Dispersion
Dispersion คือความสามารถของผลึกแร่ในการกระจายแสงขาวให้เป็นแสงสีรุ้ง เมื่อแสงขาวได้ผ่านเข้าไปในผลึกแล้วเกิดการหักเหแสงผ่านมุมเหลี่ยมภายในและแสงขาวนั้นถูกกระจายออกมาเป็นสีรุ้ง คล้ายกับที่เราทำการทดลองด้วยแท่งแก้วปริซึ่ม
ปัจจัยที่ช่วยให้เกิดแสงรุ้ง ปัจจัยสำคัญประการแรกคือผลึกแร่นั้นจะต้องมีความโปร่งใสเพียงพอ ประการที่สองผลึกนั้นต้องมีพื้นผิวที่ราบเรียบและพื้นผิวเหล่านั้นต้องอยู่ในระนาบที่ทำมุมต่อกัน (ไม่ใช่แนวระนาบที่ขนานกัน) จึงจะกระจายแสงออกมาเป็นรุ้ง ดังนั้นต้องเจียรนัยให้มีเหลี่ยมมุมเหมาะสมเพื่อการกระจายแสงที่ดี ประการที่สามผลึกแร่นั้นต้องมีคุณสมบัติความหนาแน่นทางแสงเพียงพอ แร่ธาตุแต่ละชนิดมีระดับการกระจายแสงรุ้ง (Rate of Dispersion)ไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ระดับต่ำ ปานกลาง ถึงระดับสูง (ให้ดูตัวอย่างในคอมเมนต์ด้านล่าง) และประการสุดท้ายการแสดงแสงรุ้งนั้นเราจะเห็นชัดเจนเฉพาะในผลึกไร้สี (Colorless) และผลึกที่มีสีอ่อน (Light/Pastel Color) เท่านั้น
ผลีกแร่แต่ละชนิดนั้นก็มีระดับ Dispersion แตกต่างกัน อย่างเช่นเพชรมีค่า Dispersion อยู่ที่ =0.044 เพทาย =0.038 ดีมานทอยด์การเนต=0.057 (สูงกว่าเพชร) สฟีน (Titanite)=0.051 (สูงกว่าเพชร) เป็่นต้น
ตัวเลขบ่งบอกระดับของ Dispersion เราได้มาจากการคำนวณความต่างของดัชนีหักเหแสง (Birefringence) ของแถบแสงสีม่วงและแสงสีแดงในแร่ชนิดนั้นๆ ความต่างของค่าหักเหแสงทั้งสองนั้นคือตัวเลขค่าการกระจายแสงรุ้ง (Rate of Dispersion) ของแร่ชนิดนั้น วิธีการตรงนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เราแค่ทำความเข้าในหลักการก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปลงมือปฏิบัติหรอกครับ ใครอยากรู้ในเชิงลึกก็สามารถไปสืบค้นเพิ่มเติมกันได้ สำหรับผมแค่จำตัวเลขเฉพาะในเพชรพลอยที่เราชอบก็เพียงพอครับ
ปัจจัยที่ลดทอนประกายรุ้ง ถึงแม้ว่าเป็นอัญมณีประเภทเดียวกันก็ตาม ความสวยงามของประกายรุ้งอาจไม่เท่ากัน ่ความสามารถในการกระจายแสงรุ้งอาจถูกบั่นทอนด้วยเหตุปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้ ประการแรกคือความโปร่งใสที่อาจลดลงเนื่องจากมลทินในเนื้อพลอย เช่นจากผลึกแร่ อนุภาคฝุ่น รอยร้าว และในอัญมณีบางประเภทความโปร่งใสอาจถูกลดทอนจากคุณสมบัติเรืองแสงที่ส่งผลให้เนื้อพลอยดูขุ่นมัว ที่เห็นชัดเจนมากก็คือในเพชรขาวที่มี Strong Fluorescence จนขุ่นขาวคล้ายกับน้ำที่ผสมด้วยนมจางๆ (Chalky Appearance) ประการถัดมาคือสีพลอยหรือเพชรนั้นเข้มเกินไปจนไปกลบสีรุ้ง ตามที่กล่าวมาแล้วแสงสีรุ้งจะชัดเจนมากในอัญมณีไร้สี และพอสังเกตุได้ในอัญมณีสีอ่อนเท่านั้น หากว่าสีหลัก (Body Color) ของพลอยและเพชรนั้นเข้มข้นเกินไป แสงสีรุ้งก็จะถูกสีหลักของเพชรพลอยนั้นปิดบังหรือกลบเอาไว้ (Masked by Body Color) ทำให้เรามองไม่เห็นรุ้ง ดังนั้นแล้วการเลือกอัญมณีที่มีประกายรุ้ง เราต้องคำนึงถึงสีหลักที่ไม่เข้มจนไปบดบังประกายรุ้ง ผมยกตัวอย่างง่ายๆที่เราคุ้นเคยที่สุดคือเพชร ถ้าเราเลือกเพชรเพื่อแสงรุ้งควรจะเป็นเพชรขาวไร้สี หรือเพชรที่มีสีอ่อนเท่านั้น เพราะถ้าหากเพชรมีสีเข้มมาก (Vivid Body Color) มันก็จะไปปิดบังสีรุ้งให้มองไม่เห็น ประการที่สามคือระนาบการทำมุมของเหลี่ยมที่ไม่ได้สัดส่วน (การเจียรนัย) อาจลดทอนแสงรุ้ง ยกตัวอย่างเช่น เพชรที่หน้าแบนกว้างกระจายแสงรุ้งได้ต่ำ ส่วนเพชรที่หน้านูนสูงกระจายแสงรุ้งได้ดีมาก
ในความเห็นส่วนตัวเพชรสี (Fancy-Colored Diamond) ที่แสดงสีให้เราเห็นได้เพียงสีเดียว (อาจมีราคาแพงเนื่องจากความหายาก) ถ้าปราศจากประกายรุ้งที่เป็นคุณสมบัติของเพชรเสียแล้ว มันก็ดูไม่แตกต่างไปจากพลอยสีธรรมดาทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นเพชรสีแดง (Vivid Red) ที่มีราคาแพงที่สุดหลุดโลกมันก็ไม่แตกต่างไปจากทับทิม หรือว่าเพชรสีน้ำเงินอันเลื่องชื่ออย่าง "The Hope Diamond" ก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากพลอยแซฟไฟร์ ดังนั้นการเลือกเพชรสีเราต้องระวังไม่ให้สีเพชรมาข่มแสงรุ้ง คือว่าเราต้องคำนึงถึงสัดส่วนระหว่างสีเพชรและประกายรุ้งที่ต้องมีความสมดุลย์ต่อกัน สมมุติว่าผมสามารถซื้อเพชรสีชมพูได้ผมคงไม่เลือกซื้อเพชรสี Vivid Pink ทั้งๆที่มันอาจมีมูลค่าทางการค้าสูง แต่กลับไปเลือกสี Pastel Pink ที่มีราคาต่ำกว่าซึ่งผมสามารถชื่นชมประกายรุ้งเพชรอย่างเต็มที่
อัญมณีมี Dispersion เด่นๆมีมากมายหลายชนิดให้เราเลือกใช้ ยกตัวอย่างแซฟไฟร์ไร้สี เพทายขาว ดีมานทอยด์การ์เนต สฟีน (Titanite) Benitoite และ Cerussite เป็นต้น ซึ่งหลายชนิดที่กล่าวมาก็มีประกายรุ้งสูงกว่าเพชรเสียอีก การเลือกเฟ้นเราก็ใช้หลักการตามที่ได้อธิบายมาแล้ว นั้นก็คือเลือกให้พลอยสีอ่อนไว้ก่อนเพื่อให้ Dispersion สามารถแสดงบทบาทได้อย่างชัดเจนเต็มที่
27 เมษายน 2562
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)