วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ บางทีก็เรียกว่า วัดพระธาตุพระฝาง หรือพระธาตุเขี้ยวฝาง ตั้งอยู่ที่บ้านฝาง หมู่ที่ 3 ตำบลผาจุก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ตามเส้นทางหลวงสายเอเซีย เลี้ยวขวาตรงแยกวัดคุ้งตะเภา เข้าไปอีก 14 กิโลเมตร ทางไปโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ บนเนินเขาเล็กๆติดแม่น้ำน่าน แผ่นดินที่ผลัดเปลี่ยนกันครอบครองมาหลายยุคสมัย
วัดพระธาตุพระฝางเป็นวัดหลวงของเมืองสวางคบุรีในสมัยนั้น และเป็นวัดพระมหาธาตุที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีต จากหลักฐานยุคหลังๆที่ปรากฏชัดเจนระบุว่า วัดพระธาตุพระฝางสร้างมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ในราชอาณาจักรสุโขทัย
ตามตำนาน วัดพระธาตุพระฝางหรือเมืองสวางคบุรี สร้างขึ้นราว พ.ศ.300 สมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งสมณฑูตเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแว่นแคว้นต่างๆ ได้สร้างวัด สถูปเจดีย์ พระบรมธาตุไว้เพื่อเป็นตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กราบไหว้บูชาในวันสำคัญต่างๆ จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นมา ได้ตั้งชื่อเมืองว่า..สว่างบุรี แปลว่า เมืองสว่าง หมายความว่า เมืองที่สว่างด้วยพระพุทธศาสนา ภายในพระมหาธาตุเจดีย์ได้บรรจุพระทันตธาตุ (ฟัน) ขององค์พระศาสดาไว้
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ รอบๆบริเวณวัดพระธาตุพระฝาง เมืองสวางคบุรี สันนิษฐานว่า ที่นี่เคยเป็นชุมชนโบราณ อายุราว 3,000 - 2,500 ปี ซึ่งพบโครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผาและขวานหินขัด อยู่ภายในบริเวณวัด
เมืองสวางคบุรีหรือเมืองพระฝาง ผังเมืองมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวขนานตามฝั่งแม่น้ำน่าน คันดินปรากฏไม่ชัดเจน มีวัดพระธาตุพระฝางเป็นศูนย์กลางของเมือง และเป็นเมืองหน้าด่านที่อยู่บนเส้นทางโบราณที่จะเดินทางไปเมืองน่านและหลวงพระบาง มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 32 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา
ประมาณต้นเดือนเมษายนของปีจะมีงานสมโภชน์พระฝางทรงเครื่อง และในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 4 และก่อนเข้าพรรษา 20 วันของทุกปี ทางวัดพระธาตุพระฝางจะมีการปฏิบัติธรรมพระอยู่ปริวาสกรรม โดยมีพระภิกษุจากทั่วทุกภาคของประเทศเดินทางมาร่วมเป็นจำนวนมาก
โบราณสถานโบราณวัตถุที่น่าสนใจของวัดมีดังนี้
1.พระมหาธาตุเจดีย์พระฝาง ได้รับการบูรณะหลายยุคสมัย เดิมเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือดอกบัวตูม ศิลปะสุโขทัย เป็นที่เคารพสัการะบูชาของคนพื้นเมืองมาโดยตลอด พระธาตุเจดีย์องค์นี้เคยชำรุดพังลงมา แล้วได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ.2410 พระเจดีย์ชำรุดมากต้องรื้อลงมาถึงชั้นทักษิณที่สาม เมื่อรื้ออิฐเก่าที่หักพังลงมาก็พบแผ่นเหล็กเป็นรูปผาชีหุ้มผนึกไว้แน่น เมื่อตัดแผ่นเหล็กออกก็พบผอบทองเหลือง บนฝาผอบมีพระพุทธรูปองค์เล็กบุทองคำฐานเงินอยู่องค์หนึ่ง ในผอบมีพระบรมธาตุขนาดเล็กสีดอกพิกุลแห้ง 1,000 เศษ แหวน 2 วง พลอยต่างสี 13 เม็ด และมีการขุดพบพระบูชาและพระเครื่องขนาดประมาณ 1 นิ้ว จำนวนหลายองค์ (130 องค์) ปรากฏว่าเป็นพระทองคำ หลังจากนั้นก็มีโจรมาขโมยหายไปเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่ถึง 70 องค์ ในปัจจุบันพระธาตุเจดีย์มีความสูงประมาณ 22 เมตร บนปลียอดมีฉัตร 7 ชั้น หุ้มทองคำประดิษฐานอยู่
2.วิหารหลวง เป็นอาคารหลังใหญ่ตามแบบการก่อสร้างวัดของชาวเหนือ ดั้งเดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน แต่ต่อมาได้ถูกโจรกรรมหายไป วิหารหลังนี้ได้มีการบูรณะมาหลายครั้งแล้ว ดังเช่นในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้มาสักการะบูชาพระมหาธาตุ และได้ปฏิสังขรณ์อีกครั้งในรัชกาลที่ 4 ในช่วงไม่กี่ปีเนื่องจากทางวัดได้ของบประมาณมา จึงได้สร้างผนังขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แบบการสร้างวิหารใหญ่มีมุขหน้าหลัง เสากลางแปดเหลี่ยมยาวประมาณ 7 เมตร คอเสาด้านบนมีกลีบดอกบัวล้อมรอบทำด้วยศิลาแลง รอบนอกก่ออิฐฉาบปูน มีหลวงพ่อใหญ่เป็นองค์พระประธาน บานประตูสลักลายเทพพนมสูง 5.3 เมตร กว้าง 2.2 เมตร เป็นศิลปะอยุธยา บานประตูของเก่าได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่วัดธรรมาธิปไตย ปัจจุบันที่เห็นอยู่ได้ทำจำลองขึ้นมาใหม่
3.อุโบสถ ชาวบ้านเรียกว่า โบสถ์มหาอุตม์หรือโบสถ์สักยันต์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระฝาง ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ในรัชกาลที่ 5 ได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ที่วัดเบญจมบพิตรฯ กรุงเทพฯ เมื่อคราวที่ทรงเสด็จเยี่ยมเยือนราษฏรที่วัดพระธาตุพระฝาง วันที่ 25 ตุลาคม 2444 นักวิชาการบางท่านมีความเห็นว่า สร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บางท่านบอกว่า สร้างในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระฝางทรงเครื่องจำลอง ซึ่งนายทหารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 41-11 ได้ร่วมกันสร้างพระฝางทรงเครื่องถวายวัดพระธาตุพระฝางกลับคืนวัดดังเดิม โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานเททองเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 ณ วัดเบญจมบพิตร ภายในอุโบสถมีลวดลายเพดานและบานประตูไม้แกะสลักสวยงามมาก ภายนอกมีใบเสมาเก่าล้อมรอบ
4.วิหารหลวงพ่อเชียงแสน ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปคู่เมืองฝางมาแต่อดีต เป็นศิลปะเชียงแสน หลังจากที่ค้นพบพระหลวงพ่อเชียงแสน ก็มีโจรบุกเข้ามาขโมยพระหลายครั้ง ล่าสุดโจรบุกเข้ามาทางหลังคาวิหารตัดเอายอดเกตุมาลาไป ชาวเมืองฝางเคารพศรัทธาในพระหลวงพ่อเชียงแสนองค์นี้มาก
5.วิหารพระสังกัจจายน์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่
6.รอยพระพุทธบาทจำลอง เป็นรอยพระพุทธบาทจำหลักบนหินชนวน ประดิษฐานอยู่บนแท่นกลางแจ้ง อยู่ซ้ายมือก่อนถึงพระมหาธาตุเจดีย์
ภายในกำแพงแก้วยังมีหอเทวดา และเจดีย์รายอีกหลายองค์ นอกกำแพงแก้วมีพิพธภัณฑ์ซึ่งรวบรวมโบราณวัตถุที่ค้นพบในเมืองสวางคบุรีไว้เป็นจำนวนมาก
ในครั้งหนึ่งวัดพระฝาง เป็นที่จำพรรษาของเจ้าพระฝาง ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชกอบกู้เอกราช เจ้าพระฝางเดิมชื่อ เรือน เป็นภิกษุชาวเหนือ ไปศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกอย่างแตกฉานในกรุงศรีอยุธยา ณ วัดอโยธยา ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงตั้งให้เป็นสังฆราชาขึ้นเป็นตำแหน่งเจ้าคณะเมืองสวางคบุรี ในปี พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า หัวเมืองต่างๆ ไม่มีพระราชาบดี ผู้มีอำนาจในเขตต่างๆ ได้พากันตั้งตนเป็นเจ้าเมืองมีถึง 6 ก๊ก พระสังฆราชาเรือนเห็นพม่าทำลายพระพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยาหมดสิ้น จึงรวบรวมกำลังต่อต่านพม่า พระสังฆราชาเรือนเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาอาคมได้ถูกยกย่องให้เป็นผู้นำ "ชุมชนเจ้าพระฝาง" ได้เปลี่ยนสีเครื่องนุ่งห่มเป็นสีแดงฝาด (ได้มาจากการย้อมแก่นต้นฝาง) อาณาเขตของชุมนุมเจ้าพระฝางตั้งแต่เมืองเวียงจันทน์ หลวงพระบาง แพร่ น่าน พิชัยและคิดจะขยายเขตต่อไปอีก แต่รอดูท่าทีของชุมนุมอื่นๆ ก่อน ขณะนั้นมี 6 ชุมนุม แต่เหลือเพียง 4 ชุมนุม คือ ชุมนุมพระยาตาก เจ้าพระฝาง เจ้าพิมาย เจ้านครฯ กองทัพพระเจ้าตากสินพร้อมกับท่านพระยาพิชัยดาบหักได้ยกทัพมาตีชุมนุมเจ้า พระฝาง แต่เจ้าพระฝางเห็นว่าเป็นทหารหลวง และเป็นคนไทยด้วยกัน จึงได้หนีขึ้นเหนือไป ตั้งแต่นั้นไม่มีผู้ใดพบเจ้าพระฝางอีกเลย
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง สูง 151 เซ็นติเมตร น้ำหนัก 151 กิโลกรัม อายุกว่า 400 ปี สมัยอยุธยาได้หายไป เมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม 2553 ประเมินค่าไม่ได้