ความคิดเห็นที่ 1 จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ผมก็ไม่มีบ้านของตัวเองแล้วนะ ที่บ้านเกิด เพราะได้ขายไปตั้งแต่ปี 40 แล้ว ย้ายมาอยู่กรุงเทพ สิบกว่าปีแล้ว  แต่ใจก็ยังเฝ้าคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยวัยเด็ก  ขนาดนอนแล้วยังเอาไปฝันบ่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เปิดแผนที่ประเทศไทย ออกมาก่อน ตามสไตล์ ของผมเอง   เริ่มเดินทางจาก กทม. ตอนค่ำ วันที่ 4 ธค.51  ไปตามเส้นทางขึ้นเหนือ แบบที่หลายคนคุ้นเคย คือ จาก บ้านย่านบางบอน ใช้ ถ.ราชพฤกษ์  ผ่าน เมืองปทุมธานี ไป อ.บางปะหัน ผ่าน อ.อินทบุรี เลี้ยวขวาแยกไป อ.ตากฟ้า ถึงแยก ต.เขาทราย เลี้ยวซ้ายไปพักที่ อ.ตะพานหิน จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 16:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เริ่มเก็บข้าวของก็เย็นแล้ว กว่าจะออกจากบ้านได้ ก็ปาเข้าไปตั้งหกโมงเย็นแล้ว ออกมาถึง ถ.ราชพฤกษ์ ก็ต้องมีอันตกใจว่า เกิดอะไรขึ้นหวา.... รถติด เยอะไปหมด ต้องอดทนขับแบบ ขยับนิดหน่อย จนเลยแยกไป สะพานพระราม 4 (ไปยัง แยกปากเกร็ด) ถนนจึงค่อยกลับมาโล่งหน่อย  ก็ตก สองทุ่มไปแล้ว  เอาล่ะ....อย่างไรก็ต้องตั้งใจไปพักที่ อ.ตะพานหินให้ได้  พรุ่งนี้มีธุระสำคัญ ที่ต้องขึ้นอยู่กับเวลา คือ ไปทำบุญที่วัดบ้านเกิดครับ ไปถึง อ.ตะพานหิน เข้าพักที่ รร.โรสอินน์ ตะพานหิน เวลา ตีหนึ่ง กว่าจะหลับได้ก็ ตีสามกว่าๆ ลูกๆ ติดใจทีวี โรงแรมที่เป็นเคเบิ้ล ช่องการ์ตูน  ผมเองจำเป็นต้องตื่นตีห้าครึ่ง ขับรถไปตลาดเช้าคนเดียว ซื้อข้าว กับข้าวมาใส่บาตร แล้วต้องรีบขับรถไปยังบ้านเกิดของผมคือ ต.ดงขุย  ระยะห่างจากที่ผมไปพักถึง 34 กิโลเมตร ครับ (ต้องย้อนเส้นทางเดิมที่มา ตอนกลางคืนด้วย เพราะไม่มีที่พัก ที่ ต.เขาทราย และ ต.ดงขุย ครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 16:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มาถึงวัดก็แปดโมงเช้าพอดี  มัคคายก เริ่มอาราธนาแล้ว พวกที่มาก็เลยรีบเอากับข้าวใส่จาน นำไปวางเรียงกันที่พระนั่ง ทันได้ฟังพระสวด พาหุงฯ (บทสุดท้ายก่อนที่พระจะฉันภัตตาหาร)  สมความประสงค์ของผมที่อยากมาฟังเสียงพระที่วัดบ้านเกิดสวดมนต์ ไม่ได้ยินมานานยี่สิบปีแล้ว เพราะผมได้มาทำงานที่ กรุงเทพฯ เมื่อปี 30 และเป็นการไม่สะดวกที่จะกลับบ้านไปทำบุญให้ตรงกับวันพระพอดี  และอีกเรื่องหนึ่ง คือ พระที่วัดภาคอื่นจะสวดแตกต่างกันเล็กน้อยกับวัดบ้านเกิดของผม ซึ่งก็คือ วัดสว่างเนตร อันเป็นวัดที่อยู่ในเขตตลาดดงขุย ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 16:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่จริง ในย่านนี้ จะมีวัด 3 วัด คือ วัดสว่างเนตร  วัดวารีวงค์(ดงขุยเหนือ) และวัดวารีล้อม (ดงขุยใต้)  แต่ วัดสว่างเนตรนี้จะเป็นวัดที่อยู่ใกล้ตลาดที่สุด ติดกับ รร.ดงขุยวิทยาคาร ที่อยู่ห่างจากบ้านเดิมผมแค่ ร้อยเมตรเท่านั้นเอง นอกจากนี้ เอกลักษณ์ของวัดนี้ ที่มีมาแต่นาน คือ โบสถ์สวย ครับ ผมเกิดมาก็เห็นโบสถ์นี้แล้วครับ  จึงเป็นที่ประทับใจผม และคนที่นี่ว่า เป็นวัดที่มีความสมบูรณ์ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 17:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 นอกจากนี้ เกือบลืมไปว่า ตรงหน้าโบสถ์ยังมี วิหารพระองค์ใหญ่ แบบเปิดโล่งอยู่ด้วย  เท่าที่จำได้ว่า มีมานานแล้ว อยู่เคียงคู่กับโบสถ์หลังงามด้วยครับ ผมยังจำได้ดีว่า ยังเคยมาลอยกระทงในโบสถ์แห่งนี้เลย  คือทางวัดเขาขังน้ำไว้ในรั้ว แล้วทำทางเดินให้สาธุชนไปลอยกระทงรอบๆ โบสถ์   ตอนหลัง ได้มีการขุดดินลึกลงไปรอบโบสถ์ ไว้ลอยกระทง แต่ มีผลทำให้ โบสถ์ทรุด เลยต้องกลับมาถมดินให้เต็มเหมือนเดิม จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 17:07:15 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การมาวัดสว่างเนตรครั้งนี้ ต้องแอบรู้สึกเสียดายไม่น้อย ที่ไม่ได้มีโอกาสมาเห็นศาลาการเปรียญหลังใหญ่ ที่ผมเคยมาทำกิจกรรมไว้หลายอย่าง เช่น ทำบุญวันพระ ไหว้ครูสมัยเรียน รร.ดงขุย  ตลอดจน งานศพของพ่อผม เมื่อปี 29 โน้น ครับ มาถึงวัด ก็ต้องรู้สึกแปลกใจว่า ว่าทำไมไม่ได้ขึ้นไปศาลาการเปรียญเดิม (นึกว่าเข้ามาผิดวัดเสียอีก)  สอบถามทีหลังได้ความว่า ทรุดโทรมมากเพราะเป็นไม้ทั้งหลัง วันหนึ่ง เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีลมพายุมา ทำให้พังลงมา ก็เลยต้องรื้อ และสร้างใหม่ ทั้งหลัง ยังไม่เสร็จ  ตอนนี้ก็ใช้ศาลาเล็ก ชั่วคราวไปก่อนครับ  น่าเสียดาย ถ้าหากผมมาทำบุญที่นี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็คงได้ขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ได้เต็มที่  (ผมไปที่บ้านเกิดล่าสุด ก็ต้นปี 48 นับได้ ก็ประมาณ 4 ปีแล้ว) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 17:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ก่อนที่จะเดินทางไปต่อ ผมขอลากแผนที่ให้ดูก่อน เพื่อจะได้ง่ายต่อการเข้าใจ ในเรื่องตำแหน่งสถานที่ต่างๆ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 17:41:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ออกจากวัดได้ก็เกือบสามโมงเช้าแล้ว ก็เริ่มบรรเลงเพลงเที่ยวทันทีครับ  ผมแวะบ้านเดิมผมทันทีก่อนเลยครับ  เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ที่ได้มีการรื้อและสร้างใหม่ครั้งหนึ่งแล้ว ตอนที่ผมเรียนจบปี 30 ใหม่ๆ  แต่ยังมีวัสดุเดิมๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น บานประตูเลื่อน และ ช่องลมที่เปิดปิดได้ ซึ่ง คุณพ่อผมท่านเป็นคนสร้างเอง ตั้งแต่ ปี 2500 ต้นๆ โน้นครับ ยังคงอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิม และแน่นอน เลขที่บ้านเดิมของผม ที่ขายให้กับ แม่ค้าร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม เมื่อปี 40     น่าเสียดาย ที่บรรยากาศเก่าๆ นั้นไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้  ที่ชัดเจนก็คือ เมื่อมีการขยายถนนหน้าบ้าน เขาต้องโค่นต้นมะขาม ที่ยืนตระหง่านมาก่อนผมเกิด เมื่อปี 2523 ทำให้ ภูมิทัศน์เปลี่ยนไป คงเหลือแต่ภาพในความฝันของผม ที่ยังคงอยู่  มาทีไรก็รู้สึกว่า บ้านเดิมได้หายไปแล้ว ทั้งๆ ที่ก็อยู่ที่เดิม ครับ ผมนั่งคุยจิบกาแฟ ได้ประมาณชั่วโมงกับเพื่อนบ้านเดิมๆ ก็ได้เวลาออกเที่ยวจริงๆ กันแล้วครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 17:50:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จุดแรกของการท่องเที่ยวก็คือ เขาชะโงก ครับ เป็นคนละที่ กับ รร.นายร้อยจปร. ที่ จ.นครนายก นะครับ   ที่มา คือ ตอนเรียนชั้นป.7 (ผมเป็นป.7 รุ่นสุดท้ายนะครับ..ฮิฮิ)  เทอมปลายได้มีการเข้าค่ายพักแรมลูกเสือ  ทางโรงเรียนได้จัดให้มาพักที่ รร.บ้านเขาชะโงกครับ ก็ต้องเดินแบกเป้กันท่ามกลางแดดระอุ เป็นระยะทางประมาณ 16 กม. หลังแอ่นกันเลย  จำไม่ลืมเพราะถนน ตอนนั้นเป็น ลูกรัง ฝุ่นคลุ้งกระจาย ตลอดทางครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นี่เป็นหลักฐานว่า ชื่อ เขาชะโงกจริงๆ ไม่ได้จำผิด มาบอกนะครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:03:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นี่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาชะโงกแห่งอดีตที่มิลืมเลือนครับ  (ที่จริง หลังจาก ป.7 เมื่อปี 2520 โน้นแล้ว ผมยังได้มีโอกาสเข้ามาเยือนครั้งหนึ่ง เพื่อระลึกถึง ถนนสายแห่งฝุ่นลูกรังสีแดง  ซึ่งก็ผิดหวังไปแล้วว่า ไม่ได้เจอถนนอย่างนั้นอีก เพราะได้กลายเป็นถนนลาดยางมะตอยอย่างดี เมื่อปี 37 โน้น)  แต่อย่างไร ก็ยังรู้สึกผูกพัน อยากเข้ามาทบทวน บันทึกตำแหน่งเส้นทางลงใน GPS Pocket ของผมด้วย จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถึงทางขึ้น เขาชะโงกแล้ว  คือว่า ต้องผ่าน วัดเขาชะโงกก่อน  เพิ่งสังเกตุเห็นชื่อวัด ตอนนี้เองว่าชื่อ วัดถ้ำมงคลเขาชะโงก  แปลกดี รู้จักตั้ง 30 กว่าปีแล้ว ยังไม่ทราบชื่อเต็มอย่างนี้เลยครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:12:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เลี้ยวรถเข้ามาในวัดแล้ว  มองเห็นบรรยากาศดังในรูปข้างล่างนี้  คือถนนจะมุ่งไปยัง ทางขึ้นเขาชะโงก ตรงๆ เลย จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:14:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รถไปจอดตรงทางขึ้น ก็พบฝูงลิง อยู่ด้านหน้า   ไม่ต้องกลัวครับ พอเดินเข้าไป ลิงก็วิ่งหนีไปขึ้นต้นไม้ กันหมด  พวกเขากลัวคนนะครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:18:45 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รูปนี้ต้องค่อยๆ ย่องไปแอบถ่ายภาพพวกเขา  แหม..มีนมที่หน้าอกเหมือนคนเลย  เพลินเหมือนกัน กับการถ่ายภาพลิงในหลายๆ อิริยาบทนี่  (ผมถ่ายมาหลายรูป แต่เลือกมาให้ดูภาพเดียวนะครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:23:19 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตอนนี้ เดินขึ้นบันไดไป ถึงถ้ำแล้วนะครับ มีระฆังห้อยอยู่ 1 อัน   ดูๆ ไม่เหมือนถ้ำ เหมือนช่องเขา ที่ใช้ทำบังเกอร์ในการรบมากกว่าครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:26:12 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เดินเข้าไปในถ้ำ ก็จะเห็นพระพุทธรูปให้เคารพกราบไหว้ และมีปล่องเขา ที่ห้ามปีนขึ้นไป หินอาจทะลาย ถล่มลงมาได้ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ยืนในถ้ำมองย้อนออกมาข้างนอกถ้ำจะเห็นหินสองก้อนรูปร่างประหลาด เหมือนอะไรก็ได้สุดแต่จะจินตนาการเอาเอง เย็นสบายมาก น่านอนหลับ หรือ ไปนั่งสมาธิเงียบๆ ไม่มีคนเลยครับ มีแต่นกบินออกมาเล็กน้อย ที่จริงแล้วมีห้องเล็กๆ อีก สองห้อง แต่ ถ่ายภาพออกมาเบลอร์ เพราะแสงน้อย แต่ไม่มีจุดเด่นน่านำเสนอ เลยขอไม่ได้นำมาให้ดูกัน จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:34:48 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ปาด...ปร๊าด จากคุณ : InGonE - [ 8 ธ.ค. 51 18:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ระหว่างเดินกลับลงไป เห็นลิงนั่งบนหิน เลยถ่ายภาพมาให้ดูแบบธรรมชาติกันหน่อย    นั่งดูจากภาพขณะโพสรูปนี้ เลยสังเกตุเห็นลิงอีกสองตัว กำลังโหนกิ่งไม้  ช่างกลมกลืนกับธรรมชาติจริงๆ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:42:01 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สวัสดีคุณ InGonE  ครับ ที่ป๊าดเข้ามาคนแรก ในรีวิวนี้ครับ  คอยชมกันต่อไป ยังมีอีกเยอะนะครับ ออกมาจากวัดแล้ว ก็เหลือบเห็นเขาอีกลูกหนึ่งอยู่ใกล้ๆ มีชะง่อนออกมา เหมือนหมวกนักรบโรมัน  ไม่รู้ว่า แท้จริงคือเขาลูกนี้หรือเปล่า ที่ชะโงกออกมา ซึ่งก็จะประจันหน้ากับ เขาลูกแรกที่ผมขึ้นไปในถ้ำ (รูป คห.9 และ 11) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 นี่เป็นสภาพถนน ในปัจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ก่อนเป็นดินลูกรังฝุ่นตลบ  ต้นไม้ก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนเป็น ไม้ป่าหลายอย่างคละกัน แต่ เดี๋ยวนี้ ได้เป็นไม้สัก ในโครงการปลูกป่า เกือบทั้งหมดครับ ในรูป ชาวบ้านเขาชอบขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยว หรือ ทำธุระกัน ทำให้ รถโดยสารเข้าออกน้อยลง ทางดีขึ้น ทำให้ คนในนี้ ออกไปทำธุระไกลๆ ได้สบาย จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มองไปข้างทางก็จะเห็นเด็กๆ รวมกลุ่มกันออกไปหาปลา  ทำให้นึกถึงสมัยตอนผมเล็กๆ ก็เป็นแบบนี้ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ชอบ ชอบออกไปเดินตากแดด ทั้งวัน เพื่อจะทำอะไรก็ได้ ที่ น่าสนุก และแปลกใหม่ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 18:58:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ออกจาก เขาชะโงก ก็เกือบเที่ยงวัน รู้สึกหิว และอยากเข้าห้องน้ำกันแล้ว ผมเลยรีบบึ่งไป ขจรฟาร์ม ตามแผนผังข้างล่างนี้ (ลูกศรสีม่วง) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 19:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอปาดน่ะครับ ^_^ จากคุณ : itneo99 - [ 8 ธ.ค. 51 19:11:36 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สวัสดีคุณ itneo99 ยินดีครับ เชิญติดตามได้เลยครับ มหากาพย์แห่งบ้านเกิด....ฮา.... Unseen Thailand  ที่หลายคนไม่ทราบ (และอาจไม่อยากทราบก็ได้) เส้นทางไป ขจรฟาร์ม นั้นซับซ้อนไม้น้อย มีหลายเลี้ยว แต่ไม่หลง เพราะทุกแยก จะมีป้ายบอกทางไว้ตลอดครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 19:18:56 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ต้องแปลกใจว่า ชื่อคุ้นๆ  เป็นบ้านของ พล.ตรีสนั่น ครับ เคยสร้างไว้นานแล้ว (ผมเคยมาที่นี่ สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2530 โน้น)  แต่มาครั้งนี้ เห็นมีป้ายชื่อเพิ่ม เป็น ขจรฟาร์มรีสอร์ท  แสดงว่า มีคนสนใจเยอะ เจ้าของเลยเปิดให้คนทั่วไปเข้าพักด้วย การเข้ามาของผมคราวนี้ ประเด็นเร่งด่วนคือ  ห้องน้ำครับ คำถามแรก กับการที่ไม่ได้จอง หรือ มาพัก ก็ทำให้ ผู้ดูแลไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร  กลับรีบชี้บอกทาง และที่จอดรถ   คุยไปคุยมา ก็เลยแนะนำ สถานที่นั่งทานอาหารใต้ร่มไม้ และ เสนอขาย ไวน์องุ่นรสชาติดีให้ด้วยครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 19:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 28 นี่เป็นบรรยากาศ ร่มรื่นริมทาง ที่ผู้ดูแลสถานที่ยินดี รับรองให้นั่งรับประทานอาหารได้ตามอัธยาศัย แต่ทางรีสอร์ทไม่มีอาหารให้นะครับ  คณะของผมได้เตรียมมาทานเอง รสชาติเข้ากับบรรยากาศได้ดีมากครับ  ผมอุดหนุนไวน์องุ่นไป 5 ขวดๆ ละ 50 บาท อ้อ..ทำไมถึงต้องเป็นไวน์องุ่น ก็เพราะเขามีไร่องุ่นอยู่ในนั้น นะครับ เรียกว่า ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านโอท๊อป อะไรทำนองนั้นครับ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 51 19:36:50 จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 19:31:50 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สภาพบ้านพัก ของรีสอร์ท ก็กระจายไปตามส่วนต่างๆ  ราคาก็มีตั้งแต่ 1,500 บาทจนถึง 4 พันกว่าบาท(สำหรับหลังใหญ่ อยู่ได้เป็นสิบคน) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 19:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แต่...หลังนี้ไม่เปิดให้พักนะครับ เพราะเป็นหลังเจ้าของบ้านครับ ทำด้วยไม้ไผ่ดูสวยดี ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 19:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 31 นอกจากวิวใน รูปเปิดกระทู้แล้ว ยังมีจุดน่าเที่ยวชม 4 จุดคือ สะพานแขวนข้ามน้ำ  ขบวนรถไฟ ซากเครื่องบิน และหอสูงสำหรับฝึกกระโดดร่ม ในรูปข้างล่างนี้เป็นสะพานแขวนข้ามน้ำ คาดว่ามีการซ่อมแซมกันมาหลายครั้ง เพราะผมไปครั้งแรกก็เห็นอยู่แล้ว จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 19:49:25 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เด็กๆ เห็นสะพานปุ๊บก็อดไม่ได้ที่จะรีบไปเดินข้ามกันทันที จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 20:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สภาพไม้กระดานบนสะพานมี ผุ มีหัก หายไป ต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อย นับว่าเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่งเหมือนกัน ตื่นเต้นดี ไหนสะพานจะแกว่งอีก  น้ำข้างล่างก็แห้งด้วย ดูเสียวๆ เหมือนกันครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 20:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 และอีกรูป สำหรับสะพานแขวน ในมุมด้านข้างครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 20:35:15 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แหมกำลังสนุกเลย ขอผลัดไปโพสต่อพรุ่งนี้นะครับ  กำลังจะพาชมขบวนรถไฟ พอดี  คอยติดตามชมต่อไปนะครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 8 ธ.ค. 51 21:11:30 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จบแล้วรึคะ ติดตามคุณมิราชชมาตั้งแต่ทริประนองโน๊นแหน่ะค่ะ ชอบการรีวิวแบบนี้จริง ๆ เน้นแบบสบาย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น แถมรายละเอียดถี่ยิบ สุดยอดค่ะ จากคุณ : daiirlee (daiirlee) - [ 8 ธ.ค. 51 22:41:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามารำลึกความหลังด้วยคนเรื่องบ้านเกิด บ้านเราอยู่ห่างกันมากเลยแต่ความเปลี่ยนแปลงก็คล้ายๆกัน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนถนนก็เป็นลูกรังเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ถนนหนทางสะดวกสบาย แต่หลายสิ่งหลายอย่างขาดหายไปโดยเฉพาะเวลา....เมื่อก่อนญาติพี่น้องเพื่อนบ้านไปมาหาสู่พูดคุยกันสนุกสนาน เดี๋ยวนี้ต่างคนต่างยุ่งทำมาหากินเพราะเงินตัวเดียว... ชอบภาพที่ 23 เพราะตัวเองก็ประมาณนั้นในสมัยเด็ก คนชนบทอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติตลอดเวลาสว่นใหญ่จึงมองโลกในแง่ดี ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ จากคุณ : Fly away home - [ 9 ธ.ค. 51 00:37:20 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ใกล้บ้านเกิดผมเช่นกันครับ จากคุณ : ตะพานหิน - [ 9 ธ.ค. 51 01:22:55 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ชอบรีวิวแนวนี้ครับ   นึกภาพตาม วิ่งลอกลายแทงไม่มีหลง จากคุณ : ท.ทหารหัวแตก - [ 9 ธ.ค. 51 10:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สวัสดีคุณ daiirlee (daiirlee)  ยังไม่จบครับ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องมีตอนต่อไปอีกด้วยครับ   โอ้โฮ...ยังจำผมได้หรือนี่ ตั้งแต่ ทริประนอง ต้นปีเชียวนะครับ  นี่เป็นแฟนพันธุ์แท้จริงๆ ครับ สวัสดีคุณ Fly away home  ครับ ใช่ครับ กาลเวลาได้กลืนกินทุกสิ่งอย่างไปจากเรา  เป็นที่น่าแปลกว่า เมื่อเราอยู่ในอดีต เราก็ได้แต่มุ่งหวังอนาคต อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เบื่อสิ่งที่อยู่รอบข้าง แต่พอก้าวผ่านไป เรากลับคิดถึงมัน สาเหตุหนึ่งที่เรา ใส่ใจต่อกันน้อยลง ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเพราะตัวเราได้เป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวเราเองมากขึ้น เมื่อเติบโตขึ้น จึงลดการเอาใจใส่ต่อกัน เล่นหัวกัน เหมือนตอนเด็กๆ ที่ยังมีความรับผิดชอบน้อย   ผมคิดว่า ความเป็นโลกาภิวัฒน์  คือ การสื่อสาร และคมนาคม ดีขึ้นจะทำให้ กำแพงระหว่างชนบท กับในเมืองลดน้อยลง ไม่นาน คนชนบทก็จะมีวิถีชีวิต ใกล้เคียงกับคนเมือง สวัสดีคุณ ตะพานหิน ครับ   คุณคนตะพานหินหรือเปล่าครับ  ผมก็ศิษย์เก่าต.พ. เหมือนกันครับ จบปี 2525  ม.ศ.รุ่นสุดท้ายพอดี สวัสดีคุณ ท.ทหารหัวแตก ครับ ยินดีที่ชอบครับ รีวิวของผมนี้สามารถใช้อ้างอิงในการท่องเที่ยวได้เลยครับ  อีกหน่อยถ้าทำเยอะๆ แล้วอาจมีรวมเล่ม จำหน่ายนะ......ฮิฮิ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 15:39:20 ]

ความคิดเห็นที่ 41 มาต่อกันนะครับ จากรูปรถไฟแบบเครื่องจักรไอน้ำ ในรูป คห.35 นั้น ได้ถูกนำมาเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวใน ขจรฟาร์มนี้นานแล้ว  จากที่เคยเห็นครั้งแรกๆ เมื่อสิบกว่าปีนั้น ตู้โดยสารได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องประชุม ติดเครื่องปรับอากาศด้วย แต่ในปัจจุบัน ดูจะกลายเป็นเพียง พิพิธภัณฑ์ เท่านั้น พวกเด็กๆ พอเห็น ก็รีบซุกซน ปีนป่ายไป แอ๊คชั่น กันใหญ่ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 15:45:54 ]

ความคิดเห็นที่ 42 นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับ รถจักรไอน้ำ ด้วยตัวเอง จึงขออธิบายหลักการทำงานคร่าวให้ฟัง ประดับความรู้กันหน่อยก็ดี ส่วนประกอบหลัก ของรถจักรไอน้ำก็คือ เตาฟืน ที่ใช้เผาไหม้ ให้กับ หม้อต้มน้ำ ซึ่งจะส่งไอน้ำร้อนๆ ออกไปทาง ลูกสูบ เพื่อดันก้านส่งแรง ไปยังขอบล้อขับเคลื่อน ทั้งสี่ (สองด้านก็เป็น 8 ล้อ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 15:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ความลับของ การเคลื่อนที่ได้ อยู่ที่ ห้องผลักดันลูกสูบที่ ถูกแบ่งเป็นสองส่วน คนละด้านของลูกสูบ แล้ว มีไอน้ำอัดเข้าไป ทีละด้าน  (ซึ่งอีกด้านไอน้ำก็จะถูกปล่อยทิ้งไปในอากาศ)  โดยมี ลิ้นปิดเปิดไอน้ำ ที่ทำงานสัมพันธ์กับ การหมุนของลูกล้อรถ การควบคุมรถ ก็คือ การปล่อยไอน้ำออกจาก ถังต้มน้ำ เท่านั้น  ถ้าหากปิดไอน้ำมิให้ออกจาก ถังต้มน้ำ ลูกสูบก็จะหยุดเคลื่อนที่ไปเอง  เป็นหลักการง่ายๆ แต่ต้องแข็งแรงและทนทาน เพราะงานนี้ มีแต่ความร้อนแผ่ออกมาเต็มไปหมดครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:12:14 ]

ความคิดเห็นที่ 44 หลังจากได้แรงผลัก และ ดึงออกมาจาก ห้องลูกสูบแล้ว ก็จะถูกส่งไปยัง ขอบล้อ ที่สาม แล้ว ระหว่างล้อทั้งหมด จะมี ก้านส่งแรงระหว่างล้ออีก จนทำให้ ล้อทั้งหมดหมุนไปด้วยกัน เป็นการช่วยแบ่งแรงตะกุยรางให้กระจายออกไป มิฉะนั้น ล้ออาจหมุนฟรีได้ นอกจากนี้ก็จะมีก้านควบคุมลิ้นปิดเปิดในห้องลูกสูบ ส่งแรงกลับไปจากล้อ ด้วย ทำให้ รถวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องมาคอยควบคุมการหมุนล้อด้วยมือตลอดเวลา ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 45 และรูปนี้ก็เป็น ห้องควบคุมรถจักรไอน้ำ ที่จะมีช่องใส่ฟืน เพื่อให้เตาไฟลุกตลอด ฟืนนี้ก็จะบรรทุกไว้ที่ด้านหลังคนขับ สามารถหยิบได้สะดวก  มีคันบังคับใหญ่ ซึ่งน่าจะใช้ปิดเปิดไอน้ำเข้าไปในกระบอกสูบ (ไม่แน่ใจ) เพื่อควบคุมความเร็วรถ นับเป็นความอัจริยะของ คนโบราณเหมือนกัน ที่สามารถคิดค้นได้ขนาดนี้ โดยอุปกรณ์ทั้งหมด จะโชว์เปลือยให้คนทั่วไปเห็น  ต่างจากเครื่องยนต์ในปัจจุบันที่เราใช้กันอยู่  จะมีฝาครอบ และใช้น้ำมันเครื่องชะโลมไว้ตลอดเวลา จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:37:24 ]

ความคิดเห็นที่ 46 และนี่ก็เป็นที่นั่งคนขับ ช่างดูไม่น่านั่งเสียนี่กระไร เล็ก ไม่มีหลังพิง และทำด้วยไม้  นั่งไปเผลอๆ อาจตกรถไฟได้อีก  เขาคงออกแบบให้ยืนมากกว่า แต่ถ้าเมื่อยขาก็นั่งได้เล็กน้อย ถ้าขืนให้นั่งสบาย อาจลืมเติมฟืนลงไปในเตา แล้วรถก็จะหยุดอีก  ลำบากกว่า พขร. สมัยนี้เยอะเลยครับ   ยิ่งถ้าหากเป็นรถไฟสายยาวๆ อย่าง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ มิต้อง เติมฟืนปวดหลังเลยหรือนี่..... แต่เท่าที่ทราบ รถไฟไอน้ำเขาจะวิ่งไม่ไกลนัก เพราะต้องคอยจอดดูแล บำรุงรักษาบ่อยๆ ไม่งั้นก็พัง ครับ  แถมฟืนยังต้องคอยเติมตลอด ทำให้ แต่ละสถานีรถไฟ ต้องมีฟืนไว้ให้หัวจักร  อ้อ...น้ำอีกด้วย เกือบลืมไป ว่า ต้องมีให้เติมอีกด้วย  (เดี๋ยวจะมีรูป ถังเก็บน้ำรถไฟหัวจักรไอน้ำ ที่สถานที ตะพานหินให้ดูด้วย) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:44:58 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ปู้นๆ รถไฟเทียบชานชาลาแล้ว เตรียมขึ้นนั่งให้เรียบร้อย เดี๋ยวจะไม่ทัน  ยิ่งขบวนนี้ มีเพียง 2 ตู้ด้วย เร็วๆ ไวๆ... จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:48:22 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อ้าว...มีน้องสาว มาด้วย ใครจะขึ้นไป ก็รีบนะครับ เดี๋ยวจะพลาดโอกาส  รถไฟขบวนสุดท้าย.....ฮา จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 49 โอ้ว....รอเดี๋ยว... ขอลุงไปด้วยคน...... ว่าเข้านั่น..ฮิฮิ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:52:01 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อ้าว...ไม่ทันแล้ว.. รถไฟออกแล้วครับ   ปู้นๆ  ปู้นๆ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่ทันรถไฟ ไม่เป็นไร ไปขึ้นเครื่องบินดีกว่า...... มาโน้นแล้ว  ลำโตๆ อยู่โน้น  นับเป็นจุดน่าเที่ยวชม จุดที่สามครับ  เร็วๆ เดี๋ยวจะพลาดขึ้นเครื่องบินกันอีก... จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 16:57:48 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เครื่องบินมาแย้ว รีบๆหน่อย เด็กๆ   งานนี้ ได้ซนกันอีกแน่นอน จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:00:02 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อื้อ..ฮือ.. เครื่องยนต์ อันเบ้อเริ่มเชียว จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เอ้า..จอดนิ่งๆ ผู้หญิงจะลง จอดช้าๆ คนบ้าเขาจะลง....ฮา...   สวบ!  ใหญ่จริงๆ  เข้ามาอยู่ในดงไม้เลยนะนี่ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:04:39 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เดินวนหาทางเข้า พบแล้ว..(ไม่เหมือนรถไฟที่ หาทางเข้าไม่ได้ เขาปิดประตูล๊อคไว้ทุกด้าน)  เด็กๆ ก็ลิงโลดกันใหญ่  นับเป็นเครื่องบินที่ ประตูทางขึ้นอยู่ต่ำมาก ปีนขึ้นได้เอง (ไม่เหมือนเครื่องบินโดยสารที่จะต้องมีบันไดสูงๆ ไว้ขึ้นเครื่อง) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขึ้นมาแล้วครับ ข้างในเครื่องบิน ช่างโอ่โถงเสียนี่กระไร เป็นเครื่องบินที่เลิกประจำการแล้ว (จะเรียกว่า ซาก ก็ได้ เพราะยังไม่ได้ปรับปรุงดัดแปลงอะไรเลย)  มองไปข้างหน้าจะเห็นที่นั่งลอยฟ้า เอาไว้นั่งโยกไปมา เสียวดี  และทางขึ้น ห้องขับเครื่องบิน จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:11:40 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แอบเห็น ห้องคนขับ  ความฝันผมใกล้จะเป็นจริงแล้ว...... จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:14:02 ]

ความคิดเห็นที่ 58 งานนี้ก็ต้องขอแอ๊คชั่นสักภาพ เท่ห์ไหม มาดนักบิน ความฝันหนึ่งของผมเชียวนะครับ แต่ไม่เคยได้ทำตามฝันสักที ที่เห็นเอามือขวาไปจับหน้าต่างเครื่องบิน ไม่ใช่เท่ห์อะไร หากแต่ ขาเก้าอีข้างขวาหัก ขืนไม่ยันผมคงต้อง เซคว่ำไปทางหน้าต่างแน่ๆ ฮิฮิ.. จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:16:46 ]

ความคิดเห็นที่ 59 นักบินคู่ใจผมพร้อมแล้ว.....เตรียมออกบิน! จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ทัศนวิสัยข้างหน้า มีหมอกลงหนา สลับกับฝน (ว่าเข้านั่น....) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ไม่เป็นไร ขึ้นบินได้เลย..... จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:22:09 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อุ๊บ! เกือบลืม ผู้ช่วยนักบิน ด้านหลัง ที่อุตส่าห์ไปนั่งเก้าอี้ลอยฟ้า สุดเสียว ข้างหลังผมด้วย จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:24:52 ]

ความคิดเห็นที่ 63 หันไปมองด้านท้ายเครื่องบิน นั้นเป็นประตูใหญ่ ใช้เปิดเพื่อให้รถใหญ่ๆ วิ่งขึ้นมาได้เลย จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:28:31 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ้าว...นั่งๆ กันเพลินๆ ทำไม ผู้ช่วยนักบินของผมดันกระโดดหนีลงจากเครื่องบินเสี่ยอย่างนี่เล่า!  แถมไม่ยอมเอาร่มติดตัวไปด้วย...ฮา... จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เลิกเล่นเครื่องบินแล้ว หันมาสังเกตุเห็นล้อเครื่องบิน  จากรูป วงกลมสีม่วง แสดงให้เห็นจุ๊บเติมลมยาง นับเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่า ล้อเครื่องบินก็ใช้ลมเหมือนล้อรถยนต์  ไม่ใช่ยางตัน อย่างที่บางคนเข้าใจนะครับ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 51 17:34:45 จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 66 และใกล้ๆ กัน ก็คือ จุดน่าเที่ยว จุดที่สี่ คือ หอสูงใช้กระโดด ครับ  กลุ่มผมไม่ได้ขึ้นไปซน เพราะกลัวเขาว่าเอา เนื่องจาก เล่นซนมามากแล้ว และ อันตรายด้วย ถ้าหากขึ้นไปข้างบนหอ โดยไม่มีคนดูแล ความปลอดภัย  เลยถ่ายภาพมาให้ชมกันเฉยๆ ผมคิดว่า หอสูงที่นี่ สามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมลูกเสือเนตนารี ได้ด้วยครับ  ไม่ต้องไปโดดที่ค่ายทหาร ไกลๆ นะครับสำหรับเด็กนักเรียนแถวนี้ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:39:05 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ออกจาก ขจรฟาร์มรีสอร์ทแล้วละ  เห็นป้ายบอกว่า มีฟาร์มนกกระจอกเทศ ด้วย เลยขับรถเลยเข้าไปในดงอีก  ข้างทางเห็นมีไร่องุ่นอยู่ไม่น้อย  ในรูปเป็นของเอกชน ดูยังเล็กอยู่  คงไม่ใช่หน้าเก็บเกี่ยวกระมังครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 17:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ทราบมาว่า มีฟาร์มนกกระจอกเทศ อยู่แถวนี้ เลยขับรถเข้าไปเรื่อยๆ ไม่พบอะไร ลองสอบถามชาวบ้านดู เขาบอกว่า ฟาร์มนก อยู่คนละซอย ต้องกลับออกไปถนนใหญ่ ตามลูกศรสีม่วง แล้วเลี้ยวเข้าไปใหม่ เลยทำตาม  พบป้ายทางเข้าอย่างที่เห็นในรูป จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 18:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ถึงแล้ว ป้าย ขจรฟาร์ม มีสัญลักษณ์รูปหัวนกกระจอกเทศให้เป็นที่สังเกตุด้วย ว่ามาไม่ผิดที่ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ผ่านประตูเข้าไปนิดก็เห็น เครื่องกั้น ที่ห้ามรถทั่วไปเข้าไป รถที่เข้าจะต้องพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้า   เราเป็นแขก ก็ต้องเลี้ยวซ้ายไปจอดรถ แล้วเดินชม  แต่เชื่อหรือไม่ว่า ผมไม่ทันสังเกตุเห็น นกกระจอกเทศเลย ทั้งๆ ที่อยู่ หลังป้ายชื่อบริษัท (บริษัท ฟาร์มพิจิตรไทยปศุสัตว์ จำกัด)  จนกลับออกมาถึงสังเกตุเห็นนกในคอกเต็มไปหมดครับ  คือว่า พวกเขาอยู่กันเงียบๆ จริงๆ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:08:06 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เนื่องจาก คณะรู้สึกอ่อนเพลีย อยากนอน และกลับบ้านกันบ้างแล้ว เลยขอบายไม่แวะลง ผมเลยต้องเลี้ยวรถกลับออกมาในทันที  แต่ก็ไม่ลืมถ่ายป้ายประชาสัมพันธ์ไว้ เผื่อคราวหน้า จะได้โทรศัพท์เข้าไปสอบถามได้ หรือเพื่อนๆ จะแวะเข้าไปชม ก็จะได้โทรสอบถาม ล่วงหน้า จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:15:49 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ตอนแรกนั้นไม่ทันสังเกตุว่า มีนกกระจอกเทศอยู่ใกล้ๆ  คิดว่าต้องลงรถแล้วเดินเข้าไปข้างใน เลยคิดว่าอดดูแล้วนก  พอเลี้ยวรถออกมาถึงประตู เด็กๆ ก็เหลือบเห็นนกในคอก ผมเลยจอดรถลงไปถ่ายภาพมาดู  แต่ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ กลัวทางฟาร์มเขาจะห้าม ครับ  (ไม่มีป้ายบอกทางเข้าไปชม และก็ไม่มีป้ายห้ามเข้าไปชม) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:20:06 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เลยต้องอาศัยความสามารถในการซูมของกล้องหน่อย เอาภาพเต็มๆตัว ของนกกระจอกเทศมาให้ดูกันชัดๆ ครับ  ถ้าหากเพื่อนๆ มีเวลา ก็ลองเข้าไปที่สำนักงาน ก่อนก็ได้ จะได้เดินเข้าไปดูใกล้ติดรั้วเลยครับ  นกตัวโตมาก ดูน่ากลัวไม่น้อย จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:23:25 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ก่อนกลับ ผมขอแอ๊คชั่นภาพ คู่กับ นกกระจอกเทศหน่อย แต่เป็นรูปปั้นหน้าประตูทางเข้านะครับ ตัวจริงไม่กล้าหรอกครับ บรื๊อ..... จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เอาโลโก้สวยๆ ของบริษัทเขามาให้ดูกันหน่อย เข้าใจออกแบบดีจังเลยครับ แปลว่า นกกระจอกเทศแห่งจังหวัดพิจิตร ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:29:12 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ออกมาจาก ฟาร์มนกกระจอกเทศแล้ว ก็เลี้ยวรถกลับมาบ้านเกิดผมอีกที แต่ใช้เส้นทางลัดดง ของ ต.บ้านกล้วย ที่แต่ก่อนถือว่าเป็นชนบท ทุรกันดาร ไม่น้อยครับ (ตามกรอบสีเขียวในแผนผังข้างล่างนี้) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:34:15 ]

ความคิดเห็นที่ 77 นับเป็นเส้นทางเล็กๆ แคบๆ รถสวนกันไม่ได้ ต้องหลบไปจอดทับต้นหญ้าข้างทาง ถึงจะสวนกันได้ แต่ก็ยังดีที่เป็นหินกรวด   สมัยก่อนเป็นลูกรังฝุ่นล้วนๆ  (แต่ถึงอย่างไร ก็ยังคงมีช่วงถนนลูกรังเหลือเล็กน้อยไม่ถึงกิโลเมตร) ขอเชิญชมธรรมชาติ ในดงได้แล้วครับ  (เกิดมาผมเองก็ยังไม่เคยเข้ามาถึงในนี้นะครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 78 สภาพป่าข้างทาง ยังเป็นทุ่งนาแห้งๆ สลับกับป่า ช่างเหมือนกับ ทุ่งหญ้าสะวันน่าจริงๆ นะครับ  เพียงแต่ไม่มีกวางให้เห็นเท่านั้น...ฮิฮิ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:41:56 ]

ความคิดเห็นที่ 79 บางช่วงจะผ่าน บ้านคน ก็จะเห็นแนวรั้วไม้กินได้ อยู่ด้านขวามือครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:44:31 ]

ความคิดเห็นที่ 80 มีฝูงวัวอยู่ใกล้ๆด้วยครับ ดูเป็นธรรมชาติดี จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 81 โอ้..ยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ที่แผ่กิ่งก้านสาขา เป็นร่มเงาให้แก่สรรพสัตว์ แถวนั้นด้วย  นับว่าหายากเหมือนกันในปัจจุบัน  ดูๆ แล้วก็เหมือนภาพวาดของศิลปินเลยนะครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 19:52:00 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ผมขับรถกลับออกมาถึง ต.ดงขุย ออกตรงวัดสว่างเนตร ที่เมื่อเช้าผมมาทำบุญแล้ว  วันนี้ ยังเหลืออีกสถานที่หนี่ง ที่ต้องไปให้ได้ คือ วัดเขารวก อันเป็นที่เคยพำนักของหลวงปู่โง่น โสรโย  อันเป็นตำนานแห่ง พระสุพรรณกัลยา ครับ  แต่กระทู้นี้คงยังไปไม่ถึง เพราะได้ดำเนินยาวนานกว่า 80 ความเห็นแล้ว จึงขอโอนไปยังตอนสอง  นะครับ  คอยติดตามเร็วๆ นี้ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 9 ธ.ค. 51 20:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 83 มาต่อกันแล้วนะครับ เชิญคลิ๊กที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้ แล้วไปไหว้พระ เที่ยวชมบรรยากาศวัดเขารวก อำเภอ ตะพานหินกันครับ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E7310417/E7310417.html จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 11 ธ.ค. 51 16:50:25 ]