รองเท้านารี เป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่งที่มูลนิธิโครงการหลวงได้นำมาทดลองปลูกเพื่อให้เกษตรกรชาวไทยภูเขามีรายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2544 เป็นกล้วยไม้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นที่นิยมของคนทั่วไป บ้านเราเป็นถิ่นกำเนิดของรองเท้านารีพื้นเมืองหลายชนิด แต่ปัจจุบันมีการตัดไม้ทำลายป่า มีการเก็บจากป่ามาจำหน่าย นับวันจึงมีโอกาสสูญพันธุ์ได้ในที่สุด มูลนิธิโครงการหลวงจึงมีแนวคิดในการปลูกจิตสำนึกของการอนุรักษ์กล้วยไม้ไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงเกิดโครงการรวบรวมกล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์แท้และลูกผสมหลายสายพันธุ์ ตลอดจนหาวิธีการผสมพันธุ์ใหม่เพื่อให้เกษตรกรจำหน่ายในท้องตลาดได้อย่างถูกต้อง ไม่เกิดปัญหาระหว่างประเทศ
นายวชิระ เกตุเพชร นักวิชาการไม้ดอก สถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์ เล่าว่า รองเท้านารีเป็นกล้วยไม้ที่ปลูกเลี้ยงยากมากที่สุดเท่าที่เคยมีประสบการณ์ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้มานาน แต่ละสายพันธุ์มีความต้องการแตกต่างกัน ทั้งในด้านวัสดุปลูก ความเข้มของแสง การระบายน้ำ อุณหภูมิ ฯลฯ ดังนั้น ผู้เลี้ยงจะต้องมีความเข้าใจและสังเกตตลอดระยะเวลาการปลูก จากการดำเนินงานที่ผ่านมาได้ทดลองขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด สามารถขยายได้ทั้งในธรรมชาติและในสภาพปลอดเชื้อในห้องปฏิบัติการ วิธีตามธรรมชาติทำได้ง่ายด้วยการนำฝักที่สุกแก่เต็มที่แล้ว นำเมล็ดโรยบนโคนต้น เมล็ดจะใช้เวลางอกประมาณ 2 ปีขึ้นไป เพราะต้องอาศัยอาหารจากบริเวณโคนต้นแม่ รองเท้านารีที่เพาะเมล็ดตามธรรมชาติหลายชนิด เช่น อินทนนท์ลาว คางกบลาว เหลืองปราจีน และรองเท้านารีฝาหอย
วิธีการขยายพันธุ์อีกวิธีหนึ่งคือ การแบ่งกอและแยกกอ ช่วยให้เพิ่มปริมาณของต้นและเป็นวิธีการที่เกษตรกรปฏิบัติอยู่ โดยแยกต้นใหม่ออกจากต้นแม่และให้มีรากติดอยู่ หรือนำต้นแม่วางบนวัสดุปลูกและมีความชื้น จะช่วยให้เกิดต้นใหม่ได้ ควรคำนึงถึงความสมบูรณ์ของต้นแม่ด้วย รองเท้านารีที่สามารถแยกกอเป็นต้นเดี่ยวได้ เช่น ขาวสตูล เหลืองพังงา ฝาหอย เหลืองปราจีน ส่วนรองเท้านารีที่แบ่งกอเป็นต้นเดี่ยวแล้วอาจไม่ออกดอกและตายได้ง่าย เช่น เมืองกาญจน์ เหลืองกระบี่ เหลืองเลย และไม้กลุ่มอินทนนท์ วิธีการแบ่งกอและแยกกอนี้ ควรกระทำระหว่างเดือนมีนาคม –เมษายน เพราะรองเท้านารีอยู่ในช่วงการพักตัวตามธรรมชาติ ต้นไม่อวบน้ำ ไม่เกิดโรคเน่าได้ง่าย
วัสดุปลูก รองเท้านารีสามารถใช้วัสดุปลูกได้หลากหลายชนิด เช่น อิฐมอญทุบ ถ่าน หินเกล็ด ออสมันดา ใบก้ามปูผุ ปุ๋ยหมักจากเศษไม้ผุหรือปุ๋ยคอก ดินขุยไผ่ เปลือกถั่วลิสงหมัก หรือโฟมหักเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากการทดลองใช้เครื่องปลูกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของรองเท้านารีลูกผสมฝาหอย และลูกผสมคางกบ พบว่าเครื่องปลูกที่ดีคือ ส่วนผสมของเปลือกถั่ว ทราย ถ่าน ทำให้มีจำนวนใบ ความยาวใบ ความกว้างของใบ และความกว้างของทรงพุ่มมากที่สุด ขณะเดียวกันหากปลูกรองเท้านารีคางกบในกระถาง โดยใช้ถ่านแกลบและไม้ผุ ทำให้ลำต้นที่ความแข็งแรงและสม่ำเสมอ หากปลูกรองเท้านารีคางกบลงในแปลงโดยใช้ขุยมะพร้าว ใบไม้ผุ กิ่งไม้ผุ และรองพื้นด้วยพลาสติก จะเจริญเติบโตได้ดีตามลำดับคือ คางกบปักษ์ใต้ คางกบคอแดง คางกบลาว สุขะกุล และคางกบเขมร อย่างไรก็ตามผู้ที่เพาะเลี้ยงกล้วยไม้รองเท้านารี จะต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกทุกปีหรือเมื่อวัสดุปลูกยุบ หรือเมื่อต้นที่แตกกอจนแน่นกระถาง พร้อมกับสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของต้นไม้ด้วย
การปฏิบัติและเก็บเกี่ยว รองเท้านารีเป็นกล้วยไม้ที่ชูช่อก้านดอกขึ้นสูง ความจำเป็นต้องดัดดอกหรือค้ำต้น บางพันธุ์ดอกใหญ่ทำให้โน้มลงทำให้ไม่สวยงามหรือสง่าผ่าเผย ควรใช้ไม้หรือลวดดัดก้านให้ตั้งตรง การดัดจะอยู่ในช่วงที่ดอกใกล้จะบาน พร้อมกับการจัดมุมดอกให้เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การปลูกเลี้ยงรองเท้านารีเพื่อตัดอดอกขายนั้นไม่เหมาะสมกับเกษตรกรชาวไทยภูเขา ดอกของรองเท้านารีที่ตัดขายและแช่ไว้ในแจกัน สามารถอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน หากขายดอกที่ติดลำต้นในกระถาง จะได้ราคาดีกว่าและมีอายุการไว้ดอกนานถึง 3 เดือน
สรุป การส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไทยภูเขาปลูกกล้วยไม้รองเท้านารีในกระถาง มีความเหมาะสมมากที่สุด เพราะใช้พื้นที่น้อย ประหยัดวัสดุปลูกและหาได้ง่ายในท้องถิ่น สภาพแวดล้อมช่วยให้การเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ การขยายพันธุ์ด้วยวิธีธรรมชาติสามารถปฏิบัติเองได้ ใช้เวลาเท่ากับการขยายพันธุ์ในห้องปฏิบัติการ รองเท้านารีพันธุ์พื้นเมืองมีราคาสูง ราคาในท้องตลาดใช้วิธีนับยอด เฉลี่ยยอดละ 100 – 200 บาท หากส่งเสริมให้ปลูกในกระถางที่มีดอกและหน่อประมาณ 2 –3 หน่อ ราคาจำหน่ายทั้งกอในกระถางประมาณ 500 – 1,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น จำนวนดอก และความหายากของพันธุ์ อีกทั้งในขณะนี้ชาวไต้หวันเริ่มให้ความสนใจต่อการปลูกรองเท้านารีเพื่อนำไปพัฒนาเป็นรองเท้านารีลูกผสมมากขึ้น เพราะลูกผสมปลูกเลี้ยงได้ง่าย ออกดอกง่าย เติบโตได้เร็วกว่าพันธุ์แท้ ในเขตพื้นที่ภาคเหนือที่มีการพัฒนารองเท้านารีทั้งพันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ลูกผสมอยู่ที่โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่และที่สถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์