ชีวประวัติหลวงตาศิริ อินฺทสิริ

ชีวประวัติหลวงตา (จากข้อมูลวัดถ้ำผาแดงผานิมิต คลิกที่นี่)


ชีวประวัติหลวงตาศิริ อินฺทสิริ
ชาติภูมิและชีวิตปฐมวัย
หลวงตาศิริ อินฺทสิริ เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๗ ที่บ้านหนองผือ ตำบลบ้านกง อำเภอเมือง (ปัจจุบันคือ อำเภอหนองเรือ) จังหวัดขอนแก่น
บิดาชื่อนายสิงห์ วงษ์คง (ต่อมาในช่วงบั้นปลายชีวิตท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ)
มารดาชื่อนางพริ้ง วงษ์คง (ท่านเป็นนักภาวนาชั้นเลิศ รู้แม้กระทั่งวันตายของตนเอง)
ท่านมีพี่น้องด้วยกัน ๘ คน
นายกอง วงษ์คง (เสียชีวิต)
นางใหม่ ดอนศรีแก้ว (เสียชีวิต)
นายบุญช่วย วงษ์คง (เสียชีวิต)
หลวงปู่สวย ปภากโร (บวชมา ๓๐ กว่าพรรษาแล้ว)
นางสมบัติ ศรีคลังไพร (ยังมีชีวิตอยู่)
นางโสรัส กองจันดี (ยังมีชีวิตอยู่)
หลวงตาศิริ อินฺทสิริ
นายสมบูรณ์ วงษ์คง (เสียชีวิต)
โยมแม่เล่าให้ฟังว่าตอนท่านเกิดใหม่ๆ แม่ปวดท้องมาก เหตุเพราะช่วงคลอดท่านเอาขาออกมาก่อน เวลาคลอดแม่ก็ขี้แตกใส่หัวติดออกมาด้วย เป็นก้อนสีเหลืองๆ อยู่ตรงกระหม่อม กลางหัวพอดี มองดูคล้ายกับเปลวรัศมีของพระพุทธรูป แม่ท่านจึงว่า โตขึ้นจะมีคนเคารพนับถือกราบไหว้

เมื่อท่านถือกำเนิดมาได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีญาติพี่น้องที่ไปบวชเรียนหนังสืออยู่ทางกรุงเทพฯ ชื่อมหาดาวเรือง ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน จึงได้ตั้งชื่อให้ท่านว่า “ศิริ”

ในวัยเด็กท่านเป็นคนที่เลี้ยงง่าย มีสุขภาพแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย และฉายแววฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมีบุคลิกในทางเป็นผู้นำ มีความเด็ดเดี่ยว พูดจริงทำจริง จึงเป็นที่เกรงขามในหมู่เพื่อนวัยเดียวกัน

ท่านเป็นผู้สนใจใฝ่ธรรม เข้าวัดตั้งแต่อายุ ๖-๗ ขวบ ในช่วงนั้นหลวงปู่คำดี หลวงปู่ท่อน หลวงพ่อสีทน และท่านอาจารย์กอง (หลานหลวงปู่คำดี) ได้เดินทางมาพักที่วัดป่าคีรีวัน (คำหวายยาง) โดยหลวงปู่คำดีเองมีศักดิ์เป็นญาติใกล้ชิดกับโยมพ่อของท่าน ครอบครัวท่านจึงไปถวายการอุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่คำดีและคณะ จึงเป็นเหตุให้ท่านได้มีโอกาสใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์ และได้ไปทำบุญใส่บาตรเสมอ

ครั้งหนึ่งประมาณปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ หรือ ๒๔๙๔ ท่านได้เห็นหลวงปู่คำดีนำรูปหลวงปู่มั่นมาให้โยมพ่อ หลวงปู่คำดีเล่าว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ แนะนำให้เอาไปกราบไปไหว้ ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่หลวงปู่มั่นมรณภาพได้ไม่นาน (หลวงปู่มั่นมรณภาพปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ และจัดงานฌาปนกิจศพท่านปีพุทธศักราช ๒๔๙๓) หลวงปู่คำดีท่านได้ไปร่วมงานหลวงปู่มั่นมา ท่านจึงเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์เหยียบโลกกระเดื่อง ตอนนั้นท่านได้ฟังแล้วก็เกิดความสนใจอยู่ แต่เพราะยังเด็กจึงไม่รู้ว่าพระอรหันต์คืออะไร

ส่วนผู้ที่เลี้ยงดูท่านในวัยเด็ก นอกจากโยมมารดาบิดาของท่านแล้ว ผู้ที่มีส่วนช่วยอบรมเลี้ยงดูเอาใจใส่ท่านมาโดยตลอดก็คือคุณแม่สมบัติ โยมพี่สาวของท่านเอง แม้กระทั่งวาระที่ท่านออกบวชแล้ว คุณแม่สมบัติก็ยังคงเฝ้าติดตามอุปัฏฐากรับใช้ และอยู่ร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านอยู่เป็นนิจ ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ก็ออกไปทำหน้าที่คนละทิศละทางกัน
การศึกษา

ด้านการศึกษา เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองผือราษฏร์ประสิทธิ์ ตำบลบ้านกง อำเภอเมือง (ปัจจุบันคือ อำเภอหนองเรือ) จังหวัดขอนแก่น จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔

เมื่อท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้ว คุณครูกอง ทะสา (พ่อของท่านเดชศิลป์) เห็นว่าท่านเป็นเด็กเรียนดี คุณครูกองก็เลยจึงมาคุยกับโยมพ่อท่านว่าอยากให้ท่านไปเรียนชั้นมัธยมกับท่านที่หนองเรือได้ไหม ขณะนั้นอำเภอหนองเรือ ได้แยกออกจากอำเภอเมืองขอนแก่น มาตั้งเป็นกิ่งอำเภอหนองเรือ ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๗ ทางภาครัฐจึงได้จัดตั้งโรงเรียนมัธยมแห่งใหม่ขึ้นที่อำเภอหนองเรือ
ช่วงนั้นโยมพ่อของท่านเป็นคนมีเงินมีทองพอสมควร เพราะมีอาชีพเป็นนายฮ้อย โยมพ่อท่านเลยส่งไปเรียนที่โรงเรียนเมืองขอนแก่น อำเภอหนองเรือ ตอนนั้นเรียกว่า ขก.๗ สมัยนั้นแยกกันแบบนี้ บ้านไผ่เรียก ขก.๕, เมืองพลเรียก ขก.๖, หนองเรือเรียก ขก.๗ ต่อมาจึงตั้งชื่อเป็นโรงเรียนหนองเรือวิทยา สมัยนั้นยังต้องสอบเข้าเรียนอยู่ นักเรียนมีชั้นละ ๔๕ คน ตอนนั้นหมู่เพื่อนเห็นว่าท่านเป็นผู้คล่องแคล่วว่องไว มีสติปัญญาดี จึงตั้งให้เป็นหัวหน้าชั้น และเป็นประธานนักเรียน ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ ท่านก็เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จึงไปเรียนต่อที่โรงเรียนศิริศาสตร์ศึกษา เมืองขอนแก่น

ช่วงนั้นการเรียนของท่านถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ สอบได้ไม่เคยเกินที่ ๓ พอเข้ามาเรียนที่โรงเรียนศิริศาสตร์ ในปีนั้นคนสอบมีนักเรียนเข้ามาเรียนเยอะ ตอนแรกได้เรียนอยู่ห้อง ด. พอถึงช่วงสอบไล่ปลายปี ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ท่านได้คะแนนมาเป็นอันดับ ๑ ของโรงเรียน ภาคเรียนต่อมาจึงได้เลื่อนมาอยู่ห้อง ข. จึงเป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งครูและเพื่อนนักเรียน ถึงความเป็นผู้เฉลียวฉลาดในด้านการศึกษา ท่านเรียนอยู่ที่โรงเรียนศิริศาสตร์ จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖

เมื่อท่านเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แล้วก็ได้ไปสมัครเป็นนักเรียนครู ตอนนั้นความรู้ของท่านก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่ ในปีนั้นทางวิทยาลัยครูมีทุนเรียนอยู่ ๘ ทุน มีโยมศรีบูรณ์ที่ไปสอบพร้อมกัน ตั้งใจว่าถ้าสอบได้ทุนก็จะไปเรียน แต่ผลออกมาได้ที่ ๙ ส่วนท่านได้ที่ ๑๒ โรงเรียนศิริศาสตร์ไปสอบ ๕-๖ คน ก็สอบเข้าได้หมดอยู่ แต่ไม่ได้เป็นนักเรียนทุน ท่านจึงได้มาศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูอุดรธานี

ช่วงที่ท่านเรียนอยู่วิทยาลัยครูปีสุดท้าย ก็ได้รับเกียรติจากครูและหมู่เพื่อนให้เป็นประธานหน่วยฝึกสอน ช่วงนั้นท่านก็เป็นประธานหอพัก และประธานชมรมต่างๆ อยู่ พอจะออกไปฝึกสอนทางนักศึกษา ประมาณ ๑๐๐ คน หมู่เพื่อนด้วยกันกว่า ๖๐-๗๐ คน เห็นดีเห็นชอบยกให้ท่านเป็นประธานหน่วยฝึกสอน ท่านเรียนอยู่ที่วิทยาลัยครูอุดรธานี ๒ ปี ก็ได้ใบประกาศนียบัตรการศึกษา เขาเรียก “ปกศ.ต้น” ก็จบครูออกมา

การรับราชการ

พอท่านจบจากวิทยาลัยครู ก็ไปสอบบรรจุครูที่จังหวัดขอนแก่น และได้บรรจุเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านเก่าข่าคุรุราษฏร์บำรุง ในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๐๗ เป็นครูอยู่บ้านเก่าข่า ๒ ปี ช่วงไปอยู่ที่นั่นก็เริ่มมีการสร้างเขื่อนพองหนีบขึ้น พอกั้นเขื่อนพองหนีบเสร็จน้ำก็เข้าท่วมโรงเรียน จึงต้องย้ายโรงเรียน ทางการจึงเปิดโอกาสให้ครูที่สอนอยู่ที่นั่นสามารถย้ายได้ทั่วราชอาณาจักร แล้วแต่จะย้ายไปที่ไหน ท่านจึงมาสอนอยู่ที่นี่ได้เพียง ๒ ปี

หลังออกจากบ้านเก่าข่าส่วนท่านเองไม่ย้ายไปที่อื่นไกล เพราะด้วยชีวิตที่ชอบป่าชอบการเกษตร ไม่ชอบเข้าในเมือง จึงย้ายมาอยู่โรงเรียนบ้านคำบอน ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น มาเป็นครูอยู่ที่นั่นปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ช่วงปลายปี

ท่านมาเป็นครูอยู่ที่บ้านคำบอน ๔-๕ ปี ก็ได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนบ้านดงเย็น เป็นโรงเรียนเปิดใหม่ จึงมาเป็นครูคนแรก ครูใหญ่คนแรก ครูน้อยคนแรก ภารโรงคนแรก แต่ก่อนบ้านดงเย็นนี้ชื่อว่าบ้านซำปลากั้ง เพราะมีปลากั้งเยอะ ปลากั้งก็เหมือนปลาช่อนนี่แหล่ะแต่ตัวเล็กกว่า ลักษณะคล้าย ๆ กัน ส่วน ซำ หมายถึง ซำน้ำ ที่ๆ น้ำไหลออกมา น้ำไหลออกมาตลอดแล้งตลอดฝน ไร่นาอยู่ข้างล่างลงไปถ้าจะทำนาปีละ ๒ หนก็ทำได้

บ้านซำปลากั้งนี้มีครัวเรือนอยู่ ๓๐-๔๐ ครัวเรือน เป็นบ้านกันดารอยู่ติดป่าติดดง เป็นบ้านนักเลง มีผู้ร้ายชุกชุม พวกขโมยขโจรปล้นวัวปล้นควายเยอะ นานวันเข้าเวลาไปงานบุญที่ไหน หากคนอื่นได้ยินว่ามาจากบ้านซำปลากั้ง ก็ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย ท่านจึงพาชาวบ้านเปลี่ยนชื่อบ้านซำปลากั้งเป็นบ้านดงเย็น ที่บ้านดงเย็นนี้ก็เป็นบ้านของหลวงปู่พรม (หลวงปู่พรม เป็นศิษย์ของหลวงตาศิริ ปัจจุบันอยู่ที่วัดถ้ำผาแดงผานิมิต) พอมาอยู่บ้านดงเย็นก็ได้ร่วมกับหลวงปู่พรมพัฒนาหมู่บ้าน ทั้งทำถนนใหม่และเปลี่ยนชื่อบ้านใหม่ ท่านมาเป็นครูอยู่โรงเรียนบ้านดงเย็นตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ มาอยู่แรกๆ ยังไม่มีอาคารเรียน ชาวบ้านปลูกอาคารหลังคามุงแฝกให้อยู่ ต่อมาก็มีนักศึกษาจากมหาลัยธรรมศาสตร์ มหาลัยมหิดล และโรงเรียนเพาะช่าง ออกมาทำค่ายอาสา มาทำอาคารเรียนหลังใหม่ให้ ๔ ห้องเรียน เสร็จภายใน ๑๗ วันหลังจากเสร็จแล้วได้เชิญผู้ว่ามาเปิด และขอเฮลิคอปเตอร์หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของสมเด็จย่ามาช่วยเหลือคนไข้ เฮลิคอปเตอร์นี้ขอไปทางอธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จึงได้เฮลิคอปเตอร์มาลงจอดที่บ้านดงเย็นให้คนเฒ่าคนแก่ได้ขึ้นขี่เครื่องบิน

หลังจากนั้นท่านได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านดงเย็น ทำงานซ้ำไปซ้ำมาก็เริ่มเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตการทำงาน อยากจะออกไปบวชแต่ก็ยังไม่สบโอกาสสักครั้ง พออายุได้ประมาณ ๒๙ ปี ท่านก็เลยขอลาออกไปบวชชั่วคราว จึงไปเข้านาคที่วัดถ้ำยาว แล้วไปบวชที่วัดศรีจันทร์ ครั้นบวชแล้วในขณะนั้นหลวงปู่สิงห์พ่อของท่าน (ช่วงที่ท่านเรียนจบครูแล้วโยมพ่อก็ออกไปบวชอยู่กับหลวงปู่คำดี) ได้มาพักอยู่ที่บ้านเหล่านาดี พอท่านบวชแล้วก็เลยไปอยู่กับหลวงปู่สิงห์ที่บ้านเหล่านาดี (ก่อนบวชนั้นหลวงปู่สิงห์ก็เป็นผู้สอนนาคให้กับท่านด้วย)

พอท่านบวชแล้วก็คิดว่าอยากจะบวชต่อไปเรื่อยๆ ไม่คิดจะสึก คิดว่าจะลาออกจากราชการแล้วบวชต่อเลย แต่ช่วงนั้นท่านได้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ขณะนั้นมีบุตรธิดารวม ๔ คน หลวงปู่สิงห์พ่อของท่านเห็นว่าลูกหลานท่านยังเล็กอยู่ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ จึงไม่สมควรที่จะบวชยาวเลยในตอนนี้ จะไปทิ้งขว้างเขาได้ยังไง ถ้าอยากบวชทำไมไม่บวชแต่ทีแรก ทำไมถึงไปแต่งงานก่อน หลวงพ่อท่านก็ดุเอา

ช่วงที่บวชอยู่นั้นท่านได้ภาวนาและอุปัฏฐากรับใช้อยู่กับหลวงพ่อของท่านเป็นอย่างดี มีความรู้สึกว่าภาวนาดีมากๆ พอออกจากบ้านเหล่านาดีหลวงพ่อท่านก็พาไปวัดป่าคีรีวัน (คำหวายยาง) ไปเยี่ยมบ้านเกิดท่าน ไปบิณฑบาตให้แม่ ให้พี่น้องได้ใส่บาตร วัดป่าคีรีวัน (คำหวายยาง) อยู่ที่บ้านปากช่อง ใกล้ๆ กับบ้านหนองผือ (บ้านเกิดท่าน) หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องสึกออกมาตามคำแนะนำของหลวงพ่อท่าน

เมื่อสึกออกมาดำเนินชีวิตทางโลกแล้ว ท่านก็ตั้งใจว่าหากมีโอกาสก็จะออกไปบวชอยู่กับหลวงปู่คำดีอีกครั้ง (ขณะนั้นหลวงปู่คำดีประจำอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่) เพราะหลวงปู่เมตตาท่านมาก ในฐานะที่เป็นลูกหลาน และช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ไปที่วัดถ้ำผาปู่อยู่เสมอ ครั้งหนึ่งสมัยที่ท่านสอบเข้ารับราชการครูใหม่ๆ ก็เคยพาพ่อแม่และญาติพี่น้องทำบุญกฐิน ตอนนั้นท่านมีจิตศรัทธามาก แต่ไม่มีปัจจัยเพียงพอ จึงไปกู้ยืมเงินสหกรณ์ครูได้เงินมา ๓,๐๐๐ บาท ร่วมกับพ่อแม่ญาติพี่น้องทำกฐินไปถวายให้หลวงปู่คำดีที่ถ้ำผาปู่ และก่อนหน้านั้นช่วงที่หลวงปู่ย้ายกลับไปอยู่ที่เมืองเลย ก็ได้เอาพี่ชายของท่านไปบวชอยู่ที่ถ้ำผาปู่ด้วย

ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๕๒๗ หลวงปู่คำดีก็ได้มรณภาพลง จึงทำให้ท่านรู้สึกสลดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความตั้งใจอยู่ภายในว่าสักวันหนึ่งจะออกไปบวชอยู่กับหลวงปู่ และดูแลอุปัฏฐากหลวงปู่ จึงทำให้หมดหวังที่จะได้ไปบวชอยู่กับหลวงปู่คำดีอีกแล้ว หลังจากหลวงปู่ท่านมรณภาพในปีนั้น ท่านจึงหวนคิดว่าที่เราท่านไม่กล้าออกไปบวชสักทีคงเป็นเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานหรืออย่างไร ท่านจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ไปเป็นเพียงครูสอนเท่านั้น และได้ไปสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านคำแก่นคูณ มาอยู่ที่บ้านคำแก่นคูณนี้อีกประมาณ ๑๐ ปี

สรุปแล้วชีวิตการรับราชการเป็นครูของท่านนั้นเริ่มแรกจากโรงเรียนบ้านเก่าข่าคุรุราษฏร์บำรุง จากบ้านเก่าข่าไปอยู่ที่โรงเรียนบ้านคำบอน ออกจากบ้านคำบอนไปอยู่ที่โรงเรียนบ้านดงเย็น ออกจากบ้านดงเย็นไปอยู่ที่โรงเรียนบ้านคำแก่นคูณ รวมระยะเวลาที่ท่านรับราชการครูอยู่ ๒๙ ปี ได้รับเงินเดือน ๒ ขั้นอยู่ ๙ ครั้ง

การสมรส

ชีวิตการสมรส ท่านได้เล่าไว้เพียงสั้นๆ ว่า ได้แต่งงานกับนางทองอั้ว รัตนา ที่บ้านโคกค้อ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม และมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งหมด ๔ คน มีชาย ๒ หญิง ๒

คนที่ ๑ นายสุทธิศักดิ์ วงศ์คง ปัจจุบันนี้คือ พระสุทธิศักดิ์ ฐิตสทฺโธ ท่านได้ไปบวชอยู่กับหลวงปู่ประสิทธิ์ วัดป่าหมู่ใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และได้อุปัฏฐากดูแลหลวงปู่จนพ้นนิสัยมุตตกะ (ขณะนี้ท่านมาอยู่ที่วัดป่าศิริมงคล บ้านหนองผือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น)
คนที่ ๒ นางอรุณี วงศ์คง ปัจจุบันนี้ไปทำงานและมีครอบครัวอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เนเธอแลนด์
คนที่ ๓ นายเมธี วงศ์คง ปัจจุบันนี้ประกอบธุรกิจค้าขายอยู่ที่บ้านสามเหลี่ยม อำเภอเมืองขอนแก่น
คนที่ ๔ นางเย็นฤดี วงศ์คง ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ศาลปกครอง กรุงเทพมหานคร

ชีวิตครอบครัว ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำครอบครัว ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยท่านมีอุปนิสัยเป็นคนจริงจัง จะทำอะไรก็ทำอย่างเต็มที่ ไม่มีเกียจคร้าน จึงเป็นที่เกรงขามยำเกรงของทุกคนในบ้าน แม้จะมีอาชีพเป็นครู แต่ท่านก็ประกอบอาชีพการเกษตรเสริมไปด้วย จึงทำให้ฐานะทางครอบครัวอยู่ในเกณฑ์ดี และได้ท่านยังส่งเสริมให้ลูกทุกคนได้มีการศึกษา เพื่ออนาคตข้างหน้าที่ดี

ก่อนท่านจะออกไปบวช ท่านได้เขียนหนังสือสั่งลาลูกๆ ทุกคนรวมทั้งแม่ออกไว้หมดทุกอย่าง มีประโยคหนึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่า “ให้ลูกทุกคนคิดเสียว่าพ่อได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หากว่าไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม ก็จะไม่กลับมาเหยียบขอนแก่นอีก” และท่านก็ได้จัดการแบ่งทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับทุกคน โดยท่านคิดว่าหากได้ออกไปบวชแล้ว ก็จะไม่หวนคืนกลับมาเป็นฆราวาสอีกแน่นอน จึงเป็นการจบฉากชีวิตครอบครัวทางโลกอย่างสมบูรณ์แบบ


การแสวงหาธรรม

ด้วยจิตมุ่งมั่นที่จะออกบวช ท่านจึงตั้งใจรักษาศีลอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งศีล ๕ และศีล ๘ (ศีล ๘ ในทุกวันพระที่จำได้) ท่านฝึกเจริญภาวนา ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิและเดินจงกรมอยู่เป็นประจำ และหาโอกาสไปภาวนาอยู่วัดต่างๆ หลายวัด อาธิเช่น วัดบ้านทมหลวงปู่ถวิล หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดหลวงปู่เทสน์ วัดหลวงปู่หล้า วัดหลวงปู่ชอบ วัดหลวงพ่อขันตี วัดหลวงพ่อสีทน คือวัดถ้ำผาปู่ไปบ่อยที่สุด ไปภาวนาอยู่เรื่อยๆ

ท่านตั้งใจภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ ๖ ปี ตอนนั้นอยู่ที่ฟาร์มวัว ไปตั้งฟาร์มเลี้ยงวัวอยู่ที่บ้านซำจาน และก็ตั้งสหกรณ์โคนมอยู่ที่บ้านซำจาน สหกรณ์โคนมที่เห็นอยู่ข้างทางก็เป็นสหกรณ์โคนมที่ท่านพาหมู่เพื่อนตั้งขึ้นมา (สหกรณ์โคนมขอนแก่น) ช่วงนั้นท่านเฝ้าฟาร์มวัวอยู่คนเดียว แม่บ้านดูแลลูกอยู่ขอนแก่น เพราะลูกๆ เรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่น ไม่ได้อยู่ด้วยกันที่ฟาร์ม ท่านจึงมีโอกาสได้ภาวนามากขึ้นช่วงนั้นท่านก็ภาวนาจิตสงบบ้างไม่สงบบ้าง

ครั้งหนึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยภาวนาจิตสงบครั้งแรกตั้งแต่อยู่ที่บ้านดงเย็น พักอยู่บ้านคนเดียว แม่บ้านพาลูกไปเรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่น ตอนนั้นท่านนั่งสมาธิไปอยู่ๆ จิตก็ว่าง ก่อนจิตจะว่างท่านรู้สึกคล้ายๆ กับมีคนมาจับขาทั้งสองข้างรวบเข้าหากันแล้วเหวี่ยงหมุนลิ่วๆ ท่านก็ดูมันอยู่อย่างนั้น ไม่ดีใจไม่เสียใจ พอหยุดหมุน จิตก็นิ่งลง ว่าง สว่างไสว ผ่องใส เป็นธรรมชาติอยู่ ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยในโลกนี้ ตึกราบ้านช่อง ต้นไม้ ภูเขาเลากาหายหมด มีแต่ความว่าง สว่างไสว ผ่องใสเป็นธรรมชาติ กับความรู้ รู้ รู้อยู่เฉยๆ อยู่พักหนึ่งจิตก็ถอนออก ท่านบอกไม่รู้ว่ามันอยู่นานเท่าไหร่ตอนนั้น รู้แต่ว่ามันมีปีติและสุขเกิดขึ้น สุขสบายอยู่อย่างนั้น พอจิตมันถอนออกใหม่ๆ ก็ปรากฏเห็นท่อโรงสี ๒ ท่อ ปลายแหลมๆ พอดูดีๆ เป็นเจดีย์ ๒ อัน ตั้งอยู่ที่ๆ เราสร้างอยู่นี่แหล่ะ อีกองค์หนึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน เจดีย์ ๒ องค์พอดี ต่อไปจะมีเจดีย์อีกองค์หนึ่งอยู่ใกล้ๆ กันนะท่านว่า ท่านนิมิตเห็นตั้งแต่คราวนั้นแล้ว มันก็ตอนนี้กำลังเป็นไปอย่างที่ท่านได้นิมิตเห็นตั้งแต่จิตสงบครั้งแรก พอท่านคิดถึงคราวที่จิตสงบครั้งแรกก็นึกเสียดายอยู่ตลอดเสมอ

ช่วงที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่ ๖ ปีนั้นท่านก็ยังไม่กล้าออกไปบวช ต่อมาก็มีเรื่องให้ท่านได้คิดถึงการออกบวชอีกครั้ง คือวันหนึ่งโยมแม่ออก (ภรรยา) บอกว่าได้ไปตลาดแล้วมีคนมาดูดวงให้ เขาบอกว่าท่านจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี ตอนนั้นท่านก็บ่นแม่ออกไปว่าไปดูทำไม มีเงินมีทองไปซื้อข้าวปลาอาหารกินดีกว่า แม่ออกก็บอกว่าเขาไม่ได้คิดตังค์หรอก ขนาดทิดคูณน้องแม่ออกเขาก็ดูให้ว่าจะตาย ไม่เชื่อก็ตายจริงๆ ระวังจะเป็นเหมือนเขานะ แม่ออกท่านว่า ต่อมาแม่ออกไปเที่ยว ไปเจอหมอดูคนที่สอง เขาก็ทักอีกว่าท่านจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี ทำนายเหมือนกับคนแรก แม่ออกกับลูกก็เลยก็กลัวว่าท่านจะตายจริงๆ เลยมาขอร้องอ้อนวอนให้ท่านออกไปบวชแนะนำให้ไปบวชดีกว่าจะตายทิ้งเปล่าๆ ท่านก็เลยบ่นให้แม่ออกกับลูกเขาไปอีกตามเคย

อยู่มาอีกครั้งหนึ่งวันนั้นท่านอยู่ที่โรงเรียน ส่วนแม่ออกลงแขกกินข้าวกันอยู่ที่บ้าน มีหมอดูผ่านมาแม่ออกก็เลยชวนมากินข้าวด้วย หมอดูคนที่สามเขาก็เลยดูหมอให้ไม่คิดเงิน และบอกว่าเหมือนกันกับหมอดูสองคนก่อนว่าท่านจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี วันนั้นช่วงบ่ายท่านไม่มีชั่วโมงการสอนแล้ว ก็เลยขออาจารย์ใหญ่ออกมาทำธุระขอนแก่นก่อนเวลาเลิกเรียน อาจารย์ใหญ่ท่านก็อนุญาต พอไปที่บ้านก็ไปเจอกับหมู่เพื่อนของแม่ออกกำลังลงแขกกินข้าวกันอยู่ เพื่อนแม่ออกคนหนึ่งเขาก็บอกว่าหมอดูพึ่งสวนกับท่านออกไปเมื่อกี้นี่เอง หมอดูคนนี้เขาบอกว่าท่านจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี พอท่านได้ยินว่าหมอดูคนที่ ๓ ทำนายทายทักมาแบบนี้อีกก็เริ่มรู้สึกจิตใจก็ชักไม่ค่อยเป็นปกติแล้ว หมอดูตั้งสามปากน่าจะแม่น ในใจท่านก็คิดว่าเราจะไม่ตายจริงๆ หรือ “หมอดูสามปากคิ่วกว่าหมอมอ หมอดูสามหมอเฮาสิบ่ตายอีหลีบ่” (หมอดูสามคนคงจะแม่น เราจะไม่ตายจริงๆ หรือ) ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่านอายุได้ ๔๘ ปี แต่พอผ่านมาอีกหลายวันก็ไม่เชื่อหมอดูหรอก หมอดูคู่กับหมอเดา หลวงปู่คำดีกับพ่อแม่ท่านก็ไม่เชื่อเรื่องหมอดูกันหรอก ถือว่าเป็นเรื่องงมงาย

หลังจากนั้นอยู่มาวันหนึ่ง ท่านเข้ามาที่ขอนแก่น มาดูหอพัก (ท่านมีหอพักให้คนเช่า) วันนั้นเข้ามาทาสีหอพัก ท่านเล่าว่าพอช่วงเข้านอนก็หลับฝันไปว่าตัวเองตาย ดวงวิญญาณลอยออกจากร่างไป เขาก็หามศพท่านไปวางซ้อนกันขึ้นไปสูงๆ เป็นเหมือนกองกระดูกวางซ้อนกันสูงเป็นภูเขา ศพสุดท้ายเป็นศพของท่านวางอยู่ข้างบน ต่อมาศพของท่านก็เปื่อยเน่าลงไป เหลือแต่กองกระดูก ดวงวิญญาณที่ลอยออกจากร่างมานั้นเป็นสีขาวๆ คล้ายกับรังไหม ขณะนั้นรู้สึกว่าดวงวิญญาณที่ออกจากร่างไป ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย อยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย มืดมิดอับแสง ไม่มีผู้คน เรียกให้เมียให้ลูกมาช่วยก็ไม่มี มีเงินมีทองอยู่ก็ช่วยตัวเองไม่ได้

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงคนพูดดังขึ้นมาสองสามเสียง ดังมาบอกท่านว่าเจ้าหมดโอกาสอยู่บนโลกมนุษย์นี้แล้ว ทางเบื้องบนให้ลงมาเอาไป ท่านก็เลยคิดขึ้นได้ว่า “อ๋อ..คนตายมันเป็นแบบนี้นี่เอง คนนอนหลับตายมันเป็นแบบนี้นี่เอง เขามาจับเอาดวงวิญญาณไปก็เลยหลับไม่ตื่นก็เลยตาย เราก็คงจะเป็นเหมือนกันนั่นแหละ” ตอนนั้นท่านก็เลยขอร้องเขาไปว่า ช่วงนั้นแม่ออกเป็นโรคปวดเอวอยู่ ก็เลยบอกไปว่าถ้าจะเอาไปจริงๆ ก็ขอให้เมียผมหายปวดหลังปวดเอวก่อนเถอะ พอให้เขาอยู่ดีกินดีเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานต่อไป ยมทูตก็บอกว่า ไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกัน มีเจ้าเมียเจ้าก็ป่วยเหมือนเดิม ไม่มีเจ้าเมียเจ้าก็ป่วยเหมือนเดิม มีเจ้าเมียเจ้าก็เฒ่าก็แก่ก็ตายเหมือนเดิม ขอยังไงก็ไม่ได้ ทีนี้ก็คิดถึงลูกขึ้นมา ช่วงนั้นลูกเรียนจบหมดทุกคนแล้วก็มาช่วยพ่อเลี้ยงวัวนม มีรายได้เดือนละ ๗๐,๐๐๐ – ๘๐,๐๐๐ บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วก็เหลือเดือนละ ๔๐,๐๐๐ – ๕๐,๐๐๐ บาท รายได้มันดีก็เลยให้ลูกมาเลี้ยงวัวช่วย

ช่วงนั้นก็ทำพาสเจอร์ไรส์นมขายแบบระบบครอบครัว ได้นมมาแล้วไม่ขายนมสด ขายนมพาสเจอร์ไรส์รู้สึกว่ารายได้ดีขึ้น นมพาสเจอร์ไรส์เป็นนมที่ผ่านความร้อนแล้ว ผสมเป็นนมหวานหรือขายเป็นนมจืดที่ตลาดได้เลย รายได้ดีจึงให้ลูกมาช่วยงานอยู่ที่ฟาร์มวัว พอคิดถึงลูกก็เลยบอกยมทูตว่า ลูกผมเรียนจบมาแล้วไม่ได้ทำงานสักคนมาอาศัยพ่อหาอยู่หากินอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ลูกผมไปสอบเข้าทำงานซะก่อน เขาก็บอกว่าไม่ได้เกี่ยวกัน มีเจ้าเขาก็หาอยู่หากินได้ ไม่มีเจ้าเขาก็หาอยู่หากินได้เหมือนเดิม เขาไม่ยอมให้ตัวเองตายหรอก เห็นไหมกบเขียดมันไข่ไว้ในน้ำ มีใครไปเลี้ยงลูกให้มันไหม พอขอไม่ได้อีกก็เลยคิดไปถึงแม่ แม่แก่มากแล้ว บางครั้งก็เคยซื้อของไปฝากต้นเดือน กลางเดือน ปลายเดือนบ้าง ไปเยี่ยมท่านอยู่เรื่อยๆ ก็เลยขอไปว่าให้แม่ตายก่อนเถอะถึงเอาผมไป กลัวจะไม่มีใครเลี้ยงดูท่าน เขาก็บอกว่ามีเจ้าแม่เจ้าก็แก่ก็ตายเหมือนเดิม ไม่มีเจ้าแม่เจ้าก็แก่ก็ตายเหมือนเดิม ตอนไม่มีเจ้าแม่เจ้าก็ยังหากินได้อยู่ ไม่ได้เกี่ยวกัน เขาจะเอาไปอย่างเดียว ครั้งที่สี่ก็เลยคิดได้ว่าเราอยากจะออกบวชมาหลายครั้งแล้ว ตอนหลวงปู่คำดีมรณภาพใหม่ๆ เราก็ตั้งใจลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ตั้งใจจะหาโอกาสไปบวช ถ้าเรามาตายแบบนี้จะมีโอกาสได้บวชเหรอ ก็เลยขอเขาว่า ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ผมได้บวชก่อนเถอะ ผมตั้งใจจะบวชมานานแล้วแต่ไม่ได้บวช ปฏิบัติภาวนาอยู่มา ๕-๖ ปีแล้ว แต่ไม่กล้าออกไปเพราะเป็นห่วงครอบครัว พอท่านพูดไปแบบนี้พวกสามคนสี่คนนี้นั้นเงียบเลย ไม่มีใครพูดอะไรเลย ไม่ต่อต้าน ไม่สอน ไม่ว่าอะไรอีก แล้วเขาก็หนีไป จากนั้นท่านก็สะดุ้งตื่นขึ้น ดูเวลาก็ประมาณตีสอง

พอตื่นขึ้นมาก็เลยคิดว่าท่านคงไม่ได้ทำวัตรสวดมนต์ยาวๆ หรืออย่างไรท่านก็มาทบทวนความฝันว่า เอ๊..ที่เราฝันร้ายแบบนี้คงเป็นเพราะเราไม่ได้ทำวัตรสวดมนต์ยาวๆ บ๊อ.. ทาสีหอพักกับลูกมันเหนื่อยหลายก็เลยไม่ได้ภาวนา ท่านก็เลยจึงเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ต่อ พอไหว้พระสวดมนต์ก็ตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งใจว่าจะออกบวช แล้วก็ท้าทายไปว่าถ้าไม่ออกบวชก็ขอให้ยมทูตมาเอาชีวิตไปเลย ช่วงนั้นเป็นเดือนธันวาคมปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ร้านค้าเขาแจกปฏิทินมาหลายอัน ที่บ้านท่านก็เป็นร้านค้าอยู่แล้ว แม่ออกท่านทำอาชีพค้าขาย ก็ไปดูปฏิทิน พ.ศ. ๒๕๓๖ ไปดูวันเข้าพรรษาตรงกับวันที่ ๓ สิงหาคม

ท่านจึงตั้งสัจจะต่อพระพุทธรูปบนหิ้งพระที่บ้านว่า จะไปบวชวันที่ ๑ สิงหาคม ก่อนออกบวชจะขอสะสางงานให้เสร็จก่อนถึงจะไป ตั้งใจไว้ว่าจะเข้านาคก่อนบวช ๕ วัน ท่านจึงเขียนป้ายติดประกาศไว้หน้าบ้าน เอาปากกาเมจิกที่เขาเขียนขายของอยู่หน้าบ้านมาเขียนว่า เข้านาควันที่ ๒๕ กรกฎาคม บวชวันที่ ๑ สิงหาคม เขียนไว้ตัวใหญ่ๆ จากนั้นท่านก็กลับขึ้นไปไหว้พระสวดมนต์ต่ออีก พอไหว้พระสวดมนต์แล้วก็เกิดความไม่แน่ใจ ท่านจึงได้ตั้งสัตย์อธิษฐานบอกพวกที่เขาจะลงมาเอานั้นอีกครั้งว่า ถ้าท่านไม่ออกไปบวชตามสัญญา นอกจากอุปัชฌาย์ไม่ว่างหรือมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเท่านั้น ถึงจะไม่บวช แต่นอกนั้นแล้วถ้าท่านไม่ออกไปบวช ให้มาเอาชีวิตไปได้เลย ท่านได้ท้าทายเขาไปถึงขนาดนั้น

จากนั้นท่านก็ทำวัตรเช้า เสร็จแล้วได้นั่งสมาธิภาวนาต่ออีก ปรากฏว่าวันนั้นมียุงมากเป็นพิเศษ นั่งยังไงก็อยู่ไม่ได้ เลยหาที่หลบ พอดีลงมาเห็นแม่บ้านกางมุ้งหลังใหญ่ๆ อยู่ด้านล่าง ท่านก็เลยลงมานั่งสมาธิในมุ้งอีกด้านหนึ่งที่เขาเว้นที่นอนไว้อยู่ พอท่านนั่งสมาธิจิตกำลังใกล้จะสงบ ช่วงนั้นเป็นเดือนธันวาคมอากาศก็เริ่มหนาว แม่บ้านท่านนอนไม่รู้สึกตัว แต่สักพักก็ได้เตะผ้าห่มออก แล้วก็เตะผ้าถุงขึ้นไปพันอยู่ที่สะเอว จากนั้นก็ทิ้งขาขวามาพาดที่หัวเข่าด้านขวาของท่าน ท่านจึงมองไปเห็นอวัยวะเพศของแม่ออก แล้วก็พูดขึ้นมาในใจว่า (ท่านเล่าเป็นภาษาอีสาน) “โอ๊ย..เกือบแหม่นตายคาเข่าเน่าคาขาน่อ..กูนี่เพิ่นหนะว่า ห่วงอันเดียวนี่หละไปบวชบ่ได่ นี่หละเขาว่าตายคาเอิ๊กคาแอก ตายคาเข่าเน่าคาขา ห่วงอันเดียวนี่หละคนเบิ่ดโลก” (ท่านเกือบตายเพราะมาติดอยู่กับอวัยวะเพศของผู้หญิง ที่ออกไปบวชไม่ได้ก็เพราะห่วงสิ่งนี้ คนทั้งโลกก็ห่วงสิ่งเดียวกัน) พอท่านเหลียวเห็นอวัยวะเพศของแม่ออก ก็เลยว่าให้เจ้าของอย่างนี้ ว่าที่เราไปไม่ได้นี่ (หมายถึงออกไปบวช) มันอ้างว่าห่วงแม่ห่วงลูกนั้นมันไม่ใช่ มันห่วงอันนี้อันเดียวนี่ล่ะ..

ถ้าผู้หญิงไม่มีหีมันคงไม่เอาเมีย..มันบอกเจ้าของขึ้นมานะ เอ้อ..มันห่วงอันนี้ล่ะถึงไปบวชไม่ได้อยู่นี่ มันจะตายคาเข่าเน่าคาขาเขาอยู่นี่แหละว่างั้นนะ โชคดีเราตัดสินใจได้แล้ว เราเป็นผู้ชนะแล้ว เราก็เลยดูไปๆ แปลกประหลาดนะจิตมันก็ปรุงไป ดูไป ดูหีสดๆ นี้ล่ะ ไม่ได้หลับตา ไม่ได้เข้าสมาธิเลย เพ่งดูตรงไหนเขาเรียกว่าหี จิตมันว่าอยู่ไหนหี นี่ก็ไม่ใช่หี นี้ก็หมอย นี้ก็ริม นี้ก็โมม กะปะสาภาษาลาวเขาเว่าน้อ (ก็แค่ภาษาที่เขาพูดกัน) นี้อะไรก็ไล่ไป ไหนเขาว่าหี ตรงไหนเขาว่าหีว่างั้นนะ คนหนึ่งมันก็ว่า (หมายถึงจิตภายใน) โอ๊ย..หมดทุกสิ่งทุกอย่างนี้รวมกันเขาเรียกว่าหีว่างั้น โอ๊ย..เกือบเราตายคาหี เกือบไม่ได้ไปบวชว่างั้นนะ โอ๊ย..คนทั้งโลกก็มาตายคาอันนี้แหล้ะ.. ผู้หญิงก็มาตายคาผู้ชาย ผู้ชายก็มาตายคาผู้หญิงนี้ล่ะ.. ไม่ได้ไปไหนดอก..มาติดอยู่นี้แหล้ะ..

พอดูไปดูมา..ก็เกิดสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้น ตาเนื้อตาหนังมองเห็น ปรากฏว่าเห็นอวัยวะเพศของแม่ออก เป็นจุดสีดำขึ้นเหมือนกับวัวนมสีดำๆ ดำๆ ด่างๆ เป็นจุด กว้างออกๆ เป็นจุดดำขึ้นๆ เป็นจุดเน่าขึ้นมา มีน้ำอะไรไหลออกมาจากอวัยวะเพศ เกิดมีกลิ่นเน่าเหม็นขึ้นมา เป็นสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ เหม็นสะอิดสะเอียนดูแล้วน่าเกลียดน่ากลัวมาก คิดว่าคนมันนอนด้วยกันได้ยังไง.. มีแต่น้ำหนองน้ำเหลืองไหลออกจากรูอวัยวะ มีกลิ่นเหม็นอยู่ มันแปลกประหลาดมาก จะเป็นเทพสังหรหรืออะไรไม่รู้นะ เหม็นขึ้นมา เหม็น..สะอิดสะเอียน อู๊ย..คนนอนด้วยกันได้ยังไง.. มันมีกลิ่น มันเหม็นถึงขนาดนี้ แต่ก่อนทำไมไม่เหม็นอย่างนี้.. วันนี้ทำไมเหม็นอย่างนี้.. พอมันเหม็นอย่างนี้ก็ดูไปพิจารณาไป เห็นสีหีมันเน่ามันเหม็นขึ้นมาในตอนนั้น ก็เกิดเบื่อหน่าย มันเห็นอสุภะ โอ๊..คนเรามันเป็นแบบนี้หน่า.. ไม่เลือกว่าผู้หญิงผู้ชาย ก็เลยเอาขาแม่ออกโยนออกไปจากเข่า แล้วดึงผ้าถุงลงมาปิดเอาไว้ แล้วนั่งสมาธิต่อไป

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม้แต่ครูผู้หญิงมาหยอกมาเล่นด้วย ท่านก็ไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากคุยด้วย ไม่มีอารมณ์ในด้านนี้เลย พลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลยว่าอย่างนั้น พอเช้าวันนั้นลูกสาวท่านตื่นขึ้นมาเห็นป้ายที่เขียนไว้ก็ถามว่าใครจะออกบวช เห็นเขียนหนังสือตัวใหญ่ๆ ว่าจะไปบวช ท่านก็บอกไปว่า..พ่อนี่แหละ ลูกสาวก็บอกว่า..เมื่อก่อนนี้หนูกับแม่บอกให้ออกไปบวชทำไมไม่ไปบวช พ่อจะกล้าไปจริงๆ เหรอ ท่านก็ตอบว่ากล้าไม่กล้าก็ลองดู

หลังจากวันนั้นท่านก็เริ่มเคลียร์งานเพื่อเตรียมออกไปบวช เอาร่างกายไปมอบให้โรงพยาบาลศรีนครินทร์ เพราะตั้งใจว่าถ้าตายแล้วลูกเมียจะได้ไม่เป็นภาระ จากนั้นก็เตรียมตัวลาออกจากครู จัดการแบ่งทรัพย์สินเงินทองอะไรหมดทุกอย่าง บรรดาหมู่เพื่อนที่เคยยืมเงินกันเล็กๆ น้อยๆ ก็ไปถามเคลียร์กันเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าคนไหนให้ก็เอา คนไหนไม่ให้ก็ไม่ว่ากัน ไม่ให้เป็นหนี้เป็นสินกันต่อไป เพราะท่านจะออกบวชแล้ว ชาติหน้าชาติไหนก็ไม่ให้มีหนี้มีสินกัน

พอใกล้วันบวชท่านก็เข้าไปปรึกษากับเจ้านาย ไปปรึกษากับอาจารย์ใหญ่ก็บอกว่าดีแล้ว อนุโมทนาด้วย อาจารย์ใหญ่ก็ติดต่อกับนายให้ ช่วงนั้นนายก็มีเรื่องหนี้เรื่องสินติดท่านอยู่ เขาไม่มีปัจจัยจะให้คืนได้ ท่านก็ว่าไม่มีให้ก็ถือว่าหมดกัน เขาก็เลยบอกว่าจะให้เงินเดือนสองขั้นก่อน บอกให้ท่านอย่าพึ่งลาออกให้ลาบวชก่อน ท่านจึงลาบวช ๔ เดือน เดือนธันวาคมก็ยื่นใบลาออกจากราชการ ในปีพ.ศ. ๒๕๓๖ สรุปว่าท่านได้เคลียร์ทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยก่อนออกไปบวช
หลวงปู่คำดี ปภาโส
วัดถ้ำผาปู่นิมิตร (วัดถ้ำผาปู่)ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย
การอุปสมบท

ก่อนจะบวชท่านก็ไปเข้านาค ตอนนั้นได้มีผู้ติดตามไปด้วย ๔ คน และบวชด้วยกันกับท่าน ๓ คน มี
๑. ทิดพวน เคยเป็นคนงานอยู่ที่บ้านท่านตั้งแต่อายุ ๑๓-๑๔ ปี อยู่ด้วยกันมานานจนท่านจะออกไปบวช เลยขอไปบวชติดตามท่านด้วย (ปัจจุบันนี้อยู่ที่บ้านดงเย็น และมาช่วยงานวัดอยู่เป็นประจำ)
๒. ทิดอ๋อง ลูกพ่อเล้า บ้านอยู่ข้างฟาร์มวัว ๖ (พ่อเล้าเห็นว่าท่านเป็นคนดี พอท่านจะออกไปบวชก็เกิดศรัทธา เลยให้ลูกชายไปบวชด้วย)
๓. ทิดต๋อม ลูกหลวงตาเลิศ ที่บวชอยู่ในขณะนี้ (หลวงตาเลิศ ปัจจุบันอยู่ที่วัดป่าศิริมงคล)
๔. คุณแม่สมบัติ โยมพี่สาวของท่าน ไปอยู่ปฏิบัติอุปัฏฐากที่วัดถ้ำผาปู่ด้วย

วันที่ไปเข้านาคจึงไปด้วยกัน ๕ คนรวมท่านด้วย ตอนนั้นท่านอายุ ๔๙ ปีพอดี เข้านาควันที่ ๒๕ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ บวชวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ที่วัดถ้ำผาปู่ โดยมีหลวงพ่อสีทน สีลธโน เป็นพระอุปัชฌาย์ ช่วงที่ท่านเป็นเด็กอยู่นั้น หลวงพ่อสีทนเคยไปพักอยู่วัดป่าคีรีวัน (คำหวายยาง) ท่านก็ไปจังหันกับโยมแม่เป็นประจำ ช่วงไหนที่เห็ดออก หลวงพ่อจะเขียนลูกศรชี้ไปบอกว่าเห็ดอยู่ตรงไหน เวลาผักหวานออกหลวงพ่อก็ชี้บอกทางไปให้ ท่านกับโยมแม่ก็เก็บผักหวานไปแกงใส่เห็ดถวายจังหัน ที่วัดป่าคีรีวันนี้มีเห็ดขึ้นเยอะ มีอาหารป่ามากมาย ท่านจึงเลยสนิทกับหลวงพ่อสีทนตั้งแต่เป็นเด็กเป็นต้นมา พอมาเป็นครูก็ไปภาวนาที่ถ้ำผาปู่ ไปพักภาวนาอยู่กับหลวงพ่อ หลังจากหลวงปู่คำดีมรณภาพแล้วท่านก็ยังไปหาท่านหลวงพ่อสีทนอยู่เหมือนเดิม
หลวงพ่อสีทน สีลธโน
วัดถ้ำผาปู่นิมิตร (วัดถ้ำผาปู่)ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย
หลังจากบวชแล้วหลวงพ่อสีทนก็แนะวิธีภาวนาให้ ท่านชี้แจงว่าการภาวนานั้นวันหนึ่งมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง ให้เอา ๓ หาร คืออย่างน้อยให้ภาวนาได้วันละ ๘ ชั่วโมง จึงจะสำเร็จ ช่วงที่หลวงพ่อสีทนแนะนำท่านก็นึกคิดไปว่า “ก่อนบวชเราอยู่ข้างนอก ต้องตรากตรำทำงานตากแดดตากฝนเรายังทำได้ มาตอนบัดนี้แค่การภาวนานั่งสมาธิเดินจงกรมวันละ ๗-๘ ชั่วโมงทำไมเราจะทำไม่ได้ เราจะเอาให้ได้วันละ ๑๕ ชั่วโมง ประสาแค่ ๘ ชั่วโมงมันน้อยเกินไป หลวงพ่อคิดว่าเราจะทำไม่ได้ แต่เราต้องทำได้” ท่านเลยตั้งจิตอธิษฐานว่า “วันหนึ่งเราจะทำให้ได้วันละ ๑๕ ชั่วโมง” หลวงพ่อสีทนก็เล่าต่ออีกว่า “หากจะให้ได้ผลจริงๆ ต้องปฏิบัติตามธุดงควัตร ๑๓ ข้อ ให้ได้อย่างน้อย ๗ ข้อ ถึงจะสำเร็จ” หลังจากท่านฟังหลวงพ่อแนะนำวิธีปฏิบัติภาวนาแล้ว ท่านก็มาแบ่งเวลาในการปฏิบัติของท่าน แต่เมื่อแบ่งอย่างไรก็ไม่ได้ ๑๕ ชั่วโมง สุดท้ายก็เลยตัดสินใจนอนวันละ ๒ ชั่วโมง

ท่านได้ถามตัวเองว่า “ถ้าเรานั่งแล้วเอาหลังไปพิงเสาหล่ะ นั่งพิงบนเก้าอี้หล่ะ นั่งพิงหมอนหล่ะ จะถือว่านอนไหม ก็ตอบตัวเองว่า ถือว่าเป็นการนอน ถ้าหลังแตะพื้นจะหลับหรือไม่หลับก็ถือว่าเป็นการนอน ถือว่าเป็นการผิดสัจจะ เสียชีพอย่างเสียสัจจ์ ตายก็ช่างแต่อย่าให้มันเสียสัจจะ” ตกลงท่านจึงเริ่มต้นภาวนาตั้งแต่วันบวช ทำอยู่อย่างนั้น เข้านอนตอนตี ๒ ตื่นตอนตี ๔ วันหนึ่งถึงจะภาวนาได้ ๑๕ ชั่วโมง (หลวงตาศิริท่านได้ทำตามสัจจะที่ตั้งไว้คือนอนวันละ ๒ ชั่วโมงมาเป็นระยะเวลาถึง ๘ ปี ที่ท่านถือปฏิบัติเคร่งครัดมาเป็นระยะเวลายาวนานนั้น ด้วยท่านต้องการให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ ทั้งที่ท่านก็เข้าใจอรรถธรรมอันลึกซึ้งตั้งแต่อยู่ที่ถ้ำผาปู่ พึ่งจะผ่อนการปฏิบัติในรูปแบบลงตอนอยู่ที่วัดป่าบ้านคำบอน)

ครั้งแรกหลวงพ่อสีทนให้ท่านบริกรรม พุทโธ ไว้ที่หน้าอก เอาสติมาตั้งไว้หน้าอก พุทโธ พุทโธ อยู่ ไม่ให้เอาลมหายใจด้วย เอาแต่ พุทโธ อย่างเดียว ท่านก็ทำมา ๑ เดือนเต็มๆ สงบบ้างไม่สงบบ้าง ไม่เป็นหลักเป็นฐานอะไร มีแต่ปวดแข้งปวดขาเป็นส่วนมาก จึงอยากไปขอคำชี้แนะจากหลวงพ่อสีทน เพราะตั้งแต่วันที่ท่านบวช หลวงพ่อก็เปิดไฟเขียวให้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หากไปสนทนาเรื่องภาวนา ขัดข้องตรงไหนให้เข้าไปถามได้ทันที ท่านจึงไปเล่าถวายว่า “ผมภาวนามาเดือนหนึ่งแล้ว ทำไมเหมือนมันไม่ก้าวหน้า” หลวงพ่อก็เลยแนะนำให้เปลี่ยนวิธีภาวนาใหม่ ให้ลองมาใช้อานาปานสติดู เลยเปลี่ยนจาก พุทโธ มาเป็นอานาปานสติ เปลี่ยนมาดูลมหายใจ หลวงพ่อก็บอกให้เลือกฐานที่ตั้งของจิต ตรงไหนลมกระทบแรงที่สุดให้เลือกเอาตรงนั้น ท่านจึงเลือกเอาปลายจมูกเพราะเป็นจุดที่ลมกระทบแรงที่สุด ก็เลยเอาปลายจมูกเป็นฐานที่ตั้งของสติ ฐานที่ตั้งของสมาธิ

หลังจากที่หลวงพ่อแนะนำวิธีการภาวนาให้ใหม่แล้ว วันแรกท่านว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอวันที่สองนี้รู้สึกปวดแข้งปวดขามาก ปวดอย่างใหญ่หลวงเลย เหมือนมีก้อนอะไรใหญ่ๆ คล้ายๆ กับมีตัวมีตน วิ่งจากตาตุ่มขึ้นมาสุดเอวแล้วก็หยุด แล้วก็ไปเริ่มต้นใหม่อยู่อย่างนี้ บางทีก็หยุดอยู่นานๆ พอได้พักหายใจ ก็สู้กับเวทนาอยู่อย่างนั้น น้ำตาก็ไหลออก น้ำเหงื่อก็ไหลออก ผ้าก็เปียกหมด ทนอยู่อย่างนั้นจนถึงตี ๒ พอถึงเวลานอนก็เลยพัก เวลานั้นก็มีทิดพวนอยู่เป็นเพื่อน ตั้งสัจจะด้วยกันว่าจะนอนตี ๒ ก็เลยไปภาวนาอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อเป็นหลักฐานพยานให้กัน ถึงตี ๒ ก็จะพากันลงมานอน ทิดพวนนี่เก่งมาก ไปภาวนาอยู่บนหน้าผาสูงๆ ไม่กลัวตาย ไม่นานทิดพวนก็สงบเหมือนกัน ได้สมาธิเหมือนกัน

พอหลังจากนั้น คืนที่สามท่านก็มานั่งสมาธิอีก ทำวัตรสวดมนต์แล้วก็มานั่งตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ท่านเล่าว่า “เกิดปวดขึ้นคือเก่าอีก โอ้ย...สู้รอดล้มรอดตาย เนื้อสะเหม่นเต้นยึกๆ น้ำตาจักไหลออกจั่งได๋ น้ำมูกจักไหลออกจั่งได๋ น้ำเหงื่อจักไหลออกจังได๋ สะเด็ดเหม่นคือกบถืกเกลือนี่ (สู้เกือบเอาไม่รอด เนื้อกระตุกยึกๆ น้ำตาไม่รู้ไหลออกมาอย่างไร น้ำมูกไม่รู้ไหลออกมาอย่างไร น้ำเหงื่อไม่รู้ไหลออกมาอย่างไร สะดุ้งเหมือนกบถูกเกลือ) เต้นยึกๆ ยักๆ อยู่สั้น อื่อ..เหมือนกับนั่งอยู่ในหม้อนรก นี่บ่..หม้อนรก มันฮ้อนจั่งซี่บ่.. (นี่ใช่ไหม หม้อนรกมันร้อนอย่างนี้ใช่ไหม) เพิ่นว่าหม้อนรก เห็นนรกทั้งเป็น เหมือนกับนั่งอยู่ในกองไฟ ที่เขาดังไฟ (ก่อไฟ) กำลังกองห่าใหญ่ๆ ฮ้อน..หีบปากหีบคอ เนื้อสะเม่นยึกๆ ยักๆ (ร้อน จีบปากจีบคอ เนื้อสะดุ้งยึกๆ ยักๆ)

คืนแรกที่เกิดเวทนากล้าท่านก็ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อก็ว่า “ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ จะไม่ได้รับความสำเร็จหรอกการภาวนา บวชมาเสียเวลาบวชเฉยๆ ถ้าผ่านเวทนาใหญ่ไปได้ถึงจะสำเร็จ ถ้ามันเป็นอีกเที่ยวนี้อย่าลุกออกจากที่นะ ถ้าตายจริงๆ ผมจะพาดข่าวลงหนังสือพิมพ์ให้ดอก ว่าหลวงตาศิรินั่งสมาธิตาย จะทำศพให้อย่างสมเกียรติเลย ทีนี้ถ้ามันเป็นอีกอย่าไปขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ให้มันนะ” ท่านก็รับปาก “ครับๆ ถ้ามันเป็นอีกผมจะสู้ สู้อย่างนี้ล่ะ ไม่สู้ไม่เห็นดอก”

พอท่านมานั่งมันก็เป็นเหมือนเดิม เป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมาเป็นพักๆ ขึ้นลงสลับกันอยู่อย่างนั้น สู้อยู่อย่างนั้นจนถึงตี ๒ ก็ไม่หาย อุบายใดที่ท่านเคยอ่านเจอในหนังสือ ที่เคยได้ยินได้ฟังมา จะเอามาดับเวทนาก็ไม่ดับ เวทนาใหญ่ไม่ยอมดับไปเลย พอเห็นเป็นเช่นนั้นท่านจึงตั้งสัจจะโสตาย (ตั้งสัจจะยอมตาย) “เพิ่นว่าบ่ให้ไปกินข้าวกินน้ำ บ่ให้ไปเฮ็ดอิหยัง คั่นตายผมสิส่งพระไปเบิ่งดอก” หลวงพ่อว่า “คั่นบ่เห็นลงมาพอสองสามมื้อ ผมสิส่งพระขึ้นไปเบิ่งดอก ตั้งสัจจะอธิษฐานใส่โลด” พอมันเกิดขึ้นอีก ท่านจึงเลยตั้งสัจจะอธิษฐาน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่เป็นเด็ดขาด ถ้าไม่หาย ถ้าจิตไม่สงบ ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้อย่างนั้น สู้กันจนถึงตี ๔ ท่านก็ร้องขึ้นในใจ “โอ้ย..หม้อนรกนาฮก หม้อน้ำฮ้อน กองไฟ กะเคยเห็นแล่ว พ่อแม่ต๋ายเพิ่นคือบ่เจ็บบ่ปวดขนาดนี่.. บ่เห็นเพิ่นคลางเพิ่นฮ้อง บาดนี่เฮา หีบปากหีบคอ” พอดีช่วงนั้นก็เป็นตี ๔ ได้ยินเสียงหมู่เพื่อนเคยไปจัดอาสนะตี ๔ เปิดวิหารดังขึ้นมา โอ้..หมู่ไปเปิดวิหารแล้ว

ท่านก็นั่งสู้ต่อไป ท่านว่าพอถึงช่วงที่มันจะสงบก็ไม่ยากนะ ก็ดูลมหายใจเข้าออก เข้าพุท ออกโธอยู่อย่างนั่น หมดอาลัยตายอยาก เอ้า..บิณฑบาตก็ไม่ไปบิณฯ กับเขาล่ะทีนี้ ไปจัดอาสนะก็ไม่ไปจัด ท่านเคยตั้งสัจจะไว้ว่า ถ้าวันไหนไม่ลงไปจัดอาสนะ หรือไปไม่ทัน ก็จะไม่ฉันข้าวเป็นอันขาด ถ้าไม่บิณฑบาตก็จะไม่ฉันข้าว ท่านถือการบิณฑบาตเป็นวัตร ถือธุดงค์ข้อนี้อยู่ ช่วงนั้นมีพระมากประมาณ ๗๐-๘๐ รูป ต้องไปจัดอาสนะช่วยกัน วันนั้นท่านตัดสินใจไม่ไป อาสนะก็ไม่ไปจัด ไปบิณฑบาตก็ไม่ไปบิณฯ พอจิตมันวาง หมดอาลัยตายอยาก มันวางหมดทุกอย่าง แล้วแต่อะไรจะเป็นจะตาย ไม่เอาสักอย่าง พอจิตท่านว่าไม่เอาสักอย่าง เอาแต่ลมหายใจ พุทเข้าโธออกอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอาไม่ดู ไม่ยินดีไม่ยินร้าย วางเฉย พอจิตถึงตรงนั้น พุทโธ เริ่มอ่อนลง เบาลงๆ พุทโธหาย บริกรรมพุทโธไม่ได้ เหลือแต่ลมหายใจ ลมหายใจก็ไม่รู้ว่าเข้าว่าออก มันนิ่มเป็นอันเดียวกัน มองเห็นลมหายใจเหมือนกับควันบุหรี่ เหมือนกับเขาสูบบุหรี่แล้วก็พ่นออกมาจากจมูก โอ้..ละเอียดเหมือนกับปุยนุ่นปุยฝ้ายเลยล่ะลมหายใจ

เอาไปเอามาจิตของท่านก็เย็นลงเย็นลง จิตเยือกเย็นเป็นสมาธิ ลมหายใจก็ดับลงพอดี จิตก็เยือกเย็นเป็นสมาธิขึ้นมา ลมหายกายไม่มี ท่านว่าวันนั้นเห็นสมาธิเด่นที่สุด เหมือนกับวันแรกที่เคยเห็นอยู่บ้านดงเย็น (ตอนที่ท่านเป็นครูอยู่บ้านดงเย็น) เห็นแต่ความรู้ รู้ รู้เฉย ว่าง สว่างไสว ถ้ำผาปู่ถ้ำใหญ่ๆ ที่ท่านอยู่นั่น ไม่มีต้นไม้ภูเขาเลากา แม้แต่กายก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างดับเป็นธรรมชาติหมด ผ่องใส สว่างไสว แปลกประหลาดอัศจรรย์ ไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่ธรรมชาติสว่างไสวอยู่ นานพอสมควรเกือบจะได้เป็นชั่วโมง จิตก็เริ่มถอนออกมา พอจิตถอนออกมาแล้วก็มาดูนาฬิกา เป็นเวลาตี ๕ กว่าๆ

พอจิตถอนออกจากสมาธิใหม่ๆ ท่านก็มาระลึกย้อนหลังถึงช่วงเวลาที่เข้าสมาธิว่า “ทำไมท่านเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็คิดไป มันสงบอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นไปได้อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะท่านทำอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านก็จำเอาไว้ จำทางที่มันเข้าสมาธิ ท่านภาวนาพุทเข้าโธออก เอาไปเอามาพุทโธหาย ลมหายใจหาย เหลือแต่ความรู้ รู้ รู้เฉย ว่าง สว่างไสว ท่านก็จำเอาไว้

เมื่อท่านได้เห็นสภาวะเช่นนั้นก็ดีใจหลาย เช้านั้นก็ลงมาจากถ้ำเพื่อจะไปบิณฑบาตกับ ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาว หน้าเข้าพรรษา ถ้ำผาปู่หนาวมาก ท่านก็ลงมาจัดอาสนะช่วยหมู่เพื่อน พอดียังเหลืออาสนะที่ยังจัดไม่เสร็จอีกหลายอัน วันนั้นก็เลยได้ไปบิณฑบาต หลังจากไปบิณฑบาตเสร็จรู้สึกดีใจ อยากให้ฉันเสร็จไวๆ เพราะจะไปเล่าผลการปฏิบัติถวายหลวงพ่อ ท่านก็รีบฉันรีบทำอะไรให้แล้วเสร็จ บาตรหลวงพ่อก็ไม่ไปล้างล่ะวันนั้น ตั้งใจล้างเฉพาะบาตรตัวเอง บอกคนอื่นไปรับบาตรหลวงพ่อไปล้างไปทำ มันดีใจหลาย พอดีก็เลยไปเอาผ้าคลุมของหลวงพ่อ เก็บผ้าคลุมให้ พอหลวงพ่อเดินกลับกุฏิ ท่านก็รีบตามหลังไป แล้วก็เล่าผลการปฏิบัติถวายท่าน หลวงพ่อก็ว่า “ตอนผมสงบก็เป็นอย่างนี้แหละ ผ่านเวทนาใหญ่นี่เสียก่อน จึงจะได้ความสงบ หลวงปู่คำดีของเราก็เหมือนกัน ท่านก็ผ่านเวทนาใหญ่อย่างนี้แหละ ท่านก็เล่าให้ผมฟังอย่างนี้เช่นกัน ว่าพอผ่านเวทนาใหญ่ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ ไม่มีปวดอีก สู้รบชนะกันแล้ว ถูกแล้วๆ จำของเก่าให้มันได้เด้อ” หลวงพ่อก็ยินดีอนุโมทนาด้วย ถูกแล้วจำของเก่าให้มันได้ ไปทำอีก ทำเหมือนเดิมนั่นล่ะ พอได้เล่าก็กลับมาจากกุฏิหลวงพ่อ หมู่เพื่อนก็ปัดกวาดเช็ดถูวิหารเสร็จ เราก็เลยปิดประตูวิหารลงไม่ขึ้นไปกุฏิ

ทีนี้ท่านก็ทดลองนั่งดูว่ามันจะหายปวดจริงๆ ไหม ตอนนั้นประมาณ ๔ โมงเช้า เลยมานั่งท้าทายมันอีก เอาจนถึงบ่าย ๒ นั่นล่ะ มันจะเป็นอย่างไร มันจะปวดขึ้นอีกไหม พอนั่งไม่นานมันก็เข้าสมาธิ เข้าสมาธิได้คือเก่า เข้าทางเก่า สู้ไปทำไปไม่ปวด มันไม่กล้าปวดอีก ท่านเอาชนะมารได้แล้ว มารเลยไม่กล้ามาโผล่หน้ามาให้เห็นอีก ท่านนั่งตั้งแต่ ๔ โมงเช้าไปจนถึงบ่าย ๒ นั่งท่าเดียวอยู่นั่นล่ะ ไม่เป็นไร พอถึงบ่าย ๒ จะมีพระลงมาท่านก็เลยหนีขึ้นไปที่กุฏิ ไม่ลงไปฉันปานะวันนั้น ไปทำต่อที่กุฏิ ก็สงบอีกไม่มีอาการปวด พอถึงค่ำมาท่านก็ไหว้พระสวดมนต์ย่อๆ นั่งอีกเอาจนสว่าง ไม่ปวด มีแต่เยือกเย็นเป็นสมาธิ สบาย ตื่นเช้าเลยไปเล่าให้หลวงพ่อฟังอีก

“โอ้..หลังจากผมลงจากกุฏิหลวงพ่อวันนั้น ก็ลงไปนั่งอย่างนั้นอย่างนี้ สงบอย่างนั้นอย่างนี้” หลวงพ่อก็ว่า “นั่นล่ะ ถูกแล้วๆ” ท่านได้ไปเล่าถวายหลวงพ่อฟังอีกรอบหนึ่ง

จากนั้นมาท่านก็ทำอยู่อย่างนี้มาเรื่อยๆ สงบมาเรื่อยๆ รู้สึกเย็นชาไปทั้งเนื้อทั้งตัว บริเวณกลางหัวนี่ชาเหมือนไม่ใช่หัวตัวเอง เหมือนกับใส่หมวกกันน็อคเลยล่ะท่านว่า ทำยังไงก็สงบ ไม่ทำก็สงบ เดินไปเดินมาก็สงบ นั่งอยู่ก็สงบ เยือกเย็นเป็นสมาธิ ท่านเลยไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง “เอ๊..มันทำไมเป็นถึงขนาดนี้หลวงพ่อ” ท่านก็ว่า “นั่นล่ะจิตเป็นเอกัคคตาจิต” ท่านเลยสงสัยว่าทำไมแต่ก่อนหลวงพ่อเคยว่าเป็นเอกัคคตารมณ์ เลยถามว่าเอกัคคตาจิตกับเอกัคคตารมณ์มันต่างกันอย่างไร หลวงพ่อก็ว่ามันมีอารมณ์เดียว ถ้าเราเข้าฌานเข้าสมาธิ หรือไม่เข้ามันก็เป็นอยู่อารมณ์เดียว เรียกว่า เอกัคคตาจิต มีจิตเดียว อารมณ์เดียวเท่านั้น รู้เฉย รู้เฉยอยู่ตลอดวัน

หลวงพ่อสีทนจึงแนะนำให้ท่านเดินปัญญา เพราะท่านเริ่มได้สมาธิเห็นสมาธิใหญ่แล้ว ไม่ได้แต่ง ไม่ได้คิด ไม่ได้ปรุงอะไร นั่งลงไปมันก็ถึงจุดนั้นเอาเองเลย ไม่รู้ว่าปีติ ไม่รู้ว่าสุข มันลงไปถึงอุเบกขา เอกัคคตารมณ์ รู้เฉย รู้เฉย อยู่อย่างนั้น มันเป็นสมาธิอัตโนมัติ เป็นตลอดวันตลอดคืน แม้ทุกวันนี้ท่านก็บอกว่ากำหนดดูเวลาใดก็เย็นอยู่อย่างนั้น ตลอดวันตลอดคืน ยังเป็นอยู่คือเก่า (เป็นอยู่เหมือนเดิม) เป็นอะไรที่แปลกประหลาดอัศจรรย์จริงๆ เมื่อหลวงพ่อแนะนำให้เดินปัญญา ท่านก็ถามหลวงพ่อว่าเดินแบบไหน หลวงพ่อก็บอกท่านให้เอากรรมฐาน ๕ ถอดดูกายเจ้าของ ดูกรรมฐาน ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คืนนั้นท่านก็กลับไปพิจารณาดู หลวงพ่อบอกให้ดูกรรมฐาน ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งให้มันเห็นตามความเป็นจริง ท่านจึงค้นหาว่าเห็นตามความจริงคืออย่างไรหนอ เห็นความเป็นจริงคือเห็นอะไรหนอ ท่านเกิดสงสัยเลยกลับไปถามหลวงพ่ออีก หลวงพ่อก็ว่า “เห็นตามความเป็นจริงก็คือเห็นว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่ในนั้น เรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง นั่นแหละเห็นความจริง” หลวงพ่อก็บอกเพียงย่อๆ เท่านั้น

จากนั้นท่านก็มาไล่ดู พอไล่ดู ๒-๓ วันก็ไปเล่าถวายหลวงพ่ออีก หลวงพ่อก็ว่า ฮือ..มันไม่เร็วถึงขนาดนั้นดอก.. จากนั้นท่านว่าจิตมันไม่ยอมดู มันไม่ดูให้ จิตมันมาติดสุขในสมาธิ ดูปั๊บจิตก็สงบว่าง สว่างไสวผ่องใส ก็ว่ามันมีความสุขความสบาย ก็ปล่อยให้จิตมันสงบไป ดูทีไรก็เป็นอย่างนี้ตลอด หลวงพ่อเลยบอกท่านว่าติดสุขในสมาธิ นี่แหละเขาเรียกว่าสมาธิหัวตอ ไม่เกิดปัญญา ตายแล้วอย่างมากก็ไปเกิดอยู่พรหมโลก ไม่เห็นพระนิพพานกับเขาแหละ ต้องข่มจิตข่มใจ บังคับจิตเจ้าของให้เดินปัญญาให้มันได้ คราวนี้ท่านก็พยายามเดินปัญญา เดินแล้วมันก็สงบอยู่นั่น มาติดสุขอยู่นั่น หลังจากออกพรรษาแล้วท่านก็ติดสุขอยู่ในสมาธิ ไม่เกิดปัญญา จากนั้นท่านเลยหาอุบายแก้โดยวันหนึ่งจะฉันข้าวเพียง ๕ คำ แล้วจะไปเดินปัญญาให้มันได้ คุมจิตพามันคิดให้ได้ แต่จิตไม่ยอมคิด มันมีแต่เข้าสงบอย่างเดียว ติดสุขในสมาธิ

วันนั้นท่านก็มาเดินจงกรมอยู่ที่ระเบียงวิหาร ไม่ขึ้นไปบนกุฏิ ฉันเสร็จก็ขึ้นมาเดินเลย เพราะว่าวิหารไม่มีใครอยู่ข้างบน ไม่มีใครมาพักอยู่ ปิดข้างนอกไว้ข้างในไว้ ไม่มีใครเข้าไปรบกวน วันนั้นตอนกลางคืนท่านมาเดินจงกรมไม่นาน ก็อยากนั่งสมาธิอีก จิตกำลังจะสงบ พอมานั่งจะเอาขาคู้เข้าหากันยังไม่ถึง จิตก็สงบก่อนแล้ว มันสงบเร็วมาก มันดูลมหายใจไม่เห็น มีแต่ความรู้เฉย รู้เฉย อยู่เท่านั้น เป็นสมาธิใหญ่ อัปปนาสมาธิ อัปปนาฌานแล้ว พอจิตกำลังจะถอนออกจากสมาธิ ท่านก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด ร้องวนลงมาจากอากาศ “ค้นให้ทั่วทุกสิ่ง สุขจริง สุขจริง สุขจริง” ท่านก็เลยว่าจะค้นที่ไหน อยู่นี่ก็มีแต่บาตร ผ้าสังฆาฏิ ผ้าจีวร ผ้าสบงก็ปูอยู่นี่ ปูนั่งอยู่นี่ ผ้าจีวรก็ห่มอยู่นี่ ผ้าสังฆาฏิก็วางอยู่นี่ จะให้ไปค้นอะไร ท่านก็คิดว่าเขาคงให้ท่านค้นกาย ค้นกายให้ทั่ว เพราะท่านค้นกายยังไม่ทั่ว

ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่ยอมพามันนั่งสมาธิ ฝืนจิตคุมจิตให้ค้นดูกายเจ้าของเหมือนกับหลวงพ่อสีทนบอก “ค้นเบิ่งกาย เอาจิตตั้ง หวังแจกกายา เอาปัญญา ผ่ากายออกทิ้ง ม้างแล้วม้างอีก ผ่าแล้วผ่าอีก” (ค้นดูภายในกาย เอาจิตและสติปัญญาแยกกายออก ผ่ากายออกทิ้ง ผ่าแล้วผ่าอีกอยู่เป็นนิจ) แล้วถามคำถาม ๔ คำถาม ถามแล้วถามอีกอยู่อย่างนั้น มันอยากเข้าสมาธิก็ไม่ยอมให้มันเข้า มีแต่เดินปัญญาอย่างเดียว หลวงพ่อบอกว่าท่านเดินปัญญาได้ตลอดวัน เพราะว่าจิตเป็นเอกัคคตาจิต จิตเป็นหนึ่งตลอดวัน เดินไปไหนก็เป็น เดินไปไหนก็ลงสู่ไตรลักษณ์ญาณอย่างนั้น กว่าจะเข้าใจก็ต้องใช้เวลา

วันหนึ่งท่านจึงไปเล่าถวายหลวงพ่อ ว่าท่านได้ค้นกายเจ้าของทั่วหมดแล้ว ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่ในนี้ หลวงพ่อเลยถามหยอกว่า “หมาเหรอนั่งอยู่นี่” ท่านก็ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนนั่งอยู่ในนี้หลวงพ่อ มีแต่ก้อนธาตุก้อนธรรม ก้อนอนัตตาธาตุอนัตตาธรรม สนทนากับหลวงพ่อไป หลวงพ่อก็ว่า “เออ..นั่นแหละเห็นอนัตตาธาตุอนัตตาธรรม ก้อนธาตุที่ไม่มีเจ้าของ ก้อนธรรมที่ไม่มีเจ้าของ ที่เขาตั้งชื่อก็มีแต่สมมุติขึ้นมาใช้ในโลกนี้เฉยๆ สัตว์บุคคลตัวตนไม่มีจริงๆ ลูกศิษย์ผมมีคนเดียวนี่แหละรู้ธรรมเห็นธรรมเร็วที่สุด มีคนเดียวนี่ตั้งแต่ผมสอนมา”

ครั้งหนึ่งท่านเคยไปเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ท่านจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี พอพรรษาแรกมาก็อายุ ๕๐ ปีพอดี หลวงพ่อก็เลยว่า “เออ..ตายแล้วทีนี้ ตายจากโลกสมมุติเขา ตายจากสมมุติ ไม่ได้ตายจริงๆ ดอก ไม่ได้ตายใจขาดดอก จะอยู่ได้ไปอีกนานอยู่ จะมีอยู่ได้ไปนานอยู่ ไม่ได้ตายจริงๆ ตายจากสมมุติ ตายแล้วทีนี้” คือจิตท่านหลุดพ้นจากสมมุตินั่นเอง แล้วหลวงพ่อก็มาไล่ถามอีก มาไล่ถามดูว่าท่านมีสัตว์บุคคลมีตัวมีตนอยู่ในกายนี้ไหม ท่านก็ว่า “ไม่มี ไม่มี” อธิบายให้หลวงพ่อฟังอยู่อย่างนั้น

วันหลังหลวงพ่อจึงบอกท่านว่า “ผมจะให้ท่านไปธุดงค์สัก ๒ เดือน ให้ไปชวนเอาท่านอี๊ดเด้อ อยู่แต่กับหลวงพ่อเผย ให้ท่านได้หยุดพักทำพระพุทธรูป มัวทำแต่พระพุทธรูปกับหลวงพ่อเผย ทำเหรียญของหลวงปู่ไปขายอยู่ ให้ท่านหนีไปภาวนาบ้าง” ท่านก็เลยชวนท่านอี๊ดไปเป็นเพื่อน มีพระได้ยินว่าหลวงพ่อให้ไปธุดงค์ เลยอยากไปด้วยหลายองค์ แต่หลวงพ่อไม่อนุญาตให้ไป ให้ไปแค่ ๓ องค์ ท่านจึงกราบเรียนหลวงพ่อว่า ท่านไม่กล้าไปดอก เพราะว่าท่านยังบวชใหม่ วินัยท่านก็ไม่เก่ง ไปทำผิดศีลผิดวินัยกลัวจะเป็นบาปเป็นกรรม หลวงพ่อจึงให้ชวนท่านสวย (หลวงตาสวย) ไปเป็นเพื่อนอีกองค์หนึ่ง สรุปแล้วก็มี ๓ องค์ มีหลวงตาสวย ท่านอี๊ด แล้วก็ตัวท่าน (หลวงตาศิริ) ให้ไปแค่ ๒ เดือนนะ หลวงพ่อสั่ง

จากนั้นท่านจึงไปถามหลวงพ่อจะว่าให้ไปทางไหน หลวงพ่อก็ว่า “ให้ไปทางบ้านเก่า บ้านเก่าของเรานั่นล่ะ ไปบิณฑบาตให้อ้ายทิดกอง (พี่ชายใหญ่ของหลวงตาสวยและหลวงตาศิริ) ให้พี่น้องเราได้ใส่บาตรหน่อย อยู่บ้านเราไม่มีพระนะ ใส่บาตรก็ใส่ไปอย่างนั้น ไม่มีพระแท้หรอก”แล้วก็ไปพักอยู่เกิ้งที่อยู่เก่าของผมกับหลวงปู่ ไปพักที่นั่น หลวงพ่อได้แนะนำอย่างนี้ วันต่อมาท่านก็ไปคุยกับท่านอี้ด แล้วก็มาหาหลวงปู่สวยที่บ้านนาสมนึก บอกว่าหลวงพ่อสีทนสั่งว่าให้พาไปธุดงค์ทางบ้านเก่าเรา ให้ไปบิณฑบาตรให้พ่อใหญ่กองได้ใส่บาตรด้วย

พอวันที่ท่านและคณะออกเดินทางมา ก็ยังไม่ได้ไปพักที่เกิ้งเหมือนหลวงพ่อบอก ไปแวะที่แรกคือที่ถ้ำปลาฝา (เต่า) ไปพบกับแม่ชีคนหนึ่ง แถบนั้นเขาเรียกกันว่าชีแม่ (แม่ชีนี้อดีตเคยเป็นนักศึกษาเก่าสมัย ๒๕๑๓-๒๕๑๔ เป็นคอมมิวนิสต์ เรียนอยู่ ม.ธรรมศาสตร์ ทางการเขาจะจับแกเลยหลบหนีมาบวชเป็นชี) ไปพักอยู่ที่ถ้ำปลาฝานานพอสมควร ท่านก็เห็นพระไปเยี่ยมแม่ชี พระไปกราบแม่ชี เห็นแม่ชีนี่เก่งมาก บอกเลขบอกหวยอะไรคล่องแคล่วไปหมด แปลหนังสือธัมมจักร อาทิตตะ อนัตตะ ได้หมด

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู แล้วก็ออกไปกวาดตาดด้านนอก แม่ชีเห็นท่านกำลังกวาดตาดอยู่ก็เลยบอกท่านให้ไปกวาดใต้ถุนกุฏิให้ด้วย ท่านจึงได้ว่า “โอ้..ประสาแม่ชีศีล ๘ มาใช้พระกวาดกุฏิให้” ตอนท่านอยู่ที่ถ้ำผาปู่ท่านก็ปกครองแม่ชีมานักต่อนักแล้ว ปกครองแทนหลวงพ่อ แต่มานี่เห็นแม่ชีไม่มีความเคารพพระ ซ้ำยังมาใช้พระอีก ท่านจึงได้ว่าเพื่อเป็นการสั่งสอน “ถึงพระจะบวชเมื่อวานนี้แม่ชีก็ต้องมากราบ ไม่ใช่จะมาใช้พระมาทำนู่นทำนี่ให้” ท่านเลยว่าต่ออีกว่า “ผ้าก็ไม่ซักมันขลังนักเหรอ แม่ชีไม่ซักผ้า ห่มผ้าเป็นดำๆ ด่างๆ ไม่ซักสักครั้ง ว่ามันสิขลังบ่..บางผืนกะออกเห็ดดำปื้อๆ กะยังนุ่ง ปานหนั้นล่ะว่าแม่ชีเก่าดีเด่น ในแถบนั้นย่านแม่ชีเหมิ๊ด” (นึกว่ามันจะขลังหรืออย่างไร ผ้าบางผืนก็ขึ้นราดำๆ ก็ยังเอามาใส่อยู่ ขนาดนั้นยังว่าเป็นแม่ชีประพฤติดี คนแถวนั้นกลัวแม่ชีทั้งหมด) ไปยกวันนั้นท่านก็เลยว่ากันกับแม่ชี เลยผิดใจกัน

ต่อมาท่านก็เลยย้ายจากถ้ำปลาฝาขยับขึ้นไปพักที่คำกั้ง ที่คำกั้งนี้ก็มีน้ำใสสะอาดไหลเย็น พอท่านไปพักอยู่ที่นั่นแม่ชีก็ว่าเป็นที่ของเขา อีก แม่ชีคนนี้จะมีคณะของเขาอยู่ มีอาจารย์ดอกเตอร์สุวรรณา อยู่มหาลัยขอนแก่น กับอาจารย์อยู่ในมหาลัย เขาจะไปสร้างรีสอร์ทที่นั่น เขาก็เลยหวงที่ดินตรงนั้น ไม่อยากให้ใครไปพัก พอท่านและคณะไปพักอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน เขาก็กันพามาขับไล่ท่าน คนที่ไปวันนั้นก็มีเสี่ยชาญชัยซึ่งเป็นหมู่เพื่อนเคยรู้จักกันกับท่าน สมัยเลี้ยงวัวอยู่ด้วยกัน แล้วก็มี ส.ส.ชัยชาญ ศรีสองชัย ร้อยเอกเฉลิม เป็นทหารอยู่ค่ายศรีพัชรินทร์ ติดป้ายไว้ด้วย เมียเป็นอาจารย์อยู่ในมหาลัย แล้วก็ผู้บังคับการอยู่ค่ายศรีพัชรินทร์ แล้วคนที่ออกหน้ามาก็มีอาจารย์ผู้หญิงในมหาลัยของเป็นลูกน้องของ ดร.สุวรรณา ก็มาชี้หน้าด่าท่าน (ที่ท่านเคยตอบหลวงพ่อสีทนว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่ในนี้ เป็นเพียงก้อนอนัตตาธาตุอนัตตาธรรม หลวงพ่อคงคิดว่ามันจะเป็นจริงไหม พอท่านมาอยู่ที่นั่น หลวงพ่อก็คงจะรู้ว่าเขาจะมาทำแบบนี้กับท่าน ก็เลยให้ท่านมาทดสอบดู) ว่า “ไอ้ห่า ไอ้หมา ศีล ๕ มึงไม่มี ศีล ๒๒๗ มึงจะมีมาจากไหน” ท่านเลยว่า “ทำไมถึงรู้ว่าไม่มีศีล” เขาก็ว่า “หยุด ไม่ต้องมาพูด” ชี้หน้าจั๊กๆ ท่านก็เลยไม่พูด เขาก็ว่าท่านสารพัดอย่าง ว่ามาพลิกก้อนหินทำลายธรรมชาติ จะเอาตำรวจมาจับ มันไม่รู้จักที่ของเขา พวกหมา พวกอะไร เขาก็ด่าว่าสารพัดอย่าง (ในขณะนั้นท่านก็เห็นว่าท่านละได้ เห็นว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่ในนี้ เขาด่ายังไงก็ไม่ถูกท่านดอก ท่านก็ว่าละความโกรธได้ เห็นว่าไม่มีเรา เห็นแจ้งชัดในวันนั้น) ท่านก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่ยิ้มอย่าวเดียว เมื่อเขาเห็นท่านไม่พูด เขาก็ชี้หน้าว่าอีก “ไอ้ห่ามึงทำไมไม่พูด” สุดท้ายพวกเขาก็พากันกลับไป

ท่านว่าตอนถูกขับไล่นั้นท่านก็ไม่ได้หนีไปที่อื่น ก็อยู่ภาวนาไม่ได้มาเอาของใคร ถ้าถึงเวลาหนีเราก็จะหนีดอก เรามาเพียง ๒ เดือน จะอยู่ที่นั่นตามกำหนดของหลวงพ่อสั่งให้มาเท่านั้น ระยะที่อยู่ท่านก็ไปบิณฑบาตบ้านกุยกอก บ้านหนองผือไม่ได้ไป แต่พี่ชาย (พ่อใหญ่กอง) ได้ยินข่าวแกก็ไปใส่บาตรอยู่สองครั้ง ครั้งที่สามพาลูกชายขับรถแท็กซี่ขึ้นไปแล้วไปถามเลข หลวงพ่อบอกว่าไปบิณฑบาตให้อ้ายทิดกองใส่บาตรสักสองสามครั้งเด้อ ก็เป็นครั้งที่สามนั่นล่ะ ก็ไปถามเอาเลข (หวย) ก็เลยผิดใจกัน ท่านเลยว่าพ่อใหญ่กอง (พี่ชาย) ทำไมมาถามเลขถามหวยแค่นี้ ทำไมไม่ถามหาทางไปสวรรค์นิพพาน เลขหวยมันเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าพระบอกไม่ถูกก็เป็นการโกหกหลอกลวงคน มาถามเลขก็เป็นบาปไปตกอบายภูมิ พระบอกเลขก็ไปตกอบายภูมิไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานตายไม่ได้มาเกิดง่ายดอกโยมพี่ โยมพี่ก็ว่าเป็นอะไรก็ช่าง พระรูปอื่นเขาก็บอก ทำไมเขาไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ท่านเลยว่า เป็น..มันยังไม่เป็นตอนนี้ มันยังไม่ทันตาย โยมพี่ก็ว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ช่างหัวมัน ตายเป็นหนอนก็ยังมีหนอนผู้หนอนเมียอยู่หรอก ท่านก็ว่านี่ล่ะเรื่องจะผิดใจกัน พ่อใหญ่กองเลยสั่งน้องสาวมา (แม่สมบัติ) บอกให้มาขีดแผ่นดินแบ่งกับน้อง (ท่านหลวงตาศิริ) ท่านเลยบอกว่าไม่แบ่งกับเขาหรอก เขาอยากได้หวยท่านก็เลยว่าไปเฉย ๆ

อยู่ที่นี่ (คำกั้ง) ท่านบอกว่าแม่ชี (ชีแม่) ที่อยู่ถ้ำปลาฝากับบริวารมักจะมาแอบดูท่านเสมอ อยู่มาคืนหนึ่ง กลุ่มแม่ชีมองไปเห็นจุดที่ท่านพักอยู่นั้นเกิดเป็นแสงสว่างพุ่งขึ้นไปบนฟ้าแล้วก็ดับ แล้วก็พุ่งขึ้นอีกอยู่อย่างนั้น จึงพากันเกิดความเกรงกลัวในบารมีของท่าน และอีก ๒-๓ วันต่อมา เขาเลยมามอบคำกั้ง มอบถ้ำปลาฝาให้ ก็เลยไปเรียกกำนัน ผู้ใหญ่บ้านขึ้นมาเป็นพยานว่าท่านไม่ได้ขอ เขาเกรงกลัวท่าน ว่าที่นี่คงเป็นที่อยู่ของครูบาอาจารย์ เมื่อมาเห็นแสงแปลกประหลาดเข้าก็เลยกลัว จึงจะมอบที่ตรงนี้ให้ ยายสมบัติ ยายโสรัส มาจังหัน ก็มาฟังอยู่ด้วยอยู่ เอากำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาเป็นพยานว่ามอบถ้ำปลาฝาให้หลวงตาศิริ ในตอนนั้นจะเอาหรือไม่เอาท่านก็ไม่ว่าอย่างไรดอก

ตกลงท่านก็เลยได้ย้ายจากคำกั้งมาอยู่ที่ถ้ำปลาฝารอบสอง เขาก็มอบกุฏิหลังหนึ่งที่เสี่ยชาญชัยไปสร้าง ถวายให้เป็นที่พักท่าน สำหรับหลวงปู่สวยให้ไปพักอยู่กุฏิอีกหลังหนึ่ง แต่กุฏิไม่ค่อยดีดอก ท่านก็เลยให้พระพี่ชายมานอนที่หลังดีๆ ส่วนท่านก็ไปหานอนที่อื่น เขาเลยไม่ค่อยพอใจ ว่ามอบกุฏิให้ท่านแล้วท่านไม่อยู่แต่ไปให้พระพี่ชายอยู่ พออยู่ครบ ๒ เดือน ท่านก็เลยกลับคืนไปที่ถ้ำผาปู่กับครูบาอี๊ด ให้หลวงปู่สวยพักอยู่ที่คำกั้งองค์เดียว ขณะที่พักอยู่คำกั้งนั้น ในพรรษาต่อมาหลวงปู่สวยอยู่องค์เดียวก็ถูกยาเบื่อ ไปฟื้นที่โรงพยาบาล กินอาหารเข้าไป ถึงโรงพยาบาลก็ล้างท้องออกให้ ปีต่อมาท่านก็มาหาหลวงปู่สวยอีกที่คำกั้ง มาพักอยู่ด้วย แม่ชีมาเห็นเหตุการณ์นี้เลยมอบถ้ำปลาฝาคืนให้อีก เลยมาพักที่ถ้ำปลาฝา ครั้นมาอยู่ที่ถ้ำปลาฝาก็ว่าท่านไม่พักกุฏิที่เขามอบให้ ให้หลวงปู่สวยไปพักเขาไม่พอใจ วันต่อมาท่านก็เลยพาหลวงปู่สวยลงมาอยู่เกิ้ง

ปีนั้น พ.ศ.๒๕๓๙ พอย้ายมาอยู่เกิ้ง มาอยู่เกิ้งหลวงพ่อสีทนก็สั่งท่านว่า กุฏิหินเกิ้งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ของเก่าหลวงปู่คำดี หลวงพ่อจะมาสร้างกุฏิให้ ตอนนั้นทางอุทยานเขาได้ออกกฎหมายอุทยานมาแล้ว ตรงนั้นเป็นเขตอุทยานแห่งชาติภูพานคำ เขาว่าอยู่ข้างบนนั้นไม่ได้ ตอนแรกท่านก็คิดว่าจะหนีไป แต่หลวงพ่อสั่งให้ท่านมาปรับพื้นที่สร้างกุฏิที่พักให้เรียบร้อย เพราะเป็นที่เก่าของหลวงปู่คำดีและก็ของหลวงพ่อสีทนเองด้วย ต่อมาอุทยานเขาก็มาขับไล่ เขาบอกว่าท่านมาอยู่หลังกฎหมายอุทยาน ทีนี้ท่านก็เลยมาคุยกับแม่ยลพ่อผลเจ้าของนาที่อยู่ติดเกิ้ง เขาก็เลยไม่อยากให้ท่านหนี เขาบอกว่าที่ผืนนี้พ่อใหญ่แม่ใหญ่ได้มาก็เพราะหลวงปู่คำดีหลวงพ่อสีทนนี่ล่ะ เขาบอกว่าไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณของหลวงปู่คำดีหลวงพ่อสีทน เพราะท่านทั้งสองก็ได้มรณภาพไปแล้ว ก็จะยกที่ตรงนี้ให้ท่านอยู่ เขาก็เลยถวายที่ให้ท่านทั้งหมด ๗ ไร่

จากนั้นเพื่อนของท่านอยู่ที่หนองเรือก็มาช่วยทำถนนทางเข้าวัดเกิ้ง โดยเอารถแม็คโค รถสิบล้อรถรถแทรคเตอร์ มาทำให้หมดน้ำมันไป ๑๑ ถังใหญ่ (ถัง ๒๐๐ ลิตร) ทำถนนจากบ้านหนองผือไปถึงเกิ้ง รถวิ่งเข้าออกได้สะดวกสบาย ช่วงนั้นหลวงปู่สวยคิดว่าท่านจะสร้างวัดไม่สำเร็จ ก็ไปนิมนต์อาจารย์โอภาสมาอยู่พอท่านปรับที่แล้วเสร็จ ก็ได้ลื้อเอาบ้านเก่าที่ท่านเกิดมาสร้างเป็นศาลาฉันข้าว ระยะไปอยู่นั่นหลวงปู่สวยกับอาจารย์โอภาสอยู่ด้านล่าง ท่านได้ย้ายไปพักอยู่ที่ถ้ำลายฝ่ามือ ไปบิณฑบาตบ้านที่ดอนกอกมาฉันตามมีตามได้ อยู่นั่นไม่นานก็ใกล้เข้าพรรษาท่านจึงกลับไปถ้ำผาปู่อีก เพราะท่านตั้งใจจะอยู่ที่ถ้ำผาปู่ให้ครบ ๕ ปี

ช่วงก่อนที่ท่านจะกลับไปถ้ำผาปู่ ก็มีเพื่อนท่านมาเข้านาคอยู่ด้วยชื่อนาคฤทธิ์ ซึ่งเป็นเพื่อนอยู่บ้านหนองผือ หลวงปู่สวยกับอาจารย์โอภาสไม่มีคนดูแลอุปัฏฐาก เลยมาขอนาคของท่านคือนาคฤทธิ์เอาไว้ใช้งาน ก็เลยมอบนาคให้หลวงปู่สวยกับอาจารย์โอภาสดูแล ออกพรรษาแล้วท่านจึงจะพาไปบวช ต่อมาช่วงใกล้ออกพรรษา นาคฤทธิ์ก็เลยไปทำทางเดินจงกรมที่เก่าของท่านอยู่ที่เกิ้ง ก็ไปเห็นเงินแท่งประมาณ ๓ กิโลกรัม ได้เงินมาคนก็หลั่งไหลเข้าไปดู บางคนก็ขอไป บางคนก็เป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา ต่อมานาคฤทธิ์ก็เป็นบ้า เพราะเอาเงินเขาไปแจกให้คนอื่น หลวงปู่สวยกับอาจารย์โอภาสรักษายังไงก็ไม่หาย โยมจั่วก็เลยให้เงิน ๒,๐๐๐ ให้ไปรักษาตัวที่ร้อยเอ็ด กลับคืนมาก็ไม่หาย

ออกพรรษาแล้วท่านก็กลับมาที่เกิ้งอีกรอบ ปีนั้นเป็นพรรษาที่ ๔ ของท่าน กลับมาอยู่เกิ้งท่านก็มาแก้จิต รักษาจิต แก้บ้าให้นาคฤทธิ์ นาคฤทธิ์เป็นบ้าอยู่ยังไม่หาย ท่านก็เลยถามว่าถ้าหายเป็นบ้าจะบวชอยู่ไหมล่ะ นาคฤทธิ์ก็บอกว่าบวช ถ้าตั้งใจจะบวชแล้วทำไมจะไม่บวช ท่านก็เลยว่าถ้าอยากหายก็ให้เอาเงินที่ได้มานั้นมาให้ท่าน ท่านจะเอาเข้าเป็นของสงฆ์ จะถวายสงฆ์อีก ๒-๓ วันนี้ ให้ลูกกับเมียเจ้านั้นทำข้าวหม้อแกงหม้อมาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเงินนี่ เงินนี่ก็จะถวายเป็นของสงฆ์ กล่าวคำถวายทานเป็นของสงฆ์ ให้เขาได้ไปเกิดไปขาน เขามาเฝ้าเงินเขาอยู่หลายภพหลายชาติแล้ว ให้เขาได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ซะ ได้บำเพ็ญภาวนาให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน พอว่าอย่างนั้นนาคฤทธิ์ก็หายเป็นบ้าทันทีเลย ตอนไปบวชก็ไปบวชที่วัดพระบาท (วัดพระบาทภูพานคำ อำเภออุบลรัตน์) โยมเมธีเป็นคนพาไป ยายอั้วเป็นคนออกปัจจัยพาไปบวช บวชมาก็มาอยู่ที่วัดเกิ้งนี่ล่ะครูบาฤทธิ์

ครั้งนี้ท่านมาอยู่เกิ้งได้ไม่นานก็ออกจาริกธุดงค์ต่อ ท่านว่าไปทางเชียงใหม่ ไปถึงดอยอ่างขางนู่นล่ะ เดินทางไปกับอาจารย์สุพัฒน์ หลังจากงานทำบุญหลวงปู่คำดีแล้ว พอไปถึงดอยอ่างขางก็ไปเจอกับพระอาจารย์สถิตย์ ก็เลยขอติดตามท่านมา ท่านก็พากลับมาพักที่วัดเกิ้งอีกรอบ ตอนนั้นก็มีหลวงตาโรจน์ทราบข่าวว่าท่านมาพักอยู่ที่เกิ้ง ก็เลยติดตามมาอยู่ที่เกิ้งด้วย (หลวงตาโรจน์นี้บวชที่ถ้ำผาปู่ ตอนนั้นเกิดศรัทธาในองค์หลวงตาศิริ จึงมาถวายตัวเป็นลูกศิษย์คนแรกของท่าน เพราะเห็นปฏิปทาเห็นการปฏิบัติของท่าน ก็เลยมาถวายตัวเป็นลูกศิษย์) อยู่ที่เกิ้งได้ไม่นานก็ตกลงกันว่าจะไปธุดงค์ต่อ

คณะของท่านพากันจาริกมาพักที่บ้านคำบอน เลยมาสร้างวัดที่บ้านคำบอน และท่านได้ตั้งสัจจะว่าจะอยู่วัดป่าบ้านคำบอนนี้ ๕ ปี ช่วงที่อยู่บ้านคำบอนท่านว่ามีอุปสรรคหลาย ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านส่วนหนึ่งเหมือนจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ มาอยู่ไม่นานก็มีอาจารย์หลวง แล้วก็มีพ่อใหญ่บุมาบวชอยู่ด้วย ต่อมาหลวงปู่พรมก็มาเยี่ยม ตอนนั้นบวชเป็นมหานิกาย ก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่ที่บ้านคำบอน เทศน์อธิบายให้กันฟัง ต่อมาหลวงปู่พรมเกิดความเชื่อมั่นในตัวท่าน เลยขอญัตติเป็นธรรมยุติ มาถวายตัวเป็นศิษย์ท่านตั้งแต่อยู่บ้านคำบอน (หลวงปู่พรมท่านเป็นพระที่เด็ดเดี่ยวมากรูปหนึ่ง หลวงปู่บอกว่าบวชมาหามรรคผลนิพพาน พรรษาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน มหานิกายธรรมยุติไม่เกี่ยว จะบวชมาหามรรคผลนิพพานอย่างเดียว ปัจจุบันนี้หลวงปู่พรมได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงตาศิริที่วัดถ้ำผาแดงผานิมิตเรื่อยมา)

พอมาอยู่คำบอนได้ไม่นานก็มาถูกเขาขับไล่อีก เขามาจุดป่าขับไล่ มาจุดตอนที่ท่านไปบิณฑบาตกัน ป่านี้จุดไฟมันก็ไหม้ไปหมดเพราะป่ามันหนา แต่ก็เกิดสิ่งน่าอัศจรรย์ ไฟไม่ไหม้กุฏิพระ แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน หลวงปู่พรมท่านว่าพอจะรู้ตัวผู้มาจุดอยู่ พอมันจุดแล้วแต่ไฟไม่ไหม้กุฏิ มันก็เลยกลัว มันเลยพาเมียย้ายหนีไปจากบ้านคำบอน หนีไปตายข้างหน้า ไม่ได้ไข้ได้ป่วยอะไร มันออกร้อนตัวตายเฉยๆ หลวงปู่ว่ามันออกร้อนตัวก็เลยตาย ทุกท่านที่อยู่วัดป่าคำบอนด้วยกันก็เห็นว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์จริงๆ ท่านว่ากุฏิไหนก็ไม่ไหม้ ไหม้แต่รอบๆ กุฏิ พอใกล้เขต ๕-๖ เมตรมันก็ดับหมด นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่

ครั้นอยู่ต่อมาเขาก็มาไล่ท่านออกจากพื้นที่ตรงนั้นอีก พวกปลัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาขับไล่ ท่านก็ไม่ได้สนใจ ก็อยู่ไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดปัญหาเรื่องที่พ่อสัมกับแม่อนงค์เลยถวายที่ ๑๗ ไร่ ให้สร้างเป็นวัดอยู่ที่นั่น เมื่อมาสร้างเป็นวัดแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็พาป่าไม้สุชาติ ที่ดินอำเภอ นายอำเภอ ปลัดอำเภอมาขับไล่ท่านอีก หาว่าท่านปลอมแปลงเอกสารสร้างวัด พยายามเอาเรื่องหลักฐานที่ดินมาขับไล่หมู่ท่าน ท่านเลยบอกให้พ่อสัมเอาหลักฐานของพ่อใหญ่สมบูรณ์มาแสดง (พ่อใหญ่สมบูรณ์เป็นพ่อของพ่อสัม) ตอนนั้นพ่อใหญ่สมบูรณ์ทำเอกสารไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ นู่น ไม่ได้ปลอมแปลงอะไร ท่านก็เลยได้อยู่ที่นั่นต่อไป

ช่วงที่มีคนมาขับไล่ท่านนั้น ท่านว่าไม่ได้โกรธได้เกลียดอะไรใครดอก จุดป่าขับไล่ก็ไม่มีอะไร พอออกมาตั้งวัดอยู่ข้างนอก มาสร้างที่ศาลาที่พัก ก็ไปเอาบ้านเก่าของพ่อใหญ่ซึ่งเป็นพ่อตาอยู่บ้านดงเย็น ไปปลูกเป็นศาลาพอได้ฉันข้าว เขาไปขับไล่หลายครั้ง สุดท้ายเขียนบัตรสนเท่ห์ ผู้ใหญ่บ้านไปพิมพ์หนังสือที่โรงเรียนบ้านคำบอน หัวกระดาษเป็น ร.ร.คำบอนวิทยา แต่ใส่ความว่าท่านเขียนบัตรสนเท่ห์ขับไล่พระบ้าน หาว่าพระบ้านเล่นไพ่ เล่นไก่ตี เล่นมวย ดูหนัง ดูละคร หาว่าท่านเขียนไปสารพัดอย่าง เขาก็เอาไปประชุมกันที่วัด (วัดบ้าน) ประชุมกันว่าจะขับไล่ท่านอีก ตอนนั้นก็มียายที ยายทีเป็นน้าของพระหำ ซาหำอยู่วัดบ้านนั่นล่ะ มาด่าว่าท่าน “ไอ้ห่า ไอ้หมา เป็นครูมันนิสัยดี พอมาเป็นพระนี่ไล่ยังไงก็ไม่ออก ถ้าเป็นปอบนี่มันเข้าไม่ยอมออกนะบักอันนี้” ด่าว่าท่านถึงขนาดนั้นนะยายที

และต่อมาอีก ๔-๕ วันก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น ชาวบ้านเขาออกไปเยี่ยมคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลน้ำพอง พอไปถึงทางหลวงรถไปประสานงากันกับรถบัส ขาหักแข้งหัก คอหักตาย แต่ยายธีนี่แปลกประหลาดไม่บาดเจ็บ แต่ลิ้นอยู่ในปากขาด เอาไปเย็บเจ็ดเข็ม เขามาเล่าให้ท่านฟัง ยายทีคนที่ด่าท่านคราวก่อน คนที่ว่าบ่กราบบ่ไหว้ท่านนั่นล่ะ (แปลกประหลาดอยู่ ภายนอกไม่เป็นอะไรมีแต่ลิ้นในปากขาด)

ทีนี้พอรถเกิดอุบัติเหตุเขาก็เอาคนเจ็บไปโรงพยาบาลน้ำพอง ชาวบ้านรู้ข่าวก็เอารถออกไปดูกันอีก ๒ คัน ปรากฏว่ารถเกิดไปชนกันอีก บ่ายวันนั้นบ้านคำบอนจึงเกรงกลัวท่านขึ้นมา หาว่าเป็นเพราะท่านรถจึงไปชนกัน พากันหาขันดอกไม้มาขอขมาคารวะ (เห็นไหมล่ะบาปมันทันตา) ท่านก็เลยว่าท่านไม่มีอะไร พวกเจ้าจะมาขอขมาทำไม ท่านไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียดอะไรพวกเจ้าเลยสักครั้งดอก ไม่เคยเถียงเคยด่าเคยว่ากันสักที ชีวิตการบวชก็อยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไร ไม่ได้ไปถือโทษโกรธใคร อยู่สบายๆ นี่คือชีวิตการบวช เขาก็เลยมาขอขมากันยกใหญ่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงเป็นที่จดจำสำหรับบ้านคำบอนมาตราบเท่าทุกวันนี้ หลังจากที่ท่านอยู่ที่วัดป่าคำบอนครบ ๕ ปี ท่านก็ไม่ได้กลับไปอยู่ที่บ้านคำบอนอีก ท่านได้มาพำนักอยู่ที่ถ้ำผาแดงผานิมิต บ้านดงเย็นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ตราบจนถึงปัจจุบันนี้

สรุปชีวิตการอุปสมบท ท่านหลวงตาศิริบวชเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ที่วัดถ้ำผาปู่ และอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่เป็นเวลา ๕ ปี มาอยู่วัดป่าบานคำบอนอีก ๕ ปี และมาอยู่ที่วัดถ้ำผาแดงผานิมิตแห่งนี้ได้ ๑๒ ปี รวมเป็น ๒๒ ปี ๒๒ พรรษา