วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปี ถือเป็น "วันสุนทรภู่" เพื่อเป็นการรำลึกถึงกวีคนสำคัญของไทย ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจาก "ยูเนสโก (UNESCO)" ว่ามีผลงานโดดเด่นด้านวรรณกรรม ในวันนี้ ALTV จึงนำเกร็ดความรู้ที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับกวีคนสำคัญผู้นี้มาฝากกัน
"สุนทรภู่เป็นคนเมืองแกลง" หรือ "สุนทรภู่เป็นคนระยอง" เป็นประโยคคุ้นหูที่ผ่านไปกี่ปี ก็ยังคงได้ยินอยู่ แต่ความจริงแล้วบ้านเกิดเมืองนอนของสุนทรภู่กวีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้อยู่ที่เมืองแกลง หรือ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง อย่างที่เข้าใจกัน แม้ว่าอนุเสาวรีย์สุนทรภู่จะตั้งอยู่ที่นั่นก็ตาม
ความเข้าใจผิดนี้ สืบเนื่องมาจาก วรรคหนึ่งใน “นิราศเมืองแกลง” นิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่ ที่แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2349 ซึ่งมีใจความกล่าวถึง การเดินทางของสุนทรภู่จากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อเยี่ยมบิดา ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนไม่น้อยตีความว่าเป็นการเดินทางกลับบ้านเกิด
แท้จริงแล้วบ้านเกิดของสุทรภู่ อยู่ที่บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง หรือที่เรารู้จักกันดีว่า ‘วังหลัง’ ในกรุงเทพฯ นี่เอง ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลศิริราช และเป็นย่านรวมร้านอาหารเด็ด ๆ ที่สายกินรู้จักกันดี จากข้อมูลดังกล่าวปรากอยู่ใน “โคลงนิราศสุพรรณ” มีใจความว่า
วังหลัง ครั้งหนุ่มเหน้า เจ้าเอย
เคยอยู่ชูชื่นเชย ค่ำเช้า
ยามนี้ที่เคยเลย ลืมพักตร์ พี่แฮ
ต่างชื่นอื่นแอบเคล้า คลาดแคล้วแล้วหนอ
เลี้ยวทางบางกอกน้อย ลอยแล
บ้านเก่าเหย้าเรือนแพ พวกพ้อง
เงียบเหงาเปล่าอกแด ดูแปลก แรกเอย
รำลึกนึกรักร้อง เรียกน้องในใจ
แม้ว่าจะเป็นเจ้าของบทกลอนอันไพเราะแพรวพราว และขึ้นชื่อเรื่องความพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำ ในขณะเดียวกันผู้คนกลับพูดกันว่าอุปนิสัยของสุนทรภู่เป็นพวก "ขี้เมา" ที่วัน ๆ เอาแต่ดื่มเหล้า และเพราะฤทธิ์จากสุรานี่แหละ ที่ช่วยให้ท่านแต่งกาพย์กลอนออกมาได้ยอดเยี่ยม
ต้นตอข่าวลือที่ว่านี้มาจากไหน คงต้องย้อนกลับยังเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2364 สุนทรภู่เคยติดคุกด้วยข้อหาเมาสุราและทะเลาะวิวาท โดยได้ทำร้ายญาติผู้ใหญ่จนบาดเจ็บถึงขั้นเข้าคุก ประกอบกับบางตอนของนิราศภูเขาทอง ที่บรรยายถึงบรรยากาศการร่ำสุรา ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนคาดเดาไปว่าสุนทรภู่เป็นพวกขี้เมา
"ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน"
จากข่าวลือดังกล่าว ทำให้นักวิชาการบางท่านได้ออกมาโต้แย้งว่า สุนทรภู่อาจดื่มเหล้าจริง แต่ไม่น่าถึงขั้นเมาเช้าเมาเย็น หรือเรียกได้ว่า "ขี้เมา" เพราะผลงานของสุนทรภู่มีจำนวนมากมาย และแต่ละเรื่องก็มีชั้นเชิงการประพันธ์ยอดเยี่ยม ทันยุคทันเหตุการณ์ คงเป็นเรื่องยากสำหรับคนขี้เมาที่จะทำสำเร็จได้ และออกจะแปลกไปสักหน่อยสำหรับสุนทรภู่ที่มีความชำนาญด้านกวีเข้าขั้นเซียน แต่ต้องดื่มเหล้าเพื่อสร้างอารมณ์สุนทรีย์ทุกครั้งก่อนลงมือแต่งกลอน
เคยมีคำกล่าวว่า 'เกาะเสม็ด' ส่วนหนึ่งของจังหวัดระยอง คือสถานที่ต้นแบบของ 'เกาะแก้วพิศดาร' ที่สุนทรภู่ใช้เป็นฉากสำคัญใน เรื่อง พระอภัยมณี สืบเนื่องมาจากการพรรณนาของสุนทรภู่ ถึงหาดทรายบนเกาะแก้วพิศดารว่ามีสีขาวเหมือนแก้ว จึงทำให้หลายคนเชื่อมโยงไปถึงเกาะเสม็ด ซึ่งมีหาดทรายขาวสะอาดเหมือนกัน
จนในปี พ.ศ. 2490 กาญจนาคพันธุ์ หรือ ขุนวิจิตรมาตรา ได้แกะรอยเส้นทางที่ปรากฏในเรื่องพระอภัยมณีแล้วพบว่าศูนย์กลางของเหตุการณ์ต่าง ๆ ของเรื่อง แท้จริงเกิดขึ้นใจกลางทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่เกาะนิโคบาร์ และหมู่เกาะอันดามันอีกมากมาย
ประกอบกับคำบรรยายของ 'นางเงือก' ที่ว่าในบริเวณเกาะแก้วพิศดารมักจะมีเรือสำเภาชาวเมืองลังกา (ประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน) แล่นผ่านเสมอ แสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นเส้นทางคมนาคมในแถบทะเลอันดามัน มากกว่าทะเลในอ่าวไทย
ไปกลางย่านบ้านเรือนหามีไม่ สมุทรไทซึ้งซึกลึกหนักหนา
แต่สำเภาชาวเกาะเมืองลังกา เขาแล่นมามีบ้างอยู่ลางปี
ถ้าเสียเรือเหลือคนแล้วนางเงือก ขึ้นมาเลือกเอาไปชมประสมศรี
เหมือนพวกพ้องของข้ารู้พาที ด้วยเดิมทีปู่ย่าเป็นมนุษย์
หากให้จินตนาการถึง "นางเงือก" ภาพมนุษย์ลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาคงผุดเข้ามาในหัวใครหลายคน เราอาจคุ้นเคยจาก The Little mermaid การ์ตูนวัยเด็กที่สร้างภาพจำไปแล้วว่า นางเงือกต้องมีท่อนบนเป็นร่างกายแบบมนุษย์ ท่อนล่างลงไปเป็นหางปลา และไม่มีขา แต่สำหรับ “นางเงือก” ในแบบฉบับสุนทรภู่สร้างขึ้นนั้น มีทั้ง 'หางปลา' และ 'ขา'
มีการสันนิษฐานว่านางเงือกของสุนทรภู่ อาจมีต้นแบบมาจากเจ้าหญิงเงือก ในนิทานเรื่อง The Little Mermaid โดย ฮันท์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน นักเขียนชาวเดนมาร์ก แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวก็ต้องถูกตีตกไป เพราะเมื่อพิจารณาตามที่สุนทรภู่บรรยายไว้ในฉากพระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อสมุทร ปรากฏว่ามีฉากที่สองเงือกต้องจบชีวิตลงเพราะถูกนางผีเสื้อสมุทรจับ "หักขา"
"อสุรีผีเสื้อก็เชื่อถือ ยุดเอามือขวาซ้ายให้ผายผัน
เงือกก็พามาถึงได้ครึ่งวัน แกล้งรำพันพูดล่อให้ต่อไป
นางผีเสื้อเบื่อหูรู้เท่าถึง จึงว่าตอแหลมาแก้ไข
มาถึงนี่ชี้โน่นเนื่องกันไป แกล้งจะให้ห่างผัวไม่กลัวกู
แล้วนางยักษ์หักขาฉีกสองแขน ไม่หายแค้นเคี้ยวกินสิ้นทั้งคู่
แล้วกลับตามข้ามทางท้องสินธู ออกว่ายวู่แหวกน้ำด้วยกำลัง ฯ ”
ฉากตราตรึงจากเรื่องพระอภัยมณี คงหนีไม่พ้นฉากเป่าปี่ของพระอภัยมณี ซึ่งนับรวมกันได้ทั้งหมด 13 ครั้ง ไม่ว่าจะเป่าเพื่อเรียกนางละเวง เป่าหยุดทัพ หรือเป่าปลิดชีวิตนางผีเสื้อสมุทร ด้วยเหตุนี้จึงเกิดคำถามในแวดวงคนดนตรีว่าแล้วปี่คู่ใจของพระอภัยมณีนั้น คือปี่อะไรกันแน่ ?
อ้างอิงจาก ถาวร สิกขโกศล ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมไทย-จีน กล่าวกับ สำนักข่าวไทยพีบีเอสว่า ปี่คู่ใจของพระอภัยมณีแท้จริงแล้ว คือ 'ปี่นอก' ซึ่งเป็นปี่ชนิดหนึ่งของปี่ไทยที่มีขนาดเล็กที่สุด นิยมใช้เล่นในวงปี่พาทย์ชาตรี หรือวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
“จะตามติดคิดล้างให้วางวาย พลางแต่งกายกุมกระบี่เหน็บปี่ทรง" ตามที่สุนทรภู่บรรยายไว้ในพระอภัยมณี ตอนพบนางละเวง จะเห็นได้ว่าพระอภัยมณีพกปี่ไปไหนมาไหนด้วยการ "เหน็บ" ไว้ข้างกาย ตรงนี้เองที่เป็นข้อสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า "ปี่คู่ใจของพระอภัยเป็นปี่ไทย" เพราะถ้าหากเป็นปี่ชนิดอื่นอย่าง 'ปีชวา' จะต้องติดลำโพงไว้ที่ส่วนปลายของปี่รูปทรงเทอะทะไม่เหมาะต่อการเหน็บไว้ข้างกาย มิหนำซ้ำส่วนลำโพงมีความเป็นไปได้ที่จะร่วงหล่นระหว่างทางได้ทุกเมื่อ
ที่มา: นิตยสารศิลปวัฒนธรรม มติชนออนไลน์