปรไฟต์
32 เห็ดกรวยทองตะกู Microporus xanthopus
(Fr.) Ktz.
Polyporaceae ซาโปรไฟต์
33 เห็ดพัดใบลาน Polyporus grammocephalus Berk.
Polyporaceae ซาโปรไฟต์
34 - Polyporus sp.1 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
35 - Polyporus sp.2 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
36 - Polyporus sp.3 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
37 - Polyporus sp.4 Polyporaceae ซาโปรไฟต์
38 เห็ดขอนแดง Pycnoporus sanguineus
(Fr.) Murr.
Polyporaceae ซาโปรไฟต์
39 เห็ดกระด้างรูน�้ำตาล
อ่อนอมเหลือง
Trametes cingulata Berk. Polyporaceae ซาโปรไฟต์
40 - Ramaria cyanocephala
(Berk. & M.A. Curtis.)
Corner
Ramariaceae ไมคอร์ไรซา
กลุ่มเห็ดกินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
348
กลุ่มเห็ดกินไม่ได้
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
41 เห็ดก้อนกรวดยางสี
เหลือง
Arcangeliella beccarii
(Pet.) Dodge. & Zell.
Russulaceae ซาโปรไฟต์
42 - Camillea tinctor (Berk.)
Læssøe, J.D. Rogers &
Whalley
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
43 เห็ดดันหมีม่วงด�ำ Daldinia eschscholtzii
(Ehrenb.) Rehm
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
44 - Hypoxylon cf. anthochroum Berk. & Broome
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
45 - Hypoxylon crocopeplum
Berk. & M.A. Curtis
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
46 - Hypoxylon duranii J.D.
Rogers
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
47 - Hypoxylon fendleri Berk.
ex Cooke
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
48 - Hypoxylon haematostroma Mont.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
49 - Hypoxylon investeins
(Schwein.) M.A. Curtis
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
50 - Hypoxylon lividicolor Y.M.
Ju & J.D. Roger
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
51 - Hypoxylon monticulosum
Mont.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
52 - Hypoxylon moriforme
Henn.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
349
กลุ่มเห็ดพิษ
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
1 เห็ดกระดิ่งหยก Rhodophyllus virescens
(Berk. & Curt.) Hongo
Entolomataceae
ไมคอร์ไรซา
ล�ำดับ ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ กลุ่มเห็ด
53 - Hypoxylon nitens (Ces.)
Y.-M. Ju & J.D. Rogers.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
54 - Hypoxylon pilgerianum
Henn.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
55 - Hypoxylon rubiginosum
(Pers. ex Fr.) Fr.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
56 - Hypoxylon stygium (Lév.)
Sacc.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
57 เห็ดนิ้วทองค�ำ Xylaria allantoidea (Berk.)
Fr.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
58 - Xylaria badia Pat. Xylariaceae ซาโปรไฟต์
59 - Xylaria culleniae Berk. &
Broome
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
60 - Xylaria grammica (Mont.)
Fr.
Xylariaceae ซาโปรไฟต์
61 - Xylaria sp.1 Xylariaceae ซาโปรไฟต์
กลุ่มเห็ดกินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
350
Amanita hemibapha
(Berk. & Br.) Sacc. subsp. javanica Cor. & Bas.
เห็ดระโงกเหลือง
วงศ์ Amanitaceae
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
กินได้
ชนิดป่า เต็งรัง
ลักษณะ ดอกอ่อนมี
เปลือกหุ้มรูปไข่สีขาว เมื่อเจริญจะดัน
ผิวเปลือกออกมา หลุดห้อยเป็นวงแหวน
เมื่อบานเป็นรูปกระทะคว�่ำ ผิวเรียบ ขอบมีริ้ว
ขนาด 5-12 เซนติเมตร ครีบ ถี่ สีเหลืองอ่อนไม่
ติดก้าน ก้าน ทรงกระบอกสีเหลือง กลวง มีวง
แหวนบาง สีเหลืองติดก้าน ขนาด 8-15 × 0.8-2
เซนติเมตร เปลือกหุ้มดอกเป็นรูปถ้วยสีขาว
ที่โคนดอก สปอร์ ทรงรี กว้าง ใส ผิวเรียบ
ขนาด 7-9 x 5-7 µm
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
351
Amanita princeps Corner & Bas.
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
กินได้
ชนิดป่า เต็งรัง
วงศ์ Amanitaceae
เห็ดระโงกขาว ลักษณะ ดอกอ่อนคล้าย
ไข่สีขาวรูปกลมหรือไข่ สีขาวนวลหรือ
เหลืองอ่อน เปลือกหุ้มดอกอ่อนทรงกระบอก
สีขาว เมื่อบานกางออกเป็นรูปกระทะคว�่ำ แบนราบ
ผิวเรียบ เป็นมัน เมื่อชื้นจับแล้วหนืดมือเล็กน้อย ขอบ
เป็นริ้ว ขนาด 6-20 เซนติเมตร ครีบ สีขาวถึงครีม ไม่
ติดก้าน เรียงถี่ก้าน ทรงกระบอก โคนใหญ่กว่าเล็ก
น้อย ภายในกลวง มีวงแหวนขาวนวล ตอนบนสี
เดียวกับหมวก ขนาด 10-20 x 1-2.5 เซนติเมตร
สปอร์รูปร่างกลมหรือเกือบกลม ใส ผิว
เรียบ ขนาด 10-11.25 x 10 µm
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
352
Cantharellus cibarius Fr.
เห็ดมันปู
วงศ์ Cantharellaceae
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
กินได้
ชนิดป่า เต็งรัง
ลักษณะ ดอกสีเหลือง
กลางหมวกเป็นแอ่ง ขอบเป็นคลื่น
ริมขอบม้วนเข้าด้านใน ขนาด 2-7
เซนติเมตร ครีบ ทอดตัวยาวจากริมขอบจรด
ก้าน ก้าน ทรงกระบอก ผิวเรียบ สีเหลืองอ่อน
ยาว 2-4 × 0.4-1 เซนติเมตร สปอร์ ทรงรี ใส
ผิวเรียบ ผนังบาง ขนาด 8-10 × 4-6 µm
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
353
ลักษณะ ดอกรูป
ปากแตร เรียบ ขอบเป็นคลื่น
สีเหลืองส้มถึงส้มสด ใต้ดอกเรียบถึงย่น
เล็กน้อย สีเหลืองอ่อนถึงเหลืองอมส้ม ขนาด
กว้าง 0.5-3 เซนติเมตร ก้าน ทรงกระบอก
กลวง อยู่กึ่งกลางดอก บางครั้งค่อนไปข้างหนึ่ง
สีเหลืองอมส้มถึงเหลืองสด ยาว 2-4 เซนติเมตร
เนื้อบาง สปอร์ รูปร่างรี เรียบ สีขาวบน
กระดาษพิมพ์ ขนาด 7-9 x 5-6 µm
Craterellus aureus Berk. & Curt.
เห็ดขมิ้นน้อย
วงศ์ Cantharellaceae
กินได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
354
ลักษณะ ดอกรูปกรวย
บางและเรียบ ขอบเป็นคลื่นและพู
สีเหลืองอมส้มหรือส้ม ด้านล่างเรียบ
ถึงย่นเล็กน้อย สีเหลืองอ่อนอมส้ม ขนาด
กว้าง 5-10 เซนติเมตร ก้าน กลวง สีเหลือง
อมส้ม เนื้อบาง สปอร์ รูปร่างรียาว ถึงรูปไข่
ผิวเรียบ ผนังบาง สีส้มอมชมพูบน
กระดาษพิมพ์ ขนาด 8-12 x 4.5-6 µm
Craterellus odoratus (Schwein.) Fr.
เห็ดขมิ้นใหญ่
วงศ์ Cantharellaceae
กินได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
355
ลักษณะ ดอกคล้าย
ปะการังมีแขนงแบนและแตกแขนง
ไปทางเดียวกัน สีขาว ขนาด กว้าง 2-6
เซนติเมตร สูง 3-6 เซนติเมตร ก้าน เรียว
ยาว แตกแขนงคล้ายเขากวาง เนื้อหยุ่น
กว้าง 0.2-0.3 เซนติเมตร สปอร์ รูปเหลี่ยม
ถึงรูปคล้ายหัวมันฝรั่ง สีขาว ขนาด
4-5.6 × 2.7-3.4 µm
Scytinopogon angulisporus (Pat.) Corner
เห็ดปะการังยอดเขากวาง
วงศ์ Clavariaceae
กินได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
356
ลักษณะ นูนไปจน
ถึงรูปเกือกม้า มีปุ่มขรุขระ แถบ
วงกลมมีร่องและแตกเมื่อแก่ สีน�้ำตาล
อมเหลืองถึงน�้ำตาล ขอบขาว แล้วเป็น
สีน�้ำตาลเมื่อแก่ ขนาด กว้าง 6-30 เซนติเมตร
ยาว 5-20 เซนติเมตร หนา 1-3 เซนติเมตร
ใต้ดอกสีขาว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีน�้ำตาล รู ยาว
4-12 มิลลิเมตร ปากรูกลม มี 4-6 รูต่อมิลลิเมตร
สปอร์ รูปร่างรี ปลายข้างหนึ่งตัดเป็นเส้นตรง
ผนังชั้นนอกเรียบ ชั้นในหยาบ หนามสี
น�้ำตาลอ่อน ขนาด 6.5-9 x 5-7 µm
Ganoderma applanatum (Pers.) Pat.
เห็ดหูช้าง
วงศ์ Ganodermataceae
กินได้
กลุ่มเห็ด พาราไซต์ ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
357
ลักษณะ ดอกรูปครึ่ง
วงกลมถึงรูปไต ผิวเรียบเป็นมัน
มีแถบวงน�้ำตาลแดง ขนาด 2.5-25
เซนติเมตร หนา 1.5-3 เซนติเมตร รู มี
4-6 รูต่อมิลลิเมตร ปากรูกลมถึงเหลี่ยม
ก้าน ด้านข้างขอบหมวกเป็นมันเงาเนื้อแข็ง
สีน�้ำตาลอ่อนถึงน�้ำตาลเข้ม ขนาด 4-10
x 1-2 เซนติเมตร สปอร์ รูปร่างยาวรี
ผนังสองชั้นปลายข้างหนึ่งตัดตรง
ขนาด 7-12 x 6-8 µm
Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst.
เห็ดหลินจือ
วงศ์ Ganodermataceae
กินได้
กลุ่มเห็ด พาราไซต์ ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
358
ลักษณะ ดอกรูปกรวย
กลางเว้าลึกคล้ายปากแตร ดอกอ่อนสี
ขาวอมเทา เมื่อแก่มีสีน�้ำตาล ผิวดอกมีขนสี
น�้ำตาลคล้ายเกล็ดงอขึ้น เนื้อแน่นและเหนียว ขอบ
ดอกโค้งงอเล็กน้อย มีรอยฉีกตามขอบ ขนาด 5-10
เซนติเมตร ครีบ ถี่ เกยก้าน สีน�้ำตาลเทาถึงน�้ำตาล
แดงอมม่วง ก้าน ทรงกระบอกโค้งมีสีเทา เมื่อแก่
เปลี่ยนเป็นสีน�้ำตาลและมีขนเล็กๆ ภายในตัน ก้าน
อยู่ตรงกลางดอกหรือเยื้องไปด้านใดด้านหนึ่ง
ขนาด 0.5-2.5 x 0.4-1.5 เซนติเมตร สปอร์
ทรงรีโค้งงอเล็กน้อย ผิวเรียบ ผนังบาง
ขนาด 6-9 x 2.7-3.3 µm
Lentinus polychrous Lév.
เห็ดลม
วงศ์ Polyporaceae
กินได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
359
Lactarius flavidulus Imai.
ลักษณะ ดอกรูปร่มสีขาว
นวลหรือสีเนื้อ กลางหมวกเว้าตื้น
เมื่อบานเต็มที่หมวกจะกางออก ขอบงอลง
เล็กน้อย ผิวเรียบ ขนาด 5-10 เซนติเมตร
เมื่อกรีดหรือตัดทิ้งไว้ น�้ำยางจะเปลี่ยนจากสีขาว
เป็นสีเทาอมฟ้า ครีบ แผ่แคบสีขาว ยาวเท่ากัน
เรียงชิด ก้าน ทรงกระบอก สีเดียวกับหมวก
โคนสอบ เรียวเล็กกว่าด้านบน สปอร์ รูปร่าง
กลม สีขาว ผิวขรุขระมีหนามเล็กน้อย
ขนาด 7.5-8.75 x 7.5-8.75 µm
เห็ดข่า
วงศ์ Russulaceae
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
กินได้
ชนิดป่า เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
360
ลักษณะ ดอกรูปกระทะ
คว�่ำ สีขาวนวลหรือครีมอ่อน เมื่อบาน
เต็มที่จะแผ่แบนคล้ายรูปกรวยปากกว้าง ตรง
กลางเว้าตื้น ขอบโค้งลงเล็กน้อย ผิวเรียบมันเป็น
เงาและเปียกชื้น เมื่อกรีดหรือตัดจะมีน�้ำยางสีขาว
ไหลออกมา รอยแผลจะเปลี่ยนเป็นสีน�้ำตาลเล็กน้อย
ขนาด 4-10 เซนติเมตร ครีบ สีขาว ถี่ หนา และมี
จ�ำนวนมาก ก้าน รูปทรงกระบอก สีขาวนวล ผิว
เรียบ ขนาด 2-5 × 1-2.5 เซนติเมตร สปอร์ รูป
ร่างกลมหรือเกือบกลม มีหนามเล็กน้อย
ขนาด 5-7.5 x 5-7.5 µm
เห็ดขิง
วงศ์ Russulaceae
Lactarius piperatus (L.) Pers.
กินได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
361
Lactarius volemus (Fr.) Fr.
กินได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เต็งรัง
วงศ์ Russulaceae
เห็ดฟานน�้ำตาลแดง ลักษณะ ดอกนูน กลาง
ดอกเป็นแอ่งเล็กน้อย มีขนอ่อนไปถึง
เรียบ น�้ำตาลแดงถึงน�้ำตาลอมส้ม ขนาด
5-10 เซนติเมตร ครีบ เรียวลงไปติดก้านเล็กน้อย
แคบ เรียงถี่ สีเหลืองอ่อน ก้าน มีขนอ่อน สีเดียว
กับหมวกหรืออ่อนกว่า เนื้อแน่น สีขาว น�้ำยางขาว
ขนาด 4-10 x 1-2 เซนติเมตร สปอร์ รูปร่างกลม
มีปุ่มและสันหนาติดกันเป็นตาข่าย สีขาวบน
กระดาษพิมพ์ ขนาด 8-9 µm
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
362
ลักษณะ ดอกเมื่ออ่อนมี
รูปทรงคล้ายกระทะคว�่ำ ริมขอบโค้ง
ลง ตรงกลางเว้าตื้น ผิวเรียบ สีแดงอมชมพู
เมื่อแก่ดอกจะยกตัวขึ้น ขนาด 3-10 เซนติเมตร
ครีบ ติดก้าน เรียงถี่ สีขาว ก้าน รูปทรงกระบอก
ไม่สม�่ำเสมอ ผิวเรียบสีขาว ขนาด 5-10 x 1-2.5
เซนติเมตร สปอร์รูปร่างกลม ใส ผนังบาง มี
หนามเล็กน้อย มีสันนูนเป็นตาข่ายรอบสปอร์
ขนาด 6.25-8.75 x 6.25-8.75 µm
Russula emetica (Schaeff.) Pers.
เห็ดแดงน�้ำหมาก
วงศ์ Russulaceae
กินได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
363
Schizophyllum commune Fr.
ลักษณะ ดอกรูปพัด แห้ง
ขนคลุมสีขาว ฉีกแยก เนื้อเหนียว
ขาวหม่น ครีบ สีครีม เรียงเป็นรัศมีออกจาก
ฐานดอกแยกเป็นแฉกตามยาวและม้วนงอลง
ขนาด 1-4 x 1-3 เซนติเมตร ก้าน อยู่ด้านข้าง
หรือเกือบไม่มีก้าน สปอร์ รูปทรงกระบอก
ผิวเรียบ ใส ขนาด 4-5 x 1.5-2 µm
เห็ดแครง
วงศ์ Schizophyllaceae
กินได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่ า เบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
364
ลักษณะ ก้านเดี่ยว
ทรงกระบอก กลวง ปลายแหลม
ไม่แตกแขนง โคนอาจบิดเป็นเกลียว
โคนมีสีเหลืองอ่อน ส่วนเหนือขึ้นไปมีสีเหลือง
ส่วนปลายมีสีเหลืองหรือน�้ำตาล ทึบแสง
ผิวเรียบ เหนียวเล็กน้อย สปอร์ รูปร่างค่อนข้าง
กลมหรือกลมรีรูปไข่ ผิวเรียบ ขนาด
5.5-8 x 3.5-5 µm
Clavulinopsis laeticolor (Berk. & Curtis) Petersen
เห็ดปะการังหนามเหลือง
วงศ์ Clavariaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
365
ลักษณะ ดอกรูป
กรวยหรือบานเป็นช้อนแบน
ปลายแยกเป็นหยักสีเหลืองตลอดทั้งดอก
เนื้อเป็นวุ้น ก้าน ทรงแบนหนาหรือทรง
กระบอก ขนาด 1-2 × 0.3-0.5 เซนติเมตร
สปอร์รูปร่างกลมถึงรี ผิวเรียบ ใส ขนาด
7.5-10 × 3.5-7.5 µm
Dacryopinax spathularia
(Schwein.) G.W. Martin
วงศ์ Dacrymycetaceae
เห็ดพายทอง
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
กินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
366
ลักษณะ ดอกเกือบกลม
สีน�้ำตาลอมเหลืองถึงน�้ำตาลอม
ชมพู ผนังชั้นนอกแยกออกเป็น 5-7 แฉก
ซึ่งงอลงเมื่อแก่ ขนาด กว้าง 2.3-3.5
เซนติเมตร อับสปอร์ 2 เซนติเมตร ตั้งอยู่
กลางแฉก สีน�้ำตาลอ่อน เรียบ ผนังบาง ด้าน
บนมีแอ่งวงกลมขนาดเล็กสีขาวรอบๆ รูเปิด
คล้ายปาก สปอร์ รูปร่างกลมเป็นปุ่ม
สีน�้ำตาล ขนาด 3.5-4.5 µm
Geastrum saccatum Fr.
วงศ์ Geastraceae
เห็ดดาวดินกลม
ชนิดป่า เบญจพรรณ
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
กินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
367
Irpex flavus (Jungh.) Kalchbr.
วงศ์ Meruliaceae
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
กินไม่ได้
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ลักษณะ ดอกแผ่ออกเป็น
รูปทรงกลม เคลือบไปตามผิวไม้
ผิวปกคลุมด้วยขนคล้ายก�ำมะหยี่ มีแนว
สันเป็นลูกคลื่น สีเหลืองสด ผิวด้านล่างมี
ลักษณะคล้ายรูที่ประสานกันเป็นร่องคล้ายเขา
วงกต มักมีส่วนที่เป็นสันยื่นออกมาคล้ายฟัน
ขนาด 3-5 เซนติเมตร สปอร์รูปร่างรี กว้าง
ผนังบาง สีขาว ขนาด 5.5-6.5 x 3-4.5 µm
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
368
ลักษณะ ดอกรูปทรง
กรวยกว้าง 7-8 มิลลิเมตร สูง 9-12
มิลลิเมตร ดอกอ่อนรูปร่างกลม ด้านนอก
มีขนสีน�้ำตาลปกคลุม ด้านบนมีเยื่อสีขาวปิด
เมื่อแก่เยื่อสีขาวจะฉีกขาดออกเปิดถ้วยให้เห็น
เป็นรูปทรงกรวย ผนังภายในสีตะกั่ว ภายใน
บรรจุอับสปอร์ทรงกลมคล้ายไข่นก สปอร์ รูป
ร่างค่อนข้างรี ผิวเรียบ ผนังหนา ใส ขนาด
13.7-20 x 10-12.5 µm
Cyathus striatus (Huds.) Willd.
เห็ดรังนก
วงศ์ Nidulariaceae
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
369
ลักษณะ ดอกรูปครึ่งวงกลม
สีน�้ำตาลแดงหรือน�้ำตาลเข้ม แล้ว
เปลี่ยนเป็นน�้ำตาลด�ำ ผิวมีขนเป็นเส้นหยาบ
ปลายแตกแขนงและตั้งตรง สีด�ำหรือสีน�้ำตาลด�ำ
ยาวประมาณ 6 มิลลิเมตร ขนาด 6-10 x 3.5-6
เซนติเมตร หนา 1-2.5 เซนติเมตร รูรูปหก
เหลี่ยมสีน�้ำตาล ขนาดใหญ่เห็นชัดเจน มี 3-4
รูต่อเซนติเมตร สปอร์รูปทรงกระบอก ใส
ผิวเรียบ ขนาด 10-15 x 4-6 µm
Hexagonia apiaria (Pers.) Fr.
เห็ดรังมิ้ม
วงศ์ Polyporaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
370
ลักษณะ ดอกรูปครึ่ง
วงกลมหรือรูปพัด ผิวด้านบนเรียบ
สีขาวหม่นแล้วเปลี่ยนเป็นสีน�้ำตาลอ่อน
มีแถบวงกลมและร่องหยัก ขนาด 7-10 x 5
เซนติเมตร หนา 0.2-1 เซนติเมตร รูรูปหกเหลี่ยม
มี 4-6 รูต่อมิลลิเมตร สีน�้ำตาลอมเหลือง เมื่อ
กระทบแสงเป็นมันเงา สปอร์ รูปร่างรีกว้าง
ผิวเรียบ ใส ขนาด 5-6 × 3-4 µm
Hexagonia cingulata Lév.
วงศ์ Polyporaceae
ชนิดป่า เบญจพรรณ
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
กินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
371
ลักษณะ ดอกรูปครึ่ง
วงกลมรูปไตหรือรูปพัด ผิวมีรอยย่น
เรียงเป็นรัศมี ขอบบางและคม เป็นคลื่น
มีแถบวงกลมสีน�้ำตาลเทา น�้ำตาลอ่อน น�้ำตาล
อมเหลืองและน�้ำตาลหม่นปนด�ำ เนื้อเหนียว บาง
สีน�้ำตาลอ่อน ถึงน�้ำตาลแก่ ขนาด 4-10 x 3-6
เซนติเมตร รูรูปเหลี่ยมหรือหกเหลี่ยม ยาวถึง 2
มิลลิเมตร สีน�้ำตาลเทา มี 1-2 รู ต่อมิลลิเมตร
สปอร์รูปทรงกระบอก เรียบ ผนังหนาเล็กน้อย
ขนาด 9-15 x 4-6 µm
Hexagonia tenuis (Hook.) Fr.
เห็ดรังแตน
วงศ์ Polyporaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
372
ลักษณะ ดอกรูปกรวย
ปากกว้าง บาง มีริ้วเรียงเป็นรัศมี
ย่นเล็กน้อย มันวาว เป็นแถบวงกลม
ขอบน�้ำตาลอมเหลือง น�้ำตาลแดงไปถึงน�้ำตาล
เข้ม ขนาด 3.5-10 เซนติเมตร รู ใต้หมวกจ�ำนวน
5-8 รูต่อมิลลิเมตร ก้าน อยู่กึ่งกลางหมวก รูปทรง
กระบอก เนื้อแข็ง ผิวเรียบ โคนแผ่ออกเป็นวง
กลมเล็กๆ เนื้อเหนียว ขนาด 1.5-4.5 x 0.3-0.4
เซนติเมตร สปอร์ รูปร่างยาวรี ใส ผิวเรียบ
ผนังบาง ขนาด 5.5-7 x 2-2.5 µm
Microporus xanthopus (Fr.) Ktz.
เห็ดกรวยทองตะกู
วงศ์ Polyporaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
373
ลักษณะ ดอกรูปพัดถึง
รูปไต ผิวด้านบนสีแดงอมส้มหรือมี
แถบสีแดงสลับเหลือง แผ่แบน เรียบหรือมี
รอยย่น ผิวมันวาวเล็กน้อย ขนาด 5-7 x 1-4
เซนติเมตร รู ขนาดเล็ก สีแดงอมส้ม มีจ�ำนวน
5-7 รูต่อมิลลิเมตร สปอร์ รูปทรงกระบอก ใส
ขนาด 3-5.5 x 2-2.5 µm
Pycnoporus sanguineus (Fr.) Murr.
เห็ดขอนแดง
วงศ์ Polyporaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
374
ลักษณะ ดอกรูปครึ่ง
วงกลมถึงรูปพัด ผิวด้านบนหมวก
เป็นสีขาว หรือขาวหม่น มักมีแถบ
วงกลมและร่องหยัก ขนาด กว้าง 6.5-8
เซนติเมตร หนา 1-3 มิลลิเมตร รู กลม
สีน�้ำตาลอ่อนอมเหลือง จ�ำนวน 4-6 รูต่อ
มิลลิเมตร สปอร์ รูปร่างยาวรี ใส
ผิวเรียบ ขนาด 5-6 x 3-4 µm
Trametes cingulata Berk.
เห็ดกระด้างรูน�้ำตาลอ่อนอมเหลือง
วงศ์ Polyporaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
375
ลักษณะ เกือบกลม
เรียบ สีเหลืองอ่อน ส้มไปถึงอบเชย
ภายในแบ่งออกเป็นช่องยาวเล็กๆ เต็ม
ไป ด้วยสปอร์ เมื่อผ่าออกให้น�้ำยางสีขาว
แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างรวดเร็ว ขนาด
กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร สปอร์ รูปร่างกลม
มีสันนูนไม่เป็นระเบียบ ใส อยู่เป็นกลุ่ม
มีสีน�้ำตาลอมเหลือง ขนาด 11-13 µm
Arcangeliella beccarii (Pet.) Dodge. & Zell.
เห็ดก้อนกรวดยางสีเหลือง
วงศ์ Russulaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
376
Camillea tinctor (Berk.) Læssøe, J.D. Rogers & Whalley
วงศ์ Xylariaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ลักษณะ เป็นแผ่นแข็ง
นูนขึ้นมาบนเปลือกไม้และบนเนื้อไม้
สีด�ำ ผิวเรียบ ขนาด 1-7 x 0.8-3
เซนติเมตร หนา 0.5-1.5 มิลลิเมตร สปอร์
รูปร่างยาวรี หัวท้ายมน ใส ผิวเป็นลายตาข่าย
ร่างแห (ภายใต้กล้อง SEM) ขนาด 13.8-21.3
x 6.3-8.8 µm
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
377
ลักษณะ เป็นก้อนค่อน
ข้างกลม นูนขึ้นบนผิวไม้และเปลือกไม้
เนื้อแข็ง สีน�้ำตาลม่วง เมื่อแก่เป็นสีม่วงด�ำหรือ
น�้ำตาลด�ำ ผิวเรียบ เนื้อในเป็นวงแหวนเรียงซ้อน
กัน ท�ำปฏิกิริยากับ KOH 10% ให้สีม่วง ขนาดสูง
1-4 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-5 เซนติเมตร
สปอร์ รูปร่างคล้ายตัว D สีน�้ำตาล ผิวไม่เรียบ
ขนาด 11.3-12.5 x 5.0-6.3 µm germ slits
เป็นเส้นตรงยาวเกือบเต็มสปอร์
Daldinia eschscholtzii (Ehrenb.) Rehm
วงศ์ Xylariaceae
เห็ดดันหมีม่วงด�ำ
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
378
Hypoxylon fendleri Berk. ex Cooke
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
วงศ์ Xylariaceae ลักษณะ เป็นแผ่น
นูนขึ้นมาบนเปลือกไม้และเนื้อไม้
เนื้อค่อนข้างแข็ง ผิวหน้าไม่เรียบ สีน�้ำตาล-
ม่วงถึงน�้ำตาลแดง ท�ำปฏิกิริยากับ KOH 10%
ให้สีส้ม ขนาดไม่แน่นอน หนา 0.6-0.8 มิลลิเมตร
สปอร์ รูปร่างยาวรี หัวท้ายแหลม ผิวไม่เรียบ
สีน�้ำตาล ขนาด 8.8-9.4 x 3.8-4.4 µm
germ slits เป็นรูปตัว S
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
379
ลักษณะ เป็นแผ่นหรือ
ก้อนค่อนข้างกลม นูนขึ้นมาบนผิวไม้
และเปลือกไม้ เนื้อค่อนข้างแข็ง ผิวไม่เรียบ
สีส้มแดง ท�ำปฏิกิริยากับ KOH 10% ให้สีส้ม
หรือสีส้มแดงขนาดไม่แน่นอน หนา 3-5 มิลลิเมตร
สปอร์รูปร่างคล้ายตัว D สีน�้ำตาลถึงน�้ำตาลเข้ม
ผิวไม่เรียบ ขนาด 12.5-13.8 X 6.3-7.5 µm
germ slits เป็นเส้นตรงยาวเต็มสปอร์
Hypoxylon haematostroma Mont.
วงศ์ Xylariaceae
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
380
Hypoxylon investeins (Schwein.) M.A. Curtis
ลักษณะ เป็นแผ่นนูนขึ้น
มาบนเปลือกไม้และเนื้อไม้ สีด�ำ ผิวหน้า
เรียบ ท�ำปฏิกิริยากับ KOH 10% ให้สีเขียว
มะกอก ขนาดไม่แน่นอน หนา 0.3-0.4 มิลลิเมตร
สปอร์รูปร่างยาวรี หัวท้ายมน ผิวเรียบ สีน�้ำตาล
ขนาด 6.3-7.5 x 3-3.8 µm germ slits
เป็นเส้นตรงยาวเกือบเต็มสปอร์
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
วงศ์ Xylariaceae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
381
Hypoxylon lividicolor Y.M. Ju & J.D. Roger
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
ลักษณะ เป็นแผ่น
นูนขึ้นมาบนเปลือกไม้และเนื้อไม้
ผิวหน้าไม่เรียบ เนื้อค่อนข้างแข็ง สีน�้ำ-
ตาลแดง ท�ำปฏิกิริยากับ KOH 10% ให้
สีม่วงแดง ขนาดไม่แน่นอน หนา 1 มิลลิเมตร
สปอร์รูปร่างยาวรี หัวท้ายแหลม ผิวไม่เรียบ
สีน�้ำตาล ขนาด 9.4-11.3 x 4.4-5 µm germ
slits เป็นรูปตัว S
วงศ์ Xylariaceae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
382
Hypoxylon nitens (Ces.) Y.-M. Ju & J.D. Rogers.
ลักษณะ เป็นแผ่น
หรือก้อนค่อนข้างกลมนูนขึ้นมา
บนผิวไม้และเปลือกไม้ คล้ายไม้ไหม้ไฟ
เนื้อค่อนข้างแข็ง สีน�้ำตาลด�ำอมม่วง เมื่อแก่
มีสีด�ำมัน ผิวหน้าไม่เรียบ มีลักษณะบุ๋มลงคล้าย
จาน ขนาดจานเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.3-0.5
มิลลิเมตร ท�ำปฏิกิริยากับ KOH 10% ให้สีเขียว
มะกอก ขนาดไม่แน่นอน หนา 0.8-3 มิลลิเมตร
สปอร์ รูปร่างยาวรี หัวท้ายมน ผิวเรียบ สีน�้ำ-
ตาล ขนาด 8.8-10 X 3.8-4.4 µm germ
slits เป็นเส้นตรงยาวเต็มสปอร์
วงศ์ Xylariaceae
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
กินไม่ได้
ชนิดป่า เต็งรัง
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
383
Xylaria badia Pat.
ลักษณะ เป็นแท่ง
คล้ายกระบอง ปลายมน ไม่แตก
กิ่งก้าน สีน�้ำตาลทองถึงน�้ำตาลเข้ม
ผิวไม่เรียบ เนื้อแข็งขึ้นบนผิวไม้และเนื้อไม้ไผ่
ขนาดสูง 0.4-1.2 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง
2-6 เซนติเมตร ก้าน สั้น มีขนสีน�้ำตาล สปอร์
รูปร่างยาวรีหัวท้ายแหลมกึ่งมน ผิวเรียบ
สีน�้ำตาล ขนาด 7.5-8.8 x 3.8-4.4 µm
germ slits เป็นเส้นตรงยาวเกือบเต็มสปอร์
วงศ์ Xylariaceae
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
กินไม่ได้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
384
Xylaria culleniae Berk. & Broome
ลักษณะ เป็นก้าน
สีด�ำชูขึ้นมาบนฝักพฤกษ์ (Albizia
lebbeck) ปลายแหลม แตกกิ่งก้าน ผิวไม่
เรียบ เนื้อค่อนข้างนิ่ม ขนาดสูง 1-8 เซนติเมตร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร ก้าน สีด�ำ มีขน
ละเอียด กว้าง 1-2 มิลลิเมตร ยาว 0.5-5 เซนติเมตร
สปอร์ รูปร่างยาวรี หัวท้ายมน ผิวเรียบ สีน�้ำตาล
ขนาด 7.5-8.8 x 3-3.8 µm germ slits เป็นเส้น
ตรงยาวเกือบเต็มสปอร์
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
วงศ์ Xylariaceae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
385
Xylaria grammica (Mont.) Fr.
ลักษณะ เป็นแท่ง
คล้ายกระบอง ปลายมน ไม่แตก
กิ่งก้าน ขึ้นบนเปลือกไม้และเนื้อไม้ สีเทา
ถึงสีเทาด�ำ ผิวมีลายแตกสีด�ำ เนื้อค่อนข้าง
แข็ง ขนาดสูง 4-8 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง
0.5-1.0 เซนติเมตร ก้าน สีเทาด�ำ ผิวเรียบ ยาว
1-3 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-0.1
มิลลิเมตร สปอร์ รูปร่างยาวรี หัวท้ายมน ผิวเรียบ
สีน�้ำตาล ขนาด 10-11.3 x 4-4.5 µm germ
slits เป็นเส้นตรงยาวเกือบเต็มสปอร์
กินไม่ได้
กลุ่มเห็ด ซาโปรไฟต์
ชนิดป่า เบญจพรรณ
วงศ์ Xylariaceae
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
MUSHROOM
386
Rhodophyllus virescens (Berk. & Curt.) Hongo
ลักษณะ ดอกรูป
กรวย มียอดแหลม ขอบเป็นคลื่น
และริ้วเล็กน้อย สีฟ้าอ่อนอมเขียว มีเหลือง
ปนเปื้อน เมื่อช�้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือเขียวอม
เหลือง ขนาด 2-4 เซนติเมตร ครีบ ติดก้าน กว้าง
เรียงถี่ สีฟ้าอมม่วงแดงเมื่อช�้ำ ก้าน ทรงกระบอก
กลวง เรียบ สีเดียวกับหมวก ขนาด 4-5 x 0.3-0.4
เซนติเมตร เนื้อบาง สีเขียวอ่อน สปอร์ รูปลูกบาศก์
ผนังหนาเล็กน้อย สีน�้ำตาลอมเหลืองบน
กระดาษพิมพ์ ขนาด 9-12 x 8-10 µm
เห็ดกระดิ่งหยก
เป็ นพิษ
กลุ่มเห็ด ไมคอร์ไรซา
ชนิดป่า เบญจพรรณ
วงศ์ Entolomataceae
LICHEN
388 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
สาหร่าย
รา
แหล่งอาศัยของไลเคน
เราสามารถพบไลเคนได้ทั่วไปตามต้นไม้ โดยเฉพาะ
บริเวณเปลือกต้นไม้ ที่เห็นเป็นด่างๆ ดวงๆ ใบไม้ ดิน ก้อนหิน
แก้ว พลาสติก สายไฟ คอนกรีต เหล็ก วัตถุหรือสถานที่ต่างๆ
ที่อยู่ในสภาพอากาศเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไลเคน
ไลเคน คือ อะไร ?
สิ่งมีชีวิต 2 ชนิดที่มาอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่าง
รา (fungi) กับสาหร่าย (algae) ซึ่งมีสาหร่ายสองกลุ่ม
คือ สาหร่ายสีเขียว (green algae) และสาหร่ายสีเขียวแกมน�้
(blue-green
ำเงิน
algae) โดยรามีหน้าที่เก็บความชื้น และป้องกันอันตราย
ให้กับสาหร่าย ส่วนสาหร่ายจะสร้างอาหาร และแบ่งปันให้กับรา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
389
พบ ไลเคน ที่ไหนบ้างนะ...
ใบไม้
เปลือกไม้
บนดิน
บนหิน
บนรั้วบ้าน
บนเสาเหล็ก
LICHEN
390 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
วงจรชีวิตของไลเคน
โครงสร้างแทลลัสของไลเคน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
391
โลบ (lobe)
โครงสร้างหลักของแทลลัส
กลุ่มแผ่นใบและกลุ่มต้นไม้เล็ก
ลักษณะเป็นแผ่นแบนคล้ายใบไม้
แทลลัส (thallus)
โครงสร้างร่างกายของไลเคน
โครงสร้างภายนอกของไลเคน
ขนเซลล์ (cilia)
โครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายขนตา
พบที่ขอบของแทลลัส
กลุ่มแผ่นใบ
LICHEN
392 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เพอริทีเซีย (Perithecia)
โครงสร้างสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
ลักษณะภายนอกเป็นรูปตุ่ม
พบบนแทลลัสกลุ่มฝุ่นผง
ไลเรลเลทแอโพทีเซีย
(Lirellate apothecia)
โครงสร้างสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
ลักษณะภายนอกเป็นรูปเส้น
พบบนแทลลัสกลุ่มฝุ่นผง
แอโพทีเซียแบบคล้ายจาน
(Disc-like apothecia)
โครงสร้างสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
ลักษณะภายนอกเป็นรูปถ้วยหรือ
จาน พบบนแทลลัสกลุ่มฝุ่นผงและ
กลุ่มแผ่นใบ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
393
ฟิลลิเดีย (Phyllidia)
โครงสร้างสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
ลักษณะคล้ายใบเกล็ด เป็นแผ่นแบนขนาดเล็ก
เจริญบนแทลลัสกลุ่มแผ่นใบ
ซอรีเดีย (Soredia)
โครงสร้างสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
ลักษณะคล้ายขนมถ้วยฟูขนาดเล็ก
เจริญบนแทลลัสกลุ่มแผ่นใบ
ไอซิเดีย (Isidia)
โครงสร้างสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
ลักษณะคล้ายแท่งหรือเป็นตุ่มนูนกลม
เจริญบนแทลลัสกลุ่มแผ่นใบ
LICHEN
394 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
แบบเซลล์เดียว (simple) ไม่มีผนังกั้น
แบบมีผนังกั้นตามขวาง (transeptate)
แบบมูริฟอร์ม (muriform)
มีผนังกั้นตามขวางและตามยาว
โครงสร้างภายในแอสโคมาตา (โครงสร้างสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ)
แอสโคสปอร์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
395
กลุ่มแผ่นใบ (foliose)
ลักษณะแทลลัสเป็นแผ่นใบ
เกาะติดกับวัตถุที่อาศัยอย่าง
หลวมๆ
กลุ่มฝุ่นผง (crustose)
ลักษณะแทลลัสเป็นฝุ่นผงหรือดวง
เกาะติดแน่นกับวัตถุที่อาศัย
ประเภทของไลเคน
กลุ่มเส้นสาย (fruticose)
ลักษณะแทลลัสเป็นทรงพุ่ม
แตกเป็นเส้นสาย
ส่วนฐานยึดเกาะกับวัตถุที่อาศัย
LICHEN
396 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ไลเคนเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่มีประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมาย
ทั้งด้านการแพทย์ เป็นส่วนประกอบของยาและยาสมุนไพร ด้านอุตสาหกรรม
น�ำมาใช้เป็นสีย้อมผ้า เครื่องส�ำอาง น�้ำหอม และกระดาษลิตมัส (กระดาษที่ใช้
วัดความเป็นกรดเป็นด่าง) ใช้บอกอายุของโบราณวัตถุจากการเจริญเติบโต
ของไลเคน และที่ส�ำคัญใช้เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของอากาศ
กลุ่มต้นไม้เล็ก (squamulose)
ลักษณะแทลลัสเป็นต้นหรือใบเกล็ด
คล้ายต้นไม้เล็ก พบตามพื้นดินหรือ
บนมอสส์
กลุ่มพลาคอยด์ (placoid)
ลักษณะแทลลัสเป็นโลบเรียวเล็ก
อยู่ติดกับวัตถุที่อาศัยแน่นมาก
ประโยชน์ของไลเคน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
397
กลุ่มฝุ่นผง (Crustose) 50 ชนิด
กลุ่มแผ่นใบ (Foliose) 8 ชนิด
ไลเคนชนิดเด่น (Dominant species) ที่พบมาก ได้แก่
- Arthonia cinnabarina (DC.) Wallr.
- Chrysothrix candelaris (L.) J.R. Laundon
- Dyplolabia afzelii (Ach.) A. Massal.
- Graphis longispora D.D. Awasthi & S.R. Singh
- Letrouitia domingensis (Pers.) Hafellner & Bellem.
- Parmotrema praesorediosum (Nyl.) Hale
- Parmotrema tinctorum (Despr. ex Nyl.) Hale
- Laurera benguelensis (Müll. Arg.) Zahlbr.
- Laurera madreporiformis (Eschw.) Riddle
พบ 58 ชนิด แบ่งเป็น
ความหลากหลายของไลเคน
LICHEN
398 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
“ไลเคน” ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
จากการส�ำรวจความหลากหลายทางชีวภาพด้านไลเคนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวาจังหวัดอุตรดิตถ์ ไลเคนส่วนใหญ่พบเกาะบนเปลือกไม้มากที่สุดรองลงมา
คือ บนหิน และพบบนใบไม้บ้างเล็กน้อย ต้นไม้ที่พบไลเคนเกาะอาศัย เช่น กุ๊ก กระพี้จั่น แดง
เต็งรัง คอแลน ขี้หนอน ชิงชัน ตะคร้อ ประดู่ป่า มะกอกเกลื้อน และมะม่วงหัวแมงวัน เป็นต้น
บนเปลือกไม้ บนหิน บนใบไม้
ตัวอย่าง “ต้นไม้ที่พบไลเคนเกาะอาศัย”
กระพี้จั่น
แดง
เต็ง
รัง
“....แม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความรู้
เกี่ยวกับไลเคน อาจเห็นเป็นเพียงแค่ขี้กลากต้นไม้หรือเชื้อราบน
ต้นไม้เท่านั้น จึงเป็นโอกาสดีของการท�ำงานร่วมกันในการเก็บตัวอย่าง
ไลเคน ท�ำให้มีการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ท�ำให้ชาวบ้าน
เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่ามีความรู้ในเรื่อง “ไลเคน” มากขึ้น
และสามารถเล่าเรื่องราวให้กับคนอื่นๆ ในชุมชนได้”
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
399
รายชื่อความหลากหลายของไลเคน
รายชื่อความหลากหลายของไลเคน
ล�ำดับ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ที่เกาะอาศัย
1. Arthonia cinnabarina (DC.) Wallr. Arthoniaceae บนเปลือกไม้
2. Arthonia sp.1 Arthoniaceae บนเปลือกไม้
3. Arthonia sp.2 Arthoniaceae บนเปลือกไม้
4. Cryptothecia sp. Arthoniaceae บนเปลือกไม้
5. Arthopyrenia sp. Arthopyreniaceae บนเปลือกไม้
6. Chrysothrix candelaris (L.) J.R. Laundon Chrysothricaceae บนเปลือกไม้
7. Dimerella lutea (Dicks.) Trevis. Coenogoniaceae บนเปลือกไม้
8. Acanthothecis clavulifera (Vain.)
Staiger & Kalb
Graphidaceae บนเปลือกไม้
9. Chapsa leprocarpoides (Hale) M.
Cáceres & Lücking
Graphidaceae บนเปลือกไม้
10. Diorygma hieroglyphicum (Pers.)
Staiger & Kalb
Graphidaceae บนเปลือกไม้
11. Diorygma junghuhnii (Mont. & Bosch)
Kalb, Staiger & Elix
Graphidaceae บนเปลือกไม้
12. Dyplolabia afzelii (Ach.) A. Massal. Graphidaceae บนเปลือกไม้
13. Glyphis cicatricosa Ach. Graphidaceae บนเปลือกไม้
14. Glyphis scyphulifera (Ach.) Staiger Graphidaceae บนเปลือกไม้
กลุ่มฝุ่นผง (Crustose)
“....แม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความรู้
เกี่ยวกับไลเคน อาจเห็นเป็นเพียงแค่ขี้กลากต้นไม้หรือเชื้อราบน
ต้นไม้เท่านั้น จึงเป็นโอกาสดีของการท�ำงานร่วมกันในการเก็บตัวอย่าง
ไลเคน ท�ำให้มีการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ท�ำให้ชาวบ้าน
เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่ามีความรู้ในเรื่อง “ไลเคน” มากขึ้น
และสามารถเล่าเรื่องราวให้กับคนอื่นๆ ในชุมชนได้”
LICHEN
400 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ที่เกาะอาศัย
15. Graphis longispora D.D. Awasthi &
S.R. Singh
Graphidaceae บนเปลือกไม้
16. Graphis rhizicola (Fée) Lücking & Chaves Graphidaceae บนเปลือกไม้
17. Graphis sp. Graphidaceae บนเปลือกไม้
18. Hemithecium implicatum (Fée) Staiger Graphidaceae บนเปลือกไม้
19. Ocellularia terebrata (Ach.) Müll. Arg. Graphidaceae บนเปลือกไม้
20. Pallidogramme sp. Graphidaceae บนเปลือกไม้
21. Phaeographis sp. Graphidaceae บนเปลือกไม้
22. Thelotrema pachysporum Nyl. Graphidaceae บนเปลือกไม้
23. Haematomma puniceum (Sw.) A. Massal. Haematommataceae บนเปลือกไม้
24. Lecanora achroa Nyl. Lecanoraceae บนเปลือกไม้
25. Lecanora phaeocardia Vain. Lecanoraceae บนเปลือกไม้
26. Lecanora tropica Zahlbr. Lecanoraceae บนเปลือกไม้
27. Letrouitia domingensis (Pers.)
Hafellner & Bellem.
Letrouitiaceae บนเปลือกไม้
28. Letrouitia leprolyta (Nyl.) Hafellner Letrouitiaceae บนเปลือกไม้
29. Letrouitia transgressa (Malme)
Hafellner & Bellem.
Letrouitiaceae บนเปลือกไม้
30. Phoeopeccania sp. Lichinaceae บนหิน
กลุ่มฝุ่นผง (Crustose)
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
401
ล�ำดับ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ที่เกาะอาศัย
31. Malmidea aurigera (Fée) Kalb, Rivas
Plata & Lumbsch
Malmideaceae บนเปลือกไม้
32. Malmidea bakeri (Vain.) Kalb, Rivas
Plata & Lumbsch
Malmideaceae บนเปลือกไม้
33. Malmidea inflata Kalb Malmideaceae บนเปลือกไม้
34. Malmidea piae (Kalb) Kalb Malmideaceae บนเปลือกไม้
35. Protoparmelia corallifera (Kantvilas &
Papong) Kantvilas, Papong & Lumbsch
Parmeliaceae บนเปลือกไม้
36. Protoparmelia orientalis (Kantvilas &
Papong) Kantvilas, Papong & Lumbsch
Parmeliaceae บนเปลือกไม้
37. Protoparmelia pulchra Diederich,
Aptroot & Sérus.
Parmeliaceae บนเปลือกไม้
38. Pertusaria cicatricosa Müll. Arg. Petusariaceae บนเปลือกไม้
39. Pertusaria sp. Petusariaceae บนเปลือกไม้
40. Porina eminentior (Nyl.) P.M. McCarthy Porinaceae บนเปลือกไม้
41. Porina glabra (A. Massal.) Zahlbr. Porinaceae บนเปลือกไม้
42. Anthracothecium cristatellum
Nagarkar & Patw.
Pyrenulaceae บนเปลือกไม้
43. Pyrenula anomala (Ach.) Vain. Pyrenulaceae บนเปลือกไม้
44. Pyrenula kurzii Ajay Singh & Upreti Pyrenulaceae บนเปลือกไม้
45. Bacidia convexula (Müll. Arg.) Zahlbr. Ramalinaceae บนเปลือกไม้
กลุ่มฝุ่นผง (Crustose)
LICHEN
402 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ล�ำดับ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ที่เกาะอาศัย
1. Bulbothrix isidiza (Nyl.) Hale Parmeliaceae บนเปลือกไม้
2. Parmotrema praesorediosum (Nyl.) Hale Parmeliaceae บนเปลือกไม้
3. Parmotrema saccatilobum (Taylor) Hale Parmeliaceae บนเปลือกไม้
4. Parmotrema tinctorum (Despr. ex Nyl.) Hale Parmeliaceae บนเปลือกไม้
5. Relicinopsis rahengensis (Vain.) Elix & Verdon Parmeliaceae บนเปลือกไม้
6. Dirinaria aegialita (Afzel. ex Ach.) B.J. Moore Physciaceae บนเปลือกไม้
7. Dirinaria applanata (Fée) D.D. Awasthi Physciaceae บนเปลือกไม้
8. Pyxine meissneriana Nyl. Physciaceae บนเปลือกไม้
กลุ่มแผ่นใบ (Foliose)
กลุ่มฝุ่นผง (Crustose)
ล�ำดับ ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ ที่เกาะอาศัย
46. Laurera benguelensis (Müll. Arg.) Zahlbr. Trypetheliaceae บนเปลือกไม้
47. Laurera madreporiformis (Eschw.) Riddle Trypetheliaceae บนเปลือกไม้
48. Trypethelium eluteriae Spreng. Trypetheliaceae บนเปลือกไม้
49. Trypethelium nigroporum Makhija & Patw. Trypetheliaceae บนเปลือกไม้
50. Staurothele verruculosa J.W. Thomson Verrucariaceae บนหิน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
403
Arthonia cinnabarina (DC.) Wallr.
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวอมเขียวถึงสีน�้ำตาลอ่อน
ผิวขรุขระ
แอสโคมาตาแบบแอโพทีเซียรูปทรงกลมถึงกึ่งรูปเส้น
สีขาวอมแดงถึงแดง ขนาด 0.2-0.5 มิลลิเมตร ยกตัว
เหนือผิวแทลลัสเล็กน้อย
เอกซิเปิล ไม่พบ
แอสคัส รูปทรงกลม (globose)
แอสโคสปอร์ ทรงรีใส แบบมีผนังกั้นตามขวาง 2-3
ผนังกั้น จ�ำนวน 4-6 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Arthoniaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
404 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Chrysothrix candelaris (L.) J.R. Laundon
ลักษณะทั่วไป วงศ์ Chrysothricaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีเหลืองอมเขียวถึงเขียวอ่อน
เป็นฝุ่นผง ชั้นคอร์เท็กซ์ไม่ชัดเจน ชั้นสาหร่ายรวมตัว
ปะปนกับเส้นใยราในชั้นเมดัลลา
ซอรีเดีย เป็นฝุ่นผงสีเหลือง กระจายทั่วแทลลัส
แอโพทีเซียและพิคนิเดีย ไม่พบ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
405
Acanthothecis clavulifera (Vain.) Staiger & Kalb
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตสสีขาวอมเทา ผิวเรียบถึงเป็นขุย
แตกร่วน ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปลายเส้น แบบเส้น
เดี่ยว ปากเปิดเล็กน้อยถึงปิด ยกตัวเหนือแทลลัส
ชัดเจน
เอกซิเปิล สีน�้ำตาลแดง ลาเบียเรียบไม่แยกเป็นริ้ว
ไฮมีเนียมไม่สร้างหยดน�้ำมัน
แอสคัส รูปทรงกระบอง
แอสโคสปอร์ รูปทรงกระสวย ยาวรีใส มีผนังกั้น
ตามขวาง 20-38 ผนังกั้น ขนาด 75-115 x 9-18
ไมโครเมตร จ�ำนวน 4-8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Graphidaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเต็งรัง
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
406 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Chapsa leprocarpoides (Hale) M. Cáceres & Lücking
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวถึงสีขาวอมเทา ผิวหน้า
ขรุขระ หลุดล่อน
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปกลมถึงรูปเส้น
หรือรูปร่างไม่แน่นอน เรียงตัวเป็นแนวเส้น ฝังตัวใน
แทลลัส หน้าจานสีเทา มีฝุ่นผงสีขาวปกคลุม
แอสคัส รูปกระบอง ใส
แอสโคสปอร์ แบบมูริฟอร์ม รูปทรงรีใส
ขนาด 30-50 x 9-12 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 4-8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Graphidaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
407
Diorygma hieroglyphicum (Pers.) Staiger & Kalb
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวถึงสีเทาอมเขียว ผิวหน้า
ไม่เรียบ หลุดล่อนเล็กน้อย ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปเส้น สีขาวถึงสีขาว
อมน�้ำตาลเล็กน้อย กึ่งฝังจมหน้าจานเปิด มีฝุ่นผง
สีขาวปกคลุม
เอกซิเปิล ไม่มีสีถึงมีสีด�ำเล็กน้อยบริเวณฐาน
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงรีใส ขนาดใหญ่แบบมูริฟอร์ม
ขนาด 115.0-225.0 x 25.0-50.0 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 1 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Graphidaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
408 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Dyplolabia afzelii (Ach.) Massal.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
วงศ์ Graphidaceae แทลลัส แบบครัสโตส สีเหลืองอมน�้ำตาลถึงเขียว
อมเทา ผิวหน้าเรียบ ไม่เป็นมันเงา ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปเส้นสั้นไม่แตกกิ่ง
สีขาว ยกตัวเหนือผิวแทลลัสอย่างชัดเจน มีฝุ่นผง
สีขาวปกคลุม ปากปิด
เอกซิเปิล ด้านข้างเป็นสีด�ำ ไม่สมบูรณ์
แอสคัส รูปทรงกระบอก ใส
แอสโคสปอร์ ใส แบบผนังกั้นแบ่งตามขวาง 3 ผนังกั้น
ขนาด 14-23 x 6-10 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
409
Glyphis cicatricosa Ach.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีน�้ำตาลอมเขียว ไม่สะท้อนแสง
ผิวเรียบถึงแตกร้าวเล็กน้อย
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปไข่ถึงรูปเส้นยาว
รวมกันเป็นกลุ่มฝังอยู่ในเนื้อเยื่อสโตรมา หน้าจานเปิด
สร้างฝุ่นผงสีน�้ำตาลปกคลุม
เอกซิเปิล สีน�้ำตาลล้อมรอบแอโพทีเซียอย่างสมบูรณ์
แอสคัส รูปกระบอง ใส
แอสโคสปอร์ใส แบบผนังกั้นแบ่งตามขวาง 6-11
ผนังกั้น ขนาด 30-50 x 9-12 ไมโครเมตร
วงศ์ Graphidaceae
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
410 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Glyphis scyphulifera (Ach.) Staiger
ลักษณะทั่วไป
วงศ์ Graphidaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวอมเทาถึงน�้ำตาลอมเขียว
ผิวเรียบถึงแตกร้าวเล็กน้อย ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปไข่กลมถึงรูปเส้นยาว
แบบเดี่ยว ยกตัวเหนือแทลลัสชัดเจน กระจายทั่วไป
หน้าจานเปิด สร้างฝุ่นผงสีน�้ำตาลปกคลุม
เอกซิเปิล สีน�้ำตาล สมบูรณ์
แอสคัส รูปกระบอง ใส
แอสโคสปอร์ ทรงรีใส แบบมูริฟอร์ม
ขนาด 30-50 x 9-12 ไมโครเมตร ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
411
Graphis longispora D.D. Awasthi & S.R. Singh
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวอมเทาถึงเทาอมเขียว
ผิวเรียบถึงขรุขระเล็กน้อย ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย สีขาว รูปเส้น เรียวยาว
แบบเส้นเดี่ยวถึงแตกแขนง ยกตัวเหนือผิวแทลลัส
หน้าจานปิด มีฝุ่นผงสีขาวปกคลุม
เอกซิเปิล สีด�ำด้านข้าง ไม่สมบูรณ์
แอสคัส รูปกระบอง ใส
แอสโคสปอร์ ใส มีผนังกั้นตามขวาง 10-16 ผนังกั้น
ขนาด 40-75 x 8-12 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Graphidaceae
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
412 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Graphis rhizicola (Fée) Lücking & Chaves
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
วงศ์ Graphidaceae แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวอมเทาหรือสีขาวครีม
ผิวเรียบ ไม่แตกร้าว กึ่งสะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปเส้น สีด�ำ แบบเส้น
เดี่ยวถึงแตกกิ่งเล็กน้อย ยกตัวเหนือผิวแทลลัส
หน้าจานปิด พบฝุ่นผงสีขาวเล็กน้อย
เอกซิเปิล ไม่เป็นริ้ว สีด�ำ
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ไม่พบ
ลักษณะทั่วไป
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
413
Ocellularia terebrata (Ach.) Müll. Arg.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวอมเทาถึงสีเทาอมเขียว
ผิวเรียบ แตกร้าว ไม่เป็นมันเงา
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปกลมถึงรูปถ้วย
ช่องเปิดขนาด 0.4 มิลลิเมตร ฝังจมในแทลลัส
และชั้นของเนื้อไม้มีฝุ่นผงสีขาวปกคลุมหน้าจาน
แอสคัส รูปกระบอง ใส
แอสโคสปอร์ รูปทรงรีแบบผนังกั้นตามขวาง 7-12
ผนังกั้น ขนาด 17-32 x 7-10 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Graphidaceae
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
414 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Thelotrema pachysporum Nyl.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเต็งรัง
วงศ์ Graphidaceae แทลลัส แบบครัสโตส สีขาวอมเทาถึงสีขาวอมเหลือง
ผิวเรียบ ไม่แตกร้าว สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปถ้วย ฝังในแทลลัส
ช่องเปิดขนาด 0.7 มิลลิเมตร หน้าจานมีฝุ่นผงสีเทา
ปกคลุม
เอกซิเปิล 2 ชั้น แยกกันอย่างชัดเจน
แอสคัส รูปทรงกระบอง
แอสโคสปอร์ รูปทรงยาวรีสีน�้ำตาลหรือสีเทา
มีผนังกั้นตามขวาง จ�ำนวน 8-18 ผนังกั้น
ขนาด 30-75 x 10-15 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
415
Lecanora achroa Nyl.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเหลืองถึงสีเขียวเข้ม
ผิวขรุขระ หลุดล่อนเป็นผง ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย หน้าจานสีเหลืองอม
ส้มถึงเหลืองอมน�้ำตาลอ่อน รูปกลม หน้าจานแบน
ราบถึงโค้งนูน
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ รูปทรงรีหรือคล้ายเมล็ดถั่ว ใส
ไม่มีผนังกั้น ขนาด 12-15 x 6-8 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในแอสคัส
วงศ์ Lecanoraceae
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
416 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Letrouitia domingensis (Pers.) Hafellner & Bellem.
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเหลืองถึงสีเขียวอม
เทา ผิวเป็นปุ่มนูนเล็กน้อย ไม่แตกร้าว
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปจาน สีแดงถึงแดง
อมน�้ำตาล ขอบสีเหลืองอมส้ม ผิวหน้าจานแบนราบ
ถึงโค้งนูนเล็กน้อย แบบเดี่ยวหรือกลุ่ม 1-2 อัน ยกตัว
เหนือแทลลัสชัดเจน
เอกซิเปิล สีเหลืองอ่อน ไม่มีชั้นสาหร่าย
แอสคัส รูปทรงกระบอง
แอสโคสปอร์ รูปทรงรีใส แบบมีผนังกั้นตามขวาง
6-10 ผนังกั้น ขนาด 60-90 x 16-22 ไมโครเมตร
วงศ์ Letrouitiaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
417
Letrouitia leprolyta (Nyl.) Hafellner
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเหลือง ส่วนใหญ่ผิว
เรียบถึงขรุขระเล็กน้อย แตกร้าว และแตกตามรอยผิว
เปลือกไม้
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปถ้วย หน้าจานสีส้ม
แก่ถึงน�้ำตาลเข้ม ขอบสีส้ม ขนาด 0.5-0.8 มิลลิเมตร
ส่วนใหญ่เกิดเดี่ยวๆ โดยยกตัวเหนือผิวแทลลัส
เอกซิเปิล สีเหลืองอ่อน
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก ใส แบบมีผนังกั้นตาม
ขวาง 3-5 ผนังกั้น ขนาด 20.0-46.0 x 7.0-14.0
ไมโครเมตร จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Letrouitiaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
418 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Letrouitia transgressa (Malme) Hafellner & Bellem.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
วงศ์ Letrouitiaceae แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเหลืองถึงสีเขียวเข้ม
ส่วนใหญ่ผิวเรียบถึงขรุขระ แตกร้าว และแตกตามรอย
ผิวเปลือกไม้
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย หน้าจานสีส้มแก่ถึง
น�้ำตาลเข้ม ขอบสีเหลืองอมส้ม ไม่สมมาตร ส่วนใหญ่
เกิดเดี่ยวๆ ยกตัวเหนือผิวแทลลัส
เอกซิเปิล สีเหลืองอ่อน ไม่มีชั้นสาหร่าย
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ แบบมีผนังกั้นตามขวางถึงกึ่งมูริฟอร์ม
ใส ขนาด 25-60 x 11-20 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
419
Malmidea aurigera (Fée) Kalb, Rivas Plata & Lumbsch
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้มอมเทา
เป็นปุ่มปม เปิดออกเห็นเส้นใยเมดัลลา ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปถ้วยกลมมน
หน้าจานสีน�้ำตาลอ่อนถึงน�้ำตาลเข้ม ขอบสีขาวอม
น�้ำตาล หน้าจานแบนราบถึงโค้งนูน
เอกซิเปิล ใส ไม่พบชั้นของสาหร่าย
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงรีใส ไม่พบผนังกั้นตามขวาง
ขนาด 9-13 x 6-9 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในแอสคัส
วงศ์ Malmideaceae
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
420 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Malmidea bakeri (Vain.) Kalb, Rivas Plata & Lumbsch
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
วงศ์ Malmideaceae แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเทาถึงสีเขียวอม
น�้ำตาลอ่อน เป็นปุ่มปม ปลายปุ่มมักเปิดออกเห็นชั้น
เมดัลลา ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปถ้วยกลมมน
สีน�้ำตาลถึงน�้ำตาลเข้ม ขอบหยักสูงสีขาวอมน�้ำตาล
โผล่ขึ้นเหนือแทลลัส
เอกซิเปิล ใส ไม่พบชั้นของสาหร่าย มีชั้นเมดัลลา
สีขาวแทรกอยู่ภายใน
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงรีใส ไม่พบผนังกั้นตามขวาง
ขนาด 11-16 x 5-10 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
421
Malmidea inflata Kalb
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเทาถึงสีเขียวเข้ม
ผิวเป็นปุ่มปม ไม่สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปถ้วย สีน�้ำตาลอม
แดงถึงสีน�้ำตาลเข้มอมด�ำ ขอบสีเดียวกับแทลลัส
หน้าจานแบนราบหรือโค้งนูนเมื่อแก่ลักษณะยกตัว
เหนือแทลลัส เกิดแบบเดี่ยวถึงชิดติดกัน
เอกซิเปิล สีด�ำ ไม่พบสาหร่ายที่ขอบ มีเส้นใยเมดัลลา
แทรกตัวเป็นจุดๆ
แอสคัส ใส รูปทรงกระบอง
แอสโคสปอร์ รูปทรงรีใส ไม่มีผนังกั้นตามขวาง
ขนาด 10-17 x 6-8 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Malmideaceae
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
422 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Malmidea piae (Kalb) Kalb
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
วงศ์ Malmideaceae แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอ่อนอมเหลืองถึงสีเขียว
อมเทา ผิวขรุขระ เป็นปุ่มปม ปลายปุ่มมักเปิดออก
เห็นชั้นเมดัลลา
แอสโคมาตา แบบแอโพทีเซีย รูปถ้วยกลมมน
สีน�้ำตาลถึงน�้ำตาลอมแดง ขอบสีขาวถึงสีครีม
เกิดแบบเดี่ยวหรือชิดกัน
เอกซิเปิล ใส ไม่พบสาหร่ายที่ขอบ มีเส้นใยเมดัลลา
สีขาวแทรกอยู่เป็นจุดๆ
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงรีใส ไม่พบผนังกั้นตามขวาง
ขนาด 16-22 x 9-12 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
423
Parmotrema praesorediosum (Nyl.) Hale
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบโฟลิโอส สีเขียวอ่อนถึงสีเขียวอมเทา
โลบ ขนาดใหญ่ผิวเรียบจนถึงยับย่น แผ่กว้าง
ตอนปลาย ขนาด 0.5-1.0 เซนติเมตร
ซอรีเดีย สีขาว หนาแน่นบริเวณขอบโลบ ไม่พบหรือ
พบได้น้อยบริเวณกลางแทลลัส
ไรซีน สีด�ำ เป็นเส้นเดี่ยว
แอสโคมาตา ไม่พบ
วงศ์ Parmeliaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเต็งรัง
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
424 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Parmotrema tinctorum (Despr. ex Nyl.) Hale
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบโฟลิโอส สีเขียวจนถึงสีเขียวอมเทา
เรียบจนถึงยับย่น ไม่เป็นเงามัน เจริญแผ่เป็นแนวรัศมี
เกาะกับแหล่งอาศัยแบบหลวมๆ โคโลนีกว้าง 3.2-
23.0 เซนติเมตร หนา 76.0-190.0 ไมโครเมตร
โลบ ขอบซ้อนกัน แผ่กว้างตอนปลาย ขนาด 0.02-1.5
เซนติเมตร
ไอซิเดีย ทรงกระบอก หนาแน่นตอนกลางแทลลัส
ไม่พบหรือพบได้น้อยบริเวณปลายโลบ
ไรซีน เป็นเส้นเดี่ยว สีด�ำ
แอสโคมาตา ไม่พบ
วงศ์ Parmeliaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
425
Relicinopsis rahengensis (Vain.) Elix & Verdon
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบโฟลิโอส สีเขียวอมเหลือง ขนาดเล็ก
ผิวแทลลัสเรียบ จนถึงเป็นรอยแตกตามขวางโลบ
โลบ แบนราบจนถึงโค้งนูน เป็นมันวาว เกาะติดแน่น
กับที่อาศัย โลบเรียวเล็ก แคบ เติบโตอิสระ หรือใน
แนวรัศมีขนาด 1-2 มิลลิเมตร ปลายตัด ขอบเรียบ
ไอซิเดีย ทรงกระบอก กระจายทั่วแทลลัส
ไรซีน เป็นเส้นเดี่ยว สีด�ำ เป็นมันวาว พบกระจายหรือ
เป็นกลุ่ม
แอสโคมาตา ไม่พบ
วงศ์ Parmeliaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
426 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Dirinaria applanata (Fée) D.D. Awasthi
ลักษณะทั่วไป
วงศ์ Physciaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบโฟลิโอส สีเทาถึงเทาอมเหลือง และ
เทาอมเขียว ผิวแทลลัสปกคลุมด้วยผงเกล็ดสีขาวของ
แคลเซียมออกซาเลท สะท้อนแสง ยึดเกาะแน่นกับ
พื้นที่อาศัย
โลบ ขนาดเล็ก ยกตัวโค้งนูนซ้อนกันแน่น ปลายโลบ
แผ่ออกคล้ายพัด
ซอรีเดีย สีขาว หนาแน่นบริเวณกลางแทลลัส ไม่พบ
หรือพบได้น้อยบริเวณขอบโลบ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
427
Pyxine meissneriana Nyl.
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบโฟลิโอส สีขาวอมเทา เกาะติดกับที่
อาศัยด้วยไรซีนแบบไม่แนบแน่น
โลบ กว้าง 0.5-1.2 มิลลิเมตร เจริญเป็นเส้นตรง
แตกกิ่งก้าน ปกคลุมด้วยฝุ่นผงสีขาวของแคลเซียมออกซาเลท
ซอรีเดีย สีขาวถึงสีเหลือง แบบตุ่มนูนบริเวณขอบโลบ
วงศ์ Physciaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
428 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Porina eminentior (Nyl.) P.M. McCarthy
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเทา เป็นเงามัน
ผิวเรียบจนถึงยับย่นเล็กน้อย
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย สีด�ำ ขนาด 0.43-0.55
มิลลิเมตร ยกตัวหรือกึ่งฝังตัวใต้ผิวแทลลัส ส่วนใหญ่
เจริญแบบเดี่ยว บางครั้งอาจอยู่เป็นกลุ่ม ผนังสีน�้ำตาล
แดง บริเวณรอบช่องเปิดสีด�ำ
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ รูปทรงรีใส แบบมูริฟอร์ม
ขนาด 50.0-90.0 x 13.0-30 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในแอสคัส
วงศ์ Porinaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
429
Porina glabra (A. Massal.) Zahlbr.
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเทา ผิวเรียบจนถึง
ยับย่นเล็กน้อย เป็นเงามัน
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย สีด�ำ ขนาด 0.43-0.55
มิลลิเมตร ยกตัวหรือฝังตัวใต้แทลลัส เจริญแบบเดี่ยว
บางครั้งอยู่เป็นกลุ่ม ผนังสีน�้ำตาลแดง บริเวณรอบ
ช่องเปิดสีด�ำ
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระสวย ใส แบบมีผนังกั้นตาม
ขวาง 5-6 ผนังกั้น ขนาด 34.0-46.0 x 4.0-7.0
ไมโครเมตร จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Porinaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
LICHEN
430 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Anthracothecium cristatellum Nagarkar & Patw.
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวปนเหลือง ส่วนใหญ่
ผิวเรียบ
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย ขนาดใหญ่สีด�ำ
ฐานกว้าง ขนาด 10.0-20.0 มิลลิเมตร ยกตัวเหนือผิว
แทลลัสชัดเจน ส่วนใหญ่เจริญแบบเดี่ยว
เอกซิเปิล สีด�ำ ชั้นไฮมีเนียม ใส ไม่สร้างหยดน�้ำมัน
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก สีน�้ำตาลถึงน�้ำตาลเข้ม
แบบมูริฟอร์ม ขนาด 40-50 x 15-20 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Pyrenulaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
431
Pyrenula anomala (Ach.) Vain.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเหลือง ส่วนใหญ่ วงศ์ Pyrenulaceae
ผิวเรียบ สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย สีด�ำ ฝังตัวใต้ผิวแทลลัส
ส่วนใหญ่เจริญรวมกันเป็นกลุ่มในเนื้อเยื่อสโตรมา
แผ่กระจาย ขนาด 0.5-3.5 x 0.5-2.5 มิลลิเมตร
ยกตัวเหนือแทลลัสเล็กน้อย
เอกซิเปิล สีด�ำ
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก สีน�้ำตาล แบบผนังกั้น
ตามขวาง 2-3 ผนังกั้น ขนาด 14.0-20.0 x 6.0-8.5
ไมโครเมตร จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
432 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Pyrenula kurzii Ajay Singh & Upreti
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวถึงนํ้าตาลอมเหลือง
ส่วนใหญ่ผิวเรียบ สะท้อนแสง
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย ทรงครึ่งวงกลม สีด�ำ
ขนาด 0.6-1.0 มิลลิเมตร ยกตัวเหนือแทลลัส
ส่วนใหญ่เจริญรวมกันเป็นกลุ่ม
เอกซิเปิล สีด�ำ
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก สีนํ้าตาล แบบผนังกั้น
ตามขวาง 2-3 ผนังกั้น ขนาด 30.0-50.0 x 13.0-18.0
ไมโครเมตร จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
ปลายแอสโคสปอร์นูนเล็กน้อย เซลล์รูปหกเหลี่ยม
วงศ์ Pyrenulaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
433
Laurera benguelensis (Müll. Arg.) Zahlbr.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวอมเหลือง ผิวเรียบถึง วงศ์ Trypetheliaceae
ขรุขระ
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย ทรงครึ่งวงกลม สีด�ำ
ขนาด 0.3-0.6 มิลลิเมตร ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อสโตรมา
สีเหลืองส้ม โดยยกตัวโดดเด่นเหนือผิวแทลลัส เจริญ
เป็นระเบียบเรียงเป็นแถวยาวหรือกระจายเดี่ยวๆ อาจ
พบฝุ่นผงสีเหลืองส้มกระจายบนผิวแทลลัสจ�ำนวนมาก
เอกซิเปิล สีด�ำ สมบูรณ์
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก ใส แบบมูริฟอร์ม
ขนาด 55.0-75.0 x 15.0-17.0 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
434 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Laurera madreporiformis (Eschw.) Riddle
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเหลืองอมเขียว ผิวเรียบถึง
ขรุขระ
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย ทรงครึ่งวงกลม สีด�ำ
ขนาด 0.3-0.7 มิลลิเมตร ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อสโตรมา
สีด�ำ ขนาด 0.5-1.0 มิลลิเมตร โดยยกตัวโดดเด่น
เหนือผิวแทลลัส เจริญเป็นกลุ่ม
เอกซิเปิล สีด�ำ สมบูรณ์
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก ใส แบบมูริฟอร์ม
ขนาด 55.0-75.0 x 15.0-17.0 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Trypetheliaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
LICHEN
435
Trypethelium eluteriae Spreng.
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวมะกอกถึงเทาด�ำอมเขียว วงศ์ Trypetheliaceae
ผิวเรียบถึงขรุขระ
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย ทรงครึ่งวงกลม สีด�ำ
ขนาด 0.3-0.6 มิลลิเมตร ฝังตัวในเนื้อเยื่อสโตรมา
สีเหลือง ขนาด 0.5-1.0 มิลลิเมตร โดยยกตัวโดดเด่น
เหนือผิวแทลลัส เจริญเป็นระเบียบเรียงเป็นแถวยาว
อาจพบฝุ่นสีเหลืองเข้มกระจายบนผิวแทลลัส
เอกซิเปิล สีด�ำ สมบูรณ์
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก ใส มีผนังกั้นตามขวาง
11-15 ผนังกั้น ขนาด 45.0-75.0 x 15.0-17.0
ไมโครเมตร จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
ลักษณะทั่วไป
LICHEN
436 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Trypethelium nigroporum Makhija & Patw.
ลักษณะทั่วไป
แทลลัส แบบครัสโตส สีเขียวมะกอกถึงเขียวอมเหลือง
ส่วนใหญ่ผิวเรียบ
แอสโคมาตา แบบเพอริทีเซีย ทรงครึ่งวงกลม สี
ด�ำ ขนาด 0.3-0.5 มิลลิเมตร ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อสโต
รมาสีด�ำ ขนาด 0.5-0.7 มิลลิเมตร โดยยกตัวโดดเด่น
เหนือผิวแทลลัส เจริญเป็นกลุ่มหรืออยู่เดี่ยวๆ
เอกซิเปิล สีด�ำ สมบูรณ์
แอสคัส รูปกระบอง
แอสโคสปอร์ ทรงกระบอก ใส แบบมูริฟอร์ม
ขนาด 32.0-40.0 x 8.0-10.0 ไมโครเมตร
จ�ำนวน 8 แอสโคสปอร์ในหนึ่งแอสคัส
วงศ์ Trypetheliaceae
สภาพแวดล้อม ป่าเบญจพรรณ
ที่อยู่อาศัย บนเปลือกไม้
WISDOM
438 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีความส�ำคัญ และมีคุณค่าต่อวิถีการด�ำรงชีวิต
และความอยู่รอดของบุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ มีความส�ำคัญในฐานะที่เป็นฐาน
วัฒนธรรม หมายความว่า ชนใดที่ด�ำรงความเป็นกลุ่มหรือความเป็นชนชาติ
หรือประเทศมาเป็นเวลานานต้องมีภูมิปัญญาของกลุ่มหรือของชนชาติของ
ประเทศนั้นๆ ที่รวมเรียกว่าภูมิปัญญาท้องถิ่น
ภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงเป็นความรู้สะสมมาจากประสบการณ์ชีวิต
สังคม และในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันโดยมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมา
เป็นวัฒนธรรม และมีความส�ำคัญในการเชื่อมโยงหรือบูรณาการระหว่าง
สิ่งแวดล้อม สังคม และชีวิต
ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local wisdom)
ความรู้ ความคิด ความเชื่อ
ทักษะ หรือพื้นเพรากฐานความรู้
ของชาวบ้าน ที่ได้สั่งสมสืบทอด
และปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตจนถึง
ปัจจุบัน มีความสัมพันธ์ระหว่าง
คนกับคน คนกับธรรมชาติและ
คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
โดยผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์และการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ
ตลอดจนสถาบันต่างๆ ในสังคม สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างสมสมัย
ดังนั้นภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่าง
เข้าด้วยกัน ทั้งคนกับธรรมชาติวิถีชีวิต สังคม หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ความส�ำคัญ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
439
ลักษณะของภูมิปัญญาท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 6 สาขา
1. สาขาคติความเชื่อหลักปฏิบัติ
2. สาขาประเพณีพิธีกรรม
3. สาขาการด�ำรงชีพ
และโภชนาการพื้นบ้าน
4. สาขาการดูแลสุขภาพพื้นบ้าน
5. สาขาเทคโนโลยีพื้นบ้าน
6. สาขาบริหารจัดการความหลากหลาย
ทางชีวภาพ
1. สอบถามภูมิปัญญาท้องถิ่นจากผู้น�ำชุมชน
เพื่อเข้าไปสัมภาษณ์ผู้รู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแต่ละสาขา
2. ใช้วิธีสัมภาษณ์และสอบถาม พร้อมทั้งจดบันทึก ถ่ายภาพนิ่งและถ่าย
วีดีโอ เพื่อช่วยเก็บข้อมูล
3. น�ำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และจัดเก็บในระบบฐานข้อมูล เพื่อใช้เป็น
แนวทางในการพัฒนาและใช้ประโยชน์ต่อไป
การเก็บข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น
WISDOM
440 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ต้นทุนของแผ่นดิน
ดิน...น�้ำ...พืช...สัตว์...จุลินทรีย์เป็นองค์ประกอบหลักของป่าที่เราเรียกว่า
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสมบัติที่มีอยู่กับแผ่นดินที่ธรรมชาติสร้างให้โดยที่เราไม่
ต้องสร้างหรือท�ำขึ้นใหม่แต่อย่างใด เราต่างได้รับและใช้ประโยชน์จากทรัพยากร
เหล่านี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวาจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นป่าที่
อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพแม้ว่าในอดีตเคยถูกสัมปทาน
ท�ำไม้ก็ตาม บ้านห้วยเจริญและบ้านน�้ำต๊ะเป็นชุมชนที่อาศัยอยู่รอบป่าชาวบ้าน
ต่างเข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าเพื่อเป็นปัจจัยสี่ในการด�ำรงชีวิต และพัฒนาเป็น
ผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างเป็นรายได้เสริมให้กับครัวเรือนได้อีกทางหนึ่ง องค์ความรู้
หรือทักษะเหล่านี้ต่างได้รับการถ่ายทอดจากปราชญ์หรือผู้รู้ของชุมชนจากรุ่นสู่
รุ่น จนเป็นภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับท้องถิ่น
ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากความหลาก
หลายทางชีวภาพของทรัพยากรในพื้นที่ ได้แก่การจักสานเครื่องมือเครื่องใช้
จากไม้ไผ่ยารักษาโรคจากสมุนไพรในป่า แสดงเห็นถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
ระหว่างชุมชนกับป่า
ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือองค์ความรู้เหล่านี้มีคุณค่าในเชิงสังคมและ
วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสามารถน�ำมาพัฒนาต่อยอดให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้เราต้องค�ำนึงถึงการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ให้เกิดความยั่งยืน เพื่อความ
คงอยู่ของทรัพยากร ที่เป็นต้นทุนของแผ่นดินไม่ให้หมดไป
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
441
ท�ำเนียบผู้รู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ชื่อ - นามสกุล อายุ (ปี) ที่อยู่
สาขาประเพณีพิธีกรรม
หมอส่งเคราะห์ นายเถิง ขันรินทร์ 61 บ้านน�้ำต๊ะ 24 ม.8
สาขาการดูแลสุขภาพพื้นบ้าน
ผู้รู้ด้านสมุนไพร นายมา น้อยขัน 76 บ้านน�้ำต๊ะ ม.8
หมอเป่า นายปทุม เป็นแก้ว 60 บ้านน�้ำต๊ะ 147 ม.8
สาขาเทคโนโลยีพื้นบ้าน
หวดนึ่งข้าว นางทองวรรณ ใจพิยะ 78 บ้านห้วยเจริญ 35 ม.8
สานทางมะพร้าว นางวิจิตรา ล�ำใย 51 บ้านห้วยเจริญ ม.8
ข้อง นางพิน จันทร์ฤทธิ์ 60 บ้านห้วยเจริญ 122 ม.8
เข่งปลา นางชวนชม ใจพิยะ 70 บ้านห้วยเจริญ 57 ม.8
จักสานสุ่มไก่ นายบุญ บัวเข็ม 76 บ้านห้วยเจริญ 81/1 ม.8
ไม้กวาดดอกหญ้า
เสื่อล�ำแพน
นางสังวาลย์วงศ์ปัน 44 บ้านน�้ำต๊ะ 172 ม.8
กระติบข้าวเหนียว นายสุข ขันเชียง 72 บ้านน�้ำต๊ะ 17 ม.8
ผู้รู้จักสาน นายเหรียญ ขันรินทร์ 67 บ้านน�้ำต๊ะ 19 ม.8
WISDOM
442 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
การส่งเคราะห์ เป็นพิธีกรรมที่สืบทอดจากอดีต ผู้ที่ได้รับสืบทอด
จะต้องเป็นบุรุษเพศ อาจจะสืบทอดจากปู่ พ่อ หรือพ่อตา
การส่งเคราะห์เป็นการท�ำพิธีเพื่อส่งสิ่งไม่ดีออกไปจากตัวเป็นความเชื่อ
ของคนในชุมชนตั้งแต่อดีต การท�ำสะเดาะเคราะห์จะนับจากอายุรวมกับ
ราศีเดือนเกิดของแต่ละคน หรือบางคนที่มีลางบอกเหตุที่ไม่เป็นมงคล จึงได้มาหา
หมอส่งเคราะห์ให้ช่วยท�ำพิธี
เครื่องเซ่น
ดอกไม้ ธูป เทียน แกงส้มแกงหวาน หมาก ข้าวสาร
แต่ละพิธีอาจเตรียมเครื่องเซ่นที่แตกต่างกันไป บางพิธีนอกจากเครื่องเซ่นหลัก จะเพิ่ม
ไก่หรือหมูรวมไปด้วย
หมอส่งเคราะห์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
443
การท�ำพิธีแต่ละครั้ง
จะต้องเตรียมน�้ำมนต์เพื่อใช้ในการประกอบพิธี
น�้ำมนต์ต้องใส่ฝักส้มป่อยและมะกรูด รวมทั้งมี
การท่องคาถาตามบทที่จดบันทึกไว้เป็นภาษาล้านนา
ซึ่งน้อยคนจะสามารถอ่านได้หมอส่งเคราะห์ได้จดบันทึกไว้
เพื่อใช้ในการท�ำพิธีในการท�ำพิธีส่งเคราะห์จะท�ำในตอนเช้า
ก่อนเที่ยงวัน เมื่อเตรียมของเสร็จมีการท่องคาถาแล้วจึงน�ำ
น�้ำมนต์ที่ท�ำพิธีมาอาบผู้ที่ต้องการส่งเคราะห์เป็นอันเสร็จสิ้น
หมอส่งเคราะห์เป็นผู้ที่สามารถช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ
ให้กับคนในชุมชนให้เกิดความสบายใจ การส่งเคราะห์จึงเป็น
พิธีกรรมที่เป็นความเชื่อในชุมชนหากไม่มีผู้สืบทอดพิธีกรรมนี้
อาจสูญหายไปจากชุมชน
รวมถึงผู้ที่สามารถอ่าน
ภาษาล้านนาได้ก็จะลด
น้อยลงอีกด้วย
ลักษณะเด่น พิธีกรรมที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ
รวมทั้งสืบทอดภาษาล้านนาที่ใช้ในการประกอบพิธีเป็นการอนุรักษ์
พิธีกรรมจากอดีต เพื่อส่งต่อให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลาน
เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย
ทางชีวภาพ คือ ส้มป่อย และมะกรูด
ปราชญ์ชุมชน
นายเถิง ขันรินทร์
WISDOM
444 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
อุปกรณ์ในการท�ำครัวนั้น
มีหลากหลายอย่างแล้วแต่
หน้าที่ไม่ว่าจะเป็นอุ่น
หุง ต้ม นึ่ง ล้วนมีอุปกรณ์
ที่ใช้แตกต่างกันไป สิ่งที่
เกือบทุกครัวเรือนต้องมี
คือ หวดนึ่งข้าว
หวดนึ่งข้าว
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
445
หวดนึ่งข้าวเป็นอุปกรณ์
ที่มีทุกครัวเรือนในชุมชน เพราะเมื่อชาวบ้านเข้าไป
ท�ำสวนท�ำไร่มักจะนึ่งข้าวเหนียวและต�ำน�้ำพริกน�ำไปกินเป็น
มื้อกลางวัน ท�ำให้อิ่มท้องได้ดี
หวดนึ่งข้าวเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหารส�ำหรับนึ่งข้าวเหนียว
ผู้รู้เริ่มเรียนรู้การสานจากการดูตัวอย่างของหวดนึ่งข้าวที่ซื้อมาใช้ในครัวเรือน
ปัจจุบันสานหวดนึ่งข้าวเป็นเวลา 3 ปีโดยใน 1 วัน สามารถสานได้มากที่สุด
จ�ำนวน 5 หวด แต่เนื่องจากผู้รู้มีอายุมากขึ้นจึงสามารถสานได้เพียง 2-3 หวดต่อ 1
วัน โดยจะมีพ่อค้ามารับซื้อที่บ้าน สานขายอาทิตย์ละประมาณ 20 หวด ไผ่ที่น�ำมา
ใช้คือ ไผ่ข้าวหลาม สามารถตัดได้จากป่า และตามพื้นที่ท�ำการเกษตรกรรม ในการ
คัดเลือกไผ่ที่น�ำมาสาน จะเลือกไผ่ที่มีอายุ1-2 ปีเป็นไผ่ที่เหมาะต่อการน�ำมาตอก
เพื่อใช้สานหวดนึ่งข้าว
หวดนึ่งข้าวเป็นเครื่องจักสานอย่างหนึ่งที่ท�ำจากวัสดุธรรมชาติที่ไม่ก่อ
ผลเสียให้กับสภาพแวดล้อมและมนุษย์ควรมีการสืบทอดให้คนในชุมชน
ได้รู้จักวิธีการสาน เพื่อใช้ในชุมชนและสามารถสร้างรายได้เสริม
ให้แก่ครัวเรือนและชุมชน
ลักษณะเด่น
การใช้วัสดุธรรมชาติสร้าง
ผลิตภัณฑ์ใช้เองในครัวเรือน
และสามารถสร้างรายได้ให้
แก่ครัวเรือน รวมทั้งสอนให้
กับผู้ที่สนใจในการสานหวดนึ่งข้าว
เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย
ทางชีวภาพ คือ ไผ่ข้าวหลาม
ปราชญ์ชุมชน
นางทองวรรณ ใจพิยะ
WISDOM
446 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
สานทางมะพร้าว
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
447
งานบุญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
งานแต่งงาน งานท�ำบุญบ้าน งานขึ้นบ้านใหม่
ล้วนเป็นงานที่ต้องมีการตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม การใช้วัสดุ
ธรรมชาติมาตกแต่งงานอาจเป็นดอกไม้ ใบไม้ แต่หลายคนอาจคิดไม่ถึง
ว่าทางมะพร้าวก็เป็นอีกวัสดุหนึ่งที่น่าสนใจในการน�ำมาตกแต่งงานบุญต่างๆ
ทางมะพร้าวในอดีตมีการใช้ตกแต่งในงานบุญต่างๆ โดยไม่มีการสานที่เป็น
ลวดลายมากนัก อาจท�ำเป็นซุ้มหลายๆ ชั้นก็สามารถสร้างความสวยงามได้แล้ว
แต่มีผู้รู้ท่านหนึ่งได้ดูตัวอย่างจากงานบุญต่างๆ แล้วน�ำมาทดลองสานเอง
เป็นลวดลายที่สวยงาม จนสามารถสานเป็นกระเปราะที่คล้ายแจกันส�ำหรับใส่
ดอกไม้ผู้รู้เรียกว่า แจกัน และการน�ำทางมะพร้าวมาสานเป็น
ตาข่ายสลับกันจากโคนจนถึงปลายยอดของทางมะพร้าว
ผู้รู้เรียกว่า เกล็ดมังกร ใช้เพื่อตกแต่งงานเทศกาล
และงานบุญต่างๆ ท�ำให้บุคคลภายนอกชุมชนเห็นและ
เป็นที่ชื่นชอบ การสานทางมะพร้าวจึงสร้างรายได้ให้อีก
ทางหนึ่ง นอกจากนั้นผู้รู้ยังได้ชักชวนคนในชุมชนมา
ร่วมกันจักสานจนเป็นที่รู้จักของคนในชุมชนและ
นอกชุมชนอีกด้วย
ลักษณะเด่น
การใช้วัสดุธรรมชาติสร้างสิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้ในงานบุญของหมู่บ้าน
พร้อมทั้งสร้างรายได้เสริมให้แก่ครัวเรือนและชุมชน
เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย
ทางชีวภาพ คือ มะพร้าว
ปราชญ์ชุมชน
นางวิจิตรา ล�ำใย
สานทางมะพร้าว
WISDOM
448 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ข้อง
การหาอาหารจากบึง บ่อ หรือล�ำห้วย สัตว์ที่ได้
คงไม่พ้นต้องเป็นปลา ปูหอย อึ่ง เขียดอย่าง
แน่นอน เมื่อจับแล้วจะต้องมีอุปกรณ์ใส่
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
449
ข้อง เป็นอุปกรณ์
ที่ใช้ใส่ปลา อึ่ง เขียด รูปร่างคล้ายหม้อดินและมีฝาปิด
เรียกว่า งาแซง ข้องจะมีหลายขนาดขึ้นอยู่กับสัตว์ที่จับมาบริโภค
การสานข้องผู้รู้ได้รับสืบทอดจากคุณยาย และยังคงสานมาจนถึงปัจจุบัน
ไผ่ที่ใช้สาน คือ ไผ่ไร่ และไผ่สีสุก
สาเหตุที่ใช้ไผ่ทั้งสองชนิดนี้เนื่องจากไผ่ไร่มีความเหนียวและหาได้ง่ายบริเวณ
ป่ารอบชุมชน ไผ่สีสุกหายากในพื้นที่ป่าจึงมีการน�ำมาปลูกในสวนท�ำให้สามารถตัด
มาสานได้ง่าย ใน 1 วัน สามารถสานได้1 อัน การสานข้องเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น
ในด้านการจักสานและเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาในการด�ำรงชีวิตอีกด้วย
ผู้รู้มีการเก็บตัวอย่างการสานข้อง
เพื่อถ่ายทอดต่อไปยังลูกหลาน
ท�ำให้ภูมิปัญญานี้ยังคงอยู่ในปัจจุบัน
ลักษณะเด่น
ภูมิปัญญาที่สืบทอดจากอดีต และยังคงใช้จนถึง
ปัจจุบัน เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการด�ำเนินชีวิต
เกี่ยวข้องกับความ
หลากหลายทางชีวภาพ
คือ ไผ่ไร่ ไผ่สีสุก
ปราชญ์ชุมชน
นางพิน จันทร์ฤทธิ์
WISDOM
450 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เข่งปลา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
451
เข่งปลาเป็นสิ่งที่เราเจอ
ได้ทั่วไปตามตลาดสด ที่เราเห็นคือ เข่งใส่ปลาทู
เป็นทรงกลมสามารถใช้นึ่งได้มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับการน�ำ
ไปใช้ผู้รู้มีการศึกษาการสานโดยดูตัวอย่างเข่งปลาทูแล้วจึงทดลอง
สานจนสามารถสานได้จึงมีการสานขายสร้างรายได้เสริมนอกจากการ
ท�ำสวนท�ำไร่ ในอดีตมีการสานเข่งในชุมชนหลายครัวเรือน แต่ปัจจุบันมีเพียง
ไม่กี่ครัวเรือนที่ยังคงสานเข่งอยู่ ไผ่ที่ใช้สาน คือ ไผ่สีสุก
เนื่องจากในป่ามีไผ่สีสุกจ�ำนวนน้อย ท�ำให้ผู้รู้น�ำไผ่มาปลูกในสวนของตนเอง
เพื่อสะดวกในการน�ำมาใช้ประโยชน์ไม่กระทบต่อไผ่สีสุกที่มีในพื้นที่ป่า การสานเข่ง
ใช้ตอก 2 ขนาด คือ ขนาดกลาง ใช้สานฐาน และขนาดใหญ่ ใช้งอและมัดเป็นระยะ
ให้เข่งมีขนาดกลมเป็นขอบ การเลือกใช้ไผ่ต้องเป็นไผ่ที่มีอายุ2 ปีการสานเข่งจะ
ต้องใช้ข้อนิ้วมือในการดันตอก ตอกไม้ไผ่ค่อนข้างมีความคมท�ำให้เกิดแผลที่
นิ้วมือ ท�ำให้หลายๆ ครัวเรือนเลิกสานเข่ง ในหมู่บ้านจึงมีแต่บ้านของ
ผู้รู้ที่ยังคงสานเข่งอยู่และผู้รู้ได้ถ่ายทอดให้กับคนใน
ครอบครัวของตนเองอีกด้วย
ลักษณะเด่น
การสานที่สร้างรายได้เสริมให้ครัวเรือน
และใช้วัสดุธรรมชาติที่สามารถน�ำมา
ปลูกในพื้นที่เกษตรกรรมของตนเองได้
เกี่ยวข้องกับ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
คือ ไผ่สีสุก
ปราชญ์ชุมชน
นางชวนชม ใจพิยะ
WISDOM
452 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
จักสานสุ่มไก
่
สุ่มไก่เป็นเครื่องจักสานประเภทหนึ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมานาน ใช้ส�ำหรับ
ครอบหรือขังไก่ เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ชน เนื่องจากผู้เลี้ยงจะต้องดูแลไก่
อย่างใกล้ชิด สุ่มไก่จึงไม่เคยหายไปจากวิถีชีวิตของคนไทย แม้ว่าปัจจุบันการ
สานสุ่มไก่จะลดน้อยลง เนื่องจากผู้รู้หรือบุคคลที่สานสุ่มไก่ขายมีจ�ำนวนลด
น้อยลงเรื่อยๆ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
453
ผู้รู้ได้ศึกษาจากตัวอย่างสุ่มไก่
แล้วทดลองจักสานด้วยตนเองจนส�ำเร็จ โดยจักสาน
มานานกว่า 40 ปีจึงมีความช�ำนาญสูง สามารถสร้างรายได้
เสริมให้กับครัวเรือนได้อย่างดีแต่ปัจจุบันเหลือผู้รู้
การจักสานสุ่มไก่เพียงคนเดียวในหมู่บ้าน หากไม่มีผู้
สืบทอดภูมิปัญญานี้อาจหายไปจากชุมชน
ไผ่ที่ใช้สานสุ่มไก่ คือ ไผ่ข้าวหลาม
เนื่องจากเป็นไผ่ที่มอดไม่กิน มีความทนทาน
มีปล้องที่ยาว และสามารถหาได้จากพื้นที่ป่าใกล้
ชุมชน ใน 1 วัน สามารถสานสุ่มไก่ได้2 สุ่ม
ใช้ไผ่ประมาณ 1 ล�ำ หากมีการดูแลที่ดีสามารถ
ใช้งานได้นาน 4-5 ปี
ลักษณะเด่น
การใช้วัสดุจากธรรมชาติ
ภายในชุมชน และสร้าง
รายได้เสริมแก่ครัวเรือน
เกี่ยวข้องกับ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
คือ ไผ่ข้าวหลาม
ปราชญ์ชุมชน
นายบุญ บัวเข็ม
WISDOM
454 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ไม้กวาด
ดอกหญ้า
การสานไม้กวาดเป็นการใช้วัสดุธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้บ้านและบริเวณชายป่า
อุปกรณ์ที่ใช้ 1.ตองกง 2.ไผ่ข้าวหลาม 3.หวายหรือริบบิ้น 4.มีด
ขั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์
1. การเตรียมตองกง ตัดตองกงที่ก้านมีสีเขียวเข้ม เมื่อตัดแล้วน�ำไปตากแดดเป็นเวลา 3
วัน แล้วจึงเอาดอกย่อยเล็กๆ ผู้รู้จะเรียกว่า ขี้ดอก โดยการฟาดกับพื้นท�ำให้ดอกหลุดได้ง่าย
จากนั้นลิดก้านย่อยของตองกงออก เพื่อเตรียมน�ำไปจักสาน ในการลิดก้านย่อยจะต้องเก็บ
ตีนของก้านย่อยไว้
2. การเตรียมไผ่ข้าวหลาม ตัดไม้ดิบที่มีสีเขียว น�ำมาตากแดด 3 วัน เอาไม้แช่น�้ำไว้1 ด้าน
แช่น�้ำเพื่อให้ไม้นิ่ม หลังจากแช่น�้ำน�ำมาผ่าบริเวณปลายด้ามเพื่อรอส�ำหรับจักสาน เวลาตัด
ไม้ไผ่ต้องตัดตอนไผ่ยังนิ่มๆ ถ้าไผ่แก่เวลาตัดจะมีเสียงเพี๊ยงๆ ใช้ไม่ได้
3. หวาย และริบบิ้น ในอดีตใช้หวาย แต่เนื่องจากในป่ามีหวายลดลงผู้รู้จึงเปลี่ยนมาใช้
ริบบิ้นแทน ซึ่งมีความเหนียวเทียบเท่าหวาย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
455
ขั้นตอนการจักสาน
1. น�ำไผ่ข้าวหลามมาผ่าที่ปลายด้าน
ที่แช่น�้ำ ท�ำให้ไผ่สามารถงอตัวได้เมื่อสาน
2. ตัดริบบิ้นยาวประมาณ 3 เมตร
3. เริ่มจักสานจากปลายไม้ก่อน ก�ำแรกใช้ตองกงที่สั้น ก�ำเล็กๆ พอดีมือ
ก่อนว่างบนไม้ไผ่แล้วใช้ริบบิ้นผูกทีละก�ำ เวลาดึงริบบิ้นจะต้องดึงไปข้างหน้า
ถ้าดึงข้างหลังตองกงจะหลุด ท�ำซ�้ำๆ โดยไม้กวาด 1 ด้าม จะใช้ประมาณ 24-26 ก�ำ
ถ้ามากไปหรือน้อยไปจะไม่สวยช่วงปลายด้ามจะใช้ตองกงที่ยาวมากกว่าตอนช่วงต้น
4. เมื่อสานครบตามจ�ำนวนก�ำ จะสานริบบิ้นต่อไปอีกเล็กน้อยแล้วตัดริบบิ้นออก
ตัดบริเวณโคนของตองกงที่เหลือทิ้ง แล้วตกแต่งปลายของตองกงให้เรียบร้อยเป็น
อันเสร็จ
การจักสานจะท�ำในช่วง
เดือนมกราคม-เมษายน ของทุกปี
เนื่องจากเป็นช่วงที่ตองกงมีดอก
ซึ่งเป็นช่วงที่คนในชุมชนจะ
หารายได้เสริมจากตองกง
ได้อย่างมาก
ลักษณะเด่น
ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้วัสดุธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ป่าให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสร้างรายได้เสริมให้แก่ผู้รู้และชุมชน
เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย
ทางชีวภาพ
คือ ตองกง ไผ่ข้าวหลาม
ปราชญ์ชุมชน
นางสังวาลย์วงศ์ปัน
WISDOM
456 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เสื่อล�ำแพน
เสื่อล�ำแพน หรือเสื่อกะลา เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่โบราณ ในอดีตมีการใช้
เสื่อล�ำแพนเป็นที่นิยมท�ำเป็นฝาบ้าน และในฤดูเกี่ยวข้าวก็ใช้เสื่อล�ำแพนรองพื้นใน
บริเวณที่ฟาดข้าวอีกด้วย การสานเสื่อล�ำแพนเป็นภูมิปัญญาเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
457
ลักษณะเด่น
มีมาแต่โบราณใช้ท�ำฝาบ้านมาตั้งแต่อดีตและยังมีใช้อยู่ถึงปัจจุบัน
เกี่ยวข้องกับความหลาย
ทางชีวภาพ
คือ ไผ่ข้าวหลาม และไผ่เฮี๊ยะ
ปราชญ์ชุมชน
นางสังวาลย์วงศ์ปัน
วัสดุธรรมชาติที่ใช้
คือไผ่ข้าวหลาม และไผ่เฮี๊ยะ
เป็นไผ่ที่มีปล้องยาว น�ำไผ่มาตอกเป็นเส้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าบางๆ
แล้วจึงน�ำมาสาน ลายที่สานผู้รู้จะเรียกว่า ลายสอง คือ ยกสองเส้น
ข้ามสองเส้นเวลาท�ำมุมจะเรียก ลายสาม คือ ยกสามเส้น ข้ามสามเส้น
เสื่อล�ำแพนขนาดยาว 3 เมตร กว้าง 1 เมตร จะขายในราคา 45 บาท ถ้าท�ำ
ตอกเส้นเล็กราคาจะแพงกว่าและใช้เวลาสานนานกว่า การสานเสื่อล�ำแพนเป็น
ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ควรอนุรักษ์เนื่องจากเป็นสิ่งที่อยู่กับคนไทยมานานหลายปี
จนกลายเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับหลายๆ ชุมชน
WISDOM
458 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ภาชนะที่ใช้ใส่ข้าวเหนียวสุก และสามารถเก็บความร้อนได้ดี ไม่ท�ำให้
ข้าวเหนียวแฉะหรือแข็งเกินไป รูปทรงกระบอกกลม มีฝาปิดสานด้วยไม้ไผ่ หลายๆ คน
รู้จักกันดีที่เรียกว่า กระติบข้าว ในครัวเรือนทุกบ้านย่อมมีกระติบข้าวเป็นภูมิปัญญา
ท้องถิ่นที่สานเพื่อใช้ในการด�ำรงชีวิต ชาวบ้านใช้ใส่ข้าวเหนียวเวลาออกไปท�ำไร่ท�ำนา
ผู้รู้ได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นบิดาของผู้รู้และมีประสบการณ์สานเป็นเวลา
ประมาณ 10 ปี
กระติบ
ข้าวเหนียว
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
459
วัสดุธรรมชาติที่ใช้
คือ ไผ่บง เนื่องจากเป็นไผ่ที่มีเนื้อเหนียวจึง
นิยมน�ำมาใช้โดยจะเลือกใช้ไผ่แก่
ขั้นตอนการสาน
1. ตอกไม้ไผ่เป็นเส้นเล็กและบาง จากนั้นน�ำตอกมา เข้าอุปกรณ์ที่เรียกว่า
มีดขูดตอก หรือ มีดรูดตอก เพื่อให้ตอกมีความเรียบไม่มีเสี้ยน
2. น�ำตอกที่ได้มาแช่น�้ำแล้วจึงน�ำไปสาน
3. การสานจะเรียกลายที่สานว่า ลายสอง(สาม) คือ ยกสอง(สาม)เส้น ข้ามสอง(สาม)
จะสานเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวแล้วแต่ก�ำหนด
4. สานเชื่อมต่อเป็นวงกลม แล้วพับครึ่งตามความยาว จะได้กระติบ 1 วง จากนั้นสาน
แบบเดียวกันแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยเพื่อเป็นที่ครอบ
5. สานฝาปิดทั้งสองข้าง น�ำเชือกไนลอนเย็บฝากับกระติบทั้งสองด้าน เป็นอันเสร็จ
สมบูรณ์
การสานกระติบข้าวมีหลายขนาดโดยจะวัดขนาด
จากจ�ำนวนเส้นตอกที่ใช้สาน ท�ำให้กระติบมีหลายราคา
ตั้งแต่60-100 บาท โดยมีบุคคลจากหมู่บ้านอื่นๆ
มารับซื้อและสั่งท�ำ นอกจากจะสานใช้ใน
ครัวเรือนยังสามารถสร้างรายได้เสริม
อีกด้วย ลักษณะเด่น
การใช้วัสดุธรรมชาติในชุมชนและสืบทอดต่อจาก
บรรพบุรุษ มีการประยุกต์ใช้อุปกรณ์เพื่อให้สะดวกใน
การสานกระติบข้าวเหนียว
เกี่ยวข้องกับความ
หลากหลายทางชีวภาพ
คือ ไผ่บง
ปราชญ์ชุมชน
นายสุข ขันเชียง
WISDOM
460 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
การจักสานเป็นการคิดค้นสร้างเครื่องมือเครื่องใช้ของคนในชุมชนนั้นๆ โดยใช้
วัสดุธรรมชาติที่สามารถหาได้ในพื้นที่ใกล้ชุมชน หรือในพื้นที่ป่าใกล้ชุมชน ข้องเป็น
เครื่องมือจักสานชนิดหนึ่งที่มีความส�ำคัญในการด�ำรงชีวิตของคนในชุมชน มีรูปทรง
คล้ายหวดหรือหม้อดิน มีงาแซงเป็นฝาปิดด้านบน ชาวบ้านใช้ส�ำหรับใส่สัตว์
ขนาดเล็ก เช่น อึ่ง กบ ปลา
ผู้รู้การจักสาน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
WISDOM
461
วัสดุที่ใช้สานข้อง
คือ ไผ่บงหรือไผ่ไร่ นิยมใช้ไผ่บงเนื่องจาก
มีเนื้อเหนียว เหมาะแก่การสาน เลือกไผ่ที่มีอายุ2-3 ปีตัดไผ่
เป็นท่อนเพื่อน�ำมาตอกเป็นเส้นเล็กๆ รูดตอกให้เรียบจึงน�ำมาสาน
การสานเริ่มจากฐานของข้องแล้วดัดตอกขึ้นให้เป็นรูปทรงในการสานผู้รู้จะใช้
ตอกขนาดเล็กจ�ำนวน 3 เส้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้รู้ที่ได้จากการ
เรียนรู้และทดลองในการสาน ท�ำให้ข้องมีอายุการใช้งานนานขึ้นและมีความแข็งแรง
นอกจากนี้ผู้รู้ยังสามารถสานกระด้ง ซึ่งเป็นภาชนะสานที่มีรูปกลม แบน สานตอกให้
ชิดกันและมีขอบแน่นหนา ปากขอบกว้างประมาณ 1 เมตร เพื่อให้จับได้ถนัด กระด้ง
ใช้ส�ำหรับฝัดข้าว คือ ใส่ข้าว จ�ำนวนหนึ่งเป็นข้าวที่สีหรือต�ำแล้ว
แต่ยังมีแกลบและร�ำปนอยู่มาก
แล้วกระดกกระด้งขึ้นๆ ลงๆ เร็วๆ
เพื่อสะบัดให้แกลบ ร�ำ หรือ ผง
ซึ่งเบาแยกตัวออกจาก
เมล็ดข้าว
ปราชญ์ชุมชน
นายเหรียญ ขันรินทร์
ลักษณะเด่น
การใช้วัสดุธรรมชาติในชุมชนที่มีเอกลักษณ์
เฉพาะและสามารถประยุกต์การสานเป็น
เครื่องใช้อื่นๆ
เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย
ทางชีวภาพ
คือ ไผ่บง และไผ่ไร่
WISDOM
462 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ยาสมุนไพร
เป็นสิ่งที่ใช้กันมายาวนาน ถึงแม้ในปัจจุบัน
จะมียาแผนปัจจุบันแต่ในพื้นที่ซึ่งห่างไกลจากโรงพยาบาล
ก็ยังคงใช้ยาสมุนไพรรักษาอาการเบื้องต้นได้ผู้รู้สมุนไพรเป็น
ผู้ที่เรียนรู้สูตรยา แล้วน�ำมาประยุกต์ใช้ในครอบครัวจนเป็นที่รู้จักทั้ง
คนในและนอกชุมชน สูตรยาที่เป็นที่รู้จักกันในชุมชน คือยาแก้ริดสีดวง
ส่วนประกอบมีว่านกีบแรด หญ้าสาบเสือ หัวข้าวเย็น โด่ไม่รู้ล้ม เครือเถา
เฒ่าหนังหุ้ม ผู้รู้ยังมีสูตรยาสมุนไพรอีกหลายสูตรที่ใช้รักษาโรคต่างๆ อีกมาก
เช่น ยาแก้ไข้ยาแก้ปวดหลัง ยาถ่ายพยาธิเป็นต้น การใช้ยาสมุนไพรต้องมี
สัดส่วนและระยะเวลาในการรับประทานยาแต่ละตัวที่แตกต่างกัน ผู้ที่
รับประทานจะต้องปฏิบัติตัวในการรับประทานให้ตรงตามที่ผู้รู้ได้บอก
สมุนไพรที่ผู้รู้น�ำมาปรุงยา ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่สามารถหาได้บริเวณป่า
ผู้รู้ด้านสมุนไพร
ปราชญ์ชุมชน
นายมา น้อยขัน
ลักษณะเด่น
การเรียนรู้ด้านสมุนไพรเพื่อประยุกต์ใช้ในครัวเรือน
และชุมชน ท�ำให้ชุมชนได้รับความรู้เกี่ยวกับ
สมุนไพรภายในชุมชนและบริเวณป่า
เรื่องเล่าจากพื้นที่...
บนเส้นทางความหลากหลาย
ทางชีวภาพด้านป่าไม้
464 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 465
466 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เมล็ดมะค่าโมง ส่วนผสมหมากพล
ู
ลุงหน�ำ สว่างทิตย์(อาสาสมัครชุมชน) ได้เก็บเมล็ดมะค่าโมงที่ร่วงหล่นบน
พื้นดินให้เราดูและบอกกับเราว่า “เมล็ดมะค่าโมงสีด�ำสามารถกินผสมเคี้ยวกับหมาก
จะเผาไฟหรือไม่เผาไฟก็ได้วิธีกินคือจะตัดเอาเปลือกออกแล้วใช้กรรไกรตัดหมาก
ตัดเป็นชิ้นบางๆ ซึ่งถ้าหากเผาไฟก่อนเปลือกจะร่อน และจะมีกลิ่นหอมกว่า”
ด้วยความสงสัยเราจึงถามลุงหน�ำว่า กินแบบเผาไฟกับไม่เผาไฟรสชาติแตกต่างกันไหม
ลุงหน�ำตอบว่า “มันก็เหมือนกับการกินเม็ดมะขาม ถ้ากินสดๆ รสชาติจะอีกอย่าง
หนึ่ง แต่ถ้าเม็ดมะขามคั่วก็จะมีกลิ่นหอมกว่า” ลุงหน�ำยังเล่าต่อไปอีกว่า คนเก่า
คนแก่ในหมู่บ้านบอกกับลุงว่าการเคี้ยวกินเม็ดมะค่าโมงกับหมากจะเพิ่มรสชาติมันๆ
ท�ำให้น�้ำหมากเหนียวและเข้มข้น บางคนก็บอกว่ากินแล้วฟันทนดีบางคนถ้าไม่ได้กิน
เม็ดมะค่าโมงกับหมากก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
นอกจากนี้วัยรุ่นยังเผาเมล็ดมะค่าโมงสีด�ำไว้กินเล่นเหมือนมะขามคั่ว
ส่วนเมล็ดสีเขียวเปลือกจะนิ่มและบาง เมื่อเอาเปลือกออก
แล้วกินจะมีรสชาติหวาน มัน
ลุงหน�ำ สว่างทิตย์
ท ่ามกลางแสงแดดปลายเดือนมีนาคมที่ร้อนระอุ
ในปาเบญจพรรณ พื้นที่ปาล�ำน�้ำน ่านฝั่งขวา
จังหวัดอุตรดิตถ์ บริเวณป ่าชุมชนบ้านห้วยเจริญ
มีต้นมะค่าโมงขนาดใหญ่
่ ่
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 467
บอนเต่า กับข้าวพื้นบ้านจากป่า
เมื่อย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาคม สายฝนเริ่มโปรยปราย
ท�ำให้ป่าเริ่มกลับมามีความชุ่มชื้นอีกครั้ง คณะส�ำรวจออกเดินไป
ตามเส้นทางส�ำรวจในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
(บ้านห้วยเจริญ) อ�ำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์เราพบต้นไม้
หน้าตาคล้ายดอกหน้าวัวสีขาวขึ้นอยู่ตามพื้นดิน และเห็น
พี่ดอกรัก สารถ้อย จากหน่วยป้องกันรักษาป่าที่อต. 1 (ท่าปลา)
ก�ำลังเก็บอย่างขะมักเขม้น แบ่งเป็นก�ำๆ แล้วใส่ลงในถุงย่าม
เมื่อสอบถามได้ความว่ามันคือ ต้นบอนเต่า
พี่ดอกรักบอกว่าเป็นอาหารชั้นดีจากป่า เก็บหาเอาได้
ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ต้นบอนเต่าสามารถน�ำไปประกอบเป็นอาหาร
ได้หลายอย่าง เช่น แกงส้ม คั่วกลิ้งกับหมูหมอบ (คล้ายห่อหมก)
กินสดหรือต้มกินกับน�้ำพริก รสชาติเด็ดทีเดียว
การน�ำไปประกอบอาหารก็ง่ายๆ แค่ลอกเปลือกออก
ล้างน�้ำ ก็น�ำไปใช้ได้แล้ว พืชชนิดนี้มักขึ้นอยู่ตามที่ราบเชิงเขาใกล้
ล�ำห้วย หรือบริเวณล�ำห้วย เป็นพืชที่ชอบอากาศร้อน ความชื้นสูง
นายดอกรัก สารถ้อย
468 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ภูมิปัญญาการด�ำรงชีพ ของชาวบ้านสมัยก่อนมีหลากหลายรูปแบบ
อาชีพหลักของชาวบ้าน คือ การท�ำไร่ ท�ำนา ชาวบ้านจะ
เตรียมตัวและเตรียมอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คือ อาหารและน�้ำดื่ม ที่บ้าน
ห้วยเจริญ นางพิน จันทร์ฤทธิ์เป็นผู้รู้ที่สืบทอดภูมิปัญญานี้ได้เล่าให้เรา
ฟังว่าสมัยก่อนการน�ำน�้ำเข้าไปเพื่อดื่มดับกระหาย ชาวบ้านมักใช้ผลน�้ำเต้าใส่น�้ำ
ผลน�้ำเต้าสามารถเก็บความเย็นได้ดีการน�ำไปใช้คือ น�ำผลน�้ำเต้าที่แก่แล้วมาเขย่าให้
เมล็ดหลุดออก แล้วตัดบริเวณขั้วของผล เทเมล็ดออกให้หมด ก็สามารถใส่น�้ำลงในผล
น�้ำเต้าได้เลย นอกจากผลแก่จะสามารถน�ำมาใส่น�้ำได้แล้ว ผลอ่อนยังสามารถรับประทาน
เป็นผักต้มกินกับน�้ำพริกก็อร่อย ป้าพินจึงได้น�ำน�้ำพริกพร้อมผักต้มนานาชนิดรวมทั้งผล
น�้ำเต้าอ่อนที่ต้มแล้วมาให้เราชิม ป้าพินยังได้บอกถึงสรรพคุณของน�้ำเต้าอย่างหนึ่ง คือ
สามารถรักษาโรคเบาหวานได้
ปัจจุบันชาวบ้านไม่นิยมใช้ผลน�้ำเต้าแล้ว เพราะมี
วัสดุพลาสติกหลากหลายรูปแบบที่สามารถใส่น�้ำ
และกักเก็บความเย็นได้แต่ป้าพินยังคงเก็บรูป
แบบการใช้น�้ำเต้าไว้เพื่อให้ลูกหลานได้
เรียนรู้วิธีการด�ำรงชีวิตของบรรพบุรุษ
ในอดีต
รูปทรงมหัศจรรย์“น�้ำเต้า”
นางพิน จันทร์ฤทธิ์
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 469
สะค้าน พืชรสเผ็ดในฤดูร้อน
นอกจากสะค้านจะเป็นพืช
อีกชนิดหนึ่งที่ใช้ประกอบอาหาร
แกงเผ็ดแล้ว ยังช่วยให้อาหารมี
รสชาติกลมกล่อมมากขึ้น รวมทั้ง
เป็นยาขับลมได้อีกด้วย สะค้านจึง
เป็นพืชที่น่าสนใจและควรมีการ
ต่อยอดในการน�ำมาใช้ประโยชน์
มากยิ่งขึ้น
เดือนมีนาคมเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน ต้นไม้น้อยใหญ่ผลัดใบกันมากมาย ส่วนต้นไม้ที่ไม่
ผลัดใบกลับดูเป็นจุดเด่นในป่า ป่าที่เริ่มร้อนระอุเพราะสภาพอากาศและต้นไม้ที่เหลือเพียงกิ่ง
ก้านท�ำให้พบไม้เถาที่เกาะเกี่ยวตามต้นไม้มากมาย แต่หากเดินเลียบไปตามล�ำห้วย กลับท�ำให้
รู้สึกสดชื่น เราอาจได้พบไม้เถาชนิดหนึ่งที่มองไกลๆ คล้ายต้นดีปลีลักษณะใบก็คล้ายใบชะพลู
เมื่อดูใกล้ๆ จะเห็นล�ำต้นมีข้อปล้อง เปลือกค่อนข้างอ่อน ใบเดี่ยว
รูปใบหอกกว้างคล้ายใบพริกไทย ใบสีเขียวเข้ม ลักษณะดังกล่าว
คือ พืชที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “จะค้าน” ชื่อไทยเรียกว่า สะค้าน
การลงส�ำรวจเส้นทางห้วยน�้ำตกที่บ้านน�้ำต๊ะ เราเดินเลียบ
ไปตามล�ำห้วยซึ่งมีน�้ำไหลตลอดเวลา พี่ยง จากหน่วยป้องกัน
รักษาป่าที่อต. ๑ (ท่าปลา) ได้ตัดล�ำต้นมาให้เราได้ดูและให้เอา
ลิ้นลองแตะที่ล�ำต้นของต้นสะค้านจะรู้สึกว่าเนื้อของสะค้านมีรส
เผ็ดที่ปลายลิ้น เราจึงถามว่าพี่ยงเอาล�ำต้นไปท�ำอะไร พี่ยงได้บอกว่าเถาของสะค้านใช้ปรุง
อาหารประเภทแกงเผ็ด โดยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ น�ำไปล้างให้สะอาดและต้มแกงได้เลยไม่ต้องลอก
เปลือกไม้ออก หากใช้ไม่หมดให้น�ำไปตากแห้งเก็บไว้ใช้ต่อไปได้
สรรพคุณของสะค้าน
ล�ำต้น ใช้เป็นเครื่องเทศปรุงอาหารเพิ่มรสเผ็ดใช้ใส่แกง ช่วยให้มีกลิ่นหอม หรือเป็นส่วน
ประกอบในอาหารช่วยดับกลิ่นคาว
นายยง ชิกลิ้ง
470 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
บอนหอมต้นไม้เสน่ห์กลางไพร
เมื่อเดินไปตามเส้นทางส�ำรวจตามแนวล�ำห้วย จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา
แตะจมูก ด้วยความสงสัยใคร่รู้จึงสอบถามนายอนันต์ ปันหวน ชาวบ้านบ้านน�้ำ
ต๊ะ ต�ำบลน�้ำหมัน อ�ำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้าน
ที่มีความรู้เกี่ยวกับพืชและสมุนไพรในป่า พ่อใหญ่จึงชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อ
สอบถามจึงได้ความว่ากลิ่นหอมมาจากต้นไม้ชนิดนี้เอง ชาวบ้านในพื้นที่เรียก
ว่า ต้นบอนหอม ลักษณะใบคล้ายใบบอนแต่มีขนาดเล็กกว่า ต้นมีกลิ่นหอมคล้าย
ดอกจ�ำปี
นายอนันต์ ปันหวน
ชาวบ้านน�ำไปใช้ประโยชน์ได้โดยน�ำไปประกอบอาหาร
วิธีการ คือ น�ำต้นไปล้างน�้ำ แล้วเอาไปเผาย่างกับไฟให้พอได้กลิ่น
หอมโชย ตัดเอาเฉพาะก้านไม่เอาใบ น�ำไปแกงเป็นกับข้าว ได้แก่
แกงใส่หัวมะพร้าว แกงแค และแกงเนื้อควาย ได้รับค�ำรับรองว่าใคร
ได้รับประทานแกงเหล่านี้ที่ใส่บอนหอมจะต้องติดใจในรสชาติ และ
ชาวบ้านยังมีความเชื่อว่าต้นบอนหอมเป็นว่านเมตตามหานิยมอีกด้วย
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 471
นายหลุ่น อินแจ้ซึ่งเป็นอาสาสมัคร
ชุมชนบอกกับเราว่า “เป็น สมุนไพร ถ้ากินจิบกับน�้ำจะ
แก้ไอ แต่ถ้าหากกินมากจะเป็นยาระบาย เมื่อดื่มน�้ำตามหลัง
จากกินได้สักพักรสชาติจะเปลี่ยนเป็นหวานชุ่มคอ” ก็ท�ำให้อยากจะ
กินต่อให้หมดลูก หลังจากกินลูกแรกหมด สักพักก็รู้สึก หวานๆ ในปากเรา
จึงลองดื่มน�้ำตาม ก็รู้สึกหวานชุ่มคอเหมือนที่ชาวบ้านบอกจริงๆ เมื่อเวลา
ผ่านไปไม่นาน ลูกที่ 2 3 4 ... ก็ตามมา ซึ่งผลนั้น คือผลของ
“สมอไทย”หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “สมอ” นั่นเอง
สมอไทย สมุนไพรไทย
เปลือกล�ำต้น ต้มน�้ำดื่มเป็นยาบ�ำรุงหัวใจ ขับน�้ำ
เหลืองเสีย ขับปัสสาวะ
แก่นล�ำต้น ใช้แก้ตาอักเสบและแก้ไข้
ใบ ใช้เป็นยาแก้กระหายน�้ำ แก้พิษร้อนใน แก้ไข้
แก้ลมจุกเสียด และเป็นยาระบายอ่อนๆ
ดอก ต้มน�้ำดื่มแก้บิด
ผลอ่อน ใช้เป็นยาถ่าย แก้เสมหะ
ผลแก่ บดเป็นผงโรยแก้แผลเรื้อรัง กินหรือต้ม
น�้ำดื่มยาบ�ำรุงร่างกาย แก้ไอเจ็บคอ แก้อาเจียน
เนื้อผล กินแก้ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ
แก้บิด แก้ท้องร่วงเรื้อรัง
นายหลุ่น อินแจ้
ระหว่างเส้นทางส�ำรวจความหลากหลายทางชีวภาพในป่า
ล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์บริเวณป่าชุมชนบ้านห้วย
เจริญ ของเจ้าหน้าที่กลุ่มงานความหลากหลายทางชีวภาพด้าน
ป่าไม้กรมป่าไม้ร่วมกับอาสาสมัครชุมชนบ้านห้วยเจริญอาสา
สมัครชุมชนหลายท่านได้น�ำผลของพืชชนิดหนึ่งมาให้เราได้ลองชิม
มีลักษณะค่อนข้างกลม สีเขียว ขนาดเล็ก รสชาติแรกที่ได้สัมผัสคือ
ฝาดๆ ขมๆ เปรี้ยวๆ เป็นรสชาติสามรสที่ไม่คุ้นลิ้นเลยทีเดียว
สมอไทย เป็นสมุนไพรจากป่า
ที่มีสรรพคุณหลากหลาย แต่
“สรรพคุณที่ชาวบ้านห้วย
เจริญรู้จักกันดี คือแก้ไอ
และเป็นยาระบาย”
ซึ่งถ้าหากกินผลของสมอไทย
ระหว่างเดินป่าก็จะท�ำให้สดชื่น
และชุ่มคออีกด้วย
“ประโยชน์ในด้านการใช้เป็นยาพื้นบ้าน ของสมอไทย”
472 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
จากการส�ำรวจในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา (โซนป่าน�้ำหมัน) อ�ำเภอ
ท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่ามีพรรณพืชที่เลื้อยไปตามไม้ใหญ่และเป็นอาหารป่าที่มีความ
นิยมกันมากของคนในพื้นที่ นั้นคือ สะแล (Broussonetia Kerzii (Hook. f.) Corner วงศ์
Moraceae) มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย พบได้ทั่วไปในป่าเบญจพรรณตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้
ดอกสะแลเป็นที่รู้จักและนิยมในภาคเหนือ มีประโยชน์ในด้านอาหาร
ใช้เป็นผัก มีรสมัน ออกดอกในฤดูร้อนราวเดือนมีนาคม-เมษายน ในท้องตลาด
มักพบดอกสะแลจ�ำหน่ายในฤดูกาลดังกล่าว โดยน�ำดอกและผลมาปรุงเป็น
อาหารไม่ว่าจะเป็น แกงส้ม แกงป่า แกงแค โดยน�ำเนื้อสัตว์ปลา ปลาแห้งใส่
เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาตินอกจากนี้ดอกและผลของสะแลมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยจึง
นับได้ว่าสะแลนอกจากอร่อยแล้วยังมีประโยชน์อีกด้วย
นายเพชร ปันหวน อาสาสมัครชุมชนพื้นที่น�้ำหมัน เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อน
มีการน�ำเก็บไปขายในตลาดได้กิโลกรัมละ 300 บาท แต่ปัจจุบันแต่ละครัวเรือน
ได้มีการน�ำสะแลไปปลูกไว้ที่บ้าน ซึ่งท�ำได้โดยวิธีการปักช�ำกิ่ง ให้เลื้อยไปตามไม้
ต้นขนาดใหญ่จึงมีการเก็บขายน้อยลงและราคาก็ไม่สูงดังเช่นเมื่อก่อน
ปัจจุบันอาหารพื้นบ้านบางอย่างเริ่มลบเลือนไปจากเมนูอาหารในบ้านเรา ซึ่งก็เป็นเรื่อง
ธรรมดาของสังคมที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามอาหารพื้นบ้านยังคงเล่าเรื่อง
ราวของวิถีชีวิตคนสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี และหากมองในมุมกลับ เราอาจพัฒนาอาหารพื้น
บ้านเหล่านี้เป็นเมนูเด็ดได้อย่างไม่ยากเย็น
สะแล
อาหารป่าสู่ครัวเรือน
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 473
ป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวามีพืชหลากหลายชนิดพันธุ์ที่สามารถน�ำไปใช้
ประโยชน์ได้แต่มีประโยชน์อย่างหนึ่งที่น่าสนใจที่หลายๆ คนคงยังไม่รู้ว่าต้นไม้ที่พบได้ทั่วไปใน
พื้นที่นี้สามารถน�ำมาท�ำเป็นเชือกได้อย่างง่ายดาย
ลุงหน�ำ (นายหน�ำ สว่างทิตย์) เล่าว่า คนสมัยก่อนมีวิธีท�ำเชือกที่มี
ความแข็งแรงได้จากต้นไม้ซึ่งต้นไม้ที่ว่านี้คือ ต้นปอตาน หรือที่ชาวบ้านแถบนี้
เรียกว่า ปอขาว (Sterculia urena Roxb. var. thorelii (Pierre) Phengklai
วงศ์Sterculiaceae) โดยมีวิธีการดังนี้
จะเห็นได้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในป่าที่ใช้ประโยชน์ได้เพียงแต่เรายังไม่รู้เราจึงควร
ฝึกตนเองให้เป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต เพื่อจะได้น�ำสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรามาประยุกต์ใช้และสิ่ง
หนึ่งที่เป็นแนวทางให้เราน�ำไปต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดีนั่นก็คือ ความรู้ของคนสมัย
ก่อนที่ได้ถ่ายทอด และพัฒนามารุ่นสู่รุ่น อย่างเช่น เปลือกต้นปอตานที่สามารถน�ำมาท�ำเชือกได้
หากเราไม่ได้ท�ำการศึกษาและจดบันทึกไว้ เมื่อวันเวลาผ่านไปสิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องจางหายไป
อย่างแน่นอน
ลอกเปลือกด้าน ลอกเปลือกสีขาวด้าน น�ำมาบิด พันซ�้ำให้หนา
ปอตาน สลิงแห่งพงไพร
นอกทิ้ง ในให้เป็นแผ่นยาว เป็นเกลียว ตามที่ต้องการ
บิดกับต้น
ไม้ให้แห้ง
474 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
เมื่อเราพูดถึงป่าสิ่งที่เรามักจินตนาการได้คือเห็นพรรณไม้มีสีเขียวสดใส แต่สิ่งที่ทีมส�ำรวจกลุ่ม
งานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ได้พบในป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา โซนป่าน�้ำ
หมัน อ�ำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์คือได้เห็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยพรรณไม้ที่
ออกดอกเป็นสีชมพูดูสวยงามทั่วป่า พรรณไม้ชนิดนั้นคือ ต้นเครือออน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ พวง
ประดิษฐ์(Congea tomentosa Roxb. วงศ์Verbenaceae) เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา
ได้มาก พบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง หรือพบได้ในป่าโปร่งทั่วไปถึงป่าดิบเขา
ต้นเครือออนมักนิยมน�ำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามรั้วบ้าน และตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม
แต่คุณสมบัติต้นเครือออนอีกด้านที่คนทั่วไปไม่รู้คือ เป็นพืชสมุนไพร โดยน�ำใบมาบดให้ละเอียดแล้ว
อังไฟให้ร้อน พอกในขณะร้อนบริเวณที่ถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย เช่น บุ้งร่าน ผึ้ง ต่อ แตน มด ช่วยบรรเทา
อาการบวม อักเสบ คัน แสบร้อนได้เป็นอย่างดีหรือน�ำใบหรือทั้งต้นมาต�ำพอกแผลสดเป็นยาสมาน
แผล นอกจากนี้น�ำใบหรือทั้งต้นต้มน�้ำดื่มแก้ไอ แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในไต ได้อีกด้วย
ดังนั้น เราอย่ามองแค่ว่าพรรณไม้ข้างทางมีเพียงความสวยงามอย่างเดียว แต่แท้ที่จริงแล้ว
พรรณไม้เหล่านั้นมีประโยชน์มากมาย หากเรารู้และน�ำกลับไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกวิธี
ว น า ล สีชมพู
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 475
เอกสารอ้างอิง
กัณฑรีย์บุญประกอบ และ กวินนาถ บัวเรือง. 2550. ไลเคนแห่งเกาะแสมสารจากยอดเขาถึง
ชายทะเล. ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง, กรุงเทพฯ.
เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์และ จารุจินต์นภีตะภัฏ. 2551. คู่มือแมลง. ส�ำนักพิมพ์สารคดี,
กรุงเทพฯ.
โกศล เจริญสม, สาวิตรีมาลัยพันธุ์, สุขสวัสดิ์พลพินิจ และกัลยา กลั่นสอน. 2549. ผีเสื้อ.
อักษรสยามการพิมพ์, กรุงเทพฯ
ขวัญ เรือน พาป้อง, กัณฑรีย์บุญประกอบ และ H. Thorsten Lumbsch. 2554. ไลเคน
วงศ์ Lecanoraceae (Lecanorales: Ascomycota) ในประเทศไทย.
อภิชาตการพิมพ์, มหาสารคาม.
คณะกรรมการจัดท�ำหนังสือพรรณไม้พระต�ำหนักสวนปทุม. 2550. พรรณไม้พระต�ำหนัก
สวนปทุม. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), กรุงเทพฯ.
จอร์นพาร์และคณะ. 2546. คู่มือธรรมชาติสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในประเทศไทย.
ส�ำนักพิมพ์สารคดีก�ำจัด, กรุงเทพฯ.
จารุจินต์นภีตะภัฏ, กานต์เลขะกุล, วัชระ สงวนสมบัติ. คู่มือศึกษาธรรมชาติหมอบุญส่ง
เลขะกุล “นกเมืองไทย”. บริษัทด่านสุทธา การพิมพ์จ�ำกัด, กรุงเทพฯ.
จิรศักดิ์ สุจริต และคณะ. 2551. หอยทากบกในอุทยานแห่งชาติเขานัน. โรงพิมพ์กรุงเทพฯ
จ�ำกัด, กรุงเทพฯ.
ฉวีวรรณ หุตะเจริญ. 2526. แมลงป่าไม้ของไทย. โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา, กรุงเทพฯ.
เต็ม สมิตินันทน์. 2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม.
บริษัทประชาชน จ�ำกัด, กรุงเทพฯ.
ธวัชชัย สันติสุข. 2547. พืชถิ่นเดียวและพืชหายากของประเทศไทย. โรงพิมพ์ชุมชน
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำกัด, กรุงเทพฯ.
ธัญญา จั่นอาจ. 2546. คู่มือสัตว์สะเทินน�้ำสะเทินบกในประเทศไทย.
บริษัทด่านสุทธา การพิมพ์จ�ำกัด, กรุงเทพฯ.
นิดดา หงส์วิวัฒน์. 2548. ผีเสื้อแสนสวย. บริษัท ส�ำนักพิมพ์แสงแดดเพื่อนเด็ก จ�ำกัด,
กรุงเทพฯ.
นิวัฒ เสนาะเมือง. 2553. เห็ดป่าเมืองไทย: ความหลากหลายและการใช้ประโยชน์.
ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ยูนิเวอร์แซล กราฟฟิคแอนด์เทรดดิ้ง, กรุงเทพฯ.
476 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ประสิทธิ์จันเสถียร. 2551. ภาพถ่ายนกเมืองไทย. โรงพิมพ์ตะวันออก (มหาชน) จ�ำกัด,
กรุงเทพฯ.
ประทีป ด้วงแค. 2550. ค้างคาวเมืองไทย : ส�ำหรับการจ�ำแนกชนิดในภาคสนาม.
โรงพิมพ์และท�ำปกเจริญผล, กรุงเทพฯ.
ปิยะ เฉลิมกลิ่น. 2544. พรรณไม้วงศ์กระดังงา. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนท์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด
(มหาชน), กรุงเทพฯ.
พชร มงคลสุข และ วสันต์เพิงสูงเนิน. 2555. ไลเคนวงศ์กราฟิดาซิอิ, ศิลปกรรมตาม
ธรรมชาติ (The Lichen Family Graphidaceae, Natural Art). โรงพิมพ์
โนเบิ้ลพริ้นส์, กรุงเทพฯ.
พร้อมจิต ศรลัมพ์และคณะ. 2543. สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนท์
พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), กรุงเทพฯ.
ภราดร สามสูงเนิน. 2549. อนุกรมวิธานของไม้เถาเนื้อแข็ง ณ สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อม
สะแกราชจังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
พฤกษศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ภาควิชากีฏวิทยา. 2542. บทปฏิบัติการกีฏวิทยาเบื้องต้น.ส�ำนักพิมพ์รั้วเขียว, กรุงเทพฯ
ภานุมาศ จันทร์สุวรรณ, วัชระ สงวนสมบัติและพรนรินทร์คุ้มทอง. มะเดื่อ-ไทร ในป่า
ตะวันออก. องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ. โรงพิมพ์ดอกเบี้ย, กรุงเทพฯ.
ราชบัณฑิตยสถาน. 2547. อนุกรมวิธานพืช อักษร ก ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม. ห้างหุ้นส่วน
จ�ำกัด. อรุณการพิมพ์, กรุงเทพฯ.
ราชบัณฑิตยสถาน. 2546. ศัพท์พฤกษศาสตร์ อังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 2, อรุณการพิมพ์, กรุงเทพฯ.
วงศ์สถิตย์ฉั่วกุล. 2543. สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4 กกยาอีสาน. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนท์
พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), กรุงเทพฯ.
สมโภชน์อัคคะทวีวัฒน์. 2545. ภาพปลาและสัตว์ของไทย. องค์การค้าของคุรุสภา,
กรุงเทพฯ.
สมโภชน์อัคคะทวีวัฒน์. 2547. สาระน่ารู้ปลาน�้ำจืดไทย เล่ม2. องค์การค้าของคุรุสภา,
กรุงเทพฯ.
สมศักดิ์ปัญหา และคณะ. 2552. กิ้งกือกระบอกในประเทศไทย. ส�ำนักพิมพ์NSN การพิมพ์,
กรุงเทพฯ.
ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้กรมป่าไม้. 2540. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์.
โรงพิมพ์ประชาชน จ�ำกัด, กรุงเทพฯ.
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 477
ส้า มีสิม และพชร มงคลสุข. 2553. โฟลิโอสไลเคนวงศ์ฟิสเซียซิอิในเขตรักษาพันธุ์
สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย. วารสารพฤกษศาสตร์ไทย. 2 (ฉบับพิเศษ): 55-64.
สุรินทร์มัจฉาชีพ. 2531. อาณาจักรสิ่งมีชีวิต เล่ม2. ส�ำนักพิมพ์แพร่พิทยา วังบูรพา,
กรุงเทพฯ.
ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 2554. คู่มือทะเบียนชนิด
พันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกัน ควบคุม และก�ำจัดของประเทศไทย: สัตว์สะเทินน�้ำ
สะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม, กรุงเทพฯ.
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ. 2544. เห็ดและราในประเทศไทย.
ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กรุงเทพฯ.
หน่วยวิจัยไลเคน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง. 2547.
ความหลากหลายชนิดของไลเคน ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่. ส�ำนักงาน
นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรุงเทพฯ.
อนงค์จันทร์ศรีกุล และคณะ. 2551. ความหลากหลายของเห็ดและราขนาดใหญ่ใน
ประเทศไทย. ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
อบฉันท์ไทยทอง. 2543. กล้วยไม้ป่าเมืองไทย. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนท์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด
(มหาชน), กรุงเทพฯ.
เอื้อมพร วีสมหมาย และปณิธาน แก้วดวงเทียน. 2547. ไม้ป่ายืนต้นของไทย 1. เอ็น วาย ฟิมล์
จ�ำกัด, กรุงเทพฯ.
Awasthi, D. D. 1991. A key to the Microlichen of India, Napal and Sri Lanka.
BiliothecaLichenologica, 40: 1-360.
Cox, M.J., Dijk, P.P. van, Nabhitabhata, J. and K. Thirakupt. 2008. Snakes and
other reptiles of Thailand and South-east Asia. Asia Books Co.,Ltd.
Bangkok, Thailand.
Makhija, U. and P. G. Patwardhan. 1988. The lichen genus Laurera (family
Trypetheliaceae) in India. Mycotaxon. 31: 565-590.
McCarthy, P.M., 2001. Flora of Australia Volume 58A, Lichens 3. Melbourne :
BRS/CSIRO, Australia.
Nabhitabhata J. and T. Chan-ard. 2005. Thailand Red Data : Mammals, Reptiles
and Amphibians. Office of Natural Resources and Environmental
Policy and Planning, Bangkok, Thailand. 234 p.
478 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Nanakorn, W. 1985. The genus Terminalia (Combretaceae) in Thailand.
Thai For. Bull. (Bot.) 15: 59-107.
Noicharoen, K. 2002. Biodiversity of foliose and fruticose lichen at Khaoyai
National Park. M.S. Thesis, Ramkhamhaeng University, Thailand.
Papong, K. and Lumbsch, H. T. 2011. A taxonomic survey of Lecanorasensus
tricto in Thailand (Lecanoraceae, Ascomycota). Lichenologist 43
(4): 299-320.
Paul S. and Barry H. 2009. Mushroom & Toadstools. Harper Collin, London.
Phaibul Naiyanetr. 2007. CRUSTACEAN FAUNA IN THAILAND. Integrated
Promotion Technology Co., Ltd. Bangkok, Thailand.
Puff, C., K. Chayamerit and V. Chamchumroon. 2005. Rubiaceae of Thailand.
Prachachon Co. Ltd., Bangkok.
Rogers, R.W. 1992. Key to Australian Lichen Genera in Flora of Australia
Vol. 54: 65-94.
Roger, R.W. 2004. Lichen Flora of the Greater Sonoran Desert Region, Lichen
Unlimited Arizona State University Tempe, Arizona Vol III
Sanguansombat W., 2005. Thailand Red Data : Birds. Office of Natural Resources
and Environmental Policy and Planning, Bangkok, Thailand. 158 p.
Santisuk T. et al., 2006. Thailand Red Data : Plants. office of Natural Resourecs
and Environmental Policy and Planning, Bangkok, Thailand. 256 p.
Santisuk, T. and Larsen, K. 2001. Flora of Thailand 7 (3). Prachachon Co. Ltd.,
Bangkok.
Santisuk, T. and Larsen, K. 2002. Flora of Thailand 7 (4). Prachachon Co. Ltd.,
Bangkok.
Santisuk, T. and Larsen, K. 2007. Flora of Thailand 8 (2). Prachachon Co. Ltd.,
Bangkok.
Santisuk, T. and Larsen, K. 2011. Flora of Thailand 10 (4). Prachachon Co. Ltd.,
Bangkok.
Smitinand, T. and Larsen, K. 1987. Flora of Thailand 5 (1). Chutima Press,
Bangkok.
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 479
Smitinand, T. and Larsen, K. 1990. Flora of Thailand 5 (2). Chutima Press,
Bangkok.
Smitinand, T. and Larsen, K. 1993. Flora of Thailand 6 (1). Rumthai Press
Co. Ltd., Bangkok.
Staiger, B. 2002. Die Flechten familie Graphidaceae. Studien in Richtungeiner
Naturlichen Gliederung. Bibliotheca Lichenologica 85:1–526.
Stuart, B. L., van Dijk, P. P. and Hendrie, D. B. 2001. Photographic Guide to
Turtles of Thailand, Laos, Vietnam and Cambodia. DESIGN GROUP.
Phnom Penh, Cambodia.
Swinscow, T. D. V. and H. Krog. 1988. Macrolichens of East Africa. British
Museum, London.
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. 1979. Flora of Thailand 3 (1) (Pteridophytes).
TISTR, Bangkok.
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. 1985. Flora of Thailand 3 (2) (Pteridophytes).
Phonphan Printing Co. Ltd., Bangkok.
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. 1988. Flora of Thailand 3 (3) (Pteridophytes).
Chutima Press, Bangkok.
Tagawa, M. and K. Iwatsuki. 1989. Flora of Thailand 3 (4) (Pteridophytes).
Chutima Press, Bangkok.
Thienhirun, S. 1997. A Preliminary Account of the Xylariaceae of Thailand.
Ph.D.Thesis, Liverpool Jhon Moores University, Liverpool, UK.
Thrower, S. L. 1998. Hong Kong Lichens. Department of Biology, The Chinese
University of Hong Kong.
Upreti, D. K. and A. Singh. 1987. Lichen genus Laurerafrom the Indiansub
continent. Bulletin de JardinBotanique National de Belgique 57:
367-383.
Vidthayanon C., 2005. Thailand Red Data : Fishes. Office of Natural Resources
and Environmental Policy and Planning, Bangkok, Thailand. 108 p.
Vongshewarat, K. 2000. Study in taxonomy and ecology of the lichens
family Trypetheliaceae in Thailand. M.S. thesis, Ramkhamhaeng
University. Thailand.
480 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ดัชนีชื่อไทย
ด้านพืช
กระเจียวขาว
กระเจียวขาวปากเหลือง
ก่อแซะ
กะเรกะร่อน
กาสะลองค�ำ
ขันทองพยาบาท
เข็มขาว
เข็มพวง
เข็มม่วง
แข้งกวางดง
คราม
ครามน�้ำ
คอแลน
ค�ำบูชา
เครือห้าต่อเจ็ด
แคหางค่าง
โคกกระออม
งิ้ว
ช้างกระ
ชายผ้าสีดา
ชิงชี่
ด้าง
ตะคร�้ำ
ตาลเหลือง
ตูมกาขาว
ถั่วลาย
เถาแปบหนู
นางแย้มป่า
128
127
108
110
78
88
113
117
68
120
95
87
123
91
125
77
121
79
112
115
82
76
81
107
124
90
94
99
75
69
102
129
126
70
114
106
105
86
122
84
97
74
118
73
72
71
130
83
116
104
119
101
80
98
96
93
89
92
บอนเต่า
ปรู
ปอลมปม
ปุดเมืองกาน
เปราะทองลาร์เซน
ผักขมหนาม
ผักสาบ
พิลังกาสา
มะเดื่ออุทุมพร
มะไฟ
มะหวด
มันเสา
เมื่อย
โมกมัน
ยอดิน
ระย่อม
รักขาว
รักใหญ่
ว่านกระหัง
ว่านข้าวเหนียว
ส้มกบ
สะแล
สะแล่งหอมไก๋
โสมชบา
หญ้างวงช้าง
หญ้าดอกค�ำ
หญ้าหางอ้น
หนาดค�ำ
หนามหัน
หิ่งหนู
ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา 481
กบหลังไพล
กบอ่องเล็ก
กระจ้อน
กระรอกบินเล็กแก้มขาว
กระเล็นขนปลายหูสั้น
กิ้งก่าบินปีกส้ม
ค้างคาวขอบหูขาวกลาง
ค้างคาวบัวฟันรี
ค้างคาวแวมไพร์แปลงเล็ก
งูเขียวพระอินทร์
งูงอดไทย
งูลายสอใหญ่
งูลายสาบคอแดง
งูเห่าหม้อ
จิ้งจกหางหนาม
จิ้งเหลนบ้าน
จิ้งเหลนภูเขาเกล็ดเรียบ
นกกระจ้อยหัวลาย
นกกระจาบธรรมดา
นกกระจิ๊ดธรรมดา
นกกระแตแต้แว้ด
นกกระเบื้องผา
นกกวัก
นกกะเต็นน้อยธรรมดา
นกกะรางหัวหงอก
นกกางเขนดง
นกกางเขนบ้าน
นกกาแวน
นกกินปลีอกเหลือง
นกขมิ้นท้ายทอยด�
ำ
นกขมิ้นน้อยธรรมดา
นกเขาเขียว
นกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง
นกเค้ากู่
นกเค้าโมง
นกจับแมลงคอแดง
นกจับแมลงจุกด�
ำ
นกจับแมลงสีฟ้า
นกจับแมลงอกส้มท้องขาว
นกจาบคาเล็ก
นกจาบคาหัวสีส้ม
นกจาบดินอกลาย
นกแซงแซวหงอนขน
นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่
นกเด้าดินทุ่งเล็ก
นกเด้าลมหลังเทา
นกตบยุงหางยาว
นกตะขาบทุ่ง
นกแต้วแล้วธรรมดา
นกปรอดทอง
นกปรอดหัวสีเขม่า
นกปรอดเหลืองหัวจุก
นกปลีกล้วยลาย
ด้านสัตว์
เหมือดจี้ดง
เหียง
อังกาบ
อินทนิลบก
เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด
เอื้องดอกมะขาม
222
223
157
158
159
210
153
154
155
211
212
214
213
215
216
217
218
206
198
196
168
209
202
165
207
186
187
173
194
195
164
170
169
205
204
190
185
189
188
182
181
208
176
177
183
184
178
171
197
199
200
201
193
103
85
67
100
109
111
482 ป่าล�
ำน�้ำน่านฝั่งขวา
นกปลีกล้วยเล็ก
นกปีกลายสก๊อต
นกโพระดกธรรมดา
นกยอดหญ้าหัวด�
ำ
นกยางควาย
นกสาลิกาเขียว
นกสีชมพูสวน
นกอีแพรดแถบอกด�
ำ
นกแอ่นพง
นกแอ่นฟ้าหงอน
บึ้งด�
ำเล็ก
ปลากระทิงลาย
ปลาแก้มช�้ำ
ปลาขี้ยอกหางเหลือง
ปลาซิวควายแถบด�
ำ
ปลาซิวหนวดยาว
ปลาน�้ำหมึก
ปลาเลียหิน
ปลาหมอช้างเหยียบ
แมงป่องช้าง
แมงป่องเล็ก
หนูพุกเล็ก
เหยี่ยวกิ้งก่าสีด�
ำ
เหยี่ยวขาว
เหยี่ยวนกเขาชิครา
เหยี่ยวปีกแดง
อ้นเล็ก
อึ่งข้างด�
ำ
อึ่งน�้ำเต้า
อึ่งลาย
ครั่ง (ตัวผู้)
ด้วงก้นกระดก
ด้วงคีมยีราฟ
ด้วงแรดป่า
ด้วงเสือ
ด้วงหนวดยาวจุดสยาม
ต่อกระดาษ
ปลวก
ผีเสื้อกลางคืน
ผีเสื้อกะทกรกธรรมดา
ผีเสื้อกะลาสีลายจุด
ผีเสื้อจรกาหนอนยี่โถ
ผีเสื้อเณรสามจุด
ผีเสื้อถุงทองธรรมดา
ผีเสื้อพุ่มไม้ธรรมดา
ผีเสื้อรมควัน
ผีเสื้อลายเสือ
ผีเสื้อไวส์เคาท์ขอบฟ้า
ผีเสื้อสายัณห์สีตาลธรรมดา
ผีเสื้อแสดหางยาว
ผีเสื้อหนอนกระทู้
ผีเสื้อหนอนกาฝากจุดแดง
ผีเสื้อหนอนคูนธรรมดา
ผีเสื้อหนอนจ�
ำปีจุดแยก
ผีเสื้อหนอนเจาะสัก
ผีเสื้อหนอนพุทราแถบฟ้า
ผีเสื้อหนอนมะไฟลายเลียน
ผีเสื้อหนอนมังกรล�
ำไย
ผีเสื้อหนอนหนามกะทกรก
ด้านแมลง 192
174
180
191
166
172
175
203
167
179
234
230
228
226
229
224
227
225
231
233
232
152
161
163
160
162
156
221
220
219
315
312
308
310
306
304
324
333
296
271
275
272
283
278
267
299
288
276
274
268
292
284
285
279
290
266
298
294
270
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 483
เห็ดกรวยทองตะกู
เห็ดกระด้างรูน�้ำตาลอ่อนอมเหลือง
เห็ดกระดิ่งหยก
เห็ดก้อนกรวดยางสีเหลือง
เห็ดขมิ้นน้อย
เห็ดขมิ้นใหญ่
เห็ดขอนแดง
เห็ดข่า
เห็ดขิง
เห็ดแครง
เห็ดดันหมีม่วงด�ำ
เห็ดดาวดินกลม
เห็ดแดงน�้ำหมาก
เห็ดปะการังยอดเขากวาง
เห็ดปะการังหนามเหลือง
เห็ดพายทอง
ด้านเห็ดรา ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น
กระติบข้าวเหนียว
ข้อง
เข่งปลา
จักสานสุ่มไก่
ผู้รู้การจักสาน
ผู้รู้ด้านสมุนไพร
ไม้กวาดดอกหญ้า
สานทางมะพร้าว
เสื่อล�ำแพน
หมอส่งเคราะห์
หวดนึ่งข้าว
ผีเสื้อหางติ่งนางละเวง
ผีเสื้อหางตุ้มจุดชมพู
ผีเสื้ออ๊าชดุ๊คธรรมดา
ผึ้งหลวง
มดแดง
มดหนามหีบทองแหลม
แมลงทับขาแดง
แมลงปอบ้านเสือวงลาย
แมลงปอบ้านเสือสามเหลี่ยม
เสี้ยนดิน
เหลือบ
เห็ดฟานน�้ำตาลแดง
เห็ดมันปู
เห็ดระโงกขาว
เห็ดระโงกเหลือง
เห็ดรังแตน
เห็ดรังนก
เห็ดรังมิ้ม
เห็ดลม
เห็ดหลินจือ
เห็ดหูช้าง
280
281
273
318
321
322
302
327
328
320
331
361
352
351
350
371
368
369
358
357
356
458
448
450
452
460
462
454
446
456
442
444
372
374
386
375
353
354
373
359
360
363
377
366
362
355
364
365
484 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Index
Plant
Abelmoschus moschatus
Acacia comosa
Adenia viridiflora
Aerides falcata
Alangium salviifolium
Amaranthus spinosus
Anacolosa ilicoides
Ardisia polycephala
Baccaurea ramiflora
Barleria cristata
Bombax ceiba
Breynia retusa
Broussonetia kurzii
Capparis micracantha
Cardiospermum halicacabum
Centrosema pubescens
Clerodendrum viscosum
Cornukaempferia larsenii
Crotalaria juncea
Crotalaria neriifolia
Curcuma cochinchinensis
Curcuma parviflora
Cymbidium aloifolium
Dendrobium delacourii
Desmodium oblongum
Dioscorea alata
Dipterocarpus obtusifolius
Eranthemum album
Etlingera araneosa
Fernandoa adenophylla
Ficus racemosa
Gagnepainia thoreliana
Galactia tenuiflora
Garuga pinnata
Gluta usitata
Gnetum montanum
Hapaline benthamiana
Heliotropium indicum
Hoya kerrii
Hymenodictyon orixense
Hypoxis aurea
Indigofera tinctoria
Ixora butterwickii
Lagerstroemia macrocarpa
Lepisanthes rubiginosa
Memecylon plebejum
Morinda angustifolia
Murdannia edulis
Nephelium hypoleucum
Ochna integerrima
Platycerium wallichii
Radermachera ignea
Rauvolfia serpentina
Rhynchostylis gigantea
Rothmannia sootepensis
Semecarpus cochinchinensis
Strychnos nux–blanda
Suregada multiflorum
101
89
114
109
69
70
108
106
86
67
79
87
104
82
121
90
99
126
91
92
127
128
110
111
93
84
85
68
129
77
105
130
94
81
71
97
75
80
76
116
98
95
117
100
122
103
118
83
123
107
115
78
73
112
119
72
124
88
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 485
Animal
Tetrastigma serrulatum
Thespesia lampas
Uraria lagopodioides
Vanda lilacina
Wendlandia paniculata
Wrightia arborea
Accipiter badius
Aegithina tiphia
Alcedo atthis
Amaurornis phoenicurus
Anthus rufulus
Arachnothera longirostra
Arachnothera magna
Artamus fuscus
Aviceda leuphotes
Bandicota savilei
Bubulcus coromandus
Butastur liventer
Calluella guttulata
Cannomys badius
Caprimulgus macrurus
Chalcophaps indica
Chloropsis aurifrons
Chrysopelea ornata
Cinnyris jugularis
Cissa chinensis
Copsychus malabaricus
Copsychus saularis
Coracias benghalensis
Crypsirina temia
Cynopterus sphinx
Cyornis tickelliae
Dicaeum cruentatum
Dicrurus hottentottus
Dicrurus paradiseus
Draco maculatus
Elanus caeruleus
Esomus metallicus
Eumyias thalassinus
Ficedula albicilla
Garra fasciacauda
Garrulax leucolophus
Garrulus glandarius
Glaucidium cuculoides
Haplopelma minax
Hemidactylus frenatus
Hemiprocne coronata
Heterometrus spinifer
Hylopetes phayrei
Hypothymis azurea
Isometrus maculatus
Mabuya multifasciata
Mastacembelus favus
Megaderma spasma
Magalaima lineata
Menetes berdmorei
Merops leschenaulti
Merops orientalis
Microhyla heymonsi
Microhyla ornata
125
102
96
113
120
74
160
164
165
202
183
192
193
167
161
152
166
162
219
156
178
170
169
211
194
172
186
187
171
173
153
188
175
176
177
210
163
224
189
190
225
207
174
204
234
216
179
233
158
185
232
217
230
155
180
157
181
182
221
220
486 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Insect
Acraea violae
Apis dorsata
Arthroschista hilaralis
Calochroa bramani
Catopsilia pomona pomona
Cethosia cyane euanthe
Cyclolosia papilionaris
Delias descombesi descombesi
Discolampa ethion
Dorylus orientalis
Euploea core godartii
Eurema blanda
Graphium doson evemonides
Gyneutocera papilionaria
Havilanditermes proatripennis
Hypolycaena erylus
Laccifer lacca
Lexias pardalis jadeitina
Loxura atymnus
Melanitis leda leda
Neochera dominia
Neptis magadha
Oecophylla smaragdina
Olenecamptus siamensis
Orthetrum testaceum
Orthetrum triangulare
Pachliopta aristolochiae
Paederus fuscipes
Papilio memnon agenor
Polistes stigma
Monticola solitarius
Motacilla cinerea
Mystacoleucus marginatus
Nectarinia jugularis
Oligodon taeniatus
Opsarius koratensis
Oriolus chinensis
Otus lettia
Pellorneum ruficeps
Phylloscopus inornatus
Pitta moluccensis
Ploceus philippinus
Pristolepis fasciata
Puntius orphoides
Pycnonotus atriceps
Pycnonotus aurigaster
Pycnonotus flaviventris
Rana lateralis
Rana nigrovittata
Rasbora paviei
Rhabdophis subminiatus
Rhipidura javanica
Rousettus leschenaulti
Saxicola stejnegri
Sphenomorphus maculatus
Tamiops mcclellandi
Urosphena squameiceps
Vanellus indicus
Xenochrophis piscator
209
184
226
215
212
227
195
205
208
196
197
198
231
228
199
200
201
222
223
229
213
203
154
191
218
159
206
168
214
270
318
296
306
285
271
298
284
266
320
272
283
279
299
333
267
315
273
268
274
292
275
321
304
327
328
281
312
280
324
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 487
Amanita hemibapha
Amanita princeps
Arcangeliella beccarii
Camillea tinctor
Cantharellus cibarius
Clavulinopsis laeticolor
Craterellus aureus
Craterellus odoratus
Cyathus striatus
Dacryopinax spathularia
Daldinia eschscholtzii
Ganoderma applanatum
Ganoderma lucidum
Geastrum saccatum
Hexagonia apiaria
Hexagonia cingulata
Hexagonia tenuis
Hypoxylon fendleri
Mushroom
Lichen
Acanthothecis clavulifera
Anthracothecium cristatellum
Arthonia cinnabarina
Chapsa leprocarpoides
Chrysothrix candelaris
Diorygma hieroglyphicum
Dirinaria applanata
Dyplolabia afzelii
Glyphis cicatricosa
Polyrhachis illaudata
Prosopocoilus giraffa
Sternocera ruficornis
Tabanus fulvilinearis
Tanaecia julii
Tarsolepis elephatorum
Tatargina picta
Trichogomphus martabani
Troides aeacus aeacus
Xyleutes ceramica
Hypoxylon haematostroma
Hypoxylon investeins
Hypoxylon lividicolor
Hypoxylon nitens
Irpex flavus
Lactarius flavidulus
Lactarius piperatus
Lactarius volemus
Lentinus polychrous
Microporus xanthopus
Pycnoporus sanguineus
Rhodophyllus virescens
Russula emetica
Schizophyllum commune
Scytinopogon angulisporus
Trametes cingulata
Xylaria badia
Xylaria culleniae
Xylaria grammica
322
308
302
331
276
294
288
310
278
290
350
351
375
376
352
364
353
354
368
365
377
356
357
366
369
370
371
378
379
380
381
382
367
359
360
361
358
372
373
386
362
363
355
374
383
384
385
405
430
403
406
404
407
426
408
409
488 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
Glyphis scyphulifera
Graphis longispora
Graphis rhizicola
Laurera benguelensis
Laurera madreporiformis
Lecanora achroa
Letrouitia domingensis
Letrouitia leprolyta
Letrouitia transgressa
Malmidea aurigera
Malmidea bakeri
Malmidea inflata
Malmidea piae
Ocellularia terebrata
Parmotrema praesorediosum
Parmotrema tinctorum
Porina eminentior
Porina glabra
Pyrenula anomala
Pyrenula kurzii
Pyxine meissneriana
Relicinopsis rahengensis
Thelotrema pachysporum
Trypethelium eluteriae
Trypethelium nigroporum
410
411
412
433
434
415
416
417
418
419
420
421
422
413
423
424
428
429
431
432
427
425
414
435
436
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 489
คณะท�ำงาน
ผู้อ�ำนวยการกลุ่มงานความหลากหลายทางชีวภาพ
ด้านป่าไม้
นักวิทยาศาสตร์ช�ำนาญการ
นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ
นักวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์
ผู้ช่วยนักวิจัย
ผู้ช่วยนักวิจัย
เจ้าพนักงานการเกษตร
เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป
เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นักวิทยาศาสตร์(จ้างเหมา)
นางสุรางค์ เธียรหิรัญ
นางสาววีรณา สมพีร์วงศ์
นายอภิวัฒน์ เอื้ออารีเลิศ
นางสาวนิรดา แป้นนางรอง
นายอานุภาพ โตสุวรรณ
นางสาวเกศรา แก้วก้อน
นางสาวสุทธิลักษณ์ โรจนานุกูล
นายกิติวุฒิ ช่างเจริญ
นายสนั่น หมัดส๊ะ
นางสาวจารินี บ�ำรุงถิ่น
นางสุวรรณี สร้างค�ำ
นางสาวชลดา พรจ่าย
นางสาวณัฐนันท์ ทะแดง
นางสาวนงค์ลักษณ์ อาญาเมือง
นางสาวดาริกา เศษบุบผา
นางสาวนรินรัตน์ นิ่มประเสริฐ
นางสาวเปมิกา ค่ายกนกวงศ์
นางสาวพรสุดา กุหลาบเทียม
นางสาวเพ็ญแข ซ้ายวัด
นายณัฐพงศ์ จันทร์หอม
นายนันทวุฒิ สุนทรวิทย์
นางสาวจิดาภา แสงสุริยา
นางสาวพรรษกร เนียมสวัสดิ์
490 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ขอขอบคุณ
ผู้เชี่ยวชาญด้านพืช นางสาววิสาขา เพียรสุภาพ
ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ ดร.ไสว วังหงษา อาจารย์ประทีป ด้วงแค
นายอรรถพล รุจิราวรรณ นายมานพ เหล็มปาน
ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลง รศ.โกศล เจริญสม ดร.สุขสวัสดิ์ พลพินิจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านไลเคน ผศ.ดร.กัณฑรีย์ บุญประกอบ ดร.ขจรศักดิ์ วงค์ชีวรัตน์
นางสาวนาถวิดา ดวงผุย
ที่ปรึกษา
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ
นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา
นางเปรมพิมล พิมพ์พันธุ์
นายสมชัย มาเสถียร
นายธิติ วิสารัตน์
อธิบดีกรมป่าไม้
รองอธิบดีกรมป่าไม้
รองอธิบดีกรมป่าไม้
รองอธิบดีกรมป่าไม้
รักษาการในต�ำแหน่งผู้อ�ำนวยการ
ส�ำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 491
นายหน�ำ สว่างทิตย์ นายอภิชาติบุญสี
นายหมอ ตาใส นายหิน จ้าวแก่ง
นายนวล ด�ำหลุ่ย นายสงวน น�ำแจ้
นายหลุ่น อินแจ้ นายสุนัน ผุลผล
นางวิจิตรา ล�ำใย
อาสาสมัครชุมชน
นายชาญณรงค์สังข์เงิน นายกองค์การบริหารส่วนต�ำบลผาเลือด
นายเงิน เพ็งจู ผู้ใหญ่บ้านห้วยเจริญ
นางสุพิน เกียรติศิริถาวร ศูนย์ประสานงานป่าไม้อุตรดิตถ์
ขอขอบคุณภาคีเครือข่าย
นายสุทัศน์กาวิชัย หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่อต.1(ท่าปลา)
นายสุพัน ค�ำมูล พนักงานพิทักษ์ป่า ส2
นายจันทร์เพ็ชรเสา พนักงานพิทักษ์ป่า ส2
นายประสิทธิ์กุลพรม พนักงานขับรถยนต์ส2
นายมนัส ทองจันทร์ เจ้าหน้าที่ตรวจป่า
นายไทย ลือทอง เจ้าหน้าที่ตรวจป่า
นายดอกรัก สารถ้อย เจ้าหน้าที่ตรวจป่า
นายอภัย เงินพรวน เจ้าหน้าที่ตรวจป่า
นายบุญปลูก เงินวัน เจ้าหน้าที่ตรวจป่า
นายสุธีภักดี เจ้าหน้าที่ศูนย์ฟื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่งชาติป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
ขอขอบคุณหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ อต. 1 (ท่าปลา)
นายเพชร ปันนวน นายอนันต์ปันนวน นายค�ำสน ทาแก้ว
นายจ�ำนงค์เสนใจ นายสุรศักดิ์วงษ์ดอน นายสมชาย หนูเสีย
นายสมคิด วงษ์ดอน นายเอกพันธ์ค�ำน้อย นายไพรสิทธิ์แสนหลวง
บ้านน�้ำต๊ะ
บ้านห้วยเจริญ
492 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
คืนพรรณพืช สร้างความตระหนัก
อนุรักษ์ความหลากหลายฯ
ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา 493
กว่าจะได้ข้อมูล........
494 ป่าล�ำน�้ำน่านฝั่งขวา
http://biodiversity.forest.go.th
ฐานข้อมูล : ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่ าไม้